ลำนำรักใต้แสงจันทร์
เมื่อเจ้าหญิงกาอิยาห์พยายามจะช่วยชีวิตหญิงสาวเคราะห์ร้ายผู้หนึ่งแต่พลาดจนทำให้เธอผู้นั้นกลายเป็นหิน เมลิอานาร์จึงต้องยื่นมือช่วยเหลือด้วยการเดินทางไปค้นหายาถอนพิษ ซึ่งงานนี้คงไม่ยากเย็นนัก ถ้าหญิงสาวจะไม่บังเอิญต้องร่วมทางไปกับราชาหนุ่มรูปงามแห่งกรีนแลนด์ที่คอยแต่จะกวนโมโหกันอยู่เรื่อย ..มาร่วมผจญภัยไปพร้อมกับสองหนุ่มสาวในนิยายรักเบาๆ ที่มีกลิ่นอายแฟนตาซีอ่อนๆ และไม่ค่อยจะโรแมนติกเรื่องนี้กันนะคะ ^ ^
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 30
ราชาเอลเบอเรธในฉลองพระองค์สีเทาอมฟ้าสะอาดเอี่ยม ทอดพระเนตรผู้ที่เดินตามหลังนอร์ม่าลงบันไดมาด้วยสีพระพักตร์ยิ้มละไม แม้พระองค์จะมิได้ตรัสอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว สายพระเนตรคมหวานที่ทอดมองหญิงสาวแน่วนิ่งก็ทรงพลังพอจะทำให้ฝ่ายถูกจ้องวางหน้าไม่ถูก อาการมือไม้เกะกะเก้งก้างก็เลยพาลจะกำเริบขึ้นมาจนเจ้าตัวก้าวขาแทบไม่ออก หากยังแข็งใจเดินต่อไปจนถึงหน้าพระเก้าอี้ที่ประทับได้สำเร็จ โดยไม่สะดุดขาตัวเองล้มไปเสียก่อน
เมลิอานาร์ย่อกายถอนสายบัวถวายความเคารพประมุขแห่งกรีนแลนด์พร้อมกับอดีตพระพี่เลี้ยง ครั้นยืดกายขึ้น ฝ่ายหลังก็ถอยไปรวมกลุ่มกับมหาดเล็กและข้าหลวงคนอื่นๆ ทิ้งให้นางยืนอยู่เบื้องพระพักตร์เพียงลำพัง หญิงสาวเห็นท่าไม่ดีก็เตรียมจะขยับตามอีกฝ่ายไปบ้าง ทว่าพระสุรเสียงทุ้มทรงอำนาจดังขึ้นเสียก่อน
“มานี่สิ”
คนถูกกวักพระหัตถ์เรียกชะงักกึก เหลือบมองเจ้าของรับสั่งแวบหนึ่ง แล้วเหลียวซ้ายแลขวากวาดสายตาผ่านหน้ามหาดเล็กและบรรดาข้าหลวงด้วยความรู้สึกพิพักพิพ่วน ยิ่งเห็นคนเหล่านั้นพากันก้มหน้าลงซ่อนยิ้ม นางก็ยิ่งไม่อยากจะขยับกาย แต่เป็นเพราะขัดรับสั่งประมุขแห่งกรีนแลนด์ไม่ได้จึงฝืนเดินไปข้างหน้าสองก้าว
“ใกล้อีก”
ราชาหนุ่มทรงรับสั่งซ้ำ ทำให้เมลิอานาร์ต้องกลั้นใจก้าวสั้นๆ ไปข้างหน้าอีกก้าว
“อีก”
...หือ?...
หญิงสาวตวัดสายตามองผู้ออกคำสั่งอย่างลังเล ไม่อยากเคลื่อนกายเข้าไปใกล้เขามากกว่านี้เพราะเกรงจะมีความผิดฐานคิดปองร้ายประมุขแห่งกรีนแลนด์เพิ่มมาอีกกระทง
“มาเถอะน่า ข้าสั่ง ไม่มีใครกล้าเอาผิดเจ้าหรอก” พระสุรเสียงกลั้วหัวเราะดังขึ้นลอยๆ ราวกับทรงเดาความคิดของนางได้
เมลิอานาร์จึงจำต้องสาวเท้าไปข้างหน้าอย่างไม่มีทางเลือก
“นั่งลง” คราวนี้ราชาเอลเบอเรธทรงเปลี่ยนคำสั่งใหม่
“น...นั่ง?”
“ใช่”
หญิงสาวทำตามรับสั่งอย่างงงๆ แล้วยิ่งงงหนักขึ้นเมื่อพบว่าราชาหนุ่มทรงหยิบรัดเกล้าจากโต๊ะเล็กข้างพระเก้าอี้มาสวมประทานให้นาง จากนั้นจึงฉุดให้ลุกขึ้นยืน
“เอาละ เรียบร้อยแล้ว... ไปกันเถอะ”
“ป..ไปไหนเพคะ” เมลิอานาร์ทูลถาม
“ปราสาทดีน”
หญิงสาวย่นหัวคิ้วด้วยความกังขา “ไปปราสาทดีน...แล้วหม่อมฉันจำเป็นต้องสวมสิ่งนี้ด้วยหรือเพคะ”
นิ้วเรียวจากมือข้างที่ยังเป็นอิสระชี้ที่แถบโลหะแบนบางสีทองอร่าม ถักเป็นลวดลายประณีตแซมสลับด้วยอัญมณีล้ำค่ากึ่งกลางหน้าผาก
“ใช่”
“ไม่สวมไม่ได้หรือเพคะ...”
“ไม่ได้”
คำตอบห้วนสั้นที่มาพร้อมกับอาการขึงพระเนตรดุ ทำเอาคนขี้สงสัยไม่กล้าคัดค้านหรือทูลถามอะไรอีก นอกจากปล่อยให้ราชาหนุ่มจูงมือไปขึ้นรถม้าสีดำคันใหญ่ ซึ่งจอดรออยู่แล้วบริเวณลานน้ำพุด้านหน้าคฤหาสน์
โชคดีที่หนทางสู่ปราสาทดีนไม่ไกลนัก ทั้งยังตัดผ่านเข้าไปในย่านร้านค้า เมลิอานาร์จึงได้อาศัยโอกาสนั้นทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างแทนการนั่งจ้องมองมือตนเอง เพราะไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบสายพระเนตรคมกริบที่พักหลังมักจะเจือแววหวานแปลกๆ ของอีกฝ่าย หญิงสาวทำทีเป็นมองดูร้านรวงและผู้คนรายทางที่จับจ่ายซื้อหาสินค้ากันอยู่อย่างเพลิดเพลิน จนกระทั่งรถม้าพระที่นั่งแล่นผ่านกำแพงปราสาทมาจอดสนิทอยู่หน้าเรือนรับรองขนาดกะทัดรัด ซึ่งผู้ครองแคว้นคิริธจัดเตรียมไว้ถวายประมุขแห่งกรีนแลนด์เพื่อให้ทรงพักผ่อนพระอิริยาบถ ก่อนเสด็จไปยังห้องโถงใหญ่อันเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงสำคัญในค่ำคืนนี้
เมลิอานาร์ตามเสด็จราชาหนุ่มเข้าไปในอาคารสีขาวชั้นเดียวเบื้องหน้า แล้วก็ต้องประหลาดใจอีกเป็นครั้งที่ไม่รู้เท่าไหร่ เมื่อพบว่าเจ้าชายกันนาร์และเจ้าหญิงกาอิยาห์ประทับรออยู่แล้ว ครั้นถวายบังคมประมุขแห่งกรีนแลนด์เป็นที่เรียบร้อย เจ้าหญิงผู้น้องก็ทรงโผเข้ามาสวมกอดนางทันที ส่วนเจ้าชายผู้พี่เพียงแต่ชายพระเนตรมองแวบหนึ่ง แล้วรีบเบือนพระพักตร์ไปทางอื่นราวกับทรงเห็นภาพอันไม่พึงประสงค์
“เจ้าอยู่คุยกันไปก่อน ข้าจะนำเสด็จฝ่าบาทไปเปลี่ยนฉลองพระองค์” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นลอยๆ ไม่เจาะจงว่าต้องการกล่าวกับผู้ใด จากนั้นเจ้าของเสียงก็เดินดุ่มหายเข้าไปในห้องด้านหลังพร้อมกับประมุขแห่งกรีนแลนด์
“หยาบคายจริง”
เจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงส่งค้อนตามหลังพระเชษฐาพลางบ่นงึมงำอย่างขัดพระทัย
“เป็นอะไรก็ไม่รู้พี่กันนาร์ จนป่านนี้แล้วจะทักทายกันดีๆ สักคำก็ไม่ได้ ...เจ้าอย่าถือสาพี่ชายข้าเลยนะเมล” ท้ายประโยคทรงหันมารับสั่งกับเพื่อนสาวด้วยรอยแย้มสรวลประจบ
“หม่อมฉันไม่ถือสาพระเชษฐาขององค์หญิงหรอกเพคะ” เมลิอานาร์ยิ้มตอบ “ถ้าจะถือสา หม่อมฉันถือสาเรื่องที่ถูกใครบางคนหักหลังมากกว่า...”
เจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงมีพระอาการสะดุ้งอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นก็ถอยหลังกรูดพร้อมกับตรัสแก้ตัวเป็นพัลวัล
“ข..ข้าไม่ได้หักหลังเจ้านะเมล”
“ไม่ได้หักหลัง แล้วราชาเอลเบอเรธทรงทราบได้อย่างไรเพคะ ว่าหม่อมฉันพยายามจะหนี” เมลิอานาร์ย้อนถามอย่างใจเย็น นางก้าวตามอีกฝ่ายไม่ลดละพร้อมกับทำท่าหักนิ้วเสียงดังกร๊อบขู่เด็กสาวไปด้วย
“ร...เรื่องนั้นข้าอธิบายได้”
“ถ้าอย่างนั้นก็ทรงอธิบายมาสิเพคะ”
คนเป็นเจ้าหญิงกลืนพระเขฬะ ทอดพระเนตรหญิงสาวสวยในมาดโหดตรงหน้า ก่อนตรัสอ้อมแอ้มทบทวนเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาอย่างไม่ค่อยจะเต็มพระโอษฐ์นัก
“เจ้าเป็นคนบอกให้ข้าจัดหาม้าฝีเท้าจัดให้ จำไม่ได้หรือ”
“จำได้เพคะ”
“แล้วเจ้ายังบอกอีกว่า... ให้ข้าช่วยหาคนนำทางที่รอบรู้เส้นทางในกรีนแลนด์เป็นอย่างดีให้เจ้าด้วย”
เมลิอานาร์ไม่ปฏิเสธ หากยกมือขึ้นกอดอก รอดูว่าเด็กสาวผู้สูงศักดิ์จะมาไม้ไหนกันแน่
เจ้าหญิงกาอิยาห์แย้มพระสรวลเรี่ยๆ รับสั่งต่อไป
“ข้าก็หาให้เจ้าครบแล้วไง ทั้งม้า ทั้งคนนำทาง”
“หือ?” คราวนี้คนฟังถึงกับเลิกคิ้ว
“ใช่หรือเพคะ”
เด็กสาวรีบพยักหน้ารับทันที
“ใช่สิ... ม้าฝีเท้าจัดอย่างที่เจ้าต้องการก็มีแต่ม้าในคอกหลวงเท่านั้น ส่วนคนนำทาง... เจ้าคงไม่คิดว่าจะมีใครรอบรู้เส้นทางในกรีนแลนด์ดีไปกว่าผู้เป็นประมุขของประเทศหรอกกระมัง เพราะฉะนั้นข้าไม่ได้หักหลังเจ้าเลยนะ ข้าแค่...ทำตามที่เจ้าขอ”
พูดจบเจ้าหญิงก็ฉีกยิ้มตีหน้าซื่อ ทำตัวเป็น ‘ผู้บริสุทธิ์’ เต็มที่ ผิดกับเมลิอานาร์ที่ได้แต่ยืนอึ้งพูดอะไรไม่ออกเพราะรู้สึกทั้งโกรธทั้งขำกับคำอธิบายแบบ ‘โกงไปโกงมา’ นั้น สุดท้ายนางก็ต้องส่ายหน้ายอมแพ้ให้กับความแก่นแก้วแก่แดดของเด็กสาว
“ร้ายนักนะเพคะ ทำให้หม่อมฉันเสียรู้จนได้”
เจ้าหญิงกาอิยาห์รีบสั่นพระพักตร์ปฏิเสธข้อกล่าวหาทันที “ไม่ใช่นะเมล ข้าทำไปเพราะอยากจะช่วยเจ้าต่างหาก”
“ช่วยหม่อมฉัน?” หญิงสาวทวนคำเสียงสูง พลางนิ่วหน้า
“ตรงไหนกันเพคะ”
“ก็ตรง...โอ๊ะ นั่น...” ยังไม่ทันได้ตอบ เจ้าหญิงสาวน้อยก็อุทานด้วยความตื่นเต้น เพราะเหลือบไปเห็นเครื่องประดับชิ้นสำคัญที่ทอประกายวาววับอยู่กึ่งกลางหน้าผากอีกฝ่าย
“เจ้าสวมรัดเกล้า!”
“เพคะ”
เมลิอานาร์ยกมือขึ้นสัมผัสศิราภรณ์ที่สวมอยู่พร้อมกับรับคำอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องแปลก แต่พอสังเกตว่าพระนลาตของเจ้าหญิงกาอิยาห์ยังคงว่างเปล่า ความรู้สึกสังหรณ์บางอย่างก็พลุ่งขึ้นมาจนอดทูลถามไม่ได้
“องค์หญิงไม่ทรงรัดเกล้าหรือเพคะ”
เด็กสาวส่ายหน้าแทนคำตอบ
“อ้าว... แล้วไม่เป็นอะไรหรือเพคะ ก็ไหนราชาเอลเบอเรธตรัสว่าผู้ที่จะมาปราสาทดีนต้องสวมรัดเกล้า”
...เฉพาะเจ้าเท่านั้นละมั้ง...
เจ้าหญิงกาอิยาห์ตรัสในพระทัยด้วยรอยแย้มสรวลกว้างแทบจะถึงพระกรรณ หากประโยคที่ทรงปล่อยให้ล่วงพ้นพระโอษฐ์ออกมาคือ
“ไม่เป็นไรหรอก คนอื่นๆ เขาก็ไม่สวมกัน” ครั้นแล้วก็ทรงเปลี่ยนเรื่องเสียทันควันก่อนจะถูกอีกฝ่ายซักไซ้
“เจ้ารออยู่นี่นะเมล ข้าจะไปดูว่าเสด็จลุงให้คนมาทูลเชิญฝ่าบาทหรือยัง”
ตรัสจบก็ทรงพระดำเนินไปที่ประตูโดยไม่รอฟังคำตอบ ทว่าก่อนก้าวพ้นไปจากห้องทรงเบือนพระพักตร์กลับมารับสั่งทิ้งท้ายว่า
“รู้อะไรมั้ยเมล รัดเกล้าทองคำเป็นสัญลักษณ์แทนมงกุฎ ผู้ที่จะสวมได้มีแต่ราชาแห่งกรีนแลนด์กับ...ว่าที่ราชินีเท่านั้นแหละ”
จากนั้นเจ้าของร่างในชุดกระโปรงพองฟูสีฟ้าสดใสก็ ‘เผ่นแน่บ’ ไม่เหลียวหลัง ทิ้งให้คนที่เพิ่งตระหนักถึงความหมายของสิ่งที่ตนสวมยืนนิ่งขึงเป็นตุ๊กตาหินอยู่กลางห้องนั่นเอง
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่กว่าเมลิอานาร์จะตั้งสติได้ หญิงสาวคว้าหมับเข้าที่รัดเกล้าเพื่อจะปลดมันออกจากศีรษะ ...ทว่ายังช้ากว่าอุ้งหัตถ์ใหญ่ของใครบางคนที่เอื้อมมายุดมือนางไว้เสียก่อน
“ใครอนุญาตให้เจ้าถอดรัดเกล้ากันหือ?” พระสุรเสียงห้วนดุกระซิบรอดไรพระทนต์ดังอยู่ริมหู
เมลิอานาร์สัมผัสได้ถึงไออุ่นจากพระวรกายกำยำที่เกือบจะแนบชิดแผ่นหลัง จึงได้แต่ยืนตัวแข็งค้างไม่กล้าขยับเขยื้อน แม้แต่ลมหายใจก็แทบจะเผลอกลั้นไปด้วย
“ตอบมาสิ ใครอนุญาต” ราชาเอลเบอเรธทรงถามซ้ำ แล้วเลยถือโอกาสตวัดท่อนพระกรโอบรัดร่างบางเอาไว้ในอ้อมพระพาหา โดยไม่ยอมปล่อยพระหัตถ์จากมือทั้งสองข้างของหญิงสาว ทำให้เจ้าตัวหมดหนทางจะดิ้นหนีโดยสิ้นเชิง
“ถ้าไม่ตอบ ข้าจะขังเจ้าเอาไว้อย่างนี้ละนะ”
“ม..ไม่มีเพคะ” เมลิอานาร์รีบตอบทันควัน
“ถ้าไม่มีใครอนุญาต แล้วเจ้าถอดรัดเกล้าทำไม”
“คือหม่อมฉัน....เอ่อ...” หญิงสาวอึกอัก ไม่กล้ากราบทูลเพราะกระดากที่จะเอ่ยทวนข้อความที่เพิ่งได้รู้จากเจ้าหญิงกาอิยาห์
“ไม่บอกใช่มั้ย ด้ายยย...” ราชาเอลเบอเรธทรงลากพระสุรเสียง แล้วแกล้งกระชับอ้อมพระพาหาให้แน่นขึ้นอีก พร้อมกับโน้มพระพักตร์เข้าไปใกล้แก้มนวลของอีกฝ่าย
เท่านั้นเมลิอานาร์ก็หลับหูหลับตากราบทูลเร็วปรื๋อ
“หม่อมฉันไม่ใช่ว่าที่ราชินีแห่งกรีนแลนด์เพคะ”
เสียงหัวเราะทุ้มต่ำลอยมาจากพระศอ
“ใช่สิ ทำไมจะไม่ใช่ ก็เจ้าเคยพูดเองนี่ว่าเป็นคู่หมั้นของข้า”
“ระ..เรื่องนั้น...”
หญิงสาวหน้าแดงก่ำ ได้แต่ขบริมฝีปากด้วยความเจ็บใจเพราะจนปัญญาจะโต้แย้ง นางนึกถึงหลุมขนาดใหญ่ที่ตนอุตส่าห์ขุดเอาไว้แล้วก็ดันพลาดตกลงไปเสียเอง ต่อให้ตะเกียกตะกายปีนขึ้นมาได้สำเร็จก็ยังหลงเหลือร่องรอยของบาดแผลให้คนตามมาเยาะเย้ยล้อเลียนไม่รู้จบ...อย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้
“หม่อมฉันแค่ยืมพระนามมาใช้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเฉยๆ ไม่ได้มีเจตนาจะแอบอ้างตัวเป็นพระคู่หมั้นเสียหน่อย ตอนนั้นเหตุการณ์บังคับ ถ้าไม่ทำอย่างที่ทำไปแล้วหม่อมฉันก็ไม่รู้จะทาทางหลีกเลี่ยงการแต่งงานกับเจ้าชายเอเดรียนได้อย่างไร เพราะฉะนั้นขอได้โปรดอย่าทรงล้อหม่อมฉันอีกเลยเพคะ”
...และถ้าทรงลืมมันไปเสียด้วยก็จะดีที่สุด...
นางแข็งใจอธิบายทั้งที่นึกอยากจะแทรกแผ่นดินหนีให้รู้แล้วรู้รอดมากกว่า
“ทำไมล่ะ เจ้าไม่ชอบเจ้าชายเอเดรียนหรอกหรือ ข้าได้ยินมาว่าสาวๆ ชาวแลมพ์ตันล้วนอยากเป็นชายาของพระองค์กันทั้งนั้น”
ราชาเอลเบอเรธทรงคลายอ้อมพระพาหาออก เพื่อจะจับไหล่หญิงสาวให้หันกลับมาเผชิญหน้ากับพระองค์ ทรงใช้สายพระเนตรคมหวานจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำเงินคู่งามอย่างรอคอยคำตอบ
เมลิอานาร์ค่อยหายใจคล่องขึ้นเมื่อได้รับอิสระ นางกราบทูลตามตรงโดยไม่หลบสายพระเนตร
“ชอบเพคะ แต่ไม่ใช่แบบที่จะแต่งงานด้วย เจ้าชายเอเดรียนกับหม่อมฉันเห็นกันมาตั้งแต่ยังเยาว์ หม่อมฉันไม่เคยมองพระองค์เป็นอย่างอื่นนอกจากญาติ ที่สำคัญ เจ้าชายเอเดรียนทรงเป็นจอมเจ้าชู้จีบสาวไม่เลือก ใครได้เป็นพระชายาก็คงไม่พ้นน้ำตาเช็ดหัวเข่า”
“แล้วถ้าเป็นข้าล่ะ?”
คำถามสายฟ้าแลบของราชาหนุ่มทำให้เมลิอานาร์แทบจะอ้าปากค้าง ใบหน้าที่ซับสีโลหิตอยู่แล้วยิ่งแดงหนักขึ้นจนลามไปถึงลำคอและใบหู นางแน่ใจว่าอีกฝ่ายแกล้งหยั่งเชิงไปอย่างนั้นเอง หากในอกกลับปั่นป่วนราวกับมีผีเสื้อนับร้อยกระพือปีกบินไม่หยุด
ราชาแห่งกรีนแลนด์เห็นปฏิกิริยาของหญิงสาวก็ทรงพระสรวล ตรัสถามซ้ำอีกครั้ง
“ข้าไม่ใช่ผู้ชายเจ้าชู้จีบสาวไม่เลือก ถ้าเป็นข้า เจ้าจะชอบแบบที่จะแต่งงานด้วยหรือเปล่า”
แน่นอนว่า...เมลิอานาร์ไม่มีทางตอบคำถามนั้นให้เข้าเนื้อตัวเองเด็ดขาด!
ห้องโถงกว้างของปราสาทดีนได้รับการตกแต่งอย่างสวยงามด้วยช่อดอกไม้และเชิงเทียนทองคำแบบตั้งพื้นทรวดทรงอ่อนช้อย มีผ้าม่านสีเงินจับเป็นจีบโค้งทิ้งชายยาวรวบแบ่งเป็นสองข้างด้วยเกลียวไหมทองแขวนประดับอยู่ทุกช่วงเสา ผนังห้องด้านในสุดห้อยธงสัญลักษณ์ประจำแคว้นคิริธปักด้วยไหมทองเป็นรูปต้นไม้ใหญ่ใต้ดวงดาราบนพื้นขาว สูงขึ้นไปใต้เพดานโค้งคือโคมแก้วเจียระไนขนาดใหญ่ ส่องประกายสีรุ้งล้อแสงเทียนอยู่แพรวพราว ด้านหนึ่งของห้องตั้งโต๊ะไม้ตัวยาวปูผ้าขาวรีดเรียบเรียงรายไปด้วยจานเงินบรรจุอาหารหวานคาว อีกด้านหนึ่งเป็นที่นั่งของนักดนตรี เสียงเพลงอันไพเราะจากเครื่องดนตรีพื้นเมืองดังผะแผ่ว คละเคล้าไปกับเสียงสนทนาของผู้คนในเครื่องแต่งกายสวยงามทั้งชายและหญิง บ่งบอกชัดถึงบรรยากาศของงานเลี้ยง
ทันทีที่เสียงประกาศการเสด็จของประมุขแห่งกรีนแลนด์ดังขึ้น สายตาทุกคู่ในห้องโถงก็เบนมาจับจ้องยังจุดที่พระองค์ประทับเป็นตาเดียว ราชาเอลเบอเรธทรงงามสง่าอยู่ในฉลองพระองค์สีเทาอมฟ้า สวมทับด้วยเสื้อกำมะหยี่สีเทาเงินตัวยาวคลุมสะโพก บริเวณสาบเสื้อและรังดุมถักด้วยด้ายทองคำเป็นลวดลายคล้ายเถาไม้เลื้อย รับกับลายปักที่ปกและขอบแขน ต่ำลงมาคือกางเกงขายาวสีขาวซ่อนส่วนปลายไว้ในรองเท้าหนังสูงแค่เข่าสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ หากสิ่งที่สะดุดตาผู้คนยิ่งกว่าฉลองพระองค์หลายเท่ากลับเป็นรัดเกล้าทองคำบนพระนลาต โดยปกติแล้วราชาหนุ่มจะไม่ทรงสวมศิราภรณ์เวลาเสด็จออกงานเลี้ยง นอกเสียจากว่างานนั้นจะสำคัญจริงๆ หรือทรงมีเหตุผลพิเศษบางประการ
...ซึ่งกรณีนี้น่าจะเป็นอย่างหลัง
เมลิอานาร์ยืนอยู่เยื้องไปทางเบื้องพระปฤษฎางค์เล็กน้อย นางพลอยถูกสายตาของผู้คนในห้องโถงจับจ้องไปด้วยจนรู้สึกว่าตนเองอยู่ผิดที่ผิดทางอย่างไรชอบกล ครั้นจะถอยหลบไปข้างหลังก็ถูกเจ้าชายกันนาร์ขยับเข้ามาขวางไว้อย่างน่าโมโห พอเปลี่ยนใจกระเถิบไปด้านข้างก็ยังติดมหาดเล็กคนสนิทอย่างเฟรดเข้าเสียอีก หญิงสาวจึงทำได้เพียงยืนตัวลีบฟังผู้ครองแคว้นคิริธกล่าวต้อนรับประมุขแห่งกรีนแลนด์อยู่ที่เดิมด้วยความอึดอัดขัดใจ เมื่อราชนิกุลผู้สูงวัยทรงทำหน้าที่ของพระองค์เสร็จสิ้น แทนที่นางจะได้ปลีกตัวไปหลบอยู่ตรงมุมห้องอย่างใจคิด ราชาเอลเบอเรธกลับทรงหันมารับสั่งถามเสียนี่
“เจ้าเต้นรำเป็นมั้ย”
“ไม่ค่อยถนัดเพคะ”
นั่นคือคำปฏิเสธแบบอ้อมค้อมของหญิงสาว ทว่าราชาหนุ่มทรงแสร้งทำเป็นไม่รู้ ซ้ำยังตรัสหน้าตาเฉย
“งั้นคอยก้าวตามข้าให้ดีแล้วกัน”
พอสิ้นพระสุรเสียง บทเพลงอันไพเราะก็กังวานขึ้นราวกับรอจังหวะอยู่แล้ว ผู้คนในงานเลี้ยงต่างพร้อมใจกันขยับหลีกไปยืนอยู่รอบห้องโถง เว้นที่วางตรงกลางไว้สำหรับประมุขแห่งกรีนแลนด์ทรงเต้นรำเปิดฟลอร์ ท่ามกลางสายตาหลายสิบคู่ที่จับจ้องรอคอย ราชาเอลเบอเรธทรงค้อมพระเศียรให้สตรีข้างกายด้วยรอยแย้มสรวลชั่วร้าย พร้อมกับยื่นพระหัตถ์ไปตรงหน้าเป็นการบอกชัดว่าทรงขอนางเต้นรำ ...แล้วเมลิอานาร์จะทำอะไรได้อีก นอกจากจำใจวางมือลงในอุ้งพระหัตถ์ ปล่อยให้ราชาหนุ่มพาออกไปยังที่ว่างกลางห้องด้วยความรู้สึกเหมือนเพิ่งกลืนยาน้ำขมปี๋เข้าไม่มีผิด
เห็นได้ชัดว่าราชาเอลเบอเรธทรงวางแผนมาแล้วเป็นอย่างดี เพียงแค่เต้นรำเพลงเดียว พระองค์ก็ทำให้ทุกคนในที่นั้นเชื่อสนิทว่าหญิงสาวในอ้อมพระพาหาคือ ‘พระคู่หมั้น’ โดยไม่ต้องทรงออกแรงป่าวประกาศให้เหนื่อย
เมลิอานาร์ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจที่เหตุการณ์กลับตาลปัตรไปเช่นนั้น แม้ว่าทางออกที่ราชาหนุ่มทรงหยิบยื่นให้ จะเป็นทางออกที่ดูงดงามราบรื่นราวกับปูด้วยพรมดอกไม้ เพียงนางก้าวเดินไปตามเส้นทางนั้น เรื่องที่ท่านผู้หญิงมาร์กาเร็ตเข้าใจผิดก็จะกลายเป็นความจริงขึ้นมาทันที แต่... เส้นทางสายดอกไม้ที่เห็นจะไม่มีคมหนามแฝงซ่อนอยู่จริงๆ ละหรือ หญิงสาวยังมองไม่ออกว่าราชาเอลเบอเรธทรงมีเหตุผลอะไร จึงได้พระทัยดีถึงขั้นเสียสละตนเองเพื่อช่วยผู้หญิงที่แอบอ้างตัวเป็นพระคู่หมั้น นอกเสียจากว่า...
ทรงต้องการแก้เผ็ดนาง!
คิดมาถึงตรงนี้ เมลิอานาร์ก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ ปัญหาที่นางเคยแน่ใจว่าสามารถหาทางออกได้ง่ายนิดเดียว เอาเข้าจริงกลับยิ่งขมวดพันกันยุ่งเหยิงจนกลายเป็นปมใหญ่ขึ้นทุกที พอจะลงมือสางจึงไม่รู้ว่าควรเริ่มจากปมไหนก่อนดี
“ถอนใจทำไม มีเรื่องอะไรให้คิดหรือ” เสียงถามอย่างอาทรดังอยู่เหนือศีรษะ
หญิงสาวสั่นหน้าปฏิเสธเบาๆ ตาจับเฉพาะปลายพระหนุของราชาหนุ่มไม่กล้ามองสูงไปกว่านั้น ในใจก็ได้แต่นึกภาวนาให้เสียงดนตรีสิ้นสุดลงเสียโดยเร็ว เพื่อที่นางจะได้พ้นไปจากอ้อมพระพาหาสักที
“หรือว่า...เจ้ารังเกียจ ไม่อยากเต้นรำกับข้า”
ศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีน้ำตาลทองละเอียดอ่อนราวเส้นไหมสั่นแรงยิ่งกว่าเก่า เรียกเสียงหัวเราะทุ้มลึกให้ดังขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าคงไม่อยากแต่งงานกับข้ากระมัง”
ได้ผล...ทำถามนั้นทำให้ศีรษะที่ก้มงุดเงยขึ้นทันที เมลิอานาร์แทบจะอ้าปากค้างจ้องหน้าผู้พูดอย่างไม่เชื่อหู
ราชาเอลเบอเรธเห็นท่าทางตกตะลึงของคนในอ้อมแขนก็ทรงพระสรวลด้วยความขบขันระคนเอ็นดู
“แปลกใจอะไร เจ้าคิดว่าข้าให้ท่านอาจัดงานเต้นรำนี้ขึ้นมาเล่นๆ หรือ”
“ต..แต่ว่า...ฝ่าบาทกับหม่อมฉัน...เรา...ไม่ได้เป็นอะไรกันนะเพคะ”
“ตอนนี้อาจจะยัง แต่ในอนาคตไม่แน่ เจ้ายังติดค้างค่าจ้างของข้าอยู่นะ อย่าลืมสิ”
“ค่าจ้าง” เมลิอานาร์นึกว่าตนหูฝาด จึงทูลถามซ้ำอีกรอบ “ค่าจ้างอะไรกันเพคะ”
“ก็ค่าจ้างที่ข้านำทางเจ้ามาจนถึงหมู่บ้านชายแดนอย่างไรล่ะ”
เท่านั้นหญิงสาวก็ถึงบางอ้อ นางเหลือบตามองเจ้าของคำตอบด้วยความอัศจรรย์ใจ นึกไม่ถึงว่าจนป่านนี้แล้ว เขายังคิดจะทวงค่าจ้างจากนางอยู่อีก
“ทรงต้องการเท่าไรเพคะ ตรัสมาได้เลย”
“ต้องการทั้งหมดนั่นแหละ”
เมื่อเห็นสีหน้างุนงงของสตรีในอ้อมแขน ราชาเอลเบอเรธก็ทรงขยายความด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม
“ข้าหมายถึง...ตัวเจ้าทั้งหมด”
...หา!...
“ท..ท...ท...ทำไม...”
“ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะว่าข้าชอบเจ้าน่ะสิ อีกอย่าง...เจ้าคงไม่โกรธนะ ถ้าข้าจะบอกว่าเคยเห็นร่างเกือบเปลือยของเจ้ามาแล้วด้วย”
คำสารภาพตรงไปตรงมาของราชาแห่งกรีนแลนด์ทำให้เมลิอานาร์ถึงกับอึ้งพูดอะไรไม่ออก สิ่งที่นางนึกสงสัยมาตลอดเพิ่งกระจ่างชัดตอนนี้เอง ที่แท้ผู้ที่ทำแผลให้นางในคืนนั้นก็คือราชาเอลเบอเรธ พระองค์ทรงทราบมานานแล้วว่านางเป็นผู้หญิง หากแต่แกล้งทำเป็นไม่รู้จนนางเชื่อสนิท หญิงสาวได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโมโหผสมความอาย ใบหน้าร้อนผ่าวจนแทบจะพ่นไอน้ำออกมาได้อยู่รอมร่อ รู้สึกอยากประทุษร้ายร่างกายอีกฝ่ายขึ้นมาติดหมัดจึงแกล้งเหยียบลงไปบนพระบาทเต็มแรง แล้วผละหนีทันทีที่เสียงเพลงอันไพเราะสิ้นสุดลง
ราชาเอลเบอเรธทรงสาวพระบาทตามมาทันหญิงสาวที่ระเบียงข้าง พระองค์คว้าข้อมือนางไว้ไม่ให้หนีพลางรับสั่งถามเสียงอ่อน
“เจ้าโกรธข้าหรือ”
เมลิอานาร์ไม่ตอบ หากสะบัดหน้าไปทางอื่นที่ไม่ใช่พระพักตร์หล่อเหลาของอีกฝ่าย โดยหารู้ไม่ว่าท่าทางแง่งอนแบบผู้หญิงของนาง ทำให้พระหทัยของใครบางคนเต้นผิดจังหวะไปแล้ว
ราชาหนุ่มทรงเคลื่อนพระวรกายเข้าใกล้หญิงสาวพลางโอบเอวนางไว้หลวมๆ ตรัสต่อไปว่า
“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะล่วงเกินเจ้า แต่ข้าทนเห็นเจ้าเป็นอะไรลงไปต่อหน้าไม่ได้ ก็เลย...”
“ไม่ต้องตรัสแล้วเพคะ” เมลิอานาร์ขัดขึ้น หางเสียงยังคงสะบัดอยู่น้อยๆ อย่างแง่งอน
“หม่อมฉันเข้าใจดี”
“ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็หายโกรธข้าแล้วใช่มั้ย”
ไม่มีคำตอบ หากแก้มนวลของคนถูกถามซับสีโลหิตขึ้นจางๆ แลดูสวยงามน่าหลงใหลภายใต้แสงจันทร์กระจ่าง จนราชาหนุ่มต้องข่มพระทัยอย่างหนักที่จะไม่โน้มพระพักตร์เข้าไปจุมพิตนาง
“ข้ารู้ว่าข้ารวบรัดเจ้าเกินไป แต่ขอให้รู้ไว้ว่าข้าอยู่ไม่ได้โดยไม่มีเจ้า เมลิอานาร์...เจ้าจะอยู่กับข้าที่กรีนแลนด์ เป็นราชินีของข้าได้มั้ย”
“ร..เรื่องนั้น หม่อมฉัน...”
ราชาเอลเบอเรธทรงใช้พระดัชนีแตะที่ริมฝีปากหญิงสาวอย่างแผ่วเบา พร้อมกับแย้มพระสรวล “เจ้ายังไม่จำเป็นต้องตอบในตอนนี้ ข้าให้เวลาเจ้าคิดนานเท่าไรก็ได้”
ตรัสแล้วก็ทรงรูดพระธำมรงค์จากพระดัชนียัดใส่มือหญิงสาว รับสั่งช้าชัด
“ข้าจะไม่ถอดแหวนแห่งพันธะให้เจ้าเพราะข้าถือว่านั่นคือแหวนหมั้น ส่วนแหวนวงนี้เปรียบเสมือนหัวใจที่ข้ามอบให้เจ้า เจ้าจะขว้างทิ้งหรือสวมมันคืนให้แก่ข้า...ก็ขึ้นอยู่กับคำตอบในใจเจ้าเอง”
“แล้วถ้าหม่อมฉันไม่ตอบล่ะเพคะ” เมลิอานาร์แกล้งทูลถาม
ราชาเอลเบอเรธทรงแย้มสรวลอ่อนโยน “ข้าก็จะรอต่อไป”
ครั้นราชาหนุ่มเสด็จจากไปแล้ว เมลิอานาร์จึงค่อยคลายมือออกช้าๆ เพื่อแอบดูแหวนน้อยวงนั้น แล้วก็ต้องชะงักไปทันทีเมื่อพบว่ามันคือแหวนตราพระราชลัญจกรประจำพระองค์ประมุขแห่งกรีนแลนด์ ซึ่งเป็นแหวนที่ราชาหนุ่มจะต้องทรงใช้เป็นตราประทับตอนลงพระนามในเอกสารราชการ และมีอยู่เพียงวงเดียว
“คนเจ้าเล่ห์ แหวนสำคัญแบบนี้ข้าจะขว้างทิ้งได้ที่ไหนกันเล่า!”
หญิงสาวโวยวายพลางตวัดหางตาค้อนไปทางประตูที่ร่างของใครบางคนเพิ่งหายลับไป เมื่อไม่มีทางเลือกก็จำต้องยอมสวมแหวนของคนเจ้าเล่ห์ไว้ที่นิ้วนางซ้ายคู่กับแหวนพลอยน้ำทะเล เพ่งมองดูมันทั้งคู่พลางย่นจมูกใส่ ทว่าริมฝีปากบางกลับแต้มระบายด้วยรอยยิ้ม ภายนอกระเบียง แสงจันทร์สีเงินยวงยังคงทอทาบลงบนพื้นหินอย่างนุ่มนวล ทว่าในห้องโถงที่สวางไสวด้วยแสงเทียนกลับอบอวลไปด้วยเพลงรักอันอ่อนหวาน
เมลิอานาร์ย่อกายถอนสายบัวถวายความเคารพประมุขแห่งกรีนแลนด์พร้อมกับอดีตพระพี่เลี้ยง ครั้นยืดกายขึ้น ฝ่ายหลังก็ถอยไปรวมกลุ่มกับมหาดเล็กและข้าหลวงคนอื่นๆ ทิ้งให้นางยืนอยู่เบื้องพระพักตร์เพียงลำพัง หญิงสาวเห็นท่าไม่ดีก็เตรียมจะขยับตามอีกฝ่ายไปบ้าง ทว่าพระสุรเสียงทุ้มทรงอำนาจดังขึ้นเสียก่อน
“มานี่สิ”
คนถูกกวักพระหัตถ์เรียกชะงักกึก เหลือบมองเจ้าของรับสั่งแวบหนึ่ง แล้วเหลียวซ้ายแลขวากวาดสายตาผ่านหน้ามหาดเล็กและบรรดาข้าหลวงด้วยความรู้สึกพิพักพิพ่วน ยิ่งเห็นคนเหล่านั้นพากันก้มหน้าลงซ่อนยิ้ม นางก็ยิ่งไม่อยากจะขยับกาย แต่เป็นเพราะขัดรับสั่งประมุขแห่งกรีนแลนด์ไม่ได้จึงฝืนเดินไปข้างหน้าสองก้าว
“ใกล้อีก”
ราชาหนุ่มทรงรับสั่งซ้ำ ทำให้เมลิอานาร์ต้องกลั้นใจก้าวสั้นๆ ไปข้างหน้าอีกก้าว
“อีก”
...หือ?...
หญิงสาวตวัดสายตามองผู้ออกคำสั่งอย่างลังเล ไม่อยากเคลื่อนกายเข้าไปใกล้เขามากกว่านี้เพราะเกรงจะมีความผิดฐานคิดปองร้ายประมุขแห่งกรีนแลนด์เพิ่มมาอีกกระทง
“มาเถอะน่า ข้าสั่ง ไม่มีใครกล้าเอาผิดเจ้าหรอก” พระสุรเสียงกลั้วหัวเราะดังขึ้นลอยๆ ราวกับทรงเดาความคิดของนางได้
เมลิอานาร์จึงจำต้องสาวเท้าไปข้างหน้าอย่างไม่มีทางเลือก
“นั่งลง” คราวนี้ราชาเอลเบอเรธทรงเปลี่ยนคำสั่งใหม่
“น...นั่ง?”
“ใช่”
หญิงสาวทำตามรับสั่งอย่างงงๆ แล้วยิ่งงงหนักขึ้นเมื่อพบว่าราชาหนุ่มทรงหยิบรัดเกล้าจากโต๊ะเล็กข้างพระเก้าอี้มาสวมประทานให้นาง จากนั้นจึงฉุดให้ลุกขึ้นยืน
“เอาละ เรียบร้อยแล้ว... ไปกันเถอะ”
“ป..ไปไหนเพคะ” เมลิอานาร์ทูลถาม
“ปราสาทดีน”
หญิงสาวย่นหัวคิ้วด้วยความกังขา “ไปปราสาทดีน...แล้วหม่อมฉันจำเป็นต้องสวมสิ่งนี้ด้วยหรือเพคะ”
นิ้วเรียวจากมือข้างที่ยังเป็นอิสระชี้ที่แถบโลหะแบนบางสีทองอร่าม ถักเป็นลวดลายประณีตแซมสลับด้วยอัญมณีล้ำค่ากึ่งกลางหน้าผาก
“ใช่”
“ไม่สวมไม่ได้หรือเพคะ...”
“ไม่ได้”
คำตอบห้วนสั้นที่มาพร้อมกับอาการขึงพระเนตรดุ ทำเอาคนขี้สงสัยไม่กล้าคัดค้านหรือทูลถามอะไรอีก นอกจากปล่อยให้ราชาหนุ่มจูงมือไปขึ้นรถม้าสีดำคันใหญ่ ซึ่งจอดรออยู่แล้วบริเวณลานน้ำพุด้านหน้าคฤหาสน์
โชคดีที่หนทางสู่ปราสาทดีนไม่ไกลนัก ทั้งยังตัดผ่านเข้าไปในย่านร้านค้า เมลิอานาร์จึงได้อาศัยโอกาสนั้นทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างแทนการนั่งจ้องมองมือตนเอง เพราะไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบสายพระเนตรคมกริบที่พักหลังมักจะเจือแววหวานแปลกๆ ของอีกฝ่าย หญิงสาวทำทีเป็นมองดูร้านรวงและผู้คนรายทางที่จับจ่ายซื้อหาสินค้ากันอยู่อย่างเพลิดเพลิน จนกระทั่งรถม้าพระที่นั่งแล่นผ่านกำแพงปราสาทมาจอดสนิทอยู่หน้าเรือนรับรองขนาดกะทัดรัด ซึ่งผู้ครองแคว้นคิริธจัดเตรียมไว้ถวายประมุขแห่งกรีนแลนด์เพื่อให้ทรงพักผ่อนพระอิริยาบถ ก่อนเสด็จไปยังห้องโถงใหญ่อันเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงสำคัญในค่ำคืนนี้
เมลิอานาร์ตามเสด็จราชาหนุ่มเข้าไปในอาคารสีขาวชั้นเดียวเบื้องหน้า แล้วก็ต้องประหลาดใจอีกเป็นครั้งที่ไม่รู้เท่าไหร่ เมื่อพบว่าเจ้าชายกันนาร์และเจ้าหญิงกาอิยาห์ประทับรออยู่แล้ว ครั้นถวายบังคมประมุขแห่งกรีนแลนด์เป็นที่เรียบร้อย เจ้าหญิงผู้น้องก็ทรงโผเข้ามาสวมกอดนางทันที ส่วนเจ้าชายผู้พี่เพียงแต่ชายพระเนตรมองแวบหนึ่ง แล้วรีบเบือนพระพักตร์ไปทางอื่นราวกับทรงเห็นภาพอันไม่พึงประสงค์
“เจ้าอยู่คุยกันไปก่อน ข้าจะนำเสด็จฝ่าบาทไปเปลี่ยนฉลองพระองค์” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นลอยๆ ไม่เจาะจงว่าต้องการกล่าวกับผู้ใด จากนั้นเจ้าของเสียงก็เดินดุ่มหายเข้าไปในห้องด้านหลังพร้อมกับประมุขแห่งกรีนแลนด์
“หยาบคายจริง”
เจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงส่งค้อนตามหลังพระเชษฐาพลางบ่นงึมงำอย่างขัดพระทัย
“เป็นอะไรก็ไม่รู้พี่กันนาร์ จนป่านนี้แล้วจะทักทายกันดีๆ สักคำก็ไม่ได้ ...เจ้าอย่าถือสาพี่ชายข้าเลยนะเมล” ท้ายประโยคทรงหันมารับสั่งกับเพื่อนสาวด้วยรอยแย้มสรวลประจบ
“หม่อมฉันไม่ถือสาพระเชษฐาขององค์หญิงหรอกเพคะ” เมลิอานาร์ยิ้มตอบ “ถ้าจะถือสา หม่อมฉันถือสาเรื่องที่ถูกใครบางคนหักหลังมากกว่า...”
เจ้าหญิงกาอิยาห์ทรงมีพระอาการสะดุ้งอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นก็ถอยหลังกรูดพร้อมกับตรัสแก้ตัวเป็นพัลวัล
“ข..ข้าไม่ได้หักหลังเจ้านะเมล”
“ไม่ได้หักหลัง แล้วราชาเอลเบอเรธทรงทราบได้อย่างไรเพคะ ว่าหม่อมฉันพยายามจะหนี” เมลิอานาร์ย้อนถามอย่างใจเย็น นางก้าวตามอีกฝ่ายไม่ลดละพร้อมกับทำท่าหักนิ้วเสียงดังกร๊อบขู่เด็กสาวไปด้วย
“ร...เรื่องนั้นข้าอธิบายได้”
“ถ้าอย่างนั้นก็ทรงอธิบายมาสิเพคะ”
คนเป็นเจ้าหญิงกลืนพระเขฬะ ทอดพระเนตรหญิงสาวสวยในมาดโหดตรงหน้า ก่อนตรัสอ้อมแอ้มทบทวนเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาอย่างไม่ค่อยจะเต็มพระโอษฐ์นัก
“เจ้าเป็นคนบอกให้ข้าจัดหาม้าฝีเท้าจัดให้ จำไม่ได้หรือ”
“จำได้เพคะ”
“แล้วเจ้ายังบอกอีกว่า... ให้ข้าช่วยหาคนนำทางที่รอบรู้เส้นทางในกรีนแลนด์เป็นอย่างดีให้เจ้าด้วย”
เมลิอานาร์ไม่ปฏิเสธ หากยกมือขึ้นกอดอก รอดูว่าเด็กสาวผู้สูงศักดิ์จะมาไม้ไหนกันแน่
เจ้าหญิงกาอิยาห์แย้มพระสรวลเรี่ยๆ รับสั่งต่อไป
“ข้าก็หาให้เจ้าครบแล้วไง ทั้งม้า ทั้งคนนำทาง”
“หือ?” คราวนี้คนฟังถึงกับเลิกคิ้ว
“ใช่หรือเพคะ”
เด็กสาวรีบพยักหน้ารับทันที
“ใช่สิ... ม้าฝีเท้าจัดอย่างที่เจ้าต้องการก็มีแต่ม้าในคอกหลวงเท่านั้น ส่วนคนนำทาง... เจ้าคงไม่คิดว่าจะมีใครรอบรู้เส้นทางในกรีนแลนด์ดีไปกว่าผู้เป็นประมุขของประเทศหรอกกระมัง เพราะฉะนั้นข้าไม่ได้หักหลังเจ้าเลยนะ ข้าแค่...ทำตามที่เจ้าขอ”
พูดจบเจ้าหญิงก็ฉีกยิ้มตีหน้าซื่อ ทำตัวเป็น ‘ผู้บริสุทธิ์’ เต็มที่ ผิดกับเมลิอานาร์ที่ได้แต่ยืนอึ้งพูดอะไรไม่ออกเพราะรู้สึกทั้งโกรธทั้งขำกับคำอธิบายแบบ ‘โกงไปโกงมา’ นั้น สุดท้ายนางก็ต้องส่ายหน้ายอมแพ้ให้กับความแก่นแก้วแก่แดดของเด็กสาว
“ร้ายนักนะเพคะ ทำให้หม่อมฉันเสียรู้จนได้”
เจ้าหญิงกาอิยาห์รีบสั่นพระพักตร์ปฏิเสธข้อกล่าวหาทันที “ไม่ใช่นะเมล ข้าทำไปเพราะอยากจะช่วยเจ้าต่างหาก”
“ช่วยหม่อมฉัน?” หญิงสาวทวนคำเสียงสูง พลางนิ่วหน้า
“ตรงไหนกันเพคะ”
“ก็ตรง...โอ๊ะ นั่น...” ยังไม่ทันได้ตอบ เจ้าหญิงสาวน้อยก็อุทานด้วยความตื่นเต้น เพราะเหลือบไปเห็นเครื่องประดับชิ้นสำคัญที่ทอประกายวาววับอยู่กึ่งกลางหน้าผากอีกฝ่าย
“เจ้าสวมรัดเกล้า!”
“เพคะ”
เมลิอานาร์ยกมือขึ้นสัมผัสศิราภรณ์ที่สวมอยู่พร้อมกับรับคำอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องแปลก แต่พอสังเกตว่าพระนลาตของเจ้าหญิงกาอิยาห์ยังคงว่างเปล่า ความรู้สึกสังหรณ์บางอย่างก็พลุ่งขึ้นมาจนอดทูลถามไม่ได้
“องค์หญิงไม่ทรงรัดเกล้าหรือเพคะ”
เด็กสาวส่ายหน้าแทนคำตอบ
“อ้าว... แล้วไม่เป็นอะไรหรือเพคะ ก็ไหนราชาเอลเบอเรธตรัสว่าผู้ที่จะมาปราสาทดีนต้องสวมรัดเกล้า”
...เฉพาะเจ้าเท่านั้นละมั้ง...
เจ้าหญิงกาอิยาห์ตรัสในพระทัยด้วยรอยแย้มสรวลกว้างแทบจะถึงพระกรรณ หากประโยคที่ทรงปล่อยให้ล่วงพ้นพระโอษฐ์ออกมาคือ
“ไม่เป็นไรหรอก คนอื่นๆ เขาก็ไม่สวมกัน” ครั้นแล้วก็ทรงเปลี่ยนเรื่องเสียทันควันก่อนจะถูกอีกฝ่ายซักไซ้
“เจ้ารออยู่นี่นะเมล ข้าจะไปดูว่าเสด็จลุงให้คนมาทูลเชิญฝ่าบาทหรือยัง”
ตรัสจบก็ทรงพระดำเนินไปที่ประตูโดยไม่รอฟังคำตอบ ทว่าก่อนก้าวพ้นไปจากห้องทรงเบือนพระพักตร์กลับมารับสั่งทิ้งท้ายว่า
“รู้อะไรมั้ยเมล รัดเกล้าทองคำเป็นสัญลักษณ์แทนมงกุฎ ผู้ที่จะสวมได้มีแต่ราชาแห่งกรีนแลนด์กับ...ว่าที่ราชินีเท่านั้นแหละ”
จากนั้นเจ้าของร่างในชุดกระโปรงพองฟูสีฟ้าสดใสก็ ‘เผ่นแน่บ’ ไม่เหลียวหลัง ทิ้งให้คนที่เพิ่งตระหนักถึงความหมายของสิ่งที่ตนสวมยืนนิ่งขึงเป็นตุ๊กตาหินอยู่กลางห้องนั่นเอง
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่กว่าเมลิอานาร์จะตั้งสติได้ หญิงสาวคว้าหมับเข้าที่รัดเกล้าเพื่อจะปลดมันออกจากศีรษะ ...ทว่ายังช้ากว่าอุ้งหัตถ์ใหญ่ของใครบางคนที่เอื้อมมายุดมือนางไว้เสียก่อน
“ใครอนุญาตให้เจ้าถอดรัดเกล้ากันหือ?” พระสุรเสียงห้วนดุกระซิบรอดไรพระทนต์ดังอยู่ริมหู
เมลิอานาร์สัมผัสได้ถึงไออุ่นจากพระวรกายกำยำที่เกือบจะแนบชิดแผ่นหลัง จึงได้แต่ยืนตัวแข็งค้างไม่กล้าขยับเขยื้อน แม้แต่ลมหายใจก็แทบจะเผลอกลั้นไปด้วย
“ตอบมาสิ ใครอนุญาต” ราชาเอลเบอเรธทรงถามซ้ำ แล้วเลยถือโอกาสตวัดท่อนพระกรโอบรัดร่างบางเอาไว้ในอ้อมพระพาหา โดยไม่ยอมปล่อยพระหัตถ์จากมือทั้งสองข้างของหญิงสาว ทำให้เจ้าตัวหมดหนทางจะดิ้นหนีโดยสิ้นเชิง
“ถ้าไม่ตอบ ข้าจะขังเจ้าเอาไว้อย่างนี้ละนะ”
“ม..ไม่มีเพคะ” เมลิอานาร์รีบตอบทันควัน
“ถ้าไม่มีใครอนุญาต แล้วเจ้าถอดรัดเกล้าทำไม”
“คือหม่อมฉัน....เอ่อ...” หญิงสาวอึกอัก ไม่กล้ากราบทูลเพราะกระดากที่จะเอ่ยทวนข้อความที่เพิ่งได้รู้จากเจ้าหญิงกาอิยาห์
“ไม่บอกใช่มั้ย ด้ายยย...” ราชาเอลเบอเรธทรงลากพระสุรเสียง แล้วแกล้งกระชับอ้อมพระพาหาให้แน่นขึ้นอีก พร้อมกับโน้มพระพักตร์เข้าไปใกล้แก้มนวลของอีกฝ่าย
เท่านั้นเมลิอานาร์ก็หลับหูหลับตากราบทูลเร็วปรื๋อ
“หม่อมฉันไม่ใช่ว่าที่ราชินีแห่งกรีนแลนด์เพคะ”
เสียงหัวเราะทุ้มต่ำลอยมาจากพระศอ
“ใช่สิ ทำไมจะไม่ใช่ ก็เจ้าเคยพูดเองนี่ว่าเป็นคู่หมั้นของข้า”
“ระ..เรื่องนั้น...”
หญิงสาวหน้าแดงก่ำ ได้แต่ขบริมฝีปากด้วยความเจ็บใจเพราะจนปัญญาจะโต้แย้ง นางนึกถึงหลุมขนาดใหญ่ที่ตนอุตส่าห์ขุดเอาไว้แล้วก็ดันพลาดตกลงไปเสียเอง ต่อให้ตะเกียกตะกายปีนขึ้นมาได้สำเร็จก็ยังหลงเหลือร่องรอยของบาดแผลให้คนตามมาเยาะเย้ยล้อเลียนไม่รู้จบ...อย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้
“หม่อมฉันแค่ยืมพระนามมาใช้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเฉยๆ ไม่ได้มีเจตนาจะแอบอ้างตัวเป็นพระคู่หมั้นเสียหน่อย ตอนนั้นเหตุการณ์บังคับ ถ้าไม่ทำอย่างที่ทำไปแล้วหม่อมฉันก็ไม่รู้จะทาทางหลีกเลี่ยงการแต่งงานกับเจ้าชายเอเดรียนได้อย่างไร เพราะฉะนั้นขอได้โปรดอย่าทรงล้อหม่อมฉันอีกเลยเพคะ”
...และถ้าทรงลืมมันไปเสียด้วยก็จะดีที่สุด...
นางแข็งใจอธิบายทั้งที่นึกอยากจะแทรกแผ่นดินหนีให้รู้แล้วรู้รอดมากกว่า
“ทำไมล่ะ เจ้าไม่ชอบเจ้าชายเอเดรียนหรอกหรือ ข้าได้ยินมาว่าสาวๆ ชาวแลมพ์ตันล้วนอยากเป็นชายาของพระองค์กันทั้งนั้น”
ราชาเอลเบอเรธทรงคลายอ้อมพระพาหาออก เพื่อจะจับไหล่หญิงสาวให้หันกลับมาเผชิญหน้ากับพระองค์ ทรงใช้สายพระเนตรคมหวานจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำเงินคู่งามอย่างรอคอยคำตอบ
เมลิอานาร์ค่อยหายใจคล่องขึ้นเมื่อได้รับอิสระ นางกราบทูลตามตรงโดยไม่หลบสายพระเนตร
“ชอบเพคะ แต่ไม่ใช่แบบที่จะแต่งงานด้วย เจ้าชายเอเดรียนกับหม่อมฉันเห็นกันมาตั้งแต่ยังเยาว์ หม่อมฉันไม่เคยมองพระองค์เป็นอย่างอื่นนอกจากญาติ ที่สำคัญ เจ้าชายเอเดรียนทรงเป็นจอมเจ้าชู้จีบสาวไม่เลือก ใครได้เป็นพระชายาก็คงไม่พ้นน้ำตาเช็ดหัวเข่า”
“แล้วถ้าเป็นข้าล่ะ?”
คำถามสายฟ้าแลบของราชาหนุ่มทำให้เมลิอานาร์แทบจะอ้าปากค้าง ใบหน้าที่ซับสีโลหิตอยู่แล้วยิ่งแดงหนักขึ้นจนลามไปถึงลำคอและใบหู นางแน่ใจว่าอีกฝ่ายแกล้งหยั่งเชิงไปอย่างนั้นเอง หากในอกกลับปั่นป่วนราวกับมีผีเสื้อนับร้อยกระพือปีกบินไม่หยุด
ราชาแห่งกรีนแลนด์เห็นปฏิกิริยาของหญิงสาวก็ทรงพระสรวล ตรัสถามซ้ำอีกครั้ง
“ข้าไม่ใช่ผู้ชายเจ้าชู้จีบสาวไม่เลือก ถ้าเป็นข้า เจ้าจะชอบแบบที่จะแต่งงานด้วยหรือเปล่า”
แน่นอนว่า...เมลิอานาร์ไม่มีทางตอบคำถามนั้นให้เข้าเนื้อตัวเองเด็ดขาด!
ห้องโถงกว้างของปราสาทดีนได้รับการตกแต่งอย่างสวยงามด้วยช่อดอกไม้และเชิงเทียนทองคำแบบตั้งพื้นทรวดทรงอ่อนช้อย มีผ้าม่านสีเงินจับเป็นจีบโค้งทิ้งชายยาวรวบแบ่งเป็นสองข้างด้วยเกลียวไหมทองแขวนประดับอยู่ทุกช่วงเสา ผนังห้องด้านในสุดห้อยธงสัญลักษณ์ประจำแคว้นคิริธปักด้วยไหมทองเป็นรูปต้นไม้ใหญ่ใต้ดวงดาราบนพื้นขาว สูงขึ้นไปใต้เพดานโค้งคือโคมแก้วเจียระไนขนาดใหญ่ ส่องประกายสีรุ้งล้อแสงเทียนอยู่แพรวพราว ด้านหนึ่งของห้องตั้งโต๊ะไม้ตัวยาวปูผ้าขาวรีดเรียบเรียงรายไปด้วยจานเงินบรรจุอาหารหวานคาว อีกด้านหนึ่งเป็นที่นั่งของนักดนตรี เสียงเพลงอันไพเราะจากเครื่องดนตรีพื้นเมืองดังผะแผ่ว คละเคล้าไปกับเสียงสนทนาของผู้คนในเครื่องแต่งกายสวยงามทั้งชายและหญิง บ่งบอกชัดถึงบรรยากาศของงานเลี้ยง
ทันทีที่เสียงประกาศการเสด็จของประมุขแห่งกรีนแลนด์ดังขึ้น สายตาทุกคู่ในห้องโถงก็เบนมาจับจ้องยังจุดที่พระองค์ประทับเป็นตาเดียว ราชาเอลเบอเรธทรงงามสง่าอยู่ในฉลองพระองค์สีเทาอมฟ้า สวมทับด้วยเสื้อกำมะหยี่สีเทาเงินตัวยาวคลุมสะโพก บริเวณสาบเสื้อและรังดุมถักด้วยด้ายทองคำเป็นลวดลายคล้ายเถาไม้เลื้อย รับกับลายปักที่ปกและขอบแขน ต่ำลงมาคือกางเกงขายาวสีขาวซ่อนส่วนปลายไว้ในรองเท้าหนังสูงแค่เข่าสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ หากสิ่งที่สะดุดตาผู้คนยิ่งกว่าฉลองพระองค์หลายเท่ากลับเป็นรัดเกล้าทองคำบนพระนลาต โดยปกติแล้วราชาหนุ่มจะไม่ทรงสวมศิราภรณ์เวลาเสด็จออกงานเลี้ยง นอกเสียจากว่างานนั้นจะสำคัญจริงๆ หรือทรงมีเหตุผลพิเศษบางประการ
...ซึ่งกรณีนี้น่าจะเป็นอย่างหลัง
เมลิอานาร์ยืนอยู่เยื้องไปทางเบื้องพระปฤษฎางค์เล็กน้อย นางพลอยถูกสายตาของผู้คนในห้องโถงจับจ้องไปด้วยจนรู้สึกว่าตนเองอยู่ผิดที่ผิดทางอย่างไรชอบกล ครั้นจะถอยหลบไปข้างหลังก็ถูกเจ้าชายกันนาร์ขยับเข้ามาขวางไว้อย่างน่าโมโห พอเปลี่ยนใจกระเถิบไปด้านข้างก็ยังติดมหาดเล็กคนสนิทอย่างเฟรดเข้าเสียอีก หญิงสาวจึงทำได้เพียงยืนตัวลีบฟังผู้ครองแคว้นคิริธกล่าวต้อนรับประมุขแห่งกรีนแลนด์อยู่ที่เดิมด้วยความอึดอัดขัดใจ เมื่อราชนิกุลผู้สูงวัยทรงทำหน้าที่ของพระองค์เสร็จสิ้น แทนที่นางจะได้ปลีกตัวไปหลบอยู่ตรงมุมห้องอย่างใจคิด ราชาเอลเบอเรธกลับทรงหันมารับสั่งถามเสียนี่
“เจ้าเต้นรำเป็นมั้ย”
“ไม่ค่อยถนัดเพคะ”
นั่นคือคำปฏิเสธแบบอ้อมค้อมของหญิงสาว ทว่าราชาหนุ่มทรงแสร้งทำเป็นไม่รู้ ซ้ำยังตรัสหน้าตาเฉย
“งั้นคอยก้าวตามข้าให้ดีแล้วกัน”
พอสิ้นพระสุรเสียง บทเพลงอันไพเราะก็กังวานขึ้นราวกับรอจังหวะอยู่แล้ว ผู้คนในงานเลี้ยงต่างพร้อมใจกันขยับหลีกไปยืนอยู่รอบห้องโถง เว้นที่วางตรงกลางไว้สำหรับประมุขแห่งกรีนแลนด์ทรงเต้นรำเปิดฟลอร์ ท่ามกลางสายตาหลายสิบคู่ที่จับจ้องรอคอย ราชาเอลเบอเรธทรงค้อมพระเศียรให้สตรีข้างกายด้วยรอยแย้มสรวลชั่วร้าย พร้อมกับยื่นพระหัตถ์ไปตรงหน้าเป็นการบอกชัดว่าทรงขอนางเต้นรำ ...แล้วเมลิอานาร์จะทำอะไรได้อีก นอกจากจำใจวางมือลงในอุ้งพระหัตถ์ ปล่อยให้ราชาหนุ่มพาออกไปยังที่ว่างกลางห้องด้วยความรู้สึกเหมือนเพิ่งกลืนยาน้ำขมปี๋เข้าไม่มีผิด
เห็นได้ชัดว่าราชาเอลเบอเรธทรงวางแผนมาแล้วเป็นอย่างดี เพียงแค่เต้นรำเพลงเดียว พระองค์ก็ทำให้ทุกคนในที่นั้นเชื่อสนิทว่าหญิงสาวในอ้อมพระพาหาคือ ‘พระคู่หมั้น’ โดยไม่ต้องทรงออกแรงป่าวประกาศให้เหนื่อย
เมลิอานาร์ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจที่เหตุการณ์กลับตาลปัตรไปเช่นนั้น แม้ว่าทางออกที่ราชาหนุ่มทรงหยิบยื่นให้ จะเป็นทางออกที่ดูงดงามราบรื่นราวกับปูด้วยพรมดอกไม้ เพียงนางก้าวเดินไปตามเส้นทางนั้น เรื่องที่ท่านผู้หญิงมาร์กาเร็ตเข้าใจผิดก็จะกลายเป็นความจริงขึ้นมาทันที แต่... เส้นทางสายดอกไม้ที่เห็นจะไม่มีคมหนามแฝงซ่อนอยู่จริงๆ ละหรือ หญิงสาวยังมองไม่ออกว่าราชาเอลเบอเรธทรงมีเหตุผลอะไร จึงได้พระทัยดีถึงขั้นเสียสละตนเองเพื่อช่วยผู้หญิงที่แอบอ้างตัวเป็นพระคู่หมั้น นอกเสียจากว่า...
ทรงต้องการแก้เผ็ดนาง!
คิดมาถึงตรงนี้ เมลิอานาร์ก็ต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ ปัญหาที่นางเคยแน่ใจว่าสามารถหาทางออกได้ง่ายนิดเดียว เอาเข้าจริงกลับยิ่งขมวดพันกันยุ่งเหยิงจนกลายเป็นปมใหญ่ขึ้นทุกที พอจะลงมือสางจึงไม่รู้ว่าควรเริ่มจากปมไหนก่อนดี
“ถอนใจทำไม มีเรื่องอะไรให้คิดหรือ” เสียงถามอย่างอาทรดังอยู่เหนือศีรษะ
หญิงสาวสั่นหน้าปฏิเสธเบาๆ ตาจับเฉพาะปลายพระหนุของราชาหนุ่มไม่กล้ามองสูงไปกว่านั้น ในใจก็ได้แต่นึกภาวนาให้เสียงดนตรีสิ้นสุดลงเสียโดยเร็ว เพื่อที่นางจะได้พ้นไปจากอ้อมพระพาหาสักที
“หรือว่า...เจ้ารังเกียจ ไม่อยากเต้นรำกับข้า”
ศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีน้ำตาลทองละเอียดอ่อนราวเส้นไหมสั่นแรงยิ่งกว่าเก่า เรียกเสียงหัวเราะทุ้มลึกให้ดังขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าคงไม่อยากแต่งงานกับข้ากระมัง”
ได้ผล...ทำถามนั้นทำให้ศีรษะที่ก้มงุดเงยขึ้นทันที เมลิอานาร์แทบจะอ้าปากค้างจ้องหน้าผู้พูดอย่างไม่เชื่อหู
ราชาเอลเบอเรธเห็นท่าทางตกตะลึงของคนในอ้อมแขนก็ทรงพระสรวลด้วยความขบขันระคนเอ็นดู
“แปลกใจอะไร เจ้าคิดว่าข้าให้ท่านอาจัดงานเต้นรำนี้ขึ้นมาเล่นๆ หรือ”
“ต..แต่ว่า...ฝ่าบาทกับหม่อมฉัน...เรา...ไม่ได้เป็นอะไรกันนะเพคะ”
“ตอนนี้อาจจะยัง แต่ในอนาคตไม่แน่ เจ้ายังติดค้างค่าจ้างของข้าอยู่นะ อย่าลืมสิ”
“ค่าจ้าง” เมลิอานาร์นึกว่าตนหูฝาด จึงทูลถามซ้ำอีกรอบ “ค่าจ้างอะไรกันเพคะ”
“ก็ค่าจ้างที่ข้านำทางเจ้ามาจนถึงหมู่บ้านชายแดนอย่างไรล่ะ”
เท่านั้นหญิงสาวก็ถึงบางอ้อ นางเหลือบตามองเจ้าของคำตอบด้วยความอัศจรรย์ใจ นึกไม่ถึงว่าจนป่านนี้แล้ว เขายังคิดจะทวงค่าจ้างจากนางอยู่อีก
“ทรงต้องการเท่าไรเพคะ ตรัสมาได้เลย”
“ต้องการทั้งหมดนั่นแหละ”
เมื่อเห็นสีหน้างุนงงของสตรีในอ้อมแขน ราชาเอลเบอเรธก็ทรงขยายความด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม
“ข้าหมายถึง...ตัวเจ้าทั้งหมด”
...หา!...
“ท..ท...ท...ทำไม...”
“ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะว่าข้าชอบเจ้าน่ะสิ อีกอย่าง...เจ้าคงไม่โกรธนะ ถ้าข้าจะบอกว่าเคยเห็นร่างเกือบเปลือยของเจ้ามาแล้วด้วย”
คำสารภาพตรงไปตรงมาของราชาแห่งกรีนแลนด์ทำให้เมลิอานาร์ถึงกับอึ้งพูดอะไรไม่ออก สิ่งที่นางนึกสงสัยมาตลอดเพิ่งกระจ่างชัดตอนนี้เอง ที่แท้ผู้ที่ทำแผลให้นางในคืนนั้นก็คือราชาเอลเบอเรธ พระองค์ทรงทราบมานานแล้วว่านางเป็นผู้หญิง หากแต่แกล้งทำเป็นไม่รู้จนนางเชื่อสนิท หญิงสาวได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโมโหผสมความอาย ใบหน้าร้อนผ่าวจนแทบจะพ่นไอน้ำออกมาได้อยู่รอมร่อ รู้สึกอยากประทุษร้ายร่างกายอีกฝ่ายขึ้นมาติดหมัดจึงแกล้งเหยียบลงไปบนพระบาทเต็มแรง แล้วผละหนีทันทีที่เสียงเพลงอันไพเราะสิ้นสุดลง
ราชาเอลเบอเรธทรงสาวพระบาทตามมาทันหญิงสาวที่ระเบียงข้าง พระองค์คว้าข้อมือนางไว้ไม่ให้หนีพลางรับสั่งถามเสียงอ่อน
“เจ้าโกรธข้าหรือ”
เมลิอานาร์ไม่ตอบ หากสะบัดหน้าไปทางอื่นที่ไม่ใช่พระพักตร์หล่อเหลาของอีกฝ่าย โดยหารู้ไม่ว่าท่าทางแง่งอนแบบผู้หญิงของนาง ทำให้พระหทัยของใครบางคนเต้นผิดจังหวะไปแล้ว
ราชาหนุ่มทรงเคลื่อนพระวรกายเข้าใกล้หญิงสาวพลางโอบเอวนางไว้หลวมๆ ตรัสต่อไปว่า
“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะล่วงเกินเจ้า แต่ข้าทนเห็นเจ้าเป็นอะไรลงไปต่อหน้าไม่ได้ ก็เลย...”
“ไม่ต้องตรัสแล้วเพคะ” เมลิอานาร์ขัดขึ้น หางเสียงยังคงสะบัดอยู่น้อยๆ อย่างแง่งอน
“หม่อมฉันเข้าใจดี”
“ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็หายโกรธข้าแล้วใช่มั้ย”
ไม่มีคำตอบ หากแก้มนวลของคนถูกถามซับสีโลหิตขึ้นจางๆ แลดูสวยงามน่าหลงใหลภายใต้แสงจันทร์กระจ่าง จนราชาหนุ่มต้องข่มพระทัยอย่างหนักที่จะไม่โน้มพระพักตร์เข้าไปจุมพิตนาง
“ข้ารู้ว่าข้ารวบรัดเจ้าเกินไป แต่ขอให้รู้ไว้ว่าข้าอยู่ไม่ได้โดยไม่มีเจ้า เมลิอานาร์...เจ้าจะอยู่กับข้าที่กรีนแลนด์ เป็นราชินีของข้าได้มั้ย”
“ร..เรื่องนั้น หม่อมฉัน...”
ราชาเอลเบอเรธทรงใช้พระดัชนีแตะที่ริมฝีปากหญิงสาวอย่างแผ่วเบา พร้อมกับแย้มพระสรวล “เจ้ายังไม่จำเป็นต้องตอบในตอนนี้ ข้าให้เวลาเจ้าคิดนานเท่าไรก็ได้”
ตรัสแล้วก็ทรงรูดพระธำมรงค์จากพระดัชนียัดใส่มือหญิงสาว รับสั่งช้าชัด
“ข้าจะไม่ถอดแหวนแห่งพันธะให้เจ้าเพราะข้าถือว่านั่นคือแหวนหมั้น ส่วนแหวนวงนี้เปรียบเสมือนหัวใจที่ข้ามอบให้เจ้า เจ้าจะขว้างทิ้งหรือสวมมันคืนให้แก่ข้า...ก็ขึ้นอยู่กับคำตอบในใจเจ้าเอง”
“แล้วถ้าหม่อมฉันไม่ตอบล่ะเพคะ” เมลิอานาร์แกล้งทูลถาม
ราชาเอลเบอเรธทรงแย้มสรวลอ่อนโยน “ข้าก็จะรอต่อไป”
ครั้นราชาหนุ่มเสด็จจากไปแล้ว เมลิอานาร์จึงค่อยคลายมือออกช้าๆ เพื่อแอบดูแหวนน้อยวงนั้น แล้วก็ต้องชะงักไปทันทีเมื่อพบว่ามันคือแหวนตราพระราชลัญจกรประจำพระองค์ประมุขแห่งกรีนแลนด์ ซึ่งเป็นแหวนที่ราชาหนุ่มจะต้องทรงใช้เป็นตราประทับตอนลงพระนามในเอกสารราชการ และมีอยู่เพียงวงเดียว
“คนเจ้าเล่ห์ แหวนสำคัญแบบนี้ข้าจะขว้างทิ้งได้ที่ไหนกันเล่า!”
หญิงสาวโวยวายพลางตวัดหางตาค้อนไปทางประตูที่ร่างของใครบางคนเพิ่งหายลับไป เมื่อไม่มีทางเลือกก็จำต้องยอมสวมแหวนของคนเจ้าเล่ห์ไว้ที่นิ้วนางซ้ายคู่กับแหวนพลอยน้ำทะเล เพ่งมองดูมันทั้งคู่พลางย่นจมูกใส่ ทว่าริมฝีปากบางกลับแต้มระบายด้วยรอยยิ้ม ภายนอกระเบียง แสงจันทร์สีเงินยวงยังคงทอทาบลงบนพื้นหินอย่างนุ่มนวล ทว่าในห้องโถงที่สวางไสวด้วยแสงเทียนกลับอบอวลไปด้วยเพลงรักอันอ่อนหวาน
angelK
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 ม.ค. 2559, 07:35:51 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ม.ค. 2559, 07:35:51 น.
จำนวนการเข้าชม : 1416
<< ตอนที่ 29 | บทส่งท้าย >> |
แว่นใส 3 ม.ค. 2559, 08:49:46 น.
ยอมรับความจริงเถอะน่า
ยอมรับความจริงเถอะน่า
ปอยอะนะ 3 ม.ค. 2559, 09:57:05 น.