ลำนำรักใต้แสงจันทร์
เมื่อเจ้าหญิงกาอิยาห์พยายามจะช่วยชีวิตหญิงสาวเคราะห์ร้ายผู้หนึ่งแต่พลาดจนทำให้เธอผู้นั้นกลายเป็นหิน เมลิอานาร์จึงต้องยื่นมือช่วยเหลือด้วยการเดินทางไปค้นหายาถอนพิษ ซึ่งงานนี้คงไม่ยากเย็นนัก ถ้าหญิงสาวจะไม่บังเอิญต้องร่วมทางไปกับราชาหนุ่มรูปงามแห่งกรีนแลนด์ที่คอยแต่จะกวนโมโหกันอยู่เรื่อย ..มาร่วมผจญภัยไปพร้อมกับสองหนุ่มสาวในนิยายรักเบาๆ ที่มีกลิ่นอายแฟนตาซีอ่อนๆ และไม่ค่อยจะโรแมนติกเรื่องนี้กันนะคะ ^ ^
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 29
การคลายคำสาปผ่านพ้นไปด้วยความราบรื่น แม้ว่าเจ้าหญิงแคธรีนจะทรงตกพระทัยเมื่อฟื้นขึ้นมา หากพอได้รับฟังเรื่องราวทั้งหมดจากพระโอษฐ์ของเจ้าหญิงกาอิยาห์ก็ทรงเข้าพระทัยว่าเรื่องที่เกิดเป็นเพียงอุบัติเหตุ และทรงรับปากกับเด็กสาวว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องดังกล่าวให้เข้าหูผู้อื่นโดยเฉพาะราชาไมนาสผู้เป็นบิดา จึงเบาใจได้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะไม่ลุกลามจนกลายเป็นชนวนสงครามระหว่างสองประเทศอย่างที่ชาวกรีนแลนด์นึกกลัว แต่เพื่อความไม่ประมาท ราชาเอลเบอเรธทรงมีรับสั่งให้จัดงานเลี้ยงต้อนรับคณะทูตขึ้นพร้อมกับงานเต้นรำ เพื่อให้เจ้าหญิงแคธรีนสามารถปรากฏพระองค์ต่อหน้าผู้คนได้โดยไม่เกิดพิรุธ บรรยากาศในปราสาทลินเด็นจึงเต็มไปด้วยความสนุกสนานคึกคัก หลังจากต้องเงียบเหงามานานเพราะการศึก
เมลิอานาร์ไม่แปลกใจเลยที่เห็นแขกเหรื่อเดินทางมาร่วมงานเลี้ยงตามคำเชิญอย่างล้นหลาม ชาวกรีนแลนด์เป็นพวกนิยมความรื่นเริงและไม่มีนิสัยชอบผูกใจเจ็บ เมื่อราชาไมนาสทรงส่งคณะทูตมาเยือนในฐานะมิตร พวกเขาก็พร้อมจะลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นและเต็มอกเต็มใจต้อนรับอีกฝ่ายอย่างมิตร ซึ่งจะมองว่าเป็นข้อดีก็ได้ หรือจะมองว่าเป็นข้อเสียก็ได้อีกเหมือนกัน แต่ที่แน่ๆ มันเป็นโอกาสอันงามสำหรับการเผ่นหนีที่หาได้ยากยิ่ง หญิงสาวจึงไม่คิดจะปล่อยให้หลุดลอยไป
นางลงทุนแต่งกายสวยงามด้วยชุดกระโปรงผ้าไหมปักมุกราคาแพง แสร้งทำทีว่าจะไปร่วมงานเลี้ยงเช่นเดียวกับข้าราชสำนักคนอื่นๆ ครั้นได้จังหวะเหมาะก็แอบเล็ดลอดออกจากปราสาทด้วยรถม้าที่หยิบยืมมาจากเจ้าหญิงกาอิยาห์ จุดหมายปลายทางคือป่าละเมาะนอกกำแพงเมือง นางจัดแจงผลัดเสื้อผ้าเป็นชุดผู้ชายก่อนก้าวลงจากรถ ไม่ลืมที่จะมอบเงินเล็กๆ น้อยๆ ให้ชายหนุ่มผู้ทำหน้าที่สารถีเพื่อเป็นสินน้ำใจ จากนั้นจึงใช้วิธีเดินเท้ามุ่งหน้าต่อไปสู่วิหารร้างกลางป่าซึ่งเป็นจุดนัดพบกับคนนำทาง เคราะห์ดีที่คืนนี้พระจันทร์สว่างไม่มีเมฆบัง จึงพอจะอาศัยคลำทางไปได้โดยไม่ต้องพึ่งแสงตะเกียง ไม่นานนักเงาตะคุ่มของสิ่งก่อสร้างปรักหักพังก็ปรากฏแก่สายตา
แม้จะได้ชื่อว่าเป็นวิหารโบราณเหมือนกัน แต่ผนังศิลาเว้าแหว่งที่ด้านข้างและด้านหลังเปิดโล่งจนแลเห็นเสาหักๆ รกเรื้อไปด้วยเถาวัลย์ ช่างดูแตกต่างจากวิหารจันทราอย่างสิ้นเชิง กาลเวลาได้พรากเอาความโอ่อ่างดงามไปจากสถานที่แห่งนี้อย่างไร้ความปราณี ทิ้งไว้เพียง ‘ซาก’ ของความรุ่งเรืองในอดีต ราวกับจะย้ำเตือนให้ผู้ผ่านมาพบเห็นได้ตระหนักว่าไม่มีสิ่งใดจะคงอยู่เป็นนิรันดร์
หญิงสาวก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปด้านใน ไม่ต้องกังวลกับความมืดเพราะวิหารแห่งนี้ไม่มีหลังคา หรือพูดให้ถูกคือส่วนที่เป็นหลังคาได้ทลายลงมากองอยู่กับพื้นเสียนานแล้ว แสงจันทร์จึงสามารถสาดส่องลงมาให้ความสว่างได้เต็มที่ นางพยายามสอดส่ายสายตามองหาคนนำทาง ครั้นได้ยินเสียงม้าร้องดังแว่วมาจากหลังกำแพงอิฐเตี้ยๆ ที่คงจะเคยเป็นผนังห้องมาก่อน จึงสาวเท้าตรงไปตามทิศทางนั้น เพียงครู่เดียวก็เห็นม้าสองตัวยืนหายใจฟืดฟาดรออยู่ ถัดไปไม่ไกลคือร่างสูงใหญ่ในเสื้อคลุมเดินทางมอซอสีคล้ำเข้มของชายผู้หนึ่ง ฮู้ดที่สวมคลุมศีรษะซ่อนใบหน้าของเขาเอาไว้ในเงามืดทำให้ยากจะมองเห็นได้ถนัด เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ชายผู้นั้นก็ขยับตัวลุกขึ้นพร้อมกับจูงม้าตรงมาหา เขาส่งสายบังเหียนม้าหนึ่งในสองตัวให้นางก่อนเอ่ยถามด้วยเสียงแหบแห้ง ไม่มีการแนะนำตัวใดๆ ทั้งสิ้น
“แม่หญิงต้องการจะไปที่ใด”
แน่นอนว่าเมลิอานาร์ย่อมอยากกลับบ้าน แต่แลมพ์ตันคงเป็นเป้าหมายแรกที่ทหารของราชาเอลเบอเรธจะพุ่งเข้าใส่เมื่อรู้ว่านักโทษหลบหนี หญิงสาวจึงต้องมองหาสถานที่อื่น นางลังเลระหว่างชายแดนทาเนียร์กับวูดแลนด์ แล้วก็ตัดสินใจเลือกวูดแลนด์ เพราะอย่างน้อยที่นั่นก็ให้ความรู้สึกเป็นมิตรมากกว่า
“ค่าจ้างของข้าแพงนะ” เสียงแหบๆ ของคนนำทางดังขึ้นหลังจากทราบคำตอบ
เมลิอานาร์ล้วงหยิบเหรียญทองจากถุงเงินที่พกติดตัวมาด้วย โยนให้ชายผู้นั้นสองเหรียญโดยไม่พูดอะไร เขารีบเอื้อมมือออกมาคว้าเอาไว้กลางอากาศก่อนที่มันจะตกลงสู่พื้นแล้วกลิ้งหายไป ศีรษะที่ซ่อนอยู่ภายใต้ฮู้ดผงกน้อยๆ เมื่อตอบรับด้วยเสียงแหบแห้งเย็นชา
“ถ้าเช่นนั้นก็เชิญแม่หญิงขึ้นม้าเถอะ”
ชายผู้เป็นมัคคุเทศก์เลือกที่จะขี่ม้าเข้าไปในป่าแทนการใช้ถนน แม้เขาจะไม่บอกเหตุผล เมลิอานาร์ก็พอเดาได้จึงไม่ปริปากคัดค้าน นางต้องใช้สมาธิอย่างหนักในการระวังไม่ให้ถูกกิ่งไม้ที่ยื่นออกมาขวางทางฟาดตกจากหลังม้า พร้อมกันนั้นก็ต้องคอยจับจ้องแผ่นหลังในเสื้อคลุมสีคล้ำกลมกลืนกับความมืดไม่ให้คลาดสายตา เพราะไม่คุ้นกับป่าแห่งนี้ ทั้งยังไม่ได้พกแผนที่กรีนแลนด์ติดตัวมาด้วย การพลัดหลงกับคนนำทางจึงเป็นเรื่องที่หญิงสาวไม่อยากเสี่ยง
พระจันทร์ค่อยๆ ไต่สูงขึ้นไปบนท้องฟ้าตามระยะเวลาที่ล่วงผ่าน อากาศในป่าทวีความหนาวเย็นขึ้นเป็นลำดับ จนเมลิอานาร์นึกเสียใจที่มัวแต่รีบจนลืมฉวยเสื้อคลุมเดินทางติดมือมาด้วย การขี่ม้าฝ่าสายลมเย็นในสถานที่ที่มีแต่ต้นไม้ล้อมรอบไม่ใช่เรื่องน่าพิศมัยนัก หญิงสาวห่อไหล่พลางพ่นลมหายใจออกทางปากเป็นควันสีขาว นางเหลือบมองต้นไม้ข้างทางแวบหนึ่งก่อนจะหันกลับไปจดจ่ออยู่กับแผ่นหลังของคนนำทางตามเดิม
เมื่อฟ้าเริ่มสาง ทั้งสองก็ล่วงพ้นเขตเมืองหลวงเข้าสู่หมู่บ้านแห่งแรกของเมืองที่อยู่ติดกัน ชายผู้ขี่ม้านำอยู่เบื้องหน้าหันมาตะโกนบอกว่า
“จวนสว่างแล้ว เราจะพักม้าที่หมู่บ้านกันก่อน แล้วค่อยออกเดินทางหลังพระอาทิตย์ตกดิน”
แล้วเขาก็หันกลับไปตั้งหน้าตั้งตาควบม้าต่อ โดยไม่สนใจว่าผู้ร่วมทางจะเห็นด้วยหรือไม่
เมลิอานาร์ไม่อยากหยุดพัก นางอยากจะรีบเดินทางให้ถึงจุดหมายปลายทางโดยเร็วที่สุด แต่ในเมื่อไม่มีโอกาสได้ปฏิเสธ ก็จำต้องทำตามคำบอกเล่าแกมสั่งของอีกฝ่ายอย่างไม่มีทางเลือก
คนนำทางจัดการติดต่อเช่าห้องพักสองห้อง ซึ่งแน่นอนว่าหญิงสาวต้องเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่าย เพราะเขาอ้างดื้อๆ ว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของ ‘ค่าจ้าง’ หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันเข้าพักในห้องของตน เมลิอานาร์ก็ไม่ได้เห็นชายในเสื้อคลุมสีคล้ำอีกเลย จนกระทั่งเวลาพลบค่ำมาเยือน
การเดินทางในคืนที่สองค่อนข้างสะดวกสบายกว่าคืนแรก เพราะถนนในหมู่บ้านไม่มีกิ่งไม้ยื่นยาวออกมาเกะกะกีดขวางให้ต้องคอยหลบ จึงช่วยย่นระยะเวลาไปได้มากโข ไม่นานนักหญิงสาวก็มาถึงเมืองใหญ่อีกแห่งในแคว้นดาร์โก ก่อนที่คนนำทางจะเปลี่ยนไปใช้เส้นทางในป่าอีกครั้งด้วยเหตุผลว่า
“การขี่ม้าผ่านเมืองใหญ่ตอนกลางคืนจะทำให้พวกเรากลายเป็นจุดสนใจ”
...ก็แล้วทำไมไม่เดินทางตอนกลางวันเล่า...
เมลิอานาร์นึกด้วยความขัดใจ แต่ไม่มีโอกาสได้ปริปากโต้แย้งตามเคย
ในคืนที่สามและสี่การเดินทางยังคงเป็นเช่นเดิมคือหยุดพักตอนกลางวัน เดินทางตอนกลางคืน และชายในเสื้อคลุมสีคล้ำก็ยังคงทำตัวลึกลับได้อย่างคงเส้นคงวา จนหญิงสาวอดคิดไม่ได้ว่าเขาจงใจปิดบังตัวตน ซ้ำยังเจตนาถ่วงเวลาให้การเดินทางของนางต้องล่าช้า แต่แล้วความคิดเหลวไหลทั้งหมดก็มลายหายไปเมื่อย่างเข้าสู่เช้าวันที่ห้า
แสงอาทิตย์ที่เพิ่งจะเรื่อเรืองขึ้นแตะขอบฟ้าเผยให้เห็นถนนปูอิฐกว้างขวางขนาดรถม้าสองคันวิ่งสวนกันได้อย่างสบาย แม้เวลาเช้าตรู่เช่นนี้จะยังไม่มีรถม้าผ่านมาให้เห็น แต่ดูจากสภาพถนนแล้วเมลิอานาร์ก็เดาได้ว่า เมืองที่นางกำลังจะมุ่งหน้าไปต้องมีขนาดใหญ่โตสูสีกับเมืองหลวงอย่างแน่นอน
“เมืองดีน” เสียงแหบแห้งของคนนำทางเอ่ยขึ้นลอยๆ
หญิงสาวพอจะมีความรู้ติดตัวอยู่บ้างว่าเมืองดีนเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงด้านการค้าผ้าไหม ตั้งอยู่ในแคว้นคิริธซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกับวูดแลนด์ จึงยิ้มออกมาได้
“ถ้าอย่างนั้นก็ใกล้ถึงจุดหมายของข้าแล้วสิ” นางหลุดปากถามด้วยความดีใจ
ศีรษะที่ซ่อนอยู่ใต้ฮู้ดสีคล้ำผงกน้อยๆ แทนการตอบรับ
“หมู่บ้านที่แม่หญิงต้องการจะไปตั้งอยู่อีกฟากของเมือง”
“หมายความว่าเราต้องเดินทางตัดผ่านตัวเมืองไปอย่างนั้นหรือ”
ไม่มีเสียงตอบ...
คนพูดน้อยราวกับกลัวดอกพิกุลจะร่วงกระแทกสีข้างม้าให้ออกวิ่งนำลิ่วไปแล้ว เมลิอานาร์จึงได้แต่โคลงศีรษะแล้วกระตุ้นม้าของนางให้ห้อตะบึงตามไปบ้าง น่าแปลกที่คราวนี้อีกฝ่ายไม่ยักร้องขอให้หยุดพักม้า เพียงแต่แวะซื้อขนมปังที่หมู่บ้านชานเมืองเพื่อเป็นเสบียงมื้อเช้าแล้วออกเดินทางต่อทันที แม้กระนั้นก็ยังต้องใช้เวลาเกือบครึ่งวันกว่าจะล่วงเข้าสู่ตัวเมือง
จริงดังคาด...เมืองดีนเป็นเมืองใหญ่ คะเนด้วยสายตาแล้วน่าจะมีขนาดไล่เลี่ยกับลินเด็นสไตน์ซึ่งเป็นเมืองหลวง แถมยังมีผู้คนสัญจรไปมาพลุกพล่านไม่แพ้กันอีกด้วย ชายในเสื้อคลุมสีคล้ำจึงต้องอ้อมไปใช้ถนนสายรองซึ่งอยู่เลยจัตุรัสเมืองไปทางทิศใต้เพราะสะดวกกับการเดินทางบนหลังม้ามากกว่า ไม่นานนักบ้านเรือนและผู้คนก็บางตาลง สองฟากถนนกลายเป็นเนินหญ้าเขียวขจีแซมสลับด้วยทุ่งดอกไม้และธารน้ำใส ม้าสองตัวยังคงย่างเหยาะตามกันไปไม่ห่าง เสียงกีบเท้าของเจ้าสัตว์พาหนะกระทบถนนศิลาดังก้องไปไกล อากาศยามบ่ายไม่ร้อนหากสดชื่นเย็นสบาย ทิวทัศน์สองข้างทางสวยงามแปลกตา ทำให้เมลิอานาร์มองเพลินจนไม่ทันสังเกตว่าม้าตัวหน้าเริ่มชะลอฝีเท้าลงจนกลายเป็นหยุดนิ่งตั้งแต่เมื่อใด
“ถึงแล้ว”
ชายผู้เป็นมัคคุเทศก์หันมาบอกง่ายๆ ก่อนตวัดร่างลงจากหลังม้า จนหญิงสาวรีบรั้งบังเหียนเจ้าสัตว์พาหนะของตนแทบไม่ทัน ครั้นก้าวลงสู่พื้นเรียบร้อยนางก็เหลียวมองสำรวจรอบกายทันที
เมลิอานาร์พบว่าตนยืนอยู่บนลานหินเรียบโล่ง มีอาคารไม้สองชั้นหน้าตาเหมือนบ้านพักคนเดินทางตั้งอยู่หลังเดียวโดดๆ ทางด้านหน้า ส่วนด้านหลังเป็นที่ตั้งของร้านขายของชำและร้านเหล้า เลยไปอีกหน่อยจึงเป็นหอระฆังและบ้านเรือนที่ตั้งกระจายอยู่ตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้างห่างๆ กัน เห็นได้ชัดว่าหมู่บ้านแห่งนี้มีขนาดไม่ใหญ่นัก ผู้คนจึงบางตาไม่พลุกพล่านเท่ากับในตัวเมือง ซึ่งนับว่าเหมาะอย่างยิ่งสำหรับอาศัยเป็นที่หลบซ่อนตัวชั่วคราว
“ขอบใจท่านมาก” หญิงสาวหันกลับไปกล่าวกับคนนำทางด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ “ข้าต้องจ่ายค่าจ้างให้ท่านเท่าไหร่”
ชายในเสื้อคลุมสีคล้ำไม่ตอบ หากขยับเข้ามายืนกอดอกขวางหน้านางไว้
เมลิอานาร์มองการกระทำของอีกฝ่ายอย่างฉงน
“มีอะไรหรือ”
“ก็ไม่มีอะไร ข้าแค่อยากรู้ว่าทำไมเจ้าต้องหนี”
เสียงทุ้มลึกที่ตอบกลับมาไม่มีความแหบแห้งเจือปนแม้แต่น้อย ซ้ำยังฟังคุ้นหูอย่างประหลาด จนหญิงสาวเริ่มสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล
“นั่นไม่เกี่ยวกับท่านกระมัง”
“แต่ข้าว่าเกี่ยวนะ”
พูดจบ ผู้พูดก็ปัดฮู้ดคลุมศีรษะออกเผยให้เห็นใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใน ทำให้คนมองถึงกับอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออกไปชั่วคราว
“ทำไม ตกใจมากหรือที่เป็นข้า” ราชาเอลเบอเรธแค่นยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าตื่นตะลึงของอีกฝ่าย
“มะ..”
...ไม่ตกใจก็แปลกแล้ว...
เมลิอานาร์ได้แต่นึกด้วยความตระหนก ไม่ต้องสงสัยแต่แน่ใจได้เลยว่านางถูกเจ้าหญิงกาอิยาห์หักหลังเข้าเต็มรัก มิน่าเล่าการเดินทางที่ผ่านมาถึงได้ราบรื่นนัก ราบรื่นเสียจนชวนให้หลงคิดไปว่าราชาเอลเบอเรธคงจะเต็มพระทัยปล่อยให้นางหลบหนี เพราะระหว่างทางไม่พบทหารหรือด่านตรวจคนเลยสักด่านเดียว...ที่แท้นางก็เข้าใจผิดไปเองทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ!
“เกลียดข้านักหรือถึงต้องหนี”
คำถามนั้นทำให้คนฟังแทบสะดุ้ง รีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน
“ห..หามิได้เพคะ หม่อมฉันไม่ได้เกลียด...”
“ไม่ได้เกลียด? แล้วทำไมเจ้าต้องหนีข้าด้วย”
“หม่อมฉันไม่ได้...เอ๊ย...หม่อมฉันหนีก็จริง...แต่ไม่ได้หนีพระองค์ หม่อมฉันหนี...เอ่อ...” เมลิอานาร์อึกอัก ตัดสินใจไม่ถูกว่าควรจะตอบออกไปตามตรงดีหรือไม่
“หนีอะไร”
ราชาหนุ่มคาดคั้นด้วยน้ำเสียงดุดัน ซ้ำยังย่างสามขุมเข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยท่าทางข่มขู่คุกคาม ทำให้เมลิอานาร์เผลอขยับเท้าก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว ครั้นจวนเจียนจะถูกต้อนจนมุม หญิงสาวก็หลับหูหลับตาตอบโพล่งออกไปในที่สุด
“หม่อมฉันหนีโทษประหารเพคะ”
“หือ?” เสียงอุทานดังขึ้นในพระศอ ราชาเอลเบอเรธทรงชะงักฝีพระบาท เลิกพระขนงมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความอัศจรรย์พระทัย
“ข้าเคยบอกว่าจะประหารเจ้าหรือ”
...นั่นสิ เขาเคยบอกหรือเปล่าหนอ...
เมลิอานาร์ชักไม่แน่ใจ แต่ถึงอย่างไรนางก็ต้องยืนกรานไว้ก่อน
“เคยสิเพคะ ตอนอยู่ที่ลัสเตอร์สโตนฝ่าบาทเคยตรัสว่าจะทรงลงโทษสถานหนัก ถ้าหากจับได้ว่าหม่อมฉันมีเรื่องปกปิดพระองค์อีก”
คนฟังนิ่งอึ้งไปคล้ายงุนงงในทีแรก หากพอนึกได้ว่าหญิงสาวน่าจะหมายถึงเหตุการณ์ตอนที่เขาแกล้งขู่นางที่คอกม้า ความหงุดหงิดขุ่นมัวในอารมณ์ตลอดหลายวันที่ผ่านมาก็จางหายไปกว่าครึ่ง เขาเกือบจะหัวเราะออกมาด้วยซ้ำ แต่จำเป็นต้องกลั้นไว้ก่อน
“อ้อ... ตอนนั้นนั่นเอง” ชายหนุ่มตอบรับเสียงขรึม “อย่าห่วงไปเลย เจ้าช่วยคลายคำสาปให้เจ้าหญิงแคธรีน ถือว่ามีความดีความชอบพอจะหักล้างกับความผิดได้อยู่หรอก”
“หมายความว่าจะทรงยกโทษให้หม่อมฉัน...” คนมีชนักปักหลังรีบทูลถามอย่างมีความหวัง
“นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าหลังจากนี้เจ้าทำตัวดีแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ ความผิดของเจ้าเพิ่มเป็นสองกระทงแล้ว”
เมลิอานาร์คอตก
“เพคะ”
“ถ้าเข้าใจแล้ว เราก็ไปกันเถอะ”
...ห้ะ?...
หญิงสาวตวัดสายตามองหน้าคนออกคำสั่งที่เปลี่ยนเรื่องรวดเร็วเสียจนนางตามไม่ทัน
“ป...ไปไหนเพคะ”
“ก็ไปหาอะไรรองท้องน่ะสิ เจ้าไม่หิวบ้างหรอกหรือ”
อีกครั้งที่คำตอบของราชาหนุ่มทำให้เมลิอานาร์รู้สึกผิดคาด แต่นางก็หิวจริงๆ นั่นแหละ หิวมากเสียด้วย เพราะนอกจากขนมปังก้อนเดียวในตอนเช้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องอีกเลยจนบัดนี้ หญิงสาวจึงจูงม้าตามหลังอีกฝ่ายไปยังบ้านพักคนเดินทางที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าโดยไม่เกี่ยงงอน
หลังอาหารกลางวันที่เกือบจะกลายเป็นมื้อบ่ายผ่านพ้นไป เมลิอานาร์ก็ถูกราชาเอลเบอเรธ ‘ลาก’ ไปยังคฤหาสน์หลังหนึ่ง ลักษณะคล้ายบ้านพักของคหบดีทั่วไปแต่มีขนาดใหญ่โตกว่ามาก ซ้ำยังห้อมล้อมไปด้วยสวนสวยอย่างที่ยากจะเห็นได้นอกกำแพงพระราชวัง หญิงสาวจึงมองแล้วมองอีกด้วยความประหลาดใจแกมทึ่ง
บริเวณลานน้ำพุหน้าตัวอาคารมีผู้คนในเครื่องแต่งกายสวยงามตั้งแถวรอรับเสด็จอยู่พรักพร้อม ที่เป็นชายก็โค้งคำนับลงอย่างต่ำ ที่เป็นหญิงก็ถอนสายบัวด้วยกิริยาแช่มช้อย เมื่อราชาเอลเบอเรธทรงตวัดพระองค์ลงจากหลังม้า ชายหนุ่มหน้าคุ้นๆ ที่ยืนอยู่ตรงหัวแถวก็รีบขยับกายออกมารับสายบังเหียนจากพระหัตถ์ อย่างผู้ที่เคยคุ้นกับการปรนนิบัติรับใช้เล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้มานาน
“การเดินทางเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ”
“เรียบร้อยดี ขอบใจมากเฟรด” ราชาหนุ่มตรัสกับเขา ก่อนจะหันมาช่วยพยุงหญิงสาวลงจากหลังม้า
“ยินดีต้อนรับสู่เอเลนดีน”
“เอเลนดีน” เมลิอานาร์พึมพำชื่อนั้นพลางเหลียวมองไปทั่วๆ ด้วยสายตาแสดงความชื่นชม
“สวยเหลือเกิน”
หลุดปากออกไปแล้วหญิงสาวก็อยากจะกัดลิ้นตนเองเสียยิ่งนัก เพราะราชาเอลเบอเรธทรงตวัดพระเนตรที่มีรอยยิบๆ มองมาทันที แถมด้วยรอยแย้มสรวลกรุ้มกริ่มที่ทำให้ใบหน้าของนางร้อนซู่ขึ้นมาเฉยๆ
“ดีใจที่เจ้าชอบ”
“ห..หม่อมฉันยังไม่ได้ทูลว่าชอบสักคำ”
“จริงหรือ” ราชาหนุ่มแกล้งยื่นพระพักตร์เข้าไปจนใกล้ใบหน้านวล จนเจ้าของใบหน้าต้องเบือนสายตาหลบไปทางอื่น
“แต่ข้าว่าแววตาของเจ้าไม่ได้บอกอย่างนั้นนะ ไม่เชื่อก็หันมาสบตาข้าสิ”
แน่นอนว่าเมลิอานาร์ไม่ยอมหลงกลคนเจ้าเล่ห์จึงหุบปากนิ่งไม่โต้ตอบ ส่งผลให้รอยยิ้มของอีกฝ่ายกลายเป็นเสียงหัวเราะกังวานก้อง
“คนขี้ขลาด...” ราชาหนุ่มทรงกระซิบยั่วเย้า ก่อนหันไปออกคำสั่งกับมหาดเล็กคนสนิทให้นำทางหญิงสาวไปยังห้องพัก
เมลิอานาร์รู้สึกแปลกใจไม่น้อยเมื่อก้าวเข้ามาในห้องแล้วพบหีบเสื้อผ้าจากแลมพ์ตันของตนวางเรียงชิดผนังอยู่สองใบ นางไม่รู้ว่ามันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แต่เดาว่าคงเป็นฝีมือของผู้ที่นางเพิ่งแยกจากมานั่นแหละ ทว่าสิ่งที่ทำให้หญิงสาวต้องประหลาดใจยิ่งกว่าได้เห็นหีบเสื้อผ้าคือสตรีวัยกลางคนที่ยืนยิ้มแป้นรออยู่ นึกไม่ถึงว่าแม้แต่นอร์ม่าก็ยังอุตส่าห์ตามเสด็จราชาเอลเบอเรธมาถึงที่นี่ด้วย
ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะได้เอ่ยปากทักทายผู้สูงวัยกว่า อดีตพี่เลี้ยงของราชาแห่งกรีนแลนด์ก็รุนหลังนางไปยังห้องอาบน้ำซึ่งกั้นแบ่งเป็นสัดส่วนจากห้องพักด้วยฉากไม้ และแล้วมหกรรมการขัดสีฉวีวรรรณขนานใหญ่ก็เริ่มต้นขึ้นโดยที่หญิงสาวไม่มีโอกาสแม้แต่จะโอดครวญ นางต้องแช่อยู่ในน้ำจนตัวแทบเปื่อยกว่าจะได้รับอนุญาตให้ขึ้นมาเช็ดตัว เช็ดผม พรมน้ำหอม เสร็จเรียบร้อยแล้วถึงจะได้สวมเสื้อผ้าซึ่งมีขั้นตอนจุกจิกยิบย่อยอีกร้อยแปดประการ ปิดท้ายด้วยการทำผม แน่นอนว่าทั้งหมดนี้มีสาวใช้ช่วยจัดการให้ ภายใต้การควบคุมดูแลของหัวหน้านางกำนัลวัยกลางคน ผู้มีท่าทางเจ้าระเบียบราวกับเป็นพี่น้องคลานตามกันมากับท่านผู้หญิงมาร์กาเร็ต
“เสร็จแล้วเจ้าค่ะมายเลดี้”
เมลิอานาร์ถูกพาไปยืนหน้ากระจกเงาบานยาวในกรอบไม้แกะสลักฝีมือประณีตแบบโบราณ ผู้หญิงที่มองตอบมานั้นสวยจนชวนตะลึง นางสวมชุดเปิดไหล่ตัดเย็บด้วยผ้าแพรบางพริ้วสีขาว มีเพชรเม็ดเล็กๆ ปักกระจายอยู่ทั่วตัวทำให้เวลาเคลื่อนไหวแลเห็นเป็นประกายระยิบระยับราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า เส้นผมสีน้ำตาลทองถูกแปรงจนเรียบเป็นมันแล้วรวบถักเป็นเปียเล็กๆ หลายเส้นพันทบกันไปมาก่อนจะขมวดเป็นมวยอยู่ตรงท้ายทอย เผยให้เห็นหน้าผากโค้งมนได้รูป รับกับคิ้วเรียวสวยที่บัดนี้เริ่มขมวดเข้าหากันจนเกือบจะผูกเป็นปมอยู่ร่อมร่อ ดวงตาสีน้ำเงินเข้มจัดมีแววข้องใจฉายชัด ริมฝีปากอิ่มเต็มใต้จมูกโด่งสวยเม้มแน่นก่อนจะคลายออก เมื่อเจ้าตัวเอ่ยขึ้นเป็นประโยคแรก
“นี่ไม่ใช่ชุดของข้า”
ครั้นเห็นสีหน้าฉงนของผู้สูงวัยกว่า นางก็ขยายความต่อไปว่า
“ในหีบเสื้อของข้าไม่มีชุดแบบนี้”
“อ๋อ” นอร์ม่าค่อยยิ้มออกมาได้เมื่อเข้าใจความหมายของอีกฝ่าย
“นี่เป็นชุดที่องค์ราชาสั่งให้ตัดขึ้นใหม่สำหรับมายเลดี้โดยเฉพาะน่ะค่ะ พวกช่างปักช่างเย็บเร่งมือกันแทบตาย เกรงว่าจะไม่ทัน”
“หือ?” เมลิอานาร์ขมวดคิ้ว
“ไม่ทันอะไรหรือคะ แล้วทำไมราชาเอลเบอเรธต้องทรงสั่งตัดชุดให้ข้าด้วย เสื้อผ้าในหีบก็มีตั้งเยอะ”
นอร์ม่าคันปากยิบๆ อยากจะเอ่ยตอบเต็มแก่ว่า ‘ทำไม’ แต่ต้องยั้งเอาไว้เพราะถูกกำชับมาหนักหนาไม่ให้แพร่งพราย จึงตอบอ้อมๆ แอ้มๆ ไม่ค่อยเต็มเสียงว่า
“คงเป็นเพราะ...เอ่อ...ฝ่าบาททรงมีพระประสงค์จะให้มายเลดี้ตามเสด็จน่ะค่ะ ก็เลยพระราชทานชุดใหม่ให้สวม”
หญิงสาวอ้าปากจะซักต่อ ก็พอดีถูกขัดจังหวะเสียก่อนด้วยเสียงเคาะประตู ตามมาด้วยประโยคคำถามกึ่งเร่งเร้ากึ่งเกรงใจ
“เสร็จหรือยังคะคุณ”
“เสร็จแล้วจ้ะ” นอร์มารีบร้องตอบ แล้วเลยถือโอกาสหันหันมาสำทับคนขี้สงสัยว่า
“รีบไปเถอะค่ะมายเลดี้ ฝ่าบาททรงรออยู่”
จากนั้นอดีตพระพี่เลี้ยงก็จัดแจงรุนหลังหญิงสาวไปที่ประตูห้องด้วยความโล่งอกระคนเบิกบานใจ
เมลิอานาร์ไม่แปลกใจเลยที่เห็นแขกเหรื่อเดินทางมาร่วมงานเลี้ยงตามคำเชิญอย่างล้นหลาม ชาวกรีนแลนด์เป็นพวกนิยมความรื่นเริงและไม่มีนิสัยชอบผูกใจเจ็บ เมื่อราชาไมนาสทรงส่งคณะทูตมาเยือนในฐานะมิตร พวกเขาก็พร้อมจะลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นและเต็มอกเต็มใจต้อนรับอีกฝ่ายอย่างมิตร ซึ่งจะมองว่าเป็นข้อดีก็ได้ หรือจะมองว่าเป็นข้อเสียก็ได้อีกเหมือนกัน แต่ที่แน่ๆ มันเป็นโอกาสอันงามสำหรับการเผ่นหนีที่หาได้ยากยิ่ง หญิงสาวจึงไม่คิดจะปล่อยให้หลุดลอยไป
นางลงทุนแต่งกายสวยงามด้วยชุดกระโปรงผ้าไหมปักมุกราคาแพง แสร้งทำทีว่าจะไปร่วมงานเลี้ยงเช่นเดียวกับข้าราชสำนักคนอื่นๆ ครั้นได้จังหวะเหมาะก็แอบเล็ดลอดออกจากปราสาทด้วยรถม้าที่หยิบยืมมาจากเจ้าหญิงกาอิยาห์ จุดหมายปลายทางคือป่าละเมาะนอกกำแพงเมือง นางจัดแจงผลัดเสื้อผ้าเป็นชุดผู้ชายก่อนก้าวลงจากรถ ไม่ลืมที่จะมอบเงินเล็กๆ น้อยๆ ให้ชายหนุ่มผู้ทำหน้าที่สารถีเพื่อเป็นสินน้ำใจ จากนั้นจึงใช้วิธีเดินเท้ามุ่งหน้าต่อไปสู่วิหารร้างกลางป่าซึ่งเป็นจุดนัดพบกับคนนำทาง เคราะห์ดีที่คืนนี้พระจันทร์สว่างไม่มีเมฆบัง จึงพอจะอาศัยคลำทางไปได้โดยไม่ต้องพึ่งแสงตะเกียง ไม่นานนักเงาตะคุ่มของสิ่งก่อสร้างปรักหักพังก็ปรากฏแก่สายตา
แม้จะได้ชื่อว่าเป็นวิหารโบราณเหมือนกัน แต่ผนังศิลาเว้าแหว่งที่ด้านข้างและด้านหลังเปิดโล่งจนแลเห็นเสาหักๆ รกเรื้อไปด้วยเถาวัลย์ ช่างดูแตกต่างจากวิหารจันทราอย่างสิ้นเชิง กาลเวลาได้พรากเอาความโอ่อ่างดงามไปจากสถานที่แห่งนี้อย่างไร้ความปราณี ทิ้งไว้เพียง ‘ซาก’ ของความรุ่งเรืองในอดีต ราวกับจะย้ำเตือนให้ผู้ผ่านมาพบเห็นได้ตระหนักว่าไม่มีสิ่งใดจะคงอยู่เป็นนิรันดร์
หญิงสาวก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปด้านใน ไม่ต้องกังวลกับความมืดเพราะวิหารแห่งนี้ไม่มีหลังคา หรือพูดให้ถูกคือส่วนที่เป็นหลังคาได้ทลายลงมากองอยู่กับพื้นเสียนานแล้ว แสงจันทร์จึงสามารถสาดส่องลงมาให้ความสว่างได้เต็มที่ นางพยายามสอดส่ายสายตามองหาคนนำทาง ครั้นได้ยินเสียงม้าร้องดังแว่วมาจากหลังกำแพงอิฐเตี้ยๆ ที่คงจะเคยเป็นผนังห้องมาก่อน จึงสาวเท้าตรงไปตามทิศทางนั้น เพียงครู่เดียวก็เห็นม้าสองตัวยืนหายใจฟืดฟาดรออยู่ ถัดไปไม่ไกลคือร่างสูงใหญ่ในเสื้อคลุมเดินทางมอซอสีคล้ำเข้มของชายผู้หนึ่ง ฮู้ดที่สวมคลุมศีรษะซ่อนใบหน้าของเขาเอาไว้ในเงามืดทำให้ยากจะมองเห็นได้ถนัด เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ชายผู้นั้นก็ขยับตัวลุกขึ้นพร้อมกับจูงม้าตรงมาหา เขาส่งสายบังเหียนม้าหนึ่งในสองตัวให้นางก่อนเอ่ยถามด้วยเสียงแหบแห้ง ไม่มีการแนะนำตัวใดๆ ทั้งสิ้น
“แม่หญิงต้องการจะไปที่ใด”
แน่นอนว่าเมลิอานาร์ย่อมอยากกลับบ้าน แต่แลมพ์ตันคงเป็นเป้าหมายแรกที่ทหารของราชาเอลเบอเรธจะพุ่งเข้าใส่เมื่อรู้ว่านักโทษหลบหนี หญิงสาวจึงต้องมองหาสถานที่อื่น นางลังเลระหว่างชายแดนทาเนียร์กับวูดแลนด์ แล้วก็ตัดสินใจเลือกวูดแลนด์ เพราะอย่างน้อยที่นั่นก็ให้ความรู้สึกเป็นมิตรมากกว่า
“ค่าจ้างของข้าแพงนะ” เสียงแหบๆ ของคนนำทางดังขึ้นหลังจากทราบคำตอบ
เมลิอานาร์ล้วงหยิบเหรียญทองจากถุงเงินที่พกติดตัวมาด้วย โยนให้ชายผู้นั้นสองเหรียญโดยไม่พูดอะไร เขารีบเอื้อมมือออกมาคว้าเอาไว้กลางอากาศก่อนที่มันจะตกลงสู่พื้นแล้วกลิ้งหายไป ศีรษะที่ซ่อนอยู่ภายใต้ฮู้ดผงกน้อยๆ เมื่อตอบรับด้วยเสียงแหบแห้งเย็นชา
“ถ้าเช่นนั้นก็เชิญแม่หญิงขึ้นม้าเถอะ”
ชายผู้เป็นมัคคุเทศก์เลือกที่จะขี่ม้าเข้าไปในป่าแทนการใช้ถนน แม้เขาจะไม่บอกเหตุผล เมลิอานาร์ก็พอเดาได้จึงไม่ปริปากคัดค้าน นางต้องใช้สมาธิอย่างหนักในการระวังไม่ให้ถูกกิ่งไม้ที่ยื่นออกมาขวางทางฟาดตกจากหลังม้า พร้อมกันนั้นก็ต้องคอยจับจ้องแผ่นหลังในเสื้อคลุมสีคล้ำกลมกลืนกับความมืดไม่ให้คลาดสายตา เพราะไม่คุ้นกับป่าแห่งนี้ ทั้งยังไม่ได้พกแผนที่กรีนแลนด์ติดตัวมาด้วย การพลัดหลงกับคนนำทางจึงเป็นเรื่องที่หญิงสาวไม่อยากเสี่ยง
พระจันทร์ค่อยๆ ไต่สูงขึ้นไปบนท้องฟ้าตามระยะเวลาที่ล่วงผ่าน อากาศในป่าทวีความหนาวเย็นขึ้นเป็นลำดับ จนเมลิอานาร์นึกเสียใจที่มัวแต่รีบจนลืมฉวยเสื้อคลุมเดินทางติดมือมาด้วย การขี่ม้าฝ่าสายลมเย็นในสถานที่ที่มีแต่ต้นไม้ล้อมรอบไม่ใช่เรื่องน่าพิศมัยนัก หญิงสาวห่อไหล่พลางพ่นลมหายใจออกทางปากเป็นควันสีขาว นางเหลือบมองต้นไม้ข้างทางแวบหนึ่งก่อนจะหันกลับไปจดจ่ออยู่กับแผ่นหลังของคนนำทางตามเดิม
เมื่อฟ้าเริ่มสาง ทั้งสองก็ล่วงพ้นเขตเมืองหลวงเข้าสู่หมู่บ้านแห่งแรกของเมืองที่อยู่ติดกัน ชายผู้ขี่ม้านำอยู่เบื้องหน้าหันมาตะโกนบอกว่า
“จวนสว่างแล้ว เราจะพักม้าที่หมู่บ้านกันก่อน แล้วค่อยออกเดินทางหลังพระอาทิตย์ตกดิน”
แล้วเขาก็หันกลับไปตั้งหน้าตั้งตาควบม้าต่อ โดยไม่สนใจว่าผู้ร่วมทางจะเห็นด้วยหรือไม่
เมลิอานาร์ไม่อยากหยุดพัก นางอยากจะรีบเดินทางให้ถึงจุดหมายปลายทางโดยเร็วที่สุด แต่ในเมื่อไม่มีโอกาสได้ปฏิเสธ ก็จำต้องทำตามคำบอกเล่าแกมสั่งของอีกฝ่ายอย่างไม่มีทางเลือก
คนนำทางจัดการติดต่อเช่าห้องพักสองห้อง ซึ่งแน่นอนว่าหญิงสาวต้องเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่าย เพราะเขาอ้างดื้อๆ ว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของ ‘ค่าจ้าง’ หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันเข้าพักในห้องของตน เมลิอานาร์ก็ไม่ได้เห็นชายในเสื้อคลุมสีคล้ำอีกเลย จนกระทั่งเวลาพลบค่ำมาเยือน
การเดินทางในคืนที่สองค่อนข้างสะดวกสบายกว่าคืนแรก เพราะถนนในหมู่บ้านไม่มีกิ่งไม้ยื่นยาวออกมาเกะกะกีดขวางให้ต้องคอยหลบ จึงช่วยย่นระยะเวลาไปได้มากโข ไม่นานนักหญิงสาวก็มาถึงเมืองใหญ่อีกแห่งในแคว้นดาร์โก ก่อนที่คนนำทางจะเปลี่ยนไปใช้เส้นทางในป่าอีกครั้งด้วยเหตุผลว่า
“การขี่ม้าผ่านเมืองใหญ่ตอนกลางคืนจะทำให้พวกเรากลายเป็นจุดสนใจ”
...ก็แล้วทำไมไม่เดินทางตอนกลางวันเล่า...
เมลิอานาร์นึกด้วยความขัดใจ แต่ไม่มีโอกาสได้ปริปากโต้แย้งตามเคย
ในคืนที่สามและสี่การเดินทางยังคงเป็นเช่นเดิมคือหยุดพักตอนกลางวัน เดินทางตอนกลางคืน และชายในเสื้อคลุมสีคล้ำก็ยังคงทำตัวลึกลับได้อย่างคงเส้นคงวา จนหญิงสาวอดคิดไม่ได้ว่าเขาจงใจปิดบังตัวตน ซ้ำยังเจตนาถ่วงเวลาให้การเดินทางของนางต้องล่าช้า แต่แล้วความคิดเหลวไหลทั้งหมดก็มลายหายไปเมื่อย่างเข้าสู่เช้าวันที่ห้า
แสงอาทิตย์ที่เพิ่งจะเรื่อเรืองขึ้นแตะขอบฟ้าเผยให้เห็นถนนปูอิฐกว้างขวางขนาดรถม้าสองคันวิ่งสวนกันได้อย่างสบาย แม้เวลาเช้าตรู่เช่นนี้จะยังไม่มีรถม้าผ่านมาให้เห็น แต่ดูจากสภาพถนนแล้วเมลิอานาร์ก็เดาได้ว่า เมืองที่นางกำลังจะมุ่งหน้าไปต้องมีขนาดใหญ่โตสูสีกับเมืองหลวงอย่างแน่นอน
“เมืองดีน” เสียงแหบแห้งของคนนำทางเอ่ยขึ้นลอยๆ
หญิงสาวพอจะมีความรู้ติดตัวอยู่บ้างว่าเมืองดีนเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงด้านการค้าผ้าไหม ตั้งอยู่ในแคว้นคิริธซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกับวูดแลนด์ จึงยิ้มออกมาได้
“ถ้าอย่างนั้นก็ใกล้ถึงจุดหมายของข้าแล้วสิ” นางหลุดปากถามด้วยความดีใจ
ศีรษะที่ซ่อนอยู่ใต้ฮู้ดสีคล้ำผงกน้อยๆ แทนการตอบรับ
“หมู่บ้านที่แม่หญิงต้องการจะไปตั้งอยู่อีกฟากของเมือง”
“หมายความว่าเราต้องเดินทางตัดผ่านตัวเมืองไปอย่างนั้นหรือ”
ไม่มีเสียงตอบ...
คนพูดน้อยราวกับกลัวดอกพิกุลจะร่วงกระแทกสีข้างม้าให้ออกวิ่งนำลิ่วไปแล้ว เมลิอานาร์จึงได้แต่โคลงศีรษะแล้วกระตุ้นม้าของนางให้ห้อตะบึงตามไปบ้าง น่าแปลกที่คราวนี้อีกฝ่ายไม่ยักร้องขอให้หยุดพักม้า เพียงแต่แวะซื้อขนมปังที่หมู่บ้านชานเมืองเพื่อเป็นเสบียงมื้อเช้าแล้วออกเดินทางต่อทันที แม้กระนั้นก็ยังต้องใช้เวลาเกือบครึ่งวันกว่าจะล่วงเข้าสู่ตัวเมือง
จริงดังคาด...เมืองดีนเป็นเมืองใหญ่ คะเนด้วยสายตาแล้วน่าจะมีขนาดไล่เลี่ยกับลินเด็นสไตน์ซึ่งเป็นเมืองหลวง แถมยังมีผู้คนสัญจรไปมาพลุกพล่านไม่แพ้กันอีกด้วย ชายในเสื้อคลุมสีคล้ำจึงต้องอ้อมไปใช้ถนนสายรองซึ่งอยู่เลยจัตุรัสเมืองไปทางทิศใต้เพราะสะดวกกับการเดินทางบนหลังม้ามากกว่า ไม่นานนักบ้านเรือนและผู้คนก็บางตาลง สองฟากถนนกลายเป็นเนินหญ้าเขียวขจีแซมสลับด้วยทุ่งดอกไม้และธารน้ำใส ม้าสองตัวยังคงย่างเหยาะตามกันไปไม่ห่าง เสียงกีบเท้าของเจ้าสัตว์พาหนะกระทบถนนศิลาดังก้องไปไกล อากาศยามบ่ายไม่ร้อนหากสดชื่นเย็นสบาย ทิวทัศน์สองข้างทางสวยงามแปลกตา ทำให้เมลิอานาร์มองเพลินจนไม่ทันสังเกตว่าม้าตัวหน้าเริ่มชะลอฝีเท้าลงจนกลายเป็นหยุดนิ่งตั้งแต่เมื่อใด
“ถึงแล้ว”
ชายผู้เป็นมัคคุเทศก์หันมาบอกง่ายๆ ก่อนตวัดร่างลงจากหลังม้า จนหญิงสาวรีบรั้งบังเหียนเจ้าสัตว์พาหนะของตนแทบไม่ทัน ครั้นก้าวลงสู่พื้นเรียบร้อยนางก็เหลียวมองสำรวจรอบกายทันที
เมลิอานาร์พบว่าตนยืนอยู่บนลานหินเรียบโล่ง มีอาคารไม้สองชั้นหน้าตาเหมือนบ้านพักคนเดินทางตั้งอยู่หลังเดียวโดดๆ ทางด้านหน้า ส่วนด้านหลังเป็นที่ตั้งของร้านขายของชำและร้านเหล้า เลยไปอีกหน่อยจึงเป็นหอระฆังและบ้านเรือนที่ตั้งกระจายอยู่ตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้างห่างๆ กัน เห็นได้ชัดว่าหมู่บ้านแห่งนี้มีขนาดไม่ใหญ่นัก ผู้คนจึงบางตาไม่พลุกพล่านเท่ากับในตัวเมือง ซึ่งนับว่าเหมาะอย่างยิ่งสำหรับอาศัยเป็นที่หลบซ่อนตัวชั่วคราว
“ขอบใจท่านมาก” หญิงสาวหันกลับไปกล่าวกับคนนำทางด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ “ข้าต้องจ่ายค่าจ้างให้ท่านเท่าไหร่”
ชายในเสื้อคลุมสีคล้ำไม่ตอบ หากขยับเข้ามายืนกอดอกขวางหน้านางไว้
เมลิอานาร์มองการกระทำของอีกฝ่ายอย่างฉงน
“มีอะไรหรือ”
“ก็ไม่มีอะไร ข้าแค่อยากรู้ว่าทำไมเจ้าต้องหนี”
เสียงทุ้มลึกที่ตอบกลับมาไม่มีความแหบแห้งเจือปนแม้แต่น้อย ซ้ำยังฟังคุ้นหูอย่างประหลาด จนหญิงสาวเริ่มสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล
“นั่นไม่เกี่ยวกับท่านกระมัง”
“แต่ข้าว่าเกี่ยวนะ”
พูดจบ ผู้พูดก็ปัดฮู้ดคลุมศีรษะออกเผยให้เห็นใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใน ทำให้คนมองถึงกับอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออกไปชั่วคราว
“ทำไม ตกใจมากหรือที่เป็นข้า” ราชาเอลเบอเรธแค่นยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าตื่นตะลึงของอีกฝ่าย
“มะ..”
...ไม่ตกใจก็แปลกแล้ว...
เมลิอานาร์ได้แต่นึกด้วยความตระหนก ไม่ต้องสงสัยแต่แน่ใจได้เลยว่านางถูกเจ้าหญิงกาอิยาห์หักหลังเข้าเต็มรัก มิน่าเล่าการเดินทางที่ผ่านมาถึงได้ราบรื่นนัก ราบรื่นเสียจนชวนให้หลงคิดไปว่าราชาเอลเบอเรธคงจะเต็มพระทัยปล่อยให้นางหลบหนี เพราะระหว่างทางไม่พบทหารหรือด่านตรวจคนเลยสักด่านเดียว...ที่แท้นางก็เข้าใจผิดไปเองทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ!
“เกลียดข้านักหรือถึงต้องหนี”
คำถามนั้นทำให้คนฟังแทบสะดุ้ง รีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน
“ห..หามิได้เพคะ หม่อมฉันไม่ได้เกลียด...”
“ไม่ได้เกลียด? แล้วทำไมเจ้าต้องหนีข้าด้วย”
“หม่อมฉันไม่ได้...เอ๊ย...หม่อมฉันหนีก็จริง...แต่ไม่ได้หนีพระองค์ หม่อมฉันหนี...เอ่อ...” เมลิอานาร์อึกอัก ตัดสินใจไม่ถูกว่าควรจะตอบออกไปตามตรงดีหรือไม่
“หนีอะไร”
ราชาหนุ่มคาดคั้นด้วยน้ำเสียงดุดัน ซ้ำยังย่างสามขุมเข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยท่าทางข่มขู่คุกคาม ทำให้เมลิอานาร์เผลอขยับเท้าก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว ครั้นจวนเจียนจะถูกต้อนจนมุม หญิงสาวก็หลับหูหลับตาตอบโพล่งออกไปในที่สุด
“หม่อมฉันหนีโทษประหารเพคะ”
“หือ?” เสียงอุทานดังขึ้นในพระศอ ราชาเอลเบอเรธทรงชะงักฝีพระบาท เลิกพระขนงมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความอัศจรรย์พระทัย
“ข้าเคยบอกว่าจะประหารเจ้าหรือ”
...นั่นสิ เขาเคยบอกหรือเปล่าหนอ...
เมลิอานาร์ชักไม่แน่ใจ แต่ถึงอย่างไรนางก็ต้องยืนกรานไว้ก่อน
“เคยสิเพคะ ตอนอยู่ที่ลัสเตอร์สโตนฝ่าบาทเคยตรัสว่าจะทรงลงโทษสถานหนัก ถ้าหากจับได้ว่าหม่อมฉันมีเรื่องปกปิดพระองค์อีก”
คนฟังนิ่งอึ้งไปคล้ายงุนงงในทีแรก หากพอนึกได้ว่าหญิงสาวน่าจะหมายถึงเหตุการณ์ตอนที่เขาแกล้งขู่นางที่คอกม้า ความหงุดหงิดขุ่นมัวในอารมณ์ตลอดหลายวันที่ผ่านมาก็จางหายไปกว่าครึ่ง เขาเกือบจะหัวเราะออกมาด้วยซ้ำ แต่จำเป็นต้องกลั้นไว้ก่อน
“อ้อ... ตอนนั้นนั่นเอง” ชายหนุ่มตอบรับเสียงขรึม “อย่าห่วงไปเลย เจ้าช่วยคลายคำสาปให้เจ้าหญิงแคธรีน ถือว่ามีความดีความชอบพอจะหักล้างกับความผิดได้อยู่หรอก”
“หมายความว่าจะทรงยกโทษให้หม่อมฉัน...” คนมีชนักปักหลังรีบทูลถามอย่างมีความหวัง
“นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าหลังจากนี้เจ้าทำตัวดีแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ ความผิดของเจ้าเพิ่มเป็นสองกระทงแล้ว”
เมลิอานาร์คอตก
“เพคะ”
“ถ้าเข้าใจแล้ว เราก็ไปกันเถอะ”
...ห้ะ?...
หญิงสาวตวัดสายตามองหน้าคนออกคำสั่งที่เปลี่ยนเรื่องรวดเร็วเสียจนนางตามไม่ทัน
“ป...ไปไหนเพคะ”
“ก็ไปหาอะไรรองท้องน่ะสิ เจ้าไม่หิวบ้างหรอกหรือ”
อีกครั้งที่คำตอบของราชาหนุ่มทำให้เมลิอานาร์รู้สึกผิดคาด แต่นางก็หิวจริงๆ นั่นแหละ หิวมากเสียด้วย เพราะนอกจากขนมปังก้อนเดียวในตอนเช้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องอีกเลยจนบัดนี้ หญิงสาวจึงจูงม้าตามหลังอีกฝ่ายไปยังบ้านพักคนเดินทางที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าโดยไม่เกี่ยงงอน
หลังอาหารกลางวันที่เกือบจะกลายเป็นมื้อบ่ายผ่านพ้นไป เมลิอานาร์ก็ถูกราชาเอลเบอเรธ ‘ลาก’ ไปยังคฤหาสน์หลังหนึ่ง ลักษณะคล้ายบ้านพักของคหบดีทั่วไปแต่มีขนาดใหญ่โตกว่ามาก ซ้ำยังห้อมล้อมไปด้วยสวนสวยอย่างที่ยากจะเห็นได้นอกกำแพงพระราชวัง หญิงสาวจึงมองแล้วมองอีกด้วยความประหลาดใจแกมทึ่ง
บริเวณลานน้ำพุหน้าตัวอาคารมีผู้คนในเครื่องแต่งกายสวยงามตั้งแถวรอรับเสด็จอยู่พรักพร้อม ที่เป็นชายก็โค้งคำนับลงอย่างต่ำ ที่เป็นหญิงก็ถอนสายบัวด้วยกิริยาแช่มช้อย เมื่อราชาเอลเบอเรธทรงตวัดพระองค์ลงจากหลังม้า ชายหนุ่มหน้าคุ้นๆ ที่ยืนอยู่ตรงหัวแถวก็รีบขยับกายออกมารับสายบังเหียนจากพระหัตถ์ อย่างผู้ที่เคยคุ้นกับการปรนนิบัติรับใช้เล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้มานาน
“การเดินทางเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ”
“เรียบร้อยดี ขอบใจมากเฟรด” ราชาหนุ่มตรัสกับเขา ก่อนจะหันมาช่วยพยุงหญิงสาวลงจากหลังม้า
“ยินดีต้อนรับสู่เอเลนดีน”
“เอเลนดีน” เมลิอานาร์พึมพำชื่อนั้นพลางเหลียวมองไปทั่วๆ ด้วยสายตาแสดงความชื่นชม
“สวยเหลือเกิน”
หลุดปากออกไปแล้วหญิงสาวก็อยากจะกัดลิ้นตนเองเสียยิ่งนัก เพราะราชาเอลเบอเรธทรงตวัดพระเนตรที่มีรอยยิบๆ มองมาทันที แถมด้วยรอยแย้มสรวลกรุ้มกริ่มที่ทำให้ใบหน้าของนางร้อนซู่ขึ้นมาเฉยๆ
“ดีใจที่เจ้าชอบ”
“ห..หม่อมฉันยังไม่ได้ทูลว่าชอบสักคำ”
“จริงหรือ” ราชาหนุ่มแกล้งยื่นพระพักตร์เข้าไปจนใกล้ใบหน้านวล จนเจ้าของใบหน้าต้องเบือนสายตาหลบไปทางอื่น
“แต่ข้าว่าแววตาของเจ้าไม่ได้บอกอย่างนั้นนะ ไม่เชื่อก็หันมาสบตาข้าสิ”
แน่นอนว่าเมลิอานาร์ไม่ยอมหลงกลคนเจ้าเล่ห์จึงหุบปากนิ่งไม่โต้ตอบ ส่งผลให้รอยยิ้มของอีกฝ่ายกลายเป็นเสียงหัวเราะกังวานก้อง
“คนขี้ขลาด...” ราชาหนุ่มทรงกระซิบยั่วเย้า ก่อนหันไปออกคำสั่งกับมหาดเล็กคนสนิทให้นำทางหญิงสาวไปยังห้องพัก
เมลิอานาร์รู้สึกแปลกใจไม่น้อยเมื่อก้าวเข้ามาในห้องแล้วพบหีบเสื้อผ้าจากแลมพ์ตันของตนวางเรียงชิดผนังอยู่สองใบ นางไม่รู้ว่ามันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แต่เดาว่าคงเป็นฝีมือของผู้ที่นางเพิ่งแยกจากมานั่นแหละ ทว่าสิ่งที่ทำให้หญิงสาวต้องประหลาดใจยิ่งกว่าได้เห็นหีบเสื้อผ้าคือสตรีวัยกลางคนที่ยืนยิ้มแป้นรออยู่ นึกไม่ถึงว่าแม้แต่นอร์ม่าก็ยังอุตส่าห์ตามเสด็จราชาเอลเบอเรธมาถึงที่นี่ด้วย
ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะได้เอ่ยปากทักทายผู้สูงวัยกว่า อดีตพี่เลี้ยงของราชาแห่งกรีนแลนด์ก็รุนหลังนางไปยังห้องอาบน้ำซึ่งกั้นแบ่งเป็นสัดส่วนจากห้องพักด้วยฉากไม้ และแล้วมหกรรมการขัดสีฉวีวรรรณขนานใหญ่ก็เริ่มต้นขึ้นโดยที่หญิงสาวไม่มีโอกาสแม้แต่จะโอดครวญ นางต้องแช่อยู่ในน้ำจนตัวแทบเปื่อยกว่าจะได้รับอนุญาตให้ขึ้นมาเช็ดตัว เช็ดผม พรมน้ำหอม เสร็จเรียบร้อยแล้วถึงจะได้สวมเสื้อผ้าซึ่งมีขั้นตอนจุกจิกยิบย่อยอีกร้อยแปดประการ ปิดท้ายด้วยการทำผม แน่นอนว่าทั้งหมดนี้มีสาวใช้ช่วยจัดการให้ ภายใต้การควบคุมดูแลของหัวหน้านางกำนัลวัยกลางคน ผู้มีท่าทางเจ้าระเบียบราวกับเป็นพี่น้องคลานตามกันมากับท่านผู้หญิงมาร์กาเร็ต
“เสร็จแล้วเจ้าค่ะมายเลดี้”
เมลิอานาร์ถูกพาไปยืนหน้ากระจกเงาบานยาวในกรอบไม้แกะสลักฝีมือประณีตแบบโบราณ ผู้หญิงที่มองตอบมานั้นสวยจนชวนตะลึง นางสวมชุดเปิดไหล่ตัดเย็บด้วยผ้าแพรบางพริ้วสีขาว มีเพชรเม็ดเล็กๆ ปักกระจายอยู่ทั่วตัวทำให้เวลาเคลื่อนไหวแลเห็นเป็นประกายระยิบระยับราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า เส้นผมสีน้ำตาลทองถูกแปรงจนเรียบเป็นมันแล้วรวบถักเป็นเปียเล็กๆ หลายเส้นพันทบกันไปมาก่อนจะขมวดเป็นมวยอยู่ตรงท้ายทอย เผยให้เห็นหน้าผากโค้งมนได้รูป รับกับคิ้วเรียวสวยที่บัดนี้เริ่มขมวดเข้าหากันจนเกือบจะผูกเป็นปมอยู่ร่อมร่อ ดวงตาสีน้ำเงินเข้มจัดมีแววข้องใจฉายชัด ริมฝีปากอิ่มเต็มใต้จมูกโด่งสวยเม้มแน่นก่อนจะคลายออก เมื่อเจ้าตัวเอ่ยขึ้นเป็นประโยคแรก
“นี่ไม่ใช่ชุดของข้า”
ครั้นเห็นสีหน้าฉงนของผู้สูงวัยกว่า นางก็ขยายความต่อไปว่า
“ในหีบเสื้อของข้าไม่มีชุดแบบนี้”
“อ๋อ” นอร์ม่าค่อยยิ้มออกมาได้เมื่อเข้าใจความหมายของอีกฝ่าย
“นี่เป็นชุดที่องค์ราชาสั่งให้ตัดขึ้นใหม่สำหรับมายเลดี้โดยเฉพาะน่ะค่ะ พวกช่างปักช่างเย็บเร่งมือกันแทบตาย เกรงว่าจะไม่ทัน”
“หือ?” เมลิอานาร์ขมวดคิ้ว
“ไม่ทันอะไรหรือคะ แล้วทำไมราชาเอลเบอเรธต้องทรงสั่งตัดชุดให้ข้าด้วย เสื้อผ้าในหีบก็มีตั้งเยอะ”
นอร์ม่าคันปากยิบๆ อยากจะเอ่ยตอบเต็มแก่ว่า ‘ทำไม’ แต่ต้องยั้งเอาไว้เพราะถูกกำชับมาหนักหนาไม่ให้แพร่งพราย จึงตอบอ้อมๆ แอ้มๆ ไม่ค่อยเต็มเสียงว่า
“คงเป็นเพราะ...เอ่อ...ฝ่าบาททรงมีพระประสงค์จะให้มายเลดี้ตามเสด็จน่ะค่ะ ก็เลยพระราชทานชุดใหม่ให้สวม”
หญิงสาวอ้าปากจะซักต่อ ก็พอดีถูกขัดจังหวะเสียก่อนด้วยเสียงเคาะประตู ตามมาด้วยประโยคคำถามกึ่งเร่งเร้ากึ่งเกรงใจ
“เสร็จหรือยังคะคุณ”
“เสร็จแล้วจ้ะ” นอร์มารีบร้องตอบ แล้วเลยถือโอกาสหันหันมาสำทับคนขี้สงสัยว่า
“รีบไปเถอะค่ะมายเลดี้ ฝ่าบาททรงรออยู่”
จากนั้นอดีตพระพี่เลี้ยงก็จัดแจงรุนหลังหญิงสาวไปที่ประตูห้องด้วยความโล่งอกระคนเบิกบานใจ
angelK
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 ธ.ค. 2558, 05:20:25 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 ธ.ค. 2558, 05:20:25 น.
จำนวนการเข้าชม : 1315
<< ตอนที่ 28 | ตอนที่ 30 >> |
แว่นใส 31 ธ.ค. 2558, 18:16:26 น.
งานแต่งงานหรือเปล่านะ
งานแต่งงานหรือเปล่านะ