ความลับ (ที่) ซ่อนเร้น .. หรือจะเป็น ความรัก!(?)
คำถาม .. ที่มีคำตอบ
แต่คำตอบ .. กลับยังคงมากมายด้วยคำถาม

เพราะนิยามในคำหนึ่งคำนั้น
แฝงเร้นซุกซ่อนไว้ซึ่งความลึกลับ
ความซับซ้อนชวนสับสน รอยยิ้มปนเปื้อนคราบน้ำตา
เล่ห์เสน่หาหวานล้ำ และพร้อมจะนำความเจ็บปวดมาให้ .. ได้ทุกเวลา

.. หากว่ามันคือ ความรักที่มากล้น จนกลายเป็น .. ความลับ ! ..
Tags: ความรัก ความลับ

ตอน: บทที่ ๓๕ .. การตัดสินใจ



เภตราจ้องหน้าจอโทรศัพท์ของตน มีชื่อ 'พี่พัด' เด่นชัดตรงกลาง ไม่รู้ว่าผ่านไปกี่นาที ที่สุดท้ายก็ได้แค่ถอนหายใจเฮือก กระทั่งตัดใจสัมผัสหน้าจอให้คืนเป็นภาพพื้นหลังดังเดิม

เวลาเกือบหนึ่งเดือนที่เมฆพัดห่างหายไปจากชีวิต แต่เภตรากลับรู้สึกว่า มันทรมานยิ่งกว่าครั้งที่ถูกเขาปฏิเสธ ก่อนจะได้หวนกลับมาสานสัมพันธ์ลึกซึ้ง

หญิงสาวพยายามทำใจมาตลอดว่า เรื่องของเธอกับเขาอาจจะต้องจบลงในสักวัน ... แต่ไม่คาดคิดว่า จะเร็วจนไม่มีเวลาให้ตั้งตัว

เหมือนๆกับที่พักตราแม่ของเธอ เร่งรัดสานไมตรีระหว่างสองครอบครัว ทั้งที่คนเป็นลูกต่างฝ่ายต่างรู้ตัวตนกันและกัน ถึงแม้จะรู้จักกันได้ไม่นาน

"อืม ... ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลท่องนที ขยันจริงๆ เหลืออีกตั้งหลายวันกว่าจะเปิดเทอม ... สงสัยว่า ถ้าเราสองครอบครัวคว่ำเรือในหนอง เงินทองคงได้ล้นตลิ่ง"

คำเอ่ยหยอกล้อแทนการทักทาย ดึงความคิดที่ล่องลอยของเภตราให้กลับมา สายตาทอดมองบุรุษหุ่นสำอางตรงหน้า ความเข้าใจที่มีแก่กันก่อเป็นคุ้นเคยสนิทใจอย่างไม่น่าเชื่อ

"คุณดิน ... มาเมื่อไหร่คะ ... แล้วรู้ได้ยังไงว่าเภาอยู่ที่โรงเรียนนี่"

ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลลุกจากเก้าอี้ประจตำแหน่ง กุลีกุจอก้าวเข้ามาต้อนรับ 'ว่าที่คู่หมั้น' ... ความสัมพันธ์ที่ถูกยกระดับจาก 'แม่ๆ' ของทั้งสองคน ซึ่ง 'ลูกๆ' ยังไม่รู้จะปฏิเสธได้อย่างไร

"จะมีใครล่ะ ที่เปิดทางให้ขนาดนี้"

"อ้อ ... นั่นสินะ"

เภตราเห็นมัตติก์ชำเลืองมองใบหน้าของเธอ ไม่ต้องบอกก็นึกรู้ได้ทันทีว่า 'คุณนายพักตรา' อาจพูดหรือทำให้อีกฝ่ายไม่สบายใจ ซึ่งก็คงไม่พ้นการแต่งงานที่อยากให้จัดไม่วันนี้ก็พรุ่งนี้เสียเลย แต่ก่อนที่จะทันได้พูดอะไร ชายหนุ่มที่มารดาหมายมั่นจะให้หมั้นหมาย ก็ชิงเอ่ยขึ้น

"คุณพัด ... ติดต่อมาบ้างมั้ย คุณเภา"

อาการนิ่งงันเพราะผิดคาด คือปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งที่ได้ยินชั่วครู่ แล้วคำถามก็แปรความรู้สึกเป็นชวนให้สงสัย อีกทั้งอากัปกิริยานั้นคงแสดงให้เห็นทางสีหน้า มัตติก์จึงเสริมความเข้าใจด้วยประโยคถัดมา

"ผมเพิ่งรู้จาก ... เอ่อ ทางศูนย์วิจัย คุณพัดประสบอุบัติเหตุ ... เมื่อสักราวๆ ๓ สัปดาห์ก่อน ... หลังจากวันนั้น ..."

"คะ ?"

เภตราหูอื้อกะทันหันกับคำบอกเล่า ที่ไม่ค่อยเข้าใจอยู่แล้ว ก็ยิ่งไม่เข้าใจมากขึ้น สมองทบทวนคำทุกคำ มีแต่เพียงคำพูดซ้ำๆ ก่อนย้ำถามกับตัวเองหลุดลอดผ่านริมฝีปากแผ่วเบา

"พี่พัด ... เกิดอุบัติเหตุ ... แล้ว ทำไม ..."

หญิงสาวเงยหน้ามองมัตติก์อย่างต้องการให้เขายืนยัน ช่วงเวลาที่เธอไม่เคยรับรู้ ว่ามีอะไรเกิดขึ้นหลังจากเมฆพัดขับรถยนต์สีครามหม่น พ้นจากรั้วประตูบ้านของเธอไปจนลับตา

ความรู้สึกหนึ่งพุ่งสูง ... สูงเสียดเข้าไปในความคิดความคิดให้วาบขึ้น แล้วก็วูบดิ่งลงจนดับไป เหมือนดอกไม้ไฟที่ถูกจุด มันสว่างค้างฟ้าไม่กี่วินาทีก่อนจะดับมอด

ยามที่คนสำคัญกำลังเป็นตายร้ายดี เธอกลับไม่รู้เรื่องรู้ราวสักนิด

เธอเป็นอะไรสำหรับเขา ?... ไม่เลย เธอไม่ได้มีความสำคัญใดๆ

นี่ก็ชัดเจนแล้วว่า เธอ ... ไม่มีตัวตนในชีวิตของเขาด้วยซ้ำ

"ผมรู้ ... มันอาจทำให้คุณไม่สบายใจ เพียงแต่ ..."

"ไม่เห็นต้องมาบอกเภานี่คะ"

เภตราบังคับเสียงไม่ให้สั่นตามอารมณ์ ... อารมณ์ที่เกินกว่าจะเรียกมันว่า ความน้อยใจ แต่มันคือ ความน้อยเนื้อต่ำใจสุดประมาณ ซึ่งเธอรู้ว่าทำได้ไม่ดีนัก แต่อย่างน้อยก็ยังพูดต่อได้จนจบ

"ช่างมันเถอะค่ะ ... เภาไม่เป็นอะไรหรอก ไม่ได้เป็นอะไรเลย"

คนที่ยืนกรานหนักแน่นว่าไม่เป็นอะไร กลับหลบสายตาของคู่สนทนา โดยไม่ทันระวังตัว จู่ๆร่างสมส่วนของเภตราก็ถูกรวบไว้ในอ้อมแขน ...

อ้อมแขนที่เธอมั่นใจเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า ผู้ชายคนนี้ไม่ได้มีจิตใจใฝ่เสน่หาในตัวหญิงสาวแม้แต่น้อย

ทว่า การกระทำของมัตติก์ยังไม่ทำให้เภตรา ตระหนกและตะลึงงันราวสติหลุดลอย เท่ากับคำขอของเขาที่กระซิบข้างหู เดาไม่ออกว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่กันแน่

"แต่งงานกับผมนะ ... คุณเภา"






องก์อัมพุทคิดไม่ตกเสียทีว่า ควรจะบอกเพื่อนรักเรื่องพี่ชายของเธอดีไหม และเพราะนึกละอายกับการกระทำของตน จึงทำให้ลังเลที่จะติดต่อกับเภตรา แม้เวลาจะล่วงเลยจนเมฆพัดหายดีและกลับไปทำงานได้ตามปกติแล้ว

แต่ถึงร่างกายของพี่ชายจะหาย มีบ้างก็แค่ร่องรอยตกสะเก็ดจากบาดแผลขีดข่วน หากอาการบอบช้ำที่มองไม่เห็น มันกลับสะท้อนออกมาผ่านแววตารันทดท้อ ที่องก์อัมพุทไม่เคยคิดว่าจะได้เห็น

กอปรกับการเป็นคนปากแข็งของเมฆพัด น้องสาวอย่างเธอจึงไม่มีทางรู้เลยว่า พี่ชายกำลังประสบปัญหาใดกันแน่

เมื่อถูกขอร้องว่า ไม่ให้บอกเรื่องอุบัติเหตุ เธอก็เลือกที่จะปฏิบัติตามแต่โดยดี เพื่อความสบายใจของเมฆพัด และอาจรวมถึงเหตุผลของเธอ ที่ยังไม่กล้าสู้หน้าเภตราด้วยก็ได้

เรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวที่องก์อัมพุทก็ไม่กล้าปรึกษาวิชชุ์วิธูเช่นกัน ต่อให้ได้พบกันเกือบทุกวันหลังอุบัติเหตุของเมฆพัด เนื่องจากอดีตอาจารย์บรรณารักษ์อาสารับส่งตลอดสัปดาห์การทำงาน เพราะรถยนต์ของเธอยังไม่เรียบร้อยดี

และดูเหมือนว่า ทุกครั้งที่องก์อัมพุทนึกถึงวิชชุ์วิธูคราวใด ก็คล้ายกับเขามีกระแสจิตรับรู้ได้ ซึ่งมันแสดงออกผ่านเสียงโทรศัพท์มือถือของเธอ

"สวัสดีค่ะ พี่วิชชุ์ ... โทร.มาตอนนี้ ยังไม่เที่ยงเลยนะคะ มีอะไรหรือเปล่า"

"หนูพุด วันนี้พี่คงไปรับหนูพุดไม่ได้ เลยรีบโทร.มาบอกก่อน ... ขอโทษทีนะจ๊ะ"

อยู่ดีๆองก์อัมพุทก็รู้สึกเก้อเขินกับคำลงท้ายหวานหู ต่อให้ระยะหลังได้ยินบ่อยแค่ไหน แต่ก็ยากที่จะทำใจให้ชิน และคงไม่มีวันชินกับสิ่งเหล่านี้ที่วิชชุ์วิธูขยันส่งให้เธอ

"ไม่เป็นไรค่ะ ... พุดกลับเองได้ พี่วิชชุ์ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ"

"ยิ่งห้าม ก็เหมือนยิ่งยุ ... ถ้าไม่ติดประชุมกับงานเลี้ยงลูกค้าคนสำคัญ หนูพุดได้โดนตีแน่"

นักการตลาดสาวมุ่นหัวคิ้วงุนงง วิชชุ์วิธูจะมาทำโทษเธอด้วยเรื่องอะไร จึงอดอุทธรณ์เสียงหลงไม่ได้

"แน้ ... พี่วิชชุ์จะมาตีพุดได้ยังไงคะ พุดไม่ได้ทำอะไรให้เสียหน่อย"

"ก็ที่ห้าม ... ไม่ให้พี่เป็นห่วงยังไงล่ะ"

"เอ่อ ..."

องก์อัมพุทถึงกับจนคำพูด ดีว่าเขาไม่ได้อยู่ต่อหน้า ไม่อย่างนั้นคงได้ล้อเลียนเธออีกแน่ ... ก็ดูสิ กระจกตั้งโต๊ะทำมุมกับสายตา มันสะท้อนเงาพวงแก้มชมพูระเรื่อจากบลัชออน เปลี่ยนเป็นสีก่ำเข้มขึ้นคาตา เพราะอะไรน่ะหรือ ... เพราะคำพูดที่สื่อความรู้สึกโจ่งแจ้งของเขา ทำให้เธอไม่อยากจะต่อปากต่อคำกับเขาแล้ว

"พี่วิชชุ์คะ ... พุดต้องทำงานแล้ว ไว้ถึงบ้าน พุดจะโทร.หานะคะ"

"จ้ะ ... พี่จะไม่บอกว่าคิดถึงหนูพุดนะ ... เพราะพี่ ... ทำอยู่แล้ว บ้ายบายนะครับ"

สายสัญญาณถูกตัดไปก่อนที่ 'หนูพุด' จะทันได้ตอบโต้แก้เกี้ยวคำหวานชวนจั๊กจี้ มือยังถือโทรศัพท์แนบหู รอยยิ้มขัดเขินกับอากาศยังค้างบนใบหน้า

กว่าจะรู้สึกตัวว่าเผลอเคลิบเคลิ้มไปกับคารมคมลึกของวิชชุ์วิธู ที่สามารถทำเอาหัวใจขององก์อัมพุทแกว่งไกวไปมาได้ทุกครั้ง ก็ต่อเมื่อได้ยินเสียงเคาะเป็นสัญญาณ ตรงบานพาร์ทิชั่นแบ่งส่วนการทำงานนั่นเอง

"คุณพุด ... ผมมาขอดูรายงานออดิทสินค้า ... ไม่สบายหรือเปล่าครับ หน้าแดงๆ"

"คุณรุจน์ ... เปล่าค่ะ รายงานออดิทหรือคะ ... สักครู่ค่ะ"

องก์อัมพุทปฏิเสธ นึกตำหนิตนเองในใจที่ไม่สามารถเก็บความสึก และสีหน้าให้ดีกว่านี้ จนรวิรุจน์ต้องเอ่ยถามอย่างสงสัย ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ

"นี่ค่ะ ... แล้วจะบรีฟงาน ก่อนประชุมกับคนของสำนักงานใหญ่ช่วงบ่ายไหมคะ"

"คนของสำนักงานใหญ่ ... อดีตเจ้านายคุณพุดก็มา ถ้าคุณพุดไม่สะดวก ..."

รวิรุจน์กล่าวถึงใครบางคนกับองก์อัมพุท ด้วยความรู้สึกบางอย่าง ซึ่งเธอไม่แน่ใจว่า เขาหมายถึงอะไรกันแน่

"มีอะไรที่จะทำให้ดิฉันไม่สะดวกหรือคะ"

"ไม่ครับ ผมแค่ ... คิดว่า อาจจะประชุมนานจนเลยเวลาเลิกงาน"

"อ๋อ ... ไม่เป็นไรค่ะ มีโอทีบ้างก็ดีเหมือนกัน ... ชดเชยกับที่ต้องนั่งแท็กซี่แทนขับเจ้าลายครามกลับบ้านน่ะค่ะ"

หญิงสาวตอบทีเล่นทีจริง ไม่ได้กังวลใจต่อเหตุการณ์ข้างหน้า หรือเรื่องราวในอดีตก่อนที่จะย้ายมาอยู่ที่คลังสินค้าของอาร์อาร์เอส

องก์อัมพุทถือว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตไม่ว่าจะดีหรือไม่ มันได้ถูกขีดเส้นเอาไว้แล้ว

เหมือนที่เธอได้พบกับวิชชุ์วิธู ... ได้ซาบซึ้งและประทับใจ จนกลายเป็นความรักครั้งแรก

การเก็บงำความรู้สึกไว้ในใจเพียงฝ่ายเดียว กลับเป็นความสุขเล็กๆให้หวนรำลึก แล้วเมื่อไรก็ไม่รู้ที่รักข้างเดียวของเธอ คือ เกราะหนาแน่น กำแพงแข็งแกร่ง ... แกร่งจนไม่มีใครล่วงล้ำเข้ามาได้

จนในที่สุด รักครั้งแรก ... ก็กลับมาหาองก์อัมพุทโดยไม่รู้ตัว

หญิงสาวให้ความสนใจอยู่แต่เฉพาะงานตรงหน้า กับความรู้สึกของตัวเอง จนลืมไปว่าชายหนุ่มผู้ซึ่งเป็นเจ้านายของเธอ ยังไม่ได้ละสายตาหรือห่างจากเธอไปไหนเลย




รวิรุจน์แทบจะสะกดกลั้นอารมณ์ร้ายที่จวนจะซ่อนเอาไว้ไม่มิด เขาได้ยินการสนทนาส่วนตัวระหว่างองก์อัมพุทและบุคคลปลายสายเกือบจะทุกคำ

ทำไมชายหนุ่มจะไม่รู้ล่ะว่า ใครกัน คือคนที่เรียกรอยยิ้มจากหญิงสาวคนที่เขาเฝ้ามอง

ใครกัน ทำให้คนที่เขาหมายปอง เกิดปฏิกิริยาสะเทิ้นเขินอายได้ขนาดนั้น ทั้งที่ก็แค่ส่งเสียงผ่านเครือข่ายสัญญาณโทรศัพท์

หลักฐานทุกอย่างปรากฏโจ่งแจ้งบนดวงหน้า ... เหนือผิวแก้มนวลใสอมชมพูเปล่งปลั่ง เครื่องสำอางยังไม่สามารถซับสีสันเช่นเดียวกับเลือดฝาดได้

วิชชุ์วิธู !

ผู้ชายร่วมสายเลือดที่เกิดก่อนรวิรุจน์แค่ ๓ ปี แต่กลับก้าวนำหน้าเขาอยู่เสมอ เรื่องอื่นพอจะทำใจยอมรับได้ จะมีก็เพียงเรื่ององก์อัมพุทเท่านั้น ที่เขาจะไม่มีวันยอม

“อัญ ... แน่ใจนะว่าพ่อของอัญ โอเคกับเรื่องนี้”

รวิรุจน์ติดต่อถามความคืบหน้ากับช่ออัญชัน หลังจากทั้งสองคนตัดสินใจได้แล้วว่า จะจัดการอย่างไรกับความรู้สึกที่มีอยู่ และเมื่อได้ข้อสรุปที่แน่ชัด นับจากนี้จึงเป็นการลงมือเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ

“รุจน์ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้น เราไม่ได้ขอให้พ่อช่วยเฉยๆ ... ถ้าข้อเสนอของเรา มันจะช่วยให้ฐานธุรกิจของพ่อขายต่อไปได้ มีหรือพ่อเราจะไม่สนใจ”

“ฟังดูไม่เหมือนพ่อลูกปรึกษากันเลยนะ”

“ประสานายทุนนี่ ... ถือว่า พวกเรากำลังลงทุนก็แล้วกัน ... ไม่ว่าจะลงทุนกับอะไรมันก็เสี่ยงทั้งนั้น แต่ถ้าสำเร็จมันก็คุ้มไม่ใช่หรือไง ... รุจน์”

ข้อคิดของช่ออัญชันช่วยให้ในอกของรวิรุจน์คับพอง เขาอดทึ่งกับเพื่อนสาวคนสนิทไม่ได้เหมือนกัน ที่แม้แต่เรื่องหัวใจก็ยังใช้ธุรกิจมาสานต่อได้แบบนี้

“เราวางแผนมาดีแล้ว ... รุจน์รู้นะ ว่าหลังจากวันนี้ ต้องทำยังไง”

“อย่าห่วงเลย ... น้ำหยดลงหิน ไม่กร่อน ไม่คลอนก็ให้มันรู้ไป”

รวิรุจน์เอ่ยประโยคสุดท้าย ต่างฝ่ายต่างเข้าใจในความหมายนั้นดี เพียงแต่ มันอาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อย หากโชคชะตาเข้าข้าง พวกเขาคงสมปรารถนาไม่ช้าก็เร็ว ... ไม่ก็เร็วๆนี้






องก์อัมพุทเข้าร่วมประชุมตามที่ตกลงไว้กับรวิรุจน์ การได้พบเจ้านายเก่าไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกอื่นใด ภาระหน้าที่และความรับผิดชอบในส่วนที่ได้รับมอบหมาย ช่วยให้มีสมาธิอยู่กับงานมากกว่าเรื่องไร้สาระ ซึ่งเธอทิ้งมันไปได้อย่างไม่ไยดี

การประชุมใช้เวลาเกือบ ๔ ชั่วโมง เนื่องจากทางสำนักงานใหญ่มอบหมายแผนงานไตรมาสสุดท้ายของปี ซึ่งเน้นเป้าหมายที่การตลาดโดยตรง

รวิรุจน์ทำหน้าที่ผู้บริหารระดับสูงของฝ่ายการตลาดได้อย่างครบถ้วน คณะกรรมการจากสำนักงานใหญ่เองก็พึงพอใจมาก และหวังว่าเมื่อถึงวันประชุมแถลงผลประกอบการประจำปี คลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้าที่ใหญ่ที่สุดของภาคกลาง จะมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ในการประชุมใหญ่ที่รวมคลังสินค้าของบิรษัทอาร์อาร์เอส ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ

องก์อัมพุทดูเวลาแล้วเห็นว่า กว่าจะถึงบ้านก็คงยังไม่ค่ำมาก จึงคิดจะแวะห้างสรรพสินค้าดิสเคาน์สโตร์ใกล้บ้าน นอกจากเสบียงตุนในตู้เย็น ก็ยังมีอาหารแมวสำหรับเจ้าจันที่โตวันโตคืนอีกตัว

“คุณพุด ... วันนี้กลับยังไงครับ หรือว่า ... มีคนมารับ”

“ไม่หรอกค่ะ ... วันนี้ดิฉันจะแวะซื้อของ ตั้งใจจะกลับแท็กซี่ค่ะ”

หญิงสาวบอกไปตามตรงพลางเก็บของใส่กระเป๋าถือ พร้อมก้าวออกจากออฟฟิศ หากแต่ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้านายโดยตำแหน่งยังยืนปักหลักไม่ยอมไปไหน ทำให้เธอไม่กล้าเสียมารยาทเดินออกไปเฉยๆได้

“ถ้าอย่างนั้น ให้ผม ... ไปส่ง ... นะครับ”

“ขอบคุณค่ะ แต่ดิฉันเกรงใจ อีกอย่างว่าจะทำธุระหลายอย่างค่ะ ไหนๆพรุ่งนี้ก็วันหยุด ... ถ้าไม่มีอะไร ดิฉันขอตัวนะคะ สวัสดีค่ะคุณรุจน์”

องก์อัมพุทพยายามปฏิเสธแบบบัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น ในเมื่อรู้ดีแล้วว่า รวิรุจน์เจ้านายของเธอ เกี่ยวข้องกับวิชชุ์วิธูอย่างไร มันคงจะไม่ดีแน่ หากต้องไปกับทางโน้นที ทางนี้ที

ซึ่งเอาเข้าจริงๆ เธอเองนั่นล่ะ ที่ตะขิดตะขวงใจกับความสัมพันธ์ทำนองชายสองหญิงหนึ่ง

ต่อให้รู้ว่า รวิรุจน์คิดอย่างไร แต่เมื่อไม่ใช่ ให้อย่างไรใจของเธอก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

และอีกอย่าง ป้องกันไว้ก่อนจะต้องมาแก้ไข ย่อมดีกว่าปล่อยให้สิ่งที่กังวลเป็นจริงขึ้นมา





องก์อัมพุทพาตัวเองมาถึงป้ายรถโดยสารประจำทาง ที่อยู่เยื้องทางเข้าออกบริษัทอาร์อาร์เอสไม่ไกล นานๆทีถึงจะมีโอกาสได้มายืนท่ามกลางผู้คนหลังเลิกงาน

รถโดยสารสาธารณะเข้าจอดเทียบป้ายไม่ขาดสาย สลับกับรถแท็กซี่รับส่งผู้โดยสาร มีทั้งรับและปฏิเสธลูกค้า จนบางรายถึงขั้นหงุดหงิดก็มี

ระหว่างยืนดูใครต่อใคร เสียงโทรศัพท์ก็แว่วดังให้ได้ยิน ครั้งแรกองก์อัมพุทคิดว่าเป็นของคนอื่น หากแต่แรงสั่นสะเทือนที่รู้สึกได้ ทำให้เธอรู้แล้วว่า มันมาจากอุปกรณ์สื่อสารในกระเป๋าถือของเธอเอง

“เภา!”

ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอก่อให้เกิดปฏิกิริยาทันใด ใจหนึ่งก็ดีใจ ใจหนึ่งก็ตื่นเต้น ก่อนแปรเป็นแววกังวลว่า เภตราติดต่อเธอด้วยเรื่องใด ...

หญิงสาวชั่งใจอีกครู่ในการตัดสินใจว่า จะรับสายเพื่อนหรือเพิกเฉยไปเสียอย่างนั้น

แต่แล้วเธอก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อจู่ๆก็มีใครบางคนมาพูดใกล้ๆ ใกล้เสียจนแทบประชิดตัว

“แกจะไม่รับสายจริงๆใช่ไหม ... พุด”

“เภา !”

“ใช่ ฉันเอง ... มีเวลาสักนิดไหม ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”

องก์อัมพุทตั้งตัวไม่ติด เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเภตรา แต่ภาพที่เห็นกลับสลายความคิดทั้งมวลในทันที เพราะรอยหม่นเศร้าของเพื่อน มันฉายร่องรอยเด่นชัดจนน่าเป็นห่วง

“เภา ... แกเป็นอะไร ไม่สบายหรือเปล่า”

“สบายดี ... เราไปหาที่คุยกันดีกว่า”

ท่าทางของเภตราทำให้องก์อัมพุทพยักหน้าตอบรับ หญิงสาวไม่รู้เหมือนกันว่า ความเกรี้ยวกราดที่เคยแสดง ความขุ่นเคืองที่เคยมี คามหวั่นวิตกต่างๆนานา บัดนี้ ไม่รู้มันได้มลายหายไปไหนจนหมดสิ้น

เพื่อนรักของเธอดูซูบเซียวและอิดโรย แววสดใสร่าเริงไม่มีให้เห็นในดวงตา มิหนำซ้ำ การพูดจาก็เป็นงานเป็นการผิดไปจากเมื่อครั้งก่อน

ไม่นานนักเภตราก็ขับรถพาองก์อัมพุทมาถึงร้านอาหารแห่งหนึ่ง ทั้งที่หญิงสาวก็ชักชวนเพื่อนรักผู้หม่นหมองไปที่บ้าน แต่ก็ได้รับการปฏิเสธ

“เพิ่งเลิกงานแกคงจะหิว สั่งอะไรกินก่อนก็แล้วกัน”

“เภา ... แก ... ไม่เป็นอะไรแน่นะ”

รอยยิ้มอ่อนอย่างฝืดฝืนปรากฏให้องก์อัมพุทเห็น แล้วจู่ๆเภตราก็เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“พุด ... ฉันกำลังจะแต่งงาน”










************************************************







โปรดติดตามตอนต่อไป ...


ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม และสำหรับทุกไลค์กำลังใจฮะ ..

คุณปอนอะนะ : สวัสดีปีใหม่ (รอบครึ่งเดือนฮะ) ขอให้คุณปอยอะนะ และทุกท่าน ประสบแต่สิ่งดีงาม สุข สดชื่น สมหวังดังตั้งใจ และ ขอให้อ่านนิยายที่โปรดปรายอย่างสนุกสนาน รื่นรมย์ ... ขอขอบคุณสำหรับคำอวยพรฮะ ^ ^ แรมรติ จะพยายามพัฒนาการเขียนเท่าที่จะสามารถทำได้ฮะ



แรมรติ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 ม.ค. 2559, 12:36:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 ม.ค. 2559, 14:07:54 น.

จำนวนการเข้าชม : 1211





<< บทที่ ๓๔ .. ใจใคร ก็ใจใคร   บทที่ ๓๖ .. ความในใจ >>
ปอยอะนะ 15 ม.ค. 2559, 13:41:45 น.


ใบบัวน่ารัก 16 ม.ค. 2559, 11:06:39 น.
ปวดใจ


ปอยอะนะ 11 มี.ค. 2559, 16:39:29 น.
อยากอ่านต่อแล้วค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account