ความลับ (ที่) ซ่อนเร้น .. หรือจะเป็น ความรัก!(?)
คำถาม .. ที่มีคำตอบ
แต่คำตอบ .. กลับยังคงมากมายด้วยคำถาม

เพราะนิยามในคำหนึ่งคำนั้น
แฝงเร้นซุกซ่อนไว้ซึ่งความลึกลับ
ความซับซ้อนชวนสับสน รอยยิ้มปนเปื้อนคราบน้ำตา
เล่ห์เสน่หาหวานล้ำ และพร้อมจะนำความเจ็บปวดมาให้ .. ได้ทุกเวลา

.. หากว่ามันคือ ความรักที่มากล้น จนกลายเป็น .. ความลับ ! ..
Tags: ความรัก ความลับ

ตอน: บทที่ ๓๔ .. ใจใคร ก็ใจใคร



"พัด ... จะไม่บอกหนูเภา เรื่องที่เราประสบอุบัติเหตุจริงๆหรือลูก"

คำถามของละอองชลฉายชัดถึงความกังวลไม่ปิดบัง ด้วยห่วงใยความรู้สึกของลูกชาย ที่ผู้เป็นมารดาเพิ่งเข้าใจได้ว่า เหตุใดจึงไม่พบหน้าค่าตาหญิงสาวคนสำคัญของเขา

เมฆพัดนอนนิ่งเหม่อมองเพดาน นอกจากอาการนิ่งเงียบ ก็มีแค่ถอนใจเฮือกใหญ่ อย่างคนไม่รู้จะทำอย่างไรได้ดีไปกว่านี้

"นี่ถ้าเกิดว่า รถที่ขับไปชนต้นไม้ข้างทาง ไม่ใช่รถของยัยพุด ... แม่ก็คงจะเหมือนหนูเภา ที่ไม่มีโอกาสรับรู้ว่า พัดกำลังไปเป็นตายร้ายดียังไง ที่ไหน ..."

คนเป็นแม่ใช่ว่าอยากซ้ำเติมความเจ็บป่วยของลูก แต่ก็อดน้อยใจไม่ได้เหมือนกัน จึงสะท้อนออกมาทางคำพูด ทางน้ำเสียงสั่นเครือเจืออารมณ์

"แม่ครับ ... ผม ... ผมแค่ไม่อยากให้แม่ ... เป็นห่วง"

ชายหนุ่มหลับตาอย่างเหนื่อยอ่อน เขารู้ตัวเองดีว่า ไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่บาดแผลแตกที่ศีรษะเล็กน้อย กับฟกช้ำดำเขียวจากการกระแทก ทำให้ปวดเมื่อยตามเนื้อตัวอีกนิดหน่อย

บาดแผลตามร่างกาย ยังเทียบไม่ได้กับที่ใจ

"เอาไว้แกไม่ใช่ลูกฉันก่อน ... เมฆพัด ค่อยบอกให้ฉันไม่ต้องห่วงแก"

"ผมขอโทษครับ ... แม่"

ละอองชลอยากจะเสียงแข็งให้ได้มากกว่านี้ แต่พอเห็นสีหน้าเซียวตัดกับหนวดเคราเขียวครึ้มลูกชาย ใจก็อ่อนยวบลง

"แล้วเรื่องหนูเภาล่ะ ... ว่ายังไง"

เมฆพัดสบสายตามารดาที่ต้องการฟังคำตอบ ชายหนุ่มยังนึกไม่ออกเลยว่า ควรจะเล่าหรือไม่ และถ้าเล่าไปละอองชลอาจคิดว่า อุบัติเหตุครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะปัญหาของเขากับเภตรา

"ผม ... ไม่ได้เป็นอะไรมาก พรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้ ... ที่ไม่บอกก็เพราะไม่อยากบอก เอ่อ ไม่อยากให้เภาเป็นห่วง ... เหมือนแม่"

ละอองชลจับตามองคนพูด ที่จู่ๆก็แสร้งเสเบนสายตาไปทางอื่นไม่ยอมสานสนด้วย ทำให้ยากจะเชื่อได้หมด แต่ไม่นานเจ้าตัวก็หันกลับมายิ้มทะเล้นได้เหมือนเคย

"น่าๆ ... นะครับแม่ ตอนนี้ผมก็เหมือนมีแม่อยู่สองคนแล้ว ... หนูเภาคนดีของแม่ ผมขอไว้เป็นเมียสักคน ... นะครับ"

"ตายล่ะ ลูกคนนี้ ... ลูกเขามีพ่อมีแม่ อย่าไปพูดแบบนี้ให้คนอื่นได้ยินเชียว เขาจะหาว่าเราไม่ให้เกียรติพ่อแม่เขา ... แล้วก็ไม่ให้เกียรติหนูเภาด้วย"

ชายหนุ่มชะงักไปเหมือนกันกับสิ่งที่มารดาตำหนิ ฉุกคิดขึ้นในใจถึงการกระทำต่างๆที่ผ่านมา ก่อนจะสรุปได้ด้วยตัวเองว่า

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำ แม้จะรู้ว่านั่นคือ ความรัก

แต่มันก็ผิดพลาดจนได้ ด้วยการกระทำของเขานั้น ช่างไร้เกียรติ ... ไร้ศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายสิ้นดี!

"เออ ... พัด ลูกสนิทกับคุณรวิรุจน์ กับคุณช่ออัญชันขนาดไหน พวกเขาถึงได้กุลีกุจอรับผิดชอบ เกินกว่าหน้าที่พลเมืองดีที่ให้ความช่วยเหลือพัดน่ะ"

ละอองชลถามถึงข้อสงสัยที่คาใจ นับแต่มาถึงโรงพยาบาลหลังจากทราบเรื่อง แม้จะเบาใจว่าไม่ได้ร้ายแรงถึงแก่ชีวิต แต่คนเป็นแม่ก็ไม่อยากให้อันตรายใดๆมาแผ้วพานบุตรของตนทั้งนั้น

เมื่อเห็นว่าบุคคลที่เอ่ยถึงไม่ได้อยู่ที่นี่ เพราะต้องไปให้ปากคำเพิ่มเติม รวมถึงองก์อัมพุทที่ต้องไปจัดการเรื่องคดีความแทน ในฐานะน้องสาวผู้บาดเจ็บและเจ้าของรถคันเกิดเหตุ จึงเป็นโอกาสให้คนอยู่เฝ้าได้ซักฟอกอย่างหมดจด

"ก็ ... ไม่เชิงครับ ..."

เมฆพัดผ่อนคลายจากสำนึกเลวร้ายของตัวเองชั่วครู่ การเปลี่ยนเรื่องกะทันหันของมารดาช่วยไม่ให้เขาจมดิ่งกับความผิดที่ก่อ ... ซึ่งกำลังบั่นทอนจิตใจลงไปทุกที

"คุณรวิรุจน์ ถ้าจำไม่ผิด เขาเป็นเจ้านายยัยพุด ... ส่วนคุณช่ออัญชัน ... เรารู้จักกันครับ"

"เฮ้อ ... โชคดี หรือโลกกลม ก็ไม่รู้ ... แต่ที่แม่รู้สึกคือ โชคดีที่โลกกลม เพราะมันช่วยให้ลูกชายของแม่ปลอดภัย ... ดีแล้วลูก ที่พัดของแม่ไม่เป็นอะไร"

ละอองชลยิ้มอ่อนโยนให้ลูกชาย พลางยกมือขึ้นวางบนศีรษะ ลูบเส้นผมดำหนาของเมฆพัดช้าๆ ก่อนจะเลิกใส่ใจกับคนอื่นโดยปริยาย

แม้ในใจของเมฆพัดยังเจ็บปวด แต่อย่างน้อยการที่เขารอดมาได้ ก็ทำให้เขาตระหนักในความรัก ความห่วงใยของแม่ที่มีให้ตลอดมา และมันไม่เคยลดลงเลยสักนิดเดียว





รวิรุจน์กับช่ออัญชันต่างจมอยู่ในห้วงความคิดของตน หลังจากประเมินสถานการณ์การเผชิญหน้ากับใครหลายๆคนที่โรงพยาบาล แล้วยังต่อด้วยการเป็นพยานสอบปากคำเพิ่มเติมที่สถานีตำรวจ

ทำให้ทั้งคู่จำต้องปลีกตัวออกมาก่อนด้วยข้ออ้าง 'ติดธุระ' เมื่อหมดหน้าที่ที่พลเมืองดีพึงกระทำ พวกเขาจึงพากันมานั่งในค็อฟฟี่ช็อปแห่งหนึ่ง หวังให้บรรยากาศดีๆ ช่วยสยบความรู้สึกที่ใกล้จะคุกรุ่นเต็มที

กาแฟเย็นสองที่ถูกละเลย จนน้ำแข็งในแก้วเครื่องดื่มตรงหน้าละลาย ดูจืดจางเกินกว่าจะจิบดับกระหายได้อีก

"รุจน์ ... เราตัดสินใจได้แล้ว คืนนี้ขอไปค้างที่บ้านได้ไหม"

เจ้าของสถานที่ที่ถูกพาดพิงชำเลืองมองเพื่อนสาว ราวกับคำขอนั้นเป็นเรื่องพิศดารพันลึก ทั้งที่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่เคยปฏิเสธเพื่อนคนนี้สักครั้ง

"วันนี้เราเห็นอะไรชัดขึ้น ทำให้คิดว่า เราควรจะจริงจังจริงๆเสียที"

"อัญหมายถึง ... คุณพัด งั้นหรือ?"

ช่ออัญชันในอิริยาบถนั่งกอดอกพยักหน้าให้รวิรุจน์ ความมุ่งมั่นจ้าแจ่มกว่าครั้งไหน และมันเหมือนเป็นขุมพลังส่งต่อมาถึงชายหนุ่ม

รวิรุจน์จำได้ติดตากับภาพความสนิทชิดเชื้อระหว่าง 'วิชชุ์วิธูกับองก์อัมพุท' ความรู้สึกทั้งมวลถูกอารมณ์กระตุ้นเตือนว่า เขาก็ไม่ควรนิ่งเฉยเหมือนที่แล้วมา

"รุจน์ว่า ... เพื่อให้ได้สิ่งที่เราต้องการ เราควรจะเริ่มจากอะไรก่อนดี"

"อืม ... นั่นสิ เรา ... จะเริ่มจากใครก่อนดี"

สองหนุ่มสาวยิ้มให้แก่กัน เมื่อความเข้าอกเข้าใจถูกสื่อสารโดยไม่ต้องพูดออกมา





องก์อัมพุทจัดการเรื่องคดีความได้เรียบร้อยและรวดเร็ว เพราะความช่วยเหลือของวิชชุ์วิธู จากหลายเหตุการณ์ที่ผ่านมา ทำให้เธออดคิดไม่ได้ว่า ... ถ้าไม่มีเขา ทุกอย่างจะลงเอยได้ดีแบบนี้หรือไม่

ส่วนเรื่องรถสีครามหม่นของเธอที่เสียหาย อาการมันไม่น้อยเลยคงต้องใช้เวลาซ่อมมันนานพอดู กว่าจะกลับมาในสภาพปกติ

"คอยดูนะคะพี่วิชชุ์ ... พุดจะเรียกเก็บเงินจากพี่พัดมาเป็นค่าซ่อม กับค่าแท็กซี่เวลาไปทำงาน จนกว่ารถของพุดจะกลับมาเหมือนเดิม"

"แน่ใจหรือหนูพุด ... พี่ว่า พี่ได้ยินแว่วๆที่หนูพุดพูดกับคุณแม่ก่อนออกมานะว่า เรื่องรถไม่ต้องห่วง ... พี่พัดสำคัญกว่า"

วิชชุ์วิธูเย้าหญิงสาวเมื่อเห็นว่า เธอสบายใจขึ้นมาก ทั้งเรื่องอาการของพี่ชายที่ไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรง ทั้งเรื่องคดีความที่สามารถไกล่เกลี่ยกับคู่กรณีโดยไม่ยืดเยื้อมากความ

"พุดขอบคุณพี่วิชชุ์นะคะ ... ที่คอยอยู่ข้างๆ คอยช่วยเหลือพุด"

ชายหนุ่มเหลียวมองคนพูดหลังจากดับเครื่องยนต์จอดรถในลานจอดของโรงพยาบาล รอยยิ้มละมุนกับแววตาอ่อนโยนของเขา มันช่วยยืนยันการกระทำอย่างเต็มอกเต็มเต็มใจ ที่องก์อัมพุทรับรู้มาตลอด

สายตาอบอุ่นหากพรางประกายพราวไม่มิด มันสามารถทำให้องก์อัมพุทรู้สึกประหม่าวูบวาบกะทันหัน พวงแก้มระเรื่อผะผ่าวจนเจ้าตัวต้องยกมือขึ้นประกบดวงหน้า เฉไฉไปเรื่องอื่น

"เอ่อ ... พุด ... ทำไมร้อนจัง เรารีบไปหาแม่กับพี่พัดเถอะค่ะ แม่คงอยากรู้แล้วว่าทุกอย่างเรียบร้อยไหม"

หญิงสาวอึกอักบุ้ยบ้ายหมายให้พ้นตัว จึงยกบุพการีและพี่ชายมาเป็นตัวช่วย ขณะที่ชายหนุ่มไม่ได้เอ่ยสักคำ ทำเพียงแค่ยิ้มเยื้อนคล้ายขบขันแกมเอ็นดู กระทั่งเธอเปิดประตูก้าวลงจากรถ ที่เย็นฉ่ำด้วยระบบปรับอากาศในห้องโดยสารไปก่อน เขาจึงเปรยแผ่วเบากับตัวเอง

“หนูพุดของพี่ จะน่ารักไปถึงไหนนะ”





วิชชุ์วิธูกลับมาถึงบ้านเกือบ ๔ ทุ่ม แต่สีหน้าของเขายังแช่มชื่น แถมเผื่อแผ่มาถึงสมาชิกอีก ๒ คนในครอบครัว ที่ยังนั่งดูรายการข่าวโทรทัศน์ผ่านเคเบิ้ล

"ไงเจ้าวิชชุ์ ... กลับเอาป่านนี้ พ่อนึกว่าแกจะไม่มาบ้านนี้แล้วซะอีก แต่หน้าบานยิ่งกว่าจานรับสัญญาณดิจิตอลขนาดนี้ ฉันไม่น่ารอแกเลย เฮอะ"

พฤหัสเหลือบมองบุตรชายคนโต สัพยอกแกมห่วงใย แต่แทนที่จะมองให้เต็มตาก็แสร้งทำไม่สนใจ จนปารตีใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้หนีบเบาๆที่เนื้อต้นแขน

"คุณนี่ล่ะก็ ... ไม่ใช่เพราะเป็นห่วงคุณวิชชุ์หรือคะ กล่อมลูกสาวหลับก็มานั่งรอลูกชายแบบนี้"

"โธ่ ... รตีก็ เจ้าวิชชุ์มันก็รู้หมดสิ ว่าผมเป็นห่วงมัน"

สองสามีภรรยาหยอกล้อกันไปมา จนวิชชุ์วิธูนึกขำ

ทว่า ในซอกหลืบสุดมุมหัวใจให้รู้สึกหน่วงหนัก ที่ผู้หญิงตรงหน้าไม่ใช่ ... แหวนวง แม่ของเขา

ชายหนุ่มปรับความคิดชั่วเสี้ยววินาที ... ความสุขของบิดา คือสิ่งที่เขาเลือก

ที่สำคัญ เพราะหนทางนี้ ... บิดามารดาของเขาได้เลือกด้วยตัวของพวกท่านเอง

"ผมก็คิดว่า ผมน่าจะกลับบ้านที่กรุงเทพฯ เสียเดี๋ยวนี้ล่ะฮะ ... ถ้าพ่อจะหวานกันไม่เกรงใจส่วนเกิน"

"คุณวิชชุ์ ... ดูสิ เพราะคุณคนเดียว รตีไม่คุยกับคุณแล้ว ... เออ แล้วนี่คุณวิชชุ์กินอะไรมาหรือยังคะ"

วิชชุ์วิธูยิ้มรับความใส่ใจเสมอต้นเสมอปลายของปารตี ที่มีให้เขาไม่ต่างจากบิดา

ผิดกันก็แต่ว่า สำหรับเขา มันคือความปรารถนาดีที่สาวใหญ่คนนี้มอบให้ ... หาใช่เป็นความรักเฉกเช่นเดียวกับพฤหัส

"เรียบร้อยแล้วครับ ... คืนนี้ขอตัว พรุ่งนี้ผมมีธุระแต่เช้า ... ราตรีสวัสดิ์ครับ หนุ่มๆสาวๆ"

แค่เห็นพฤหัสตั้งท่าอ้าปากจะซักถาม พอเขาพูดจบก็ผละเดินหนีจากห้องนั่งเล่นทันที ไม่เปิดโอกาสให้ถูกซักถามใดๆ แต่ยังแว่วเสียงบิดาให้ได้ยินถนัด

"ดูมันสิรตี ... เอาไว้มันมีลูกมีเมียก่อนเถอะ มันจะได้รู้ว่า ไอ้ความรู้สึกที่ผมเป็นอยู่เนี่ย มันเป็นยังไง"

"รตีว่า คงไม่นานมั้งคะ ..."

วิชชุ์วิธูได้แต่ส่ายศีรษะกับคำปรามาสของพฤหัส แต่มุมปากยกยิ้มกว้าง ในใจเบิกบานเกินกว่าใครจะรู้ได้ นอกจากตัวเองว่า เขาปรารถนาจะให้คำพูดของพ่อเป็นจริงวันนี้ ... พรุ่งนี้





คล้อยหลังคู่สามีภรรยาได้ไม่นาน ชายหนุ่มเดินขึ้นบันไดมาจนเกือบถึงหน้าห้อง แต่กลับต้องชะงักเท้า เพราะเห็นเด็กหญิงตัวน้อยยืนก้มหน้าอยู่ก่อนแล้ว

"เกรซ ... ทำไมยังไม่นอนอีก หืม"

"พี่วิชชุ์ ..."

ตรีวธูเงยหน้ามองตามเสียงเรียก พอเห็นว่าเป็นใครสาวน้อยของบ้านก็ปล่อยโฮ ถลาเข้าหาพี่ชายเต็มแรงจนเขาแทบตั้งหลักรับร่างบาง แต่ทุ่มน้ำหนักทั้งตัวเกือบไม่ทัน

"อ้าว ... เป็นอะไรไป ฝันร้ายหรือจ๊ะ เจ้าหญิงน้อย"

วิชชุ์วิธูค่อยย่อตัวลงจนส่วนสูงไม่ต่างกัน ขณะน้องน้อยยืนร้องไห้เกาะแขนไม่ห่าง เขาจึงปลอบประโลมให้เด็กหญิงคลายตระหนกเสียขวัญ

"พี่วิชชุ์ขา ... พี่รุจน์ ... พี่รุจน์สัญญาว่าจะมา ... จะพาเกรซไปตัดไหม ... แต่พี่รุจน์ ... ก็ไม่มา ฮือๆ ..."

ตรีวธูบอกเล่าถึงสาเหตุทั้งน้ำตา ก่อนจะกลั้นสะอื้นพูดต่ออย่างคนผิดหวัง น้อยใจ และเสียใจ

"... พี่รุจน์ เกลียดเกรซแล้ว ... ใช่ไหมคะพี่วิชชุ์ ... ฮือ ๆ ... พี่รุจน์ไม่เคยผิดสัญญา ... แต่ที่วันนี้ไม่มา ..."

"ไม่จริงหรอก ... พี่รุจน์ไม่มีวันเกลียดน้องสาวที่น่ารักคนนี้แน่ ..."

"แล้วทำไม ... พี่รุจน์ไม่มาล่ะคะ ... ทั้งที่ ... สัญญากันแล้ว"

เด็กหญิงยกมือเล็กๆข้างหนึ่งขึ้นปาดน้ำตา ปากจิ้มลิ้มก็พร่ำทวงคำมั่นระหว่างพี่ชายคนรองกับเธอ ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวให้มั่นใจได้ว่า ต่อให้รู้เต็มอก เรื่องที่พี่ชายคนรองไม่ชอบแม่ แต่เขาก็ไม่ได้ไม่ชอบเธอไปด้วย

"เกรซ ... ฟังพี่นะ ที่วันนี้พี่รุจน์ผิดสัญญา เพราะเขามีความจำเป็น"

"จำเป็นอะไรคะ ... พี่รุจน์เคยบอกกับเกรซเอง คนผิดสัญญา คือคนที่เชื่อถือไม่ได้"

วิชชุ์วิธูเกือบเผลอถอนหายใจกับความยึดมั่นเชื่อมั่นของตรีวธู แต่เพราะน้องยังเด็ก อาจจะไม่เข้าใจความคิดและการกระทำของผู้ใหญ่มากพอ อีกทั้งปัญหาความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ดูอบอุ่น หากลึกๆเขารู้ว่ามันเปราะบาง จึงไม่แปลกเลยที่เด็กหญิงจะรู้สึกสั่นคลอน ... ไม่มั่นคง

"นี่ถ้าไม่ได้คำตอบ เกรซก็คงจะไม่ยอมนอนสินะ"

น้องน้อยจ้องตาพี่ชายนิ่งแล้วผงกหน้าหงึกหงักเป็นคำตอบ จนอีกฝ่ายอดอมยิ้มยกมือใหญ่ขึ้นวางบนศีรษะจ้อย ยีผมเบาๆอย่างหมั่นเขี้ยว

"โอเค ... งั้น พี่ขอเข้าห้องอาบน้ำอาบท่าก่อนนะจ๊ะ สาวน้อย ... แล้วพี่จะบอกให้ว่า ทำไมพี่รุจน์ของเกรซถึงผิดสัญญา"

"ทำไมล่ะคะ ... ทำไมบอกตอนนี้ไม่ได้"

ตรีวธูงอแงฮึดฮัดอยากรู้ทันที แต่วิชชุ์วิธูก็มีเหตุผลของเขา ... เด็กหญิงควรเรียนรู้รอคอย ไม่ใช่การเอาแต่ใจ

"เกรซรอมาได้ทั้งวัน รออีก ๕ นาที ๑๐ นาที ... ให้พี่อาบน้ำแป๊บหนึ่ง นะเจ้าหญิงของพี่"

คำหว่านล้อมอ่อนโยนในเย็นของวิชชุ์วิธูได้ผลเสมอ ตรีวธูสูดลมหายใจลึกประหนึ่งถูกขัดใจ ตามประสาน้องน้อยซึ่งเป็นที่รักของทุกคนในบ้าน แต่ก็ไม่ขัดขืนโต้แย้งอีก กระนั้นเธอกลับเอ่ยปากต่อรอง ขอตามเขาเข้าไปในห้อง เพื่อดูภาพคำกลอนที่ติดหูติดใจเมื่อคราวก่อน

"งั้น ... เกรซขอเข้าไปดูรูปเมฆกับพระจันทร์ในห้องพี่วิชชุ์นะคะ"

"เอาสิ ... จะนอนเล่นบนเตียงก่อนก็ได้ ... อ้อ พี่อนุญาตให้หลับรอได้ด้วยนะ"

เด็กก็คือเด็ก ... เด็กหญิงหัวเราะกับคำอนุญาตของพี่ชาย ที่เย้าแหย่จนเธออารมณ์ดีขึ้นมาทันตา ก่อนที่เจ้าของห้องจะยืนขึ้นพาน้องสาวตัวน้อยเข้ามาในห้องด้วยกัน





องก์อัมพุทกำโทรศัพท์เครื่องบางในมือ ความลังเลในใจก่อกวนความรู้สึกให้ว้าวุ่นละล้าละลัง จนเธอเองก็ไม่รู้ว่าต้องจัดการกับมันยังไง

ใจหนึ่งอยากโทร.บอกข่าวคราวของเมฆพัดแก่เภตรา แต่อีกใจก็ยังนึกขุ่นเคืองไม่หายกับข้อสันนิษฐานของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น

"เป็นอะไรน่ะพุด ... พี่เห็นเราทั้งกำทั้งมองโทรศัพท์ มาครึ่งค่อนคืนแล้วนะ ... รึจะโทร.หาคุณวิชชุ์"

หญิงสาวตวัดค้อนมาให้พี่ชาย ที่กำลังกดรีโมทเปลี่ยนช่องทีวีไปมา ซึ่งเขาก็ทำเช่นนี้มานานสองนานไม่ต่างจากเธอ

"ถ้าเป็นพี่วิชชุ์ ... เค้าไม่เสียเวลาคิดมากหรอก แต่นี่กำลังคิดว่า จะบอกเภาเรื่องพี่พัดดีไหมต่างหาก"

เมฆพัดนิ่งไปกับชื่อที่หลุดจากปากน้องสาว ชายหนุ่มกดรีโมทอีกครั้ง แต่เป็นการปิดทีวีไปเลย เขาหลับตาปล่อยอุปกรณ์ควบคุมสี่เหลี่ยมทรงยาวตกลงข้างตัวไม่ไยดี

"ไม่ต้องหรอกพุด ... พรุ่งนี้พี่ก็กลับบ้านแล้ว"

"พี่พัดแน่ใจนะ ว่าแบบนี้ดีแล้ว"

"อือ ... บางที ห่างกันสักพัก พี่อาจจะคิดอะไรได้มากขึ้น ... ทำอะไรได้ดีกว่านี้"

องก์อัมพุทใจหายพิกลกับคำพูดทอดอาลัยของเมฆพัด สัมผัสได้ถึงความทดท้อและอ้างว้าง แตกต่างจากวันที่ไปประกาศกร้าวแสดงตัวที่ทะเล ... อย่างสิ้นเชิง

"เกิดอะไรขึ้นพี่พัด ... ทะเลาะกับเภามาหรือเปล่า "

"พี่อยากพัก ... พุดก็นอนเถอะ ... พรุ่งนี้เราจะได้กลับบ้านกัน"

พี่ชายตัดบทจนเธอไม่กล้าถามต่อ ได้แต่พยักหน้าว่าอย่างไรก็ตามกัน นึกดีใจว่า ดีแล้วที่ให้แม่กลับบ้านไปก่อน ไม่ต้องอยู่เฝ้าไข้คนเจ็บกันหมด แน่นอนว่า มีวิชชุ์วิธูอาสาอำนวยความสะดวกให้ โดยไม่ต้องเอ่ยปากร้องขอแต่อย่างใด

พอนึกถึงชายหนุ่ม อดีตอาจารย์บรรณารักษ์ขึ้นมา หญิงสาวก็อดยิ้มตาเป็นประกายไม่ได้ หัวใจพลันอบอุ่นได้อย่างไม่มีเหตุผล

หรือเหตุผลเพียงอย่างเดียวที่ตอบได้ในนาทีนี้ ก็คือ ... เขา

ที่สักวัน อาจจะมาเป็นจันทร์ฉายในเงาเมฆอย่าง ... เธอ












**************************************************






โปรดติดตามตอนต่อไป ...


ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม ... และขอขอบคุณสำหรับไลค์กำลังใจฮะ

คุณปอยอะนะ : ยังลึกไม่พอฮะ ... มีคุณปอยอะนะองออก



@@@@@@@@@@@


สวัสดีปีใหม่ให้ชาวเลิฟฯ
ค่อยเขยิบเสิร์ฟนิยายขายหรรษา
คนอ่านจิ้นฟินลุ้นอุ่นอุรา
ยามเหนื่อยล้ามาแวะนัดแนะชม

ขอคุณพระรัตนตรัยในโลกหล้า
ขอเทวามาคุ้มภัยไล่ขื่นขม
ขอทุกท่านผ่านเรื่องร้ายไม่ตรอมตรม
สุขสดชื่นรื่นรมย์ ... สมดั่งใจ




แรมรติ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 ม.ค. 2559, 03:11:14 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 ม.ค. 2559, 03:11:14 น.

จำนวนการเข้าชม : 1173





<< บทที่ ๓๓ .. ลงเรือลำเดียวกัน   บทที่ ๓๕ .. การตัดสินใจ >>
ปอยอะนะ 1 ม.ค. 2559, 13:19:01 น.
สวัสดีปีใหม่ ขอให้คุณแรมสดชื่น แจ่มใส แข็งแรง ร่ำรวย เปี่ยมด้วยปัญญา เขียนนิยายออกมาให้เหล่านักอ่านได้เสพให้ชื่นอุราตลอดปี ตลอดไปนะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account