น้ำค้างกลางจันทร์
ความลับสำคัญที่เธอไม่อาจบอกใครๆ
มันชื่นฉ่ำอยู่เหมือนน้ำค้างกลางดวงใจ
แม้ในความเป็นจริงจะแห้งเหือดหาย
แต่เธอก็ยังเฝ้าติดตามหา

แล้ววันนี้
วันที่ต้นธารแห่งหยาดน้ำค้างนั้นหวนคืนมา
เขาจะรู้สึกกับเธอ
เหมือนอย่างที่เธอรู้สึกกับเขาอีกหรือไม่
Tags: น้ำค้าง กลางจันทร์ รัก โรแมนติต ดราม่า นิยายน่าอ่าน เรื่องดีๆ พิศวาส ซ่อนเร้น

ตอน: บทที่ ๐๒๓

023


ไม่ใช่ร้านของวงษาอย่างที่ลลิตาเสนอ เพราะรถคันหน้าเลี้ยวขึ้นไปทางถนนสาทร แต่ศรันย์ก็ยังไม่ได้ออกความเห็นอื่นใด แค่มองตรงไปข้างหน้า และขับตามอย่างไม่ให้รถของภาควัตคลาดสายตา

“เอาแต่ใจตัวเอง ไม่ฟังความเห็นคนอื่น ใครอยู่ด้วยจะลำบาก”

ในที่สุดเขาก็เอ่ยขึ้น เมื่อรถคันหน้านำออกไปไกลจากที่ทำงานมากขึ้นเรื่อยๆ

อินทุอรไม่อยากตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้เลย...

เธอทั้งสงสารศรันย์ และสงสารตัวเอง วันใหม่ของชีวิตแท้ๆ มันน่าจะราบรื่นมากกว่านี้

“ศนเป็นอะไรหรือเปล่า”

เธอเอ่ยถามเบาๆ พยายามปรับน้ำเสียงให้แจ่มใส

“ผมสบายดี คุณอินทุ์ล่ะ”

หนุ่มรุ่นน้องถามกลับเอาดื้อๆ จนอินทุอรต้องเป็นฝ่ายนิ่งไป

“คุณอินทุ์รักเขา...”

คำที่ตามมานี้ ทำให้เธอต้องหันไปมองเขาตรงๆ

“แค่... คนรู้จัก เคยเจอกันไม่กี่ครั้ง”

อินทุอรพยายามบ่ายเบี่ยง

“ไม่เกี่ยวหรอกครับ คนจะรัก แค่เจอกันครั้งเดียวก็รักได้”

หนุ่มรุ่นน้องตอบเรื่อยๆ ขณะชะโงกมองตามรถของภาควัต ที่ตอนนี้ มีรถประจำทางคันหนึ่ง กำลังเบียดจากช่องทางด้านซ้าย มาเข้าจนถึงเลนขวาสุด

“อย่างผมนี่ไง...”

คนฟังเดาไม่ออกแล้วว่า ที่เขาพูดอย่างนี้ เพราะซื่ออย่างที่สุด หรือว่าเจ้าเล่ห์ที่สุดกันแน่

“คุณอินทุ์ทราบไหมครับ ว่าเขาจะพาเราไปที่ไหน”

อยู่ๆ ศรันย์ก็เปลี่ยนเรื่อง จนอินทุอรแทบจะตามความคิดไม่ทัน

“หรือว่าเราจะกลับ”

“ผมไม่กลับ... แต่ถ้าคุณอินทุ์จะให้สลัดสองคนนั่น แล้วไปดินเน่อร์กันตามลำพัง ผมจะรีบตะครุบโอกาสนั้นไว้ทันที”

“ศน รู้ไหมว่าตัวเองน่ะ น่ากลัวขึ้นทุกที”

“รู้ครับ แต่จะให้ทำยังไงได้ ในเมื่อ พอผมจะมีความหวังขึ้นมาบ้าง ก็มีนายนั่นเข้ามาอีกคน”

“ไม่เกี่ยวกับคนอื่นหรอก มันอยู่ที่ตัวศนนี่ละ”

“แสดงว่าคุณอินทุ์ยังให้โอกาสผม...”

“พี่จะไม่พูดอีกแล้ว ถ้าศนยังตีความเข้าข้างตัวเองอยู่อย่างนี้”

ศรันย์อยากจะเล่นเกมต่อล้อต่อเถียงต่อไป แต่รถของภาควัตกำลังจะเลี้ยวซ้าย ทำให้เขาต้องรีบเปลี่ยนช่องทาง

“คนเราลองว่า แค่เปลี่ยนเลนยังไม่เปิดไฟให้สัญญาณ ก็อย่าหวังว่าชีวิตมันจะเคารพกฎกติกาอะไรเป็น”

หนุ่มรุ่นน้องเปลี่ยนเรื่องไปอีก คราวนี้เธอตามทัน ว่าเขาหมายจะประชดประชันภาควัต

“หมายถึงคุณภาควัตน่ะหรือ”

“ผมหมายถึงใครก็ได้ ที่ใช้รถใช้ถนนร่วมกับคนอื่น”

“ไฟเลี้ยวเขาอาจจะเสีย”

อินทุอรแกล้งให้ความเห็นแบบกำปั้นทุบดิน

“ถ้าอย่างนั้น พอถึงที่แล้วผมจะถาม”

“พี่ล้อเล่นน่ะ ไหนบอกว่าสบายดี แต่นี่ดูอารมณ์ไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอย”

“แต่ถ้าไฟเลี้ยวเสียขึ้นมาจริงๆ อันตรายนะครับ หรือคุณอินทุ์ไม่เป็นห่วง”

อยู่ๆ เขาก็วกกลับมาเรื่องเดิมจนได้ เล่นเอาอินทุอรไม่รู้จะตอบอย่างไร

ก่อนที่จะถูกหนุ่มรุ่นน้องออกอาการ “เหวี่ยง” ใส่มากไปกว่านี้ รถของภาควัตก็นำเข้ามาสู่ร้านน่านั่งร้านหนึ่ง

การตกแต่งแบบลอฟต์สไตล์ คือใช้ปูนเปลือยขัดมัน โชว์โครงสร้าง และมีวัสดุตกแต่งง่ายๆ แต่ดูเข้ากันไปทุกมุมมอง ทำให้ทั้งสี่คนที่ลงจากรถมาสมทบกัน หยุดพิจารณาสิ่งรอบตัวอยู่อึดใจใหญ่

“ไม่เห็นภาคเคยพาหลิวมาร้านน่านั่งอย่างนี้บ้างเลย”

ลลิตาเริ่มขึ้นก่อน ด้วยบทสนทนาที่แสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเต็มที่

“เพื่อนผมแนะนำมา ชยุต... คุณรู้จักไหมล่ะ”

ภาควัตตอบเรียบๆ พลางปลดมือลลิตาออกจากแขน ค่อนข้างแน่ใจว่าชื่อ “ชยุต” จะทำให้ลลิตายับยั้งตัวเองได้มากกว่าที่เป็น

“ใครคะ พวกที่จัดรายการตะลอนชิมน่ะเหรอ”

แต่หล่อนยังกล้าถาม

“เขาก็ไปทั่ว ทุกผับทุกบาร์ ทุกร้านทุกย่าน เจอใครอะไรก็มาเล่าให้ฟัง เขาเป็นเพื่อนสนิทผมเอง”

ภาควัตก็ตอบคำถามได้เหมือนกัน และคำตอบแบบนี้คงได้ผล เพราะลลิตาเริ่มหุบยิ้ม และทำเสียงเป็นการเป็นงานมากขึ้น ตอนหันไปคุยกับศรันย์

“พอไหวไหมล่ะคะน้องศน ถูกใจเท่ากับร้านพี่วงษา ที่เคยพาอินทุ์ไปกินมื้อเที่ยงหรือเปล่า”

หล่อนโยนเพลิงลงกลางวง แต่ศรันย์ไม่สะทกสะเทือน ย้อนกลับว่า

“ที่ไหนก็เหมือนกันละครับ ถ้ามีคุณอินทุ์”

อินทุอรอยากจะกระโดดขึ้นแท็กซี่ หนีไปเสียให้พ้นๆ และหากลลิตาไม่รั้งแขนเอาไว้เสียก่อน เธอคงทำดั่งใจคิด

“ติดแม่น้ำหรือเปล่าคะภาค แต่เย็นๆ อย่างนี้ คงไม่โรแมนติกเท่ากับตอนที่เรามาดินเน่อร์ด้วยกัน”

ทั้งๆ ที่เหมือนจะคุยกับภาควัต แต่ลลิตากลับหันมาหาเธอ จนอินทุอรคิดว่าวันนี้คงต้องมีเรื่องคุยกันยาว เคลียร์ใจกันให้จบ กับเรื่องของผู้ชายคนนี้ เธอไม่อยากเสียเพื่อนที่เคยดีแสนดีต่อกัน เพียงเพราะความเข้าใจผิดไม่เข้าเรื่อง

“ไปริมแม่น้ำก็ดีนะหลิว เราชอบลมแม่น้ำสดชื่นดี”

แล้วคนพูดก็เป็นฝ่ายเดินนำเข้ามาก่อน โดยไม่หันมามองสองหนุ่มที่ยังรีรอ เธอเพียงแต่ได้ยินคำถามยวนๆ ของศรันย์ก่อนจะพ้นจากมา

“ไฟเลี้ยวเสียหรือเปล่าครับ อันตรายนะ คันหน้าคันหลังไม่รู้อิโหน่อิเหน่จะเสยท้ายให้ได้ง่ายๆ”




แม่น้ำยามเย็น ยังพลุกพล่านไปด้วยเรือสัญจร แต่ละอองน้ำชื่นฉ่ำ ก็ยังพาบรรยากาศให้น่านั่งทอดอารมณ์ หากสบายใจกว่านี้ หรือคนที่นั่งตรงข้ามจะพูดจาให้เข้าหูกว่านี้ มื้อเย็นวันนี้ คงเป็นการเลี้ยงฉลองความโสดได้จริงๆ

คนตรงหน้า... ที่บัดนี้อินทุอรรู้สึกเหมือนเป็นคนแปลกหน้า ที่ไม่แค่เพิ่งจะได้พบกัน หนำซ้ำยังมีเจตนาร้ายอย่างไม่ปิดบัง

คนตรงหน้า... ที่เคยร่วมหัวจมท้าย ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมา บัดนี้เหมือนกำลังยืนกันอยู่คนละฟากฝั่งของหุบเหว ต่างคนต่างถือปลายเชือกไว้ข้างหนึ่ง แล้วรอลุ้นอยู่ว่า เมื่อไรใครจะให้สัญญาณ ใช้เชือกที่ถืออยู่นั้นช่วยฉุดดึงเพื่อนให้ข้ามมาอีกฝั่ง...

อินทุอรยังคิด หากตนเป็นคนที่ถือปลายเชือกด้านหนึ่งอยู่จริงๆ ก็อยากจะโยนมันทิ้งเสียให้รู้แล้วรู้รอด หันหลัง แล้วก็... ต่างคนต่างไป

แต่ที่น่ากลัวกว่านั้น และกำลังเป็นอยู่นี้ ก็คือการที่ลลิตากำลังพยายาม ให้เธอยึดเชือกไว้ให้แน่นๆ ยุให้เธอกระโดดลง โดยหล่อนพร้อมจะช่วยฉุดดึงให้ได้ไปอยู่ฝั่งเดียวกัน ทั้งที่จริงๆ แล้ว ก็เห็นได้ชัดๆ ว่าหากเธอโดดลงไปเมื่อไหร่ หล่อนก็จะปล่อยเชือกเมื่อนั้น

“คุณแม่ของภาคเขาก็ใจดี๊ดี นี่ขนาดว่าเราแกล้งจู่โจมเข้าไปถึงบ้าน ยังไม่ได้มีท่าทางรังเกียจหรือไม่พอใจ ชวนเรากินข้าว ชวนเราไปทำบุญ อินทุ์รู้ไหม... คนอย่างนี้ ถ้ารู้ว่าเรากับคุณภาคคบหากันลึกซึ้งถึงขั้นไหน ก็คงจะรีบจัดขันหมากมาสู่ขอ...”

“เธอพูดเหมือนกับมีอะไรกับเขาแล้วอย่างนั้นละ”

“ก็... แหม...” ลลิตาเว้นช่วง เพื่อทำท่าเขินอายเล็กน้อย “มีก็เหมือนไม่มี ไม่มีก็เหมือนมี อินทุ์ก็รู้ เรื่องแบบนี้น่ะ เราไม่ได้หวงแหนนักหนา ขอให้รู้ว่ามันเป็นความสุขของกันและกันก็พอแล้ว”

ปกติอินทุอรเคยรับฟังเรื่องทำนองนี้จากลลิตาด้วยอาการเฉยๆ แต่วันนี้เธอไม่อยากฟังเลย มันทำให้รู้สึกว่าคนตรงหน้า ที่กำลังเล่าเรื่องราวความง่ายดายของตนอยู่นี่ มันด้อยค่าลงทุกที

แล้วเธอก็หวนคิดถึงตัวเอง คืนนั้นคืนเดียวหรือเปล่า ที่ทำให้คุณค่าของตนเองลดลงจนแทบหมดสิ้น

แต่ระหว่าง... คนไร้ค่าที่มีเพื่อน กับคนไร้ค่าที่ปราศจากเพื่อน

อินทุอรจะเลือกเอาอย่างแรก...

เธอจึงตั้งคำถาม คำถามอันเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด... อีกครั้ง

“หลิว เราถามจริงๆ อย่าตอบเล่นๆ เหมือนครั้งก่อนๆ อีกนะ ตกลงว่า... เอ่อ... ความรู้สึกของตัวเรา กับร่างกายของเรา ตอนก่อน... กับหลังจากที่นอนกับ... มันต่างกันแค่ไหน เราจะรู้ได้ยังไง”

คำถามติดขัดไปหมด เพราะอินทุอรไม่เคยแน่ใจว่าจะเรียบเรียงอย่างไรให้มันไม่ฟังดูต่ำทรามเกินไป

ลลิตายิ้มกริ่ม แววเจ้าเล่ห์ฉายชัดขึ้นมาทันที จนอินทุอรไม่อยากฟังคำตอบ

“คนที่ไม่รู้ว่าตัวเองเสียตัวไปแล้วก็ปัญญาอ่อนเต็มที”

“แล้วมันเป็นไปได้ไหมล่ะที่จะไม่รู้”

“รู้สิ ครั้งแรกมันเจ็บจะตาย ทำไมใครจะไม่รู้”

“แล้วถ้าเมา ถ้าโดนมอมยา ถ้าไม่รู้สึกตัว...”

“เธอพูดอย่างกับถูกใครเขาวางยา แล้วพาไปข่มขื่นอย่างนั้นละ”

อินทุอรขนลุกเกรียวเมื่อลลิตาพูดมาถึงประโยคนี้

“แต่... ไม่รู้สินะ ถ้าทำดีๆ แต่... ฉันพูดไม่ถูกหรอก ไม่เคยไม่รู้สึกตัวสักที”

“ในเมื่อเราไม่รู้สึกว่าก่อนกับหลังมันต่างกันอย่างไร แล้วเราจะรู้ได้ยังไงล่ะ ว่ามันมีอะไรที่เปลี่ยนไป”

อินทุอรยังพยายามต่อไป

“ก็แสดงว่ามันยังไม่ได้เกิดอะไรขึ้นน่ะสิยัยโง่!...”

ลลิตายื่นหน้ามากระซิบคำท้ายให้เพื่อนได้ยินชัดๆ แล้วต่อด้วยประโยคที่ว่า

“นอกจากสองคนบนเตียงนั่นแล้ว ใครจะไปรู้ว่า มีหรือไม่มีอะไรเกิดขึ้น"

อินทุอรนิ่งไป คงไม่รู้ด้วยซ้ำว่า คราวนี้ตนเองนั่นละ ที่เป็นฝ่ายหลบสายตา เสไปมองเรือพ่วงเรือโยงที่แล่นเรื่อยเอื่อยอยู่กลางแม่น้ำ

ลลิตาคิดว่าใจจริง อินทุอรต้องรู้ดีว่า เกิดอะไรขึ้นกับตัวในคืนวันนั้น แม้ที่เคยเล่าให้กันฟังมาตลอด มันจะไม่น่าเชื่อ และหล่อนเองก็ยอมรับว่า แทบจะเป็นไม่ได้เลย ที่ผู้ชายสักคน เมื่อได้ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของอินทุอรออกจนหมด แล้วจะไม่ลงมือกระทำย่ำยีอะไรเลย

ส่วนกับภาควัต เท่าที่หล่อนได้รู้จักมานี้ เขาก็แปลกประหลาด เพราะความเชี่ยวชาญในเชิงชาย มันฉายชัดอยู่ในทุกอณูเนื้อ ทุกท่าทุกทาง อย่าว่าแต่จะต้องเอ่ยปาก แค่เขาชายหางตามอง ผู้หญิงคนไหนก็ตาม ก็ต้องล้วนยอมพลีกายถวายตัว ทูนหัวทูนเกล้า ให้เขาได้ทุกสิ่ง

ทว่า เขากลับเอ่ยถึงอินทุอรอย่างเทิดทูน ราวกับเคยทำอะไรผิดกับเธอไว้อย่างใหญ่หลวง

คิดถึงตรงนี้ลลิตาก็นึกขำ เพราะกับคนอื่น ความผิดมหันต์นั่น จะต้องเป็นประเภท บังคับขืนใจ ข่งเหงรังแก หรือไม่ก็ชิงสุกก่อนห่าม แต่กับภาควัต ดันจะกลายเป็นว่า เพราะเขาไม่ได้ทำอะไรเธอในคืนนั้น จึงยังรู้สึกผิดจนกระทั่งวันนี้

ใช่สิ! รูปการณ์มันน่าจะเป็นดังนั้น คือยัยอินทุ์ผู้อ่อนต่อโลกนี่ น่าจะมัวแต่คิดไปว่า ชายคนแรกเมื่อเห็นเรือนร่างของเธอแล้ว ก็ต้องแต่งงานด้วย ส่วนนายภาควัตอดีตเสเพลบอย ก็คงจะนึกว่าเป็นการหยามกันนัก จนเป็นความผิดครั้งใหญ่ ที่เมินเฉยต่อเรือนร่างอันงดงามหมดจด ทิ้งร้างไปอย่างไม่แยแส ไม่แม้จะทิ้งถ้อยคำหรือข้อความ ให้อินทุอรรู้ว่าจะสานต่อกันไปอย่างไร

แม้ลลิตาพิจารณาจะอินทุอรอย่างเต็มตาอีกกี่ครั้ง ก็ยังไม่เห็นเลยว่าจะมีส่วนใดบุบสลายหรือเปลี่ยนแปลงไปเพราะสูญเสียความบริสุทธิ์

รู้สึกอิจฉานิดๆ ด้วยซ้ำ ว่าความผุดผาดของเนื้อสาวนั้น ช่างเต็มเต่งได้อย่าง่น่าหมั่นไส้

เมื่อเพื่อนสนิทยังนิ่ง เหม่อมองทัศนียภาพของแม่เจ้าพระยายามเย็น ราวกับมันน่าดูชมเสียเต็มประดา ลลิตาก็จำเป็นที่จะต้องถามต่อไป

“ถามจริงๆ เถอะอินทุ์ เธอต้องการอะไรจากคุณภาคกันแน่”

แต่คนถามก็แทบจะไม่ได้ยินคำตอบ เพราะเหลือบไปเห็นสิ่งที่น่าสนใจกว่ามาก

หากมองจากทางเข้าร้าน มุมระเบียงด้านนี้จะย้อนแสง นั่นทำให้ปิ่นปรียา น้องสาวของปริยัติที่เดินเข้ามาคนเดียว ไม่ได้สังเกตเห็นลลิตากับอินทุอร

ขณะอินทุอรที่เหม่อมองท้องน้ำอยู่ก่อนแล้วนั้น ก็ยังทอดสายตาอยู่ตามทางเดิม ตกอยู่ในภวังค์ความคิดเดิมๆ ในค่ำคืนอันแสนหวาน ที่เป็นจุดเริ่มต้นของความทุกข์ทรมาน

แต่ลลิตาคอยรออยู่แล้ว ว่าเมื่อไรสองหนุ่มจะกลับมา ห่วงว่าสองคนนั้นจะพูดจาอะไรกัน แล้วผลที่ออกมาจะเป็นอย่างไร

หล่อนจึงเห็นน้องสาวของปริยัติตั้งแต่แรกก้าวเท้าเข้ามาจากหน้าร้าน

ปิ่นปรียา สาวน้อยรุ่นน้องหล่อนเพียงไม่กี่ปี แต่กลับยังดูสวยใสไร้เดียงสาอยู่มากมาย

“น้องสาวนายปริยัติเดินมาโน่นแน่ะ”

ลลิตาสะกิดเพื่อน

“ช่างเขาเถอะ ร้านอย่างนี้ใครๆ ก็มีสิทธิ์จะมา”

อินทุอรตอบโดยยังไม่ละสายตาวิวแม่น้ำ

“มาคนเดียว...”

หล่อนต้องให้ข้อมูลเพิ่มเติม

“อาจจะมากับแฟน”

“นั่นสิ...”

วูบใจหนึ่ง ลลิตานึกถึงพันธกานต์ เพราะคุณนายโสภาพรรณแม่ของเขา พยายามจับคู่ให้กับปิ่นปรียาคนนี้ละ

“แล้วถ้าเป็นพี่พันธ์”

ลลิตาพึมพำกับตัวเอง

“ก็ยิ่งดี พี่พันธ์จะได้ขายออกเสียที”

“แต่พี่พันธ์เขารักเธอ”

“จะรักกันไปได้ยังไงเล่า คนอยู่บ้านเดียวกันแท้ๆ”




วันทำงานในวันนี้ของพันธกานต์ ดูเหมือนจะยาวนานกว่าปกติ เพราะนายอิศราเข้าไปจัดการหลายสิ่งหลายอย่างในสำนักงาน เรียกผู้จัดการฝ่ายบัญชี ฝ่ายการเงิน และที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายของบริษัทเข้าไปพูดคุยด้วยอยู่เป็นนานสองนาน

แน่นอนว่าในที่ประชุมนั้นมีพันธกานต์ร่วมอยู่ด้วย เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวของเขาโดยเฉพาะ นั่นคือการจัดการโอนหุ้นและแยกส่วนรายรับตามภาระหน้าที่ของเขาให้ชัดเจน

มูลค่าในสินทรัพย์ที่จะได้รับเป็นส่วนของตัวเองนั้น มากมายจนพันธกานต์ไม่อาจรับได้ แม้นายอิศราผู้ที่เขาเคารพนับถือเสียเกือบยิ่งกว่าบิดาบังเกิดเกล้า จะหว่านล้อมให้เห็นถึงความจำเป็นต่อไปในภายภาคหน้าเท่าใดก็ตาม เขาก็ยังยืนกรานปฏิเสธอยู่ที่เดียว

ในระหว่างความเคร่งเครียดในที่ประชุม โทรศัพท์สายนั้นจึงทำให้พันธกานต์โมโหไม่น้อย ด้วยความที่รู้สึกว่ามารดาของตนช่างไม่คิดเอาเสียเลยว่า เรื่องสามีเก่าของตน หรืออีกนัยหนึ่งคือพ่อตัวจริงของเขา ที่ยังไม่ตายตามที่เคยเข้าใจกันนั้น บัดนี้มันแดงโร่ขึ้นมาแล้ว

เขาไม่อยากคิดไปในทางร้าย ที่ว่าคุณโสภาพรรณมารดาของตนปกปิดหรือปิดบังความจริงเกี่ยวกับพ่อที่แท้จริง ก็เพื่อจะเรียกร้องความเห็นใจจากพ่อหม้ายหมาดๆ อย่างนายอิศรา และค่อนข้างแน่ใจว่า คุณโสภาพรรณต้องรู้มาตลอดว่าพ่อของเขายังมีชีวิตอยู่

“รีบกลับมาทำไมล่ะพันธ์ หรือกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้า”

พอเขาพ้นประตูหน้าบ้านเข้ามา ก็ได้ยินคำถามอันไม่พึงประสงค์ทันที

“เมื่อไหร่คุณแม่จะเลิกจัดการชีวิตของใครต่อใครเสียที”

พันธกานต์ไม่ได้ปิดบังเลยสักนิด กับน้ำเสียงอิดหนาระอาใจของตนเอง

“ทำไมล่ะพันธ์ แม่เคยหวังร้ายกับใครหรือไง ที่ทำไปก็หวังดีทั้งนั้น”

คุณโสภาพรรณ ที่วันนี้อยู่ได้ติดบ้าน เพราะสถานการณ์รอบตัวไม่สู้ดี แต่ก็ยังพยายามทำเป็นใจดีสู้เสือ

“กับน้องอินทุ์นั่น คุณแม่แน่ใจหรือว่าหวังดี...”

พอบุตรชายถามเอาตรงๆ มารดาก็ได้แต่นิ่งอึ้งอยู่อีกเป็นครู่

จนสาวใช้ค่อยคลานเข้ามาเสิร์ฟน้ำ แล้วถอยจากไปนั่นละ คุณโสภาพรรณจึงค่อยเรียบเรียงคำพูดออกมา

“ก็... มันไม่ใช่...”

กระนั้นก็ยังพูดได้ไม่เต็มปากเต็มคำ

“ไม่ใช่อะไรครับ คุณแม่ก็เลี้ยงดูน้องอินทุ์มาตั้งแต่เล็กๆ ตั้งแต่ก่อนจะมีน้องพิมพิ์เสียอีก”

“นึกว่าแม่อยากจะเลี้ยงมันหรือยังไง”

มารดาสะบัดเสียง อยากจะพูดถึงเรื่องที่ตนไปนัดหนูปิ่นปรียาเอาไว้ให้ แต่ก็ยังไม่มีจังหวะจะพูดให้บุตรชายรู้สึกตัวว่าควรทำอย่างไร กับนัดที่ป่านนี้ฝ่ายนั้นคงไปรออยู่นานแล้ว

“แต่ทุกวันนี้น้องอินทุ์โตแล้ว ก็น่าจะปล่อยๆ ให้น้องคิดอ่านทำอะไรด้วยตัวเอง”

พันธกานต์ยกแก้วน้ำขึ้นจิบเรื่อยๆ เขาเองก็อยากจะใจเย็นกว่านี้ ยามเมื่อพูดกับคุณโสภาพรรณ

“ไอ้ที่มันถอนหมั้นนั่น แกยังไม่พอใจอีกรึไง”

มารดาเปลี่ยนสรรพนามให้บุตรชายคนโตทันที เสียงนั้นแสดงความไม่พอใจเต็มที่ ด้วยไม่รู้ว่าเขาจะมาฟื้นฝอยหาตะเข็บไปทำไม

“หรือว่าแกจะให้มันประกาศว่าอยากได้แกเป็นผัว!”

“ไม่ต้องหรอกครับคุณแม่ เรื่องนั้นน่ะ”

เสียงของพันธกานต์เย็นเยียบ จนคุณโสภาพรรณรู้สึกยะเยือกในหัวใจ

“ทำไม... ก็ไหนทำท่าว่ารักนักหนา แหวนนั่น ก็ขอเอาไปหมั้นหมาย ไม่ได้อายฟ้าอายดินว่าอยู่ร่วมชายคาบ้านเดียวกัน แล้วแกเห็นมันใส่อยู่กี่วันกันล่ะ!”

คนพูดต้องทำเป็นใจแข็งเสียงแข็งตอบโต้กลับไป

“เรื่องแหวนนั่นมันเป็นสิทธิ์ของน้องอินทุ์ ส่วนความรู้สึกของผม ผมก็ยังรัก เรื่องนี้คุณพ่อก็รู้ แล้วก็... เปิดทาง”

“แกว่าอะไรนะพันธ์”

คนฟังรู้สึกเหมือนว่าไม่ได้ยินตรงคำท้ายๆ

“ผมบอกว่า คุ ณ พ่ อ อ นุ ญ า ต ห า ก ผ ม กั บ น้ อ ง อิ น ทุ์ จะ แ ต่ ง ง า น กั น จ ริ ง ๆ”

พันธกานต์จึงต้องเน้นให้ช้า-ชัดทุกๆ คำ

คราวนี้คุณโสภาพรรณถึงกับต้องยกมือขึ้นทาบอก นิ่งอั้นอยู่อีกเป็นครู่ใหญ่

“ทำไมครับ... ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ยังจะมีอะไรไม่ลงตัว มีอะไรที่คุณแม่ไม่พอใจอีกหรือครับ ในเมื่อ... ในที่สุด ไอ้ทรัพย์สมบัติทั้งหลายที่อยากจะรวบรวมไว้นี้ มันก็จะไม่ต้องหนีหายไปไหน”

“แม่ไม่อยากได้มันเป็นสะใภ้!”

คุณโสภาพรรณไม่รู้จะหาเหตุผลใดได้ดีกว่าแล้วในเวลานี้

“แกมันโง่ ปัญญาอ่อน สมบัติน่ะ มีแต่ใช้ก็หมดไป ถ้าไม่รู้จักหามาเพิ่มเติม คิดดูเถอะ ถ้าแต่งกะนังอินทุ์ ที่ไหนมันจะงอกเงยขึ้นมาได้”

“คุณแม่เลยยัดเยียดผมให้ไปเป็นน้องเขยไอ้เสเพลนั่น”

“ฉันให้แกไปเป็นผัวน้องมันหรอกย่ะ”

“ก็นั่นละครับ ถามผมบ้างหรือเปล่า”

“ทำไมต้องถาม หรือแม่คนนี้มันไม่ได้หวังดี”

“คุณแม่เลิกพูดเรื่องหวังดีหวังร้ายนี่เสียที”

“จะไม่ให้พูดได้ยังไง นี่ถ้าไม่ใช่ฉัน พวกแก... โดยเฉพาะแก จะมีวันนี้เรอะ ไม่ใช่เพราะนังโสภาคนนี้เรอะ ที่มันยอมตากหน้าหอบลูกมาอาศัยอยู่กับเขาน่ะ”

คุณโสภาพรรณเรียกน้ำตาออกมาได้สองสามหยดเหมือนกัน ตอนเท้าความถึงเรื่องราวในอดีต

“ทั้งๆ ที่พ่อแท้ๆ ผมก็ยังอยู่น่ะหรือ...”

“พ่อแกเสียสละมากนะพันธ์”

พูดจบมารดาก็ต้องรีบเอามือปิดปาก ด้วยว่าพลาดไปเสียแล้ว กับความลับอันใหญ่หลวง ที่ตนไม่เคยแพร่งพรายกับใครมาก่อน พอชำเลืองมองบุตรชายอีกครั้ง ก็เห็นว่าเขาจ้องหน้าเขม็งอยู่

“หมายความว่าตอนนั้น คุณแม่กับ... เขา... ร่วมมือกัน... หลอก...”

“ไม่ได้หลอก แกอย่ามาใส่ร้าย นี่แม่ แล้ว... เขาที่ว่านั่นก็ พ่อ!”

คุณโสภาพรรณต้องทำเสียงแข็ง ไหนๆ พลั้งไปแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องอมพะนำปิดบังกันอีกต่อไป

“คุณแม่สมคบกัน...”

พันธกานต์ครางออกมาได้แค่นั้น มันตื้อตันในหัวจนไม่รู้จะพูดอะไรออกมา

“เมื่อไหร่จะเข้าใจนะพันธ์ ก็เพื่อแกทั้งนั้น เพื่อพวกแกทั้งนั้น เข้าใจไหม!”

“ไม่! ผมไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น ทำไมล่ะครับ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เราก็... มีครอบครัวของเรา”

คนพูดไม่เคยรู้สึกอัดอั้นในหัวใจเท่านี้มาก่อนเลย

“แล้วยังไง ถ้ามีพ่อ มีแม่ มีลูก แล้วไม่มีจะกิน แกคิดว่ามันจะดีงามงั้นเรอะ”

“ก็ยังดีกว่ารวมหัวกันหลอกลวงคนอื่น”

พันธกานต์คิดไม่ออกเลยจริงๆ ว่าจะมีคำใดที่เบาบางได้กว่านี้

“ไม่ได้หลอกลวง ฉันถึงบอกว่าพ่อแกเขาเสียสละมากมายนัก”

“โดยการทิ้งผม ทิ้งแม่ ไปมีครอบครัวใหม่งั้นรึ”

“หรือจะให้เขาอยู่คนเดียว ไม่มีใครดูแล แกก็เห็นสภาพ ว่าเขาเจ็บป่วยเรื้อรังมานานแค่ไหน เขายอมลำบาก ไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวอะไรกับชีวิตเรา ตั้งแต่ตัดสินใจเข้ามาอยู่ในชายคาบ้านนี้ เขาก็เหมือนหายสาปสูญไปจริงๆ”

“จริงหรือครับ”

น้ำเสียงของพันธกานต์เปลี่ยนไปอีก คราวนี้ฟังดูสุขุมลงกว่าก่อนหน้า

คุณโสภาพรรณจึงพอใจชื้นขึ้นได้บ้าง ว่าเขาคงอารมณ์เย็นลงแล้ว คงทำใจให้เข้าใจเรื่องนี้ได้ง่ายๆ หล่อนจะได้สานต่อแผนการที่ไปนัดแนะกับหนูปิ่นปรียาเอาไว้เสียที

“จริงสิ ไม่เห็นหรือว่าพ่อแกเขาไม่เคยมายุ่มย่ามอะไรอีกเลย หรือกระทั่งแกเอง ถ้าอีนังเมียตัวดีนั่นมันไม่เข้ามาก้าวก่าย ก็จะ...”

ผู้เป็นมารดาต้องรีบระงับคำ เพราะบุตรสาวคนเล็กค่อยเคลื่อนกายผ่านเข้ามา ด้วยใบหน้าหม่นหมอง ซ้ำชุดที่สวมใส่ก็ยู่ยับ ไม่เรียบร้อยเฉิดฉายอย่างที่เคย

“เป็นอะไรยัยหนูพิมพิ์ เป็นอะไร เกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นหรือเปล่าเนี่ย”

คุณโสภาพรรณรีบเข้าไปลูบหน้าลูบหลัง ลูกสาวคนที่ตนรักปานแก้วตาดวงใจ

“ให้มันตายๆ ไปเลยสิดี!”

พิมพิกาตวาด สะบัดตัวออกจากวงแขนของมารดาที่พยายามจะโอบกอด

“เป็นอะไรไปยัยพิมพิ์ บอกแม่ซิ ใครทำอะไร...”

“ไม่ต้องมายุ่ง! แม่คนเดียว! เพราะแม่คนเดียวนั่นละ!”

แล้วพิมพิกาก็ปึงปัง เหวี่ยงกระเป๋าไปฟาดแจกันใหญ่เข้าโครมหนึ่ง แจกันนั้นล้มลงแตกกระจาย โดยที่หล่อนไม่ได้แยแสถึงราคาอันแพงแสนแพงของมันเลยสักนิดเดียว

คุณโสภาพรรณอยากจะเป็นลม รู้สึกเลือดสูบฉีดร้อนขึ้นมาที่ใบหน้าอย่างช่วยไม่ได้ ไม่ว่าลูกหญิงลูกชาย ล้วนไม่ได้ดั่งใจเลยสักคนเดียว

อยากจะตะโดนด่าไล่หลังไปนัก แต่ก็ต้องชะงัก เพราะคำของพันธกานต์

“คุณพ่ออิศราบอกว่าท่านเป็นหมัน ทำหมันไว้ตั้งแต่แม่ของน้องอินทุ์เริ่มตั้งท้อง”


......................



นวลชมพู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 ก.ค. 2554, 10:32:46 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 ก.ค. 2554, 10:32:46 น.

จำนวนการเข้าชม : 1991





<< บทที่ ๐๒๒   บทที่ ๒๔ >>
แพม 27 ก.ค. 2554, 15:56:41 น.
ยังคง...บรรยายความเลวไม่หมด คุณนายโสภา

ส่วนหลิว มีเพื่อนอย่างนี้ ไม่มีซะจะดีกว่า


หมูบิน 27 ก.ค. 2554, 18:25:33 น.
หมั่นใส้หลิวด้วยคนคะ โอ้ยยย ไม่ได้ดั่งใจเลยสักคน ฮ่าๆ


wane 18 เม.ย. 2555, 12:17:08 น.
เรื่องนี้สนุกมากค่ะ ...อยากให้ไรเตอร์ลงต่อจนจบนะค่ะ ยังไม่ต้องรีไรท์ก็ได้ค่ะ


Edelweiss 23 เม.ย. 2555, 00:49:23 น.
อยากให้พระเอกเรื่องนี้ไม่โง่
ปอนด์เคยรักใครจริงบ้างเนี่ย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account