ตะวัน (ร้าย) ฉายรัก (นามปากกา 'พิริตา' ) เปิดจองรูปแบบเล่มพร้อม E-Book
‘ปาลิกา’ หญิงสาวกำพร้าที่สูญเสียครอบครัวไป
ตั้งแต่ยังเยาว์วัย แต่โชคดีที่มีผู้อุปการะไว้ ซึ่งก็เป็นนายจ้างของครอบครัว
เธอนั่นเอง ปาลิกาเติบโตมาท่ามกลางความรัก เข้าใจอย่างล้นเหลือของ
ประมุขทั้งสองของบริษัท ‘เดอะซัน กรุ๊ป จิวเวลรี่’ และเพราะที่แห่งนี้เป็น
สถานที่ที่ทั้งพ่อแม่และยายของเธอได้ใช้ชีวิตอยู่จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
ที่นี่จึงมีความหมาย และมีความสำคัญสำหรับหญิงสาวมาก
ในชีวิตของปาลิกามีเพียงสองสิ่งเท่านั้นที่เธอรู้สึกว่าเป็นอุปสรรค ขวาก
หนามที่ยิ่งใหญ่ นั้นก็คือ ปมแห่งความหวาดกลัวที่เป็นเหตุให้เธอติดอยู่กับฝัน
ร้ายในวัยเด็ก และลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูล ‘รัตนาวาณิชย์’ ที่เติบโต
มาด้วยกัน เขามีอายุอ่อนกว่าเธอหนึ่งปี แต่ไม่เคยยอมรับว่าเธอเป็นพี่สาว
หนำซ้ำยังคอยแกล้งเธอมาตั้งแต่เด็ก และเธอก็เรียกเขาว่า ‘จอมวายร้ายเจ้า
เล่ห์,คนกวนประสาทฯ ‘ แต่ทว่าจอมวายร้ายคนนั้นกลับเป็นคนเดียวกันที่อยู่
เคียงข้างเธอยามมีภัย และพยายามช่วยเธอให้หลุดพ้นจากปมแห่งฝันร้าย
นั้น และเป็นคนเดียวกับที่ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย
แต่แล้ว...ก็กลับเป็นคนเดียวกัน ที่กันเธอออกจากเดอะซัน กรุ๊ปฯ และชีวิต
ของเขา เหมือนไม่เห็นค่า ความสำคัญของเธออีกต่อไป จนหญิงสาวทนอยู่
กับความรู้สึกเจ็บปวด สิ้นไร้ ด้อยค่าของตัวเองไม่ไหว ที่สุดจึงตัดสินใจเดิน
ออกมาจากชายคาเดอะซัน กรุ๊ปฯ ด้วยหัวใจที่บอบช้ำ.
‘ตะวันฉาย’ ลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูล ‘รัตนาวาณิชย์’ และผู้สืบทอด
กิจการของบริษัท ‘เดอะซัน กรุ๊ป จิวเวลรี่’ ต่อจากมารดา หลังกลับจากเรียน
ต่อต่างประเทศชายหนุ่มได้เข้ามาเรียนรู้งานในเดอะซัน กรุ๊ปฯ อย่างเต็มตัว
โดยมี ‘ปาลิกา’ (หรือที่เขาเรียกจนติดปากว่า ‘ยัยปลิก’) คอยกระตุ้นอยู่ตลอด
ทั้งที่โดยนิสัยแล้วตะวันฉายเป็นคนที่มีความตั้งใจ รับผิดชอบและจริงจังกับ
งาน โดยเฉพาะช่วงหลังที่เขาเข้ามาทำงานอย่างเต็มตัวแล้วนั่น แต่ใน
ทางกลับกันตะวันฉายจะกลายเป็นเด็กไม่ยอมโตทันทีที่อยู่กับปาลิกา เพราะ
ความรื่นรมย์อีกอย่างในชีวิตของเขาตั้งแต่เล็กจนโต คือการได้แกล้งปาลิกา
ทั้งวาจาและการกระทำ แต่เขาก็ได้สงวนลิขสิทธิ์ในการแกล้งไว้แค่ตัวเขา
เอง คนอื่นห้ามแกล้งโดยไม่ได้รับอนุญาตเสียอย่างนั้น
แต่ทว่าหากยามใดที่ปาลิกามีภัย อ่อนแอ ตะวันฉายจะถึงตัวเธอก่อนเสมอ
เขาห่วงทุกย่างก้าวในชีวิตของเธอ โดยเฉพาะปมแห่งความกลัวที่ทำให้เธอ
ฝันร้ายในตอนเด็ก ชายหนุ่มปรารถนาจะให้เธอเอาชนะความกลัวนั้นให้ได้
และการที่ตะวันฉายได้มีโอกาสอยู่เพียงลำพัง ไกลห่างกับปาลิกาขณะที่
เรียนอยู่ต่างประเทศนั้น ได้ทำให้เขารู้ใจตัวเองว่าคิดอย่างไรกับเธอ ชาย
หนุ่มไม่เคยสงสัยในความรู้สึกที่มีต่อหญิงสาวเลยสักนิด แต่เพราะเชื่อว่าเธอ
รักใครอีกคนที่เป็นญาติสนิทของเขา และผู้ชายคนนั้นก็เป็น ‘ผู้ชายในฝัน’
ของเธอมาตั้งแต่เด็ก ทำให้เขาได้แต่กล้ำกลืนความรู้สึกเอาไว้ กว่าจะรู้ว่า
ปาลิกาก็รักเขาไม่ต่างกัน ก็ในวันที่เธอได้หนีเขาไปเสียแล้ว...
‘ก็ลื้อสองคนน่ะสิ มีด้ายแดงผูกติดกันมา
ตั้งแต่เกิด แต่ที่แปลกไปกว่านั้นคือด้ายแดงที่ผูกพวกลื้อไว้นั้นมันสั้นมาก ทำ
ให้ต้องมาใกล้กันตั้งแต่เด็ก ไม่เหมือนบางคู่ที่ด้ายจะยาวอาจใช้เวลานานกว่า
จะได้มาเจอกัน แต่นั่นแหล่ะด้ายแดงแห่งโชคชะตาของพวกลื้อจะไม่มีวันถูก
ตัดขาด แล้วมันก็จะอยู่ในระยะสั้นอย่างนี้ตลอดไป อย่างที่เคยเป็นมาจนกว่า
จะตายจากกัน และหากวันใดที่มันยืดยาวออกไปไม่ว่าด้วยสาเหตุอันใด ด้าย
นั้นก็จะดึงรั้งพวกลื้อให้ต้องกลับมาใกล้กันจนได้ หากพวกลื้อฝืนก็จะทำให้
เจ็บปวดทุรนทุราย เหมือนจะขาดใจเลยทีเดียว มันเป็นลิขิตของสวรรค์’
ตะวันฉายกับปาลิกาจะทำเช่นไรกับหัวใจของตัวเอง
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา และสายใยแห่งความผูกพัน
จะสามารถนำพาหัวใจทั้งสองดวงให้กลับมาแนบชิดกัน
เหมือนในวันเก่าได้หรือไม่?..................................
โปรดติดตามใน ‘ตะวัน (ร้าย) ฉายรัก’ ได้เลยค่ะ
ตั้งแต่ยังเยาว์วัย แต่โชคดีที่มีผู้อุปการะไว้ ซึ่งก็เป็นนายจ้างของครอบครัว
เธอนั่นเอง ปาลิกาเติบโตมาท่ามกลางความรัก เข้าใจอย่างล้นเหลือของ
ประมุขทั้งสองของบริษัท ‘เดอะซัน กรุ๊ป จิวเวลรี่’ และเพราะที่แห่งนี้เป็น
สถานที่ที่ทั้งพ่อแม่และยายของเธอได้ใช้ชีวิตอยู่จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
ที่นี่จึงมีความหมาย และมีความสำคัญสำหรับหญิงสาวมาก
ในชีวิตของปาลิกามีเพียงสองสิ่งเท่านั้นที่เธอรู้สึกว่าเป็นอุปสรรค ขวาก
หนามที่ยิ่งใหญ่ นั้นก็คือ ปมแห่งความหวาดกลัวที่เป็นเหตุให้เธอติดอยู่กับฝัน
ร้ายในวัยเด็ก และลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูล ‘รัตนาวาณิชย์’ ที่เติบโต
มาด้วยกัน เขามีอายุอ่อนกว่าเธอหนึ่งปี แต่ไม่เคยยอมรับว่าเธอเป็นพี่สาว
หนำซ้ำยังคอยแกล้งเธอมาตั้งแต่เด็ก และเธอก็เรียกเขาว่า ‘จอมวายร้ายเจ้า
เล่ห์,คนกวนประสาทฯ ‘ แต่ทว่าจอมวายร้ายคนนั้นกลับเป็นคนเดียวกันที่อยู่
เคียงข้างเธอยามมีภัย และพยายามช่วยเธอให้หลุดพ้นจากปมแห่งฝันร้าย
นั้น และเป็นคนเดียวกับที่ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย
แต่แล้ว...ก็กลับเป็นคนเดียวกัน ที่กันเธอออกจากเดอะซัน กรุ๊ปฯ และชีวิต
ของเขา เหมือนไม่เห็นค่า ความสำคัญของเธออีกต่อไป จนหญิงสาวทนอยู่
กับความรู้สึกเจ็บปวด สิ้นไร้ ด้อยค่าของตัวเองไม่ไหว ที่สุดจึงตัดสินใจเดิน
ออกมาจากชายคาเดอะซัน กรุ๊ปฯ ด้วยหัวใจที่บอบช้ำ.
‘ตะวันฉาย’ ลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูล ‘รัตนาวาณิชย์’ และผู้สืบทอด
กิจการของบริษัท ‘เดอะซัน กรุ๊ป จิวเวลรี่’ ต่อจากมารดา หลังกลับจากเรียน
ต่อต่างประเทศชายหนุ่มได้เข้ามาเรียนรู้งานในเดอะซัน กรุ๊ปฯ อย่างเต็มตัว
โดยมี ‘ปาลิกา’ (หรือที่เขาเรียกจนติดปากว่า ‘ยัยปลิก’) คอยกระตุ้นอยู่ตลอด
ทั้งที่โดยนิสัยแล้วตะวันฉายเป็นคนที่มีความตั้งใจ รับผิดชอบและจริงจังกับ
งาน โดยเฉพาะช่วงหลังที่เขาเข้ามาทำงานอย่างเต็มตัวแล้วนั่น แต่ใน
ทางกลับกันตะวันฉายจะกลายเป็นเด็กไม่ยอมโตทันทีที่อยู่กับปาลิกา เพราะ
ความรื่นรมย์อีกอย่างในชีวิตของเขาตั้งแต่เล็กจนโต คือการได้แกล้งปาลิกา
ทั้งวาจาและการกระทำ แต่เขาก็ได้สงวนลิขสิทธิ์ในการแกล้งไว้แค่ตัวเขา
เอง คนอื่นห้ามแกล้งโดยไม่ได้รับอนุญาตเสียอย่างนั้น
แต่ทว่าหากยามใดที่ปาลิกามีภัย อ่อนแอ ตะวันฉายจะถึงตัวเธอก่อนเสมอ
เขาห่วงทุกย่างก้าวในชีวิตของเธอ โดยเฉพาะปมแห่งความกลัวที่ทำให้เธอ
ฝันร้ายในตอนเด็ก ชายหนุ่มปรารถนาจะให้เธอเอาชนะความกลัวนั้นให้ได้
และการที่ตะวันฉายได้มีโอกาสอยู่เพียงลำพัง ไกลห่างกับปาลิกาขณะที่
เรียนอยู่ต่างประเทศนั้น ได้ทำให้เขารู้ใจตัวเองว่าคิดอย่างไรกับเธอ ชาย
หนุ่มไม่เคยสงสัยในความรู้สึกที่มีต่อหญิงสาวเลยสักนิด แต่เพราะเชื่อว่าเธอ
รักใครอีกคนที่เป็นญาติสนิทของเขา และผู้ชายคนนั้นก็เป็น ‘ผู้ชายในฝัน’
ของเธอมาตั้งแต่เด็ก ทำให้เขาได้แต่กล้ำกลืนความรู้สึกเอาไว้ กว่าจะรู้ว่า
ปาลิกาก็รักเขาไม่ต่างกัน ก็ในวันที่เธอได้หนีเขาไปเสียแล้ว...
‘ก็ลื้อสองคนน่ะสิ มีด้ายแดงผูกติดกันมา
ตั้งแต่เกิด แต่ที่แปลกไปกว่านั้นคือด้ายแดงที่ผูกพวกลื้อไว้นั้นมันสั้นมาก ทำ
ให้ต้องมาใกล้กันตั้งแต่เด็ก ไม่เหมือนบางคู่ที่ด้ายจะยาวอาจใช้เวลานานกว่า
จะได้มาเจอกัน แต่นั่นแหล่ะด้ายแดงแห่งโชคชะตาของพวกลื้อจะไม่มีวันถูก
ตัดขาด แล้วมันก็จะอยู่ในระยะสั้นอย่างนี้ตลอดไป อย่างที่เคยเป็นมาจนกว่า
จะตายจากกัน และหากวันใดที่มันยืดยาวออกไปไม่ว่าด้วยสาเหตุอันใด ด้าย
นั้นก็จะดึงรั้งพวกลื้อให้ต้องกลับมาใกล้กันจนได้ หากพวกลื้อฝืนก็จะทำให้
เจ็บปวดทุรนทุราย เหมือนจะขาดใจเลยทีเดียว มันเป็นลิขิตของสวรรค์’
ตะวันฉายกับปาลิกาจะทำเช่นไรกับหัวใจของตัวเอง
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา และสายใยแห่งความผูกพัน
จะสามารถนำพาหัวใจทั้งสองดวงให้กลับมาแนบชิดกัน
เหมือนในวันเก่าได้หรือไม่?..................................
โปรดติดตามใน ‘ตะวัน (ร้าย) ฉายรัก’ ได้เลยค่ะ
Tags: ตะวัน ร้าย ฉาย รัก ปลา อัญมณี จิวเวลรี่ หวานซึ้ง
ตอน: บทที่ 12
คณะลูกทัวร์เดอะซัน กรุ๊ปฯ มาถึงชายทะเลเป็นเวลาบ่ายที่ร้อน
ระอุ ต่างก็แยกย้ายกันเข้าบ้านพักและพักผ่อนตามอัธยาศัย คุณโฉม
ฉายกับญาติผู้ใหญ่ที่มากับรถตู้พักอยู่บ้านหลังหนึ่ง ส่วนปาลิกาและ
หยินมี่ได้พักรวมกับพนักงานหญิงในบ้านพักหลังใหญ่
ซึ่งเป็นความคิดของคุณโฉมฉายที่ต้องการให้คนใกล้ชิดรวมถึง
ผู้บริหารบางคนกระจายกันไปพักกับพนักงานในบ้านแต่ละหลัง เพื่อ
ช่วยดูแลรวมทั้งสร้างความคุ้นเคยและเป็นกันเองไปในตัว แม้แต่ตะวัน
ฉายก็ไม่เว้นเพราะเขาได้ไปพักกับพนักงานชายที่บ้านอีกหลังพร้อมกับ
หยางและเทิดพงศ์
ตกตอนเย็นถึงได้ออกมาเดินกันตามชายหาด บ้างก็เดินเล่น บ้าง
ก็จับกลุ่มคุยกัน บ้างก็เล่นน้ำ ปาลิกายืนอยู่บนระเบียงบ้านพักที่หันหน้า
ออกมารับลมทะเล เสียงตะโกนเอะอะสนุกสนานดังมาจากกลุ่มผู้ชายที่
พากันเล่นฟุตบอลอยู่ริมชายหาด ทำให้หญิงสาวต้องเขม้นตามองอีก
ครั้งเพราะรู้สึกเหมือนในกลุ่มนั้นคล้ายๆ จะมีตะวันฉายและหยาง
รวมอยู่ด้วย
สายตาเธอหยุดอยู่ตรงร่างสูงโปร่งที่ใส่กางเกงขาสั้นแบบ
บ็อกเซอร์ ท่อนบนเปลือยเปล่า เผยให้เห็นผิวขาวจัดที่เริ่มมีรอยแดงเป็น
ปื้น ร่างนั้นดูโดดเด่นจากกลุ่มแต่ในขณะเดียวกันก็ดูกลมกลืนไปกับพวก
พนักงาน ชายหนุ่มไม่มีทีท่าถือตัวเลยสักนิด พอถูกแย่งลูกฟุตบอลก็
ล้มลุกคลุกทรายอยู่นั่นแล้ว ปาลิกาแอบหัวเราะขำกับภาพที่เห็น
“น้องปลา” เสียงเรียกนั้นดังมาจากข้างล่าง ปาลิกายิ้มกว้างเมื่อ
เห็นคนที่เรียกถนัดตา
“พี่อ๋ามาถึงนานแล้วเหรอคะ” อานุภาพกับครอบครัวนอกจากจะ
ขับรถมากันเองแล้ว ยังแยกตัวไปพักกันเองที่บ้านพักหลังหนึ่ง
โดยเฉพาะอีกด้วย
“พึ่งมาถึงแล้วก็มาหาน้องปลานี่แหล่ะ ไปเดินเล่นกันหน่อยไหม”
ปาลิการับคำพลางก้าวลงบันไดเล็กๆ ไปหาอนุภาพ
ทั้งคู่เดินเคียงกันไปบนชายหาดด้านหน้าบ้านพัก พร้อมพูดคุยกัน
กระหนุงกระหนิงท่ามกลางสายลมยามเย็นที่พัดอ่อนเอื่อย และที่สุดก็
มาถึงกลุ่มที่กำลังเล่นฟุตบอลชายหาดกันอย่างสนุกสนานนั่น
“เฮียอ๋ามาเตะบอลด้วยกันสิ” ตะวันฉายร้องชวน
“ไม่ล่ะซัน ตามสบายเถอะ เฮียไม่ถนัด” อานุภาพปฏิเสธพร้อม
รอยยิ้ม แต่พอเดินผ่านกลุ่มนักฟุตบอลชายหาดมาได้ไม่กี่ก้าว ลมทะเล
ก็พัดมาวูบใหญ่ และปาลิการ้องขึ้นเบาๆ ด้วยความตกใจพลางยกมือ
กุมตา
“น้องปลาเป็นอะไรไป” อานุภาพหันมามอง ความเป็นห่วงทำให้
เขาเอื้อมมือไปประคองใบหน้าเล็กนั่น
“สงสัยทรายจะเข้าตาค่ะพี่อ๋า แย่จัง” บ่นแล้วทำท่าจะขยี้ตา แต่
อานุภาพรีบจับมือเธอไว้
“อย่าขยี้นะน้องปลา เดี๋ยวตาช้ำจะเจ็บไปกันใหญ่ ไหน...ให้พี่ดู
หน่อยซิ” และชายหนุ่มก็เพ่งมองดวงตาที่หรี่ลงเพราะระคายเคืองแถม
น้ำตาเริ่มไหล อานุภาพจึงใช้มือถ่างเปลือกตาของหญิงสาวออก และก็
เห็นต้นเหตุอยู่ภายในเปลือกตาด้านล่าง เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา
จากกระเป๋ากางเกง และค่อยๆ บรรจงซับเม็ดทรายเล็กจิ๋วออกจากตา
ของปาลิกา “โอเค.ออกแล้ว น้องปลาลองกระพริบตาดูซิ ยังระคายอยู่
ไหม” หญิงสาวทำตามอย่างว่าง่าย
“ไม่ระคายแล้วค่ะพี่อ๋า แต่ก็ยังรู้สึกเคืองอยู่บ้าง เดี๋ยวคงหาย
ขอบคุณพี่อ๋ามากนะคะ”
“มาพี่เช็ดน้ำตาให้ ดูสิอย่างกะคนร้องไห้แน่ะ” ขณะที่อานุภาพ
กำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาให้ปาลิกาอยู่นั้น
“พลั่ก!! โอ๊ย!! ” ลูกฟุตบอลไม่รู้ลอยมาจากไหนกระแทกหัว
ปาลิกาอย่างแรงเกินจะตั้งตัวได้ทัน ทำเอาเธอถึงกับมึนงง อานุภาพคว้า
แขนของหญิงสาวไว้ได้พอดี เมื่อตั้งสติได้และหายมึนปาลิกาหันไปทาง
กลุ่มนักฟุตบอลชายหาด เห็นร่างสูงกำลังวิ่งเหยาะๆ มาทางเธอ บน
ใบหน้าสวยเหมือนผู้หญิงนั้นคลี่รอยยิ้มพรายเจ้าเล่ห์
“นาย นายซัน นายแกล้งฉันใช่ไหม” เธอแว้ดขึ้นในทันทีที่ตะวัน
ฉายเข้ามาใกล้
“โอ๊ะ! ใส่ร้ายกันชัดๆ เธอมาจู๋จี๋กันใกล้รัศมีเท้าฉันเองนะ” แทนที่
จะขอโทษแต่เขากลับลอยหน้าตอบเหมือนไม่รู้สึกรู้สาสักนิด ทำให้ความ
โมโหของปาลิกาเพิ่มระดับขึ้นจนถึงจุดสูงสุดในทันที
“ฮึ่ม! ดีล่ะ...” หญิงสาวฮึ่มฮั่มพลางเอื้อมมือไปคว้าลูกฟุตบอล
ต้นเหตุที่วางอยู่ใกล้เท้าขึ้นมาเงื้อง่า หมายจะปาใส่หน้าขาวนั่น แต่ก็ช้า
ไปกว่าตะวันฉาย เพราะเขาเอื้อมมือมาฉวยลูกฟุตบอลไปจากมือเธอ
อย่างรวดเร็ว
“อย่างเธอมันมือคนล่ะชั้น อย่ามาหือ” ว่าพลางใช้อีกมือที่ว่างจิ้ม
หน้าผากเธอหงาย แล้วก็วิ่งจากไป
“อ๊าย! นายซันบ้าที่สุด” ปาลิกากระแทกเท้าหน้าหงิกด้วยความ
โมโหจัด ก่อนหันไปมองคนที่ยืนเป็นผู้ชมอยู่ข้างๆ “พี่อ๋ายิ้มทำไมคะ
เกลียดนายซันที่สุดเลย ฮึ...”
“ก็ขำเด็กไม่ยอมโตคู่นี้น่ะสิ อย่าทำหน้าหงิกสิน้องปลา เดี๋ยวไม่
สวยนะ เราไปทางโน้นกันเถอะ” น้ำเสียงอ่อนโยนนั้นทำให้คนที่กำลัง
โมโหอ่อนลง แม้จะยังกะบึงกะบอนอยู่บ้าง แต่ที่สุดก็ยอมเดินเคียง
อานุภาพไป
ยามเย็นที่ความมืดเริ่มโรยตัว ชายหาดหน้าบ้านพักคลาคล่ำด้วย
บรรดาพนักงานของเดอะซัน กรุ๊ปฯ ที่เดินกันขวักไขว่ ทางบริษัทได้จัด
งานเลี้ยงอาหารแบบบุฟเฟ่ห์ มีอาหารทะเลและเครื่องดื่มไว้บริการอย่าง
เต็มที่ โดยเฮียย้งทำหน้าที่เป็นพิธีกรประจำงาน ได้เชิญคุณโฉมฉายเปิด
งานและร่วมเล่นเกมส์ต่างๆ กับพนักงาน รวมทั้งบรรดาผู้บริหารต่างๆ
ด้วย ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุกสนาน ครื้นเครงและเป็น
กันเอง
ระหว่างนั้นอานุภาพกับปาลิกายืนเคียงกันอยู่ด้านหนึ่งพร้อมคู่
ของหยินมี่ เช่นกันกับตะวันฉายที่ถูกวดีลดาล็อคตัวให้อยู่ในกลุ่มของ
หมวยเล็ก หมวยใหญ่อีกด้านโดยมีหยางยืนรวมกลุ่มอยู่ด้วย
จนกระทั่งเป็นเวลาดึกพอสมควรที่เสียงเฮฮาจากงานเลี้ยงเริ่มซา
ลง แต่ยังไม่เลิกราเสียทีเดียว พวกผู้ใหญ่และคุณโฉมฉายกลับขึ้นไป
พักผ่อนแล้ว พนักงานต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อนเช่นกัน หยินมี่กับ
เทิดพงศ์ขอตัวไปเดินเล่น
“เฮีย ไปส่งม๊าหน่อยสิ ม๊าจะกลับห้อง จัดยาให้ม๊าด้วยนะ” หมวย
เล็กที่เดินเข้ามาหาอานุภาพบอก
“ได้สิ...น้องปลารอพี่ตรงนี้นะ เดี๋ยวพี่กลับมาแล้วเราค่อยไปเดิน
เล่นกัน” ตอนท้ายอานุภาพหันมาบอกปาลิกา หญิงก็สาวรับคำ
หลังจากเวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงกว่า ยังไม่มีวี่แววว่าอานุภาพจะ
กลับมา มีแต่สองหมวยนรกที่ทำเป็นเตร่ไปมาแถวปาลิกายืนอยู่ จนน่า
เวียนหัว แต่สองคนนั่นยังไม่กล้าพูดอะไรเพราะยังมีคนอื่นอยู่ด้วย
จนกระทั่งสบโอกาสตอนที่หญิงสาวอยู่เพียงลำพัง
“เธอคิดว่าเฮียจะกลับมาหาเธอจริงๆ น่ะเหรอ” หมวยเล็กถามขึ้น
ด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“ฝันกลางวันไปหน่อยล่ะมั้ง” หมวยใหญ่เสริมตามบทถนัด
“พวกเธออย่ามากวนฉันได้ไหม” ปาลิกามีสีหน้ารำคาญ ถ้าสอง
คนนี้เป็นยุงเธอคงตบจนแบนแต๊ดแต๋ไปแล้ว หญิงสาวจึงรีบก้าวออกมา
จากตรงนั้นเงียบๆ พร้อมกับเสียงหัวเราะเยาะเย้ยของสองหมวยดัง
ตามหลังมา
ร่างบางเดินทอดน่องอยู่บนหาดทรายไกลจากคลื่นที่ซัดสาด
พอสมควร แม้ใจอยากจะลงไปตรงริมชายหาด แต่ปาลิกาก็ไม่กล้า
เพราะ ‘โรคกลัวน้ำ’ ส่วนตัวทำให้เธอได้แต่ตัดใจเดินอยู่ห่างๆ เพราะใน
ความมืดมิดความน่ากลัวเหมือนจะทวีขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว
หญิงสาวหยุดมองไปยังความมืดเบื้องหน้า เรือหาปลากระพริบ
แสงสีแดงอยู่ไกลออกไป รู้สึกดีที่ออกมาจากตัวมลพิษอย่างสองหมวย
นั่นได้ เพราะสิ่งที่ออกมาจากปากพวกนั้นรังแต่จะทำให้เป็นมลพิษทั้ง
ทางหู ทางตา ทางใจและทางอารมณ์ แม้เธอจะชาชินแล้วยังอดทนฟัง
ไม่ค่อยจะได้
แต่ครั้งนี้ปาลิกาไม่ได้รู้สึกโกรธหรือโมโหแต่อย่างใด รวมถึงกับตัว
อานุภาพเอง เธอรู้ว่าอาจจะลงเอยเช่นนี้ เหมือนทุกครั้งที่เธอกับ
อานุภาพอยู่ท่ามกลางครอบครัวของเขา หญิงสาวเองก็ชินกับการกีดกัน
แบบโจ่งแจ้งของหมวยนรกนั่นแล้ว
และเมื่อครู่ที่เธอยังรอเขาอยู่ก็เพราะได้รับปากไว้แล้วก็เท่านั้น พอ
อานุภาพไม่มาดังที่บอก หญิงสาวก็คิดว่าดีเหมือนกัน แม้จะต้องเดิน
เล่นคนเดียวแต่ก็ยังดีกว่ามีตัวมลพิษตามมาเป็นพรวน คิดเมื่อไหร่ก็
สยองเมื่อนั้น ปาลิกาอดหัวเราะขำกับตัวเองไม่ได้ แต่แล้วความคิดก็
ต้องมีอันสะดุดลงเพระรู้สึกถึงแรงกระแทกอย่างจัง
“พลั่ก!! ” และปากก็ถูกปิดทันทีก่อนที่จะทันร้องออกมาด้วยซ้ำ
แต่หญิงสาวไม่ยอมแพ้พยายามดิ้นรนพร้อมส่งเสียงอู้อี้ด้วยความตกใจ
สุดขีด
“อย่าส่งเสียง! ” คนที่ปิดปากเธอแน่นออกคำสั่งเสียงกระซิบ
พร้อมกับลากร่างเล็กไปยังหลังโขดหิน
“เฮียซัน เฮียซันอยู่ไหน อยู่แถวนี้หรือเปล่าเฮีย” เสียงที่คุ้นหูดังมา
ใกล้ ตัวมลพิษที่หญิงสาวหลบมานั่นเอง ปาลิกาจึงรู้ว่าคนที่ปิดปากเธอ
อยู่ในตอนนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก...ตะวันฉาย นั่นทำให้หญิงสาว
คลายลงจากอาการตกใจและหวาดกลัว
“ฉันบอกแล้วว่าเฮียไม่ได้มาทางนี้” เสียงหมวยใหญ่ว่า
“แต่ฉันเห็นแว่บๆ ว่ามาทางนี้นี่นา” วดีลดาเถียงไม่เต็มเสียงนัก
แล้วสามสาวก็เถียงกันไปมาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะได้บทสรุปว่าควร
จะไปตามหาตะวันฉายที่ห้องคุณโฉมฉายกัน พอเสียงฝีเท้าของสามสาว
อันตรายห่างออกไป มือที่ปิดปากปาลิกาแน่นหนาก็คลายออก
“ฉันไม่เข้าใจนายเลยจริงๆ ทีเมื่อกี้ยังรักกันจี๋จ๋าป้อนข้าวป้อนน้ำ
ยังกะนายเป็นง่อย มาตอนนี้วิ่งหนียังกะเป็นผี อะไรของนาย” พอปาก
เป็นอิสระก็เริ่มเอาเรื่องเสียงขุ่นทันที
“ก็ฉันอิ่มจนจะอ้วกอยู่แล้วน่ะสิ อย่าพูดมากมานี่เลย” ชายหนุ่ม
ดึงแขนปาลิกาหมายจะพาไปยังริมชายหาด ทำให้คนอารมณ์ขุ่นเมื่อครู่
แปรเปลี่ยนเป็นตกใจขึ้นมาอีกครั้ง
“ไม่เอ๊า! ฉันไม่ไป ไม่เอานะไม่ลงนะซัน” ร้องเสียงหลงและขืนตัว
“ไม่ไปดีๆ ใช่ไหม มานี่...ฮื้บ! ” ตะวันฉายตวัดร่างเล็กขึ้นมาอุ้ม
พาดบ่า พาเดินไปยังริมชายหาด
จินตนาการอันเลวร้ายผุดขึ้นมาในหัวปาลิกา ตะวันฉายจะต้อง
โยนเธอลงทะเลท่ามกลางความมืดมิดเป็นแน่ ความหวาดกลัวอัดแน่น
เต็มหัวใจของหญิงสาว เธอจึงตะเบ็งเสียงโวยวายแข่งกับเสียงคลื่น
พร้อมกับที่มือเล็กระดมทุบหลังเขาพัลวัน แต่ตากลับหลับปี๋ แต่ทว่า...
เขากลับหยุดและวางร่างของเธอลง แรกเท้าสัมผัสผืนทรายและระลอก
คลื่นที่ซัดสู่ชายหาด ปาลิการู้สึกถึงความเย็นเยียบจนต้องถอยขึ้นมานิด
หนึ่งทั้งที่มือยังเกาะแขนเขาไว้แน่น
“อยู่กับฉันน่ะ เธอไม่ต้องกลัวหรอก ฉันอาจจะแกล้งโยนเธอลงน้ำ
สารพัด แต่ฉันเคยปล่อยให้เธอตายไหม” ตะวันฉายถามขึ้น
“แต่ฉันกลัวนี่” ตอบไปทั้งที่ไม่วายเสียงสั่น มือที่จับแขนเขาคลาย
ลง
“ฉันรู้ว่าเธอกลัว เพราะอย่างนี้ฉันจึงอยากให้เธอเลิกกลัว เลิกทำ
ตัวเป็นหมาบ้ากลัวน้ำเสียทีไง แต่ช่างเหอะ” เขาว่าก่อนจะก้าวเท้าตาม
คลื่นที่ถอยร่นลงไป และวิ่งกลับขึ้นมาเมื่อมันม้วนตัวเข้าซัดหาดทราย
แล้วหัวเราะชอบใจเหมือนเด็ก เป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้งท่ามกลางความ
มืดสลัวที่มองเห็นเพียงริ้วขาวของคลื่นเท่านั้นที่ชัดเจน
“มาสิ สนุกนะ” ตะวันฉายหยุดแล้วยื่นมือมาตรงหน้าปาลิกาที่ยืน
มองอยู่ด้วยความสนใจ “ฉันไม่แกล้งเธอหรอก” ถ้อยคำต่อมาที่จริงจัง
ทำให้หญิงสาวตัดสินใจวางมือลงบนมือเรียวของเขา แล้วตะวันฉายก็
พาเธอวิ่งขึ้นวิ่งลงตามลูกคลื่น ปาลิกาส่งเสียงหัวเราะกรี๊ดกร๊าดดังแข่ง
กับเสียงคลื่นในยามค่ำคืนด้วยความสนุกสนาน
“ไม่เอาแล้ว ฉันเหนื่อยแล้ว พอเหอะซัน” หญิงสาวหยุดอยู่กับที่
หายใจหอบถี่ เมื่อผ่านไปได้ครู่ใหญ่ๆ
“อะไรกัน ทำตัวเป็นยายแก่ไปได้เธอนี่” ไม่พูดเปล่าเขากลับฉุดมือ
เธอให้วิ่งอีกครั้ง แต่...
“โอ๊ย! ” ปาลิการ้องแทบทันทีที่รู้สึกแปลบตรงใต้ฝ่าเท้า คนฉุดมือ
ชะงัก ร่างเล็กก้มลงเอามือกุมเท้า
“เป็นอะไรไปยัยปลิก ไหนดูซิ” ตะวันฉายถามพร้อมก้มมอง
น้ำเสียงแสดงถึงความวิตกจนเห็นได้ชัด แต่เพราะความมืดทำให้มอง
อะไรไม่เห็นชายหนุ่มจึงสบถอย่างหัวเสีย ก่อนถาม “เจ็บมากหรือเปล่า
ฉันรู้สึกว่าเลือดเธอจะออกด้วยนะ กลับกันเถอะ มาฉันอุ้ม”
“ฉันไม่เป็นไรมากหรอก แค่อะไรบาดเท่านั้นเอง นายแค่พยุงฉันไป
ก็ได้” หญิงสาวรีบบอกพลางเกาะแขนเขาลุกขึ้น แต่ปาลิกาเสียหลักเซ
จะล้มลงอีกครั้ง ตะวันฉายจึงตวัดหอบเอาร่างบางนั้นขึ้นมาได้ในทัน
ควัน
แต่ทว่า...ใบหน้าของเขากลับโน้มลงมา ขณะที่ใบหน้าของปาลิกา
เงยขึ้นพอดี ริมฝีปากของชายหนุ่มกดแนบเข้ากับริมฝีปากนุ่มโดยไม่
ตั้งใจ เป็นเหตุให้ทั้งคู่ชะงักนิ่งงันอยู่เช่นนั้น เหมือนมวลอากาศหวาม
ไหวกำลังโอบรัดทั้งสองเอาไว้ ท่ามกลางเสียงเต้นของหัวใจที่ดังผสาน
กับเสียงคลื่น ก่อนที่ชายหนุ่มจะรีบถอนริมฝีปากออกมา
“เอ่อ...ฉันว่าเรารีบกลับที่พักกันเถอะ จะได้ดูแผลให้เธอ” พูดได้
แค่นั้นแล้วตะวันฉายก็ตวัดร่างเล็กขึ้นมาอุ้มอีกครั้ง ก่อนเดินดุ่มไปทาง
บ้านพัก โดยที่อีกฝ่ายไม่กล้าแม้จะส่งเสียงโวยวายสักคำ
ระอุ ต่างก็แยกย้ายกันเข้าบ้านพักและพักผ่อนตามอัธยาศัย คุณโฉม
ฉายกับญาติผู้ใหญ่ที่มากับรถตู้พักอยู่บ้านหลังหนึ่ง ส่วนปาลิกาและ
หยินมี่ได้พักรวมกับพนักงานหญิงในบ้านพักหลังใหญ่
ซึ่งเป็นความคิดของคุณโฉมฉายที่ต้องการให้คนใกล้ชิดรวมถึง
ผู้บริหารบางคนกระจายกันไปพักกับพนักงานในบ้านแต่ละหลัง เพื่อ
ช่วยดูแลรวมทั้งสร้างความคุ้นเคยและเป็นกันเองไปในตัว แม้แต่ตะวัน
ฉายก็ไม่เว้นเพราะเขาได้ไปพักกับพนักงานชายที่บ้านอีกหลังพร้อมกับ
หยางและเทิดพงศ์
ตกตอนเย็นถึงได้ออกมาเดินกันตามชายหาด บ้างก็เดินเล่น บ้าง
ก็จับกลุ่มคุยกัน บ้างก็เล่นน้ำ ปาลิกายืนอยู่บนระเบียงบ้านพักที่หันหน้า
ออกมารับลมทะเล เสียงตะโกนเอะอะสนุกสนานดังมาจากกลุ่มผู้ชายที่
พากันเล่นฟุตบอลอยู่ริมชายหาด ทำให้หญิงสาวต้องเขม้นตามองอีก
ครั้งเพราะรู้สึกเหมือนในกลุ่มนั้นคล้ายๆ จะมีตะวันฉายและหยาง
รวมอยู่ด้วย
สายตาเธอหยุดอยู่ตรงร่างสูงโปร่งที่ใส่กางเกงขาสั้นแบบ
บ็อกเซอร์ ท่อนบนเปลือยเปล่า เผยให้เห็นผิวขาวจัดที่เริ่มมีรอยแดงเป็น
ปื้น ร่างนั้นดูโดดเด่นจากกลุ่มแต่ในขณะเดียวกันก็ดูกลมกลืนไปกับพวก
พนักงาน ชายหนุ่มไม่มีทีท่าถือตัวเลยสักนิด พอถูกแย่งลูกฟุตบอลก็
ล้มลุกคลุกทรายอยู่นั่นแล้ว ปาลิกาแอบหัวเราะขำกับภาพที่เห็น
“น้องปลา” เสียงเรียกนั้นดังมาจากข้างล่าง ปาลิกายิ้มกว้างเมื่อ
เห็นคนที่เรียกถนัดตา
“พี่อ๋ามาถึงนานแล้วเหรอคะ” อานุภาพกับครอบครัวนอกจากจะ
ขับรถมากันเองแล้ว ยังแยกตัวไปพักกันเองที่บ้านพักหลังหนึ่ง
โดยเฉพาะอีกด้วย
“พึ่งมาถึงแล้วก็มาหาน้องปลานี่แหล่ะ ไปเดินเล่นกันหน่อยไหม”
ปาลิการับคำพลางก้าวลงบันไดเล็กๆ ไปหาอนุภาพ
ทั้งคู่เดินเคียงกันไปบนชายหาดด้านหน้าบ้านพัก พร้อมพูดคุยกัน
กระหนุงกระหนิงท่ามกลางสายลมยามเย็นที่พัดอ่อนเอื่อย และที่สุดก็
มาถึงกลุ่มที่กำลังเล่นฟุตบอลชายหาดกันอย่างสนุกสนานนั่น
“เฮียอ๋ามาเตะบอลด้วยกันสิ” ตะวันฉายร้องชวน
“ไม่ล่ะซัน ตามสบายเถอะ เฮียไม่ถนัด” อานุภาพปฏิเสธพร้อม
รอยยิ้ม แต่พอเดินผ่านกลุ่มนักฟุตบอลชายหาดมาได้ไม่กี่ก้าว ลมทะเล
ก็พัดมาวูบใหญ่ และปาลิการ้องขึ้นเบาๆ ด้วยความตกใจพลางยกมือ
กุมตา
“น้องปลาเป็นอะไรไป” อานุภาพหันมามอง ความเป็นห่วงทำให้
เขาเอื้อมมือไปประคองใบหน้าเล็กนั่น
“สงสัยทรายจะเข้าตาค่ะพี่อ๋า แย่จัง” บ่นแล้วทำท่าจะขยี้ตา แต่
อานุภาพรีบจับมือเธอไว้
“อย่าขยี้นะน้องปลา เดี๋ยวตาช้ำจะเจ็บไปกันใหญ่ ไหน...ให้พี่ดู
หน่อยซิ” และชายหนุ่มก็เพ่งมองดวงตาที่หรี่ลงเพราะระคายเคืองแถม
น้ำตาเริ่มไหล อานุภาพจึงใช้มือถ่างเปลือกตาของหญิงสาวออก และก็
เห็นต้นเหตุอยู่ภายในเปลือกตาด้านล่าง เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา
จากกระเป๋ากางเกง และค่อยๆ บรรจงซับเม็ดทรายเล็กจิ๋วออกจากตา
ของปาลิกา “โอเค.ออกแล้ว น้องปลาลองกระพริบตาดูซิ ยังระคายอยู่
ไหม” หญิงสาวทำตามอย่างว่าง่าย
“ไม่ระคายแล้วค่ะพี่อ๋า แต่ก็ยังรู้สึกเคืองอยู่บ้าง เดี๋ยวคงหาย
ขอบคุณพี่อ๋ามากนะคะ”
“มาพี่เช็ดน้ำตาให้ ดูสิอย่างกะคนร้องไห้แน่ะ” ขณะที่อานุภาพ
กำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาให้ปาลิกาอยู่นั้น
“พลั่ก!! โอ๊ย!! ” ลูกฟุตบอลไม่รู้ลอยมาจากไหนกระแทกหัว
ปาลิกาอย่างแรงเกินจะตั้งตัวได้ทัน ทำเอาเธอถึงกับมึนงง อานุภาพคว้า
แขนของหญิงสาวไว้ได้พอดี เมื่อตั้งสติได้และหายมึนปาลิกาหันไปทาง
กลุ่มนักฟุตบอลชายหาด เห็นร่างสูงกำลังวิ่งเหยาะๆ มาทางเธอ บน
ใบหน้าสวยเหมือนผู้หญิงนั้นคลี่รอยยิ้มพรายเจ้าเล่ห์
“นาย นายซัน นายแกล้งฉันใช่ไหม” เธอแว้ดขึ้นในทันทีที่ตะวัน
ฉายเข้ามาใกล้
“โอ๊ะ! ใส่ร้ายกันชัดๆ เธอมาจู๋จี๋กันใกล้รัศมีเท้าฉันเองนะ” แทนที่
จะขอโทษแต่เขากลับลอยหน้าตอบเหมือนไม่รู้สึกรู้สาสักนิด ทำให้ความ
โมโหของปาลิกาเพิ่มระดับขึ้นจนถึงจุดสูงสุดในทันที
“ฮึ่ม! ดีล่ะ...” หญิงสาวฮึ่มฮั่มพลางเอื้อมมือไปคว้าลูกฟุตบอล
ต้นเหตุที่วางอยู่ใกล้เท้าขึ้นมาเงื้อง่า หมายจะปาใส่หน้าขาวนั่น แต่ก็ช้า
ไปกว่าตะวันฉาย เพราะเขาเอื้อมมือมาฉวยลูกฟุตบอลไปจากมือเธอ
อย่างรวดเร็ว
“อย่างเธอมันมือคนล่ะชั้น อย่ามาหือ” ว่าพลางใช้อีกมือที่ว่างจิ้ม
หน้าผากเธอหงาย แล้วก็วิ่งจากไป
“อ๊าย! นายซันบ้าที่สุด” ปาลิกากระแทกเท้าหน้าหงิกด้วยความ
โมโหจัด ก่อนหันไปมองคนที่ยืนเป็นผู้ชมอยู่ข้างๆ “พี่อ๋ายิ้มทำไมคะ
เกลียดนายซันที่สุดเลย ฮึ...”
“ก็ขำเด็กไม่ยอมโตคู่นี้น่ะสิ อย่าทำหน้าหงิกสิน้องปลา เดี๋ยวไม่
สวยนะ เราไปทางโน้นกันเถอะ” น้ำเสียงอ่อนโยนนั้นทำให้คนที่กำลัง
โมโหอ่อนลง แม้จะยังกะบึงกะบอนอยู่บ้าง แต่ที่สุดก็ยอมเดินเคียง
อานุภาพไป
ยามเย็นที่ความมืดเริ่มโรยตัว ชายหาดหน้าบ้านพักคลาคล่ำด้วย
บรรดาพนักงานของเดอะซัน กรุ๊ปฯ ที่เดินกันขวักไขว่ ทางบริษัทได้จัด
งานเลี้ยงอาหารแบบบุฟเฟ่ห์ มีอาหารทะเลและเครื่องดื่มไว้บริการอย่าง
เต็มที่ โดยเฮียย้งทำหน้าที่เป็นพิธีกรประจำงาน ได้เชิญคุณโฉมฉายเปิด
งานและร่วมเล่นเกมส์ต่างๆ กับพนักงาน รวมทั้งบรรดาผู้บริหารต่างๆ
ด้วย ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุกสนาน ครื้นเครงและเป็น
กันเอง
ระหว่างนั้นอานุภาพกับปาลิกายืนเคียงกันอยู่ด้านหนึ่งพร้อมคู่
ของหยินมี่ เช่นกันกับตะวันฉายที่ถูกวดีลดาล็อคตัวให้อยู่ในกลุ่มของ
หมวยเล็ก หมวยใหญ่อีกด้านโดยมีหยางยืนรวมกลุ่มอยู่ด้วย
จนกระทั่งเป็นเวลาดึกพอสมควรที่เสียงเฮฮาจากงานเลี้ยงเริ่มซา
ลง แต่ยังไม่เลิกราเสียทีเดียว พวกผู้ใหญ่และคุณโฉมฉายกลับขึ้นไป
พักผ่อนแล้ว พนักงานต่างแยกย้ายกันไปพักผ่อนเช่นกัน หยินมี่กับ
เทิดพงศ์ขอตัวไปเดินเล่น
“เฮีย ไปส่งม๊าหน่อยสิ ม๊าจะกลับห้อง จัดยาให้ม๊าด้วยนะ” หมวย
เล็กที่เดินเข้ามาหาอานุภาพบอก
“ได้สิ...น้องปลารอพี่ตรงนี้นะ เดี๋ยวพี่กลับมาแล้วเราค่อยไปเดิน
เล่นกัน” ตอนท้ายอานุภาพหันมาบอกปาลิกา หญิงก็สาวรับคำ
หลังจากเวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงกว่า ยังไม่มีวี่แววว่าอานุภาพจะ
กลับมา มีแต่สองหมวยนรกที่ทำเป็นเตร่ไปมาแถวปาลิกายืนอยู่ จนน่า
เวียนหัว แต่สองคนนั่นยังไม่กล้าพูดอะไรเพราะยังมีคนอื่นอยู่ด้วย
จนกระทั่งสบโอกาสตอนที่หญิงสาวอยู่เพียงลำพัง
“เธอคิดว่าเฮียจะกลับมาหาเธอจริงๆ น่ะเหรอ” หมวยเล็กถามขึ้น
ด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“ฝันกลางวันไปหน่อยล่ะมั้ง” หมวยใหญ่เสริมตามบทถนัด
“พวกเธออย่ามากวนฉันได้ไหม” ปาลิกามีสีหน้ารำคาญ ถ้าสอง
คนนี้เป็นยุงเธอคงตบจนแบนแต๊ดแต๋ไปแล้ว หญิงสาวจึงรีบก้าวออกมา
จากตรงนั้นเงียบๆ พร้อมกับเสียงหัวเราะเยาะเย้ยของสองหมวยดัง
ตามหลังมา
ร่างบางเดินทอดน่องอยู่บนหาดทรายไกลจากคลื่นที่ซัดสาด
พอสมควร แม้ใจอยากจะลงไปตรงริมชายหาด แต่ปาลิกาก็ไม่กล้า
เพราะ ‘โรคกลัวน้ำ’ ส่วนตัวทำให้เธอได้แต่ตัดใจเดินอยู่ห่างๆ เพราะใน
ความมืดมิดความน่ากลัวเหมือนจะทวีขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว
หญิงสาวหยุดมองไปยังความมืดเบื้องหน้า เรือหาปลากระพริบ
แสงสีแดงอยู่ไกลออกไป รู้สึกดีที่ออกมาจากตัวมลพิษอย่างสองหมวย
นั่นได้ เพราะสิ่งที่ออกมาจากปากพวกนั้นรังแต่จะทำให้เป็นมลพิษทั้ง
ทางหู ทางตา ทางใจและทางอารมณ์ แม้เธอจะชาชินแล้วยังอดทนฟัง
ไม่ค่อยจะได้
แต่ครั้งนี้ปาลิกาไม่ได้รู้สึกโกรธหรือโมโหแต่อย่างใด รวมถึงกับตัว
อานุภาพเอง เธอรู้ว่าอาจจะลงเอยเช่นนี้ เหมือนทุกครั้งที่เธอกับ
อานุภาพอยู่ท่ามกลางครอบครัวของเขา หญิงสาวเองก็ชินกับการกีดกัน
แบบโจ่งแจ้งของหมวยนรกนั่นแล้ว
และเมื่อครู่ที่เธอยังรอเขาอยู่ก็เพราะได้รับปากไว้แล้วก็เท่านั้น พอ
อานุภาพไม่มาดังที่บอก หญิงสาวก็คิดว่าดีเหมือนกัน แม้จะต้องเดิน
เล่นคนเดียวแต่ก็ยังดีกว่ามีตัวมลพิษตามมาเป็นพรวน คิดเมื่อไหร่ก็
สยองเมื่อนั้น ปาลิกาอดหัวเราะขำกับตัวเองไม่ได้ แต่แล้วความคิดก็
ต้องมีอันสะดุดลงเพระรู้สึกถึงแรงกระแทกอย่างจัง
“พลั่ก!! ” และปากก็ถูกปิดทันทีก่อนที่จะทันร้องออกมาด้วยซ้ำ
แต่หญิงสาวไม่ยอมแพ้พยายามดิ้นรนพร้อมส่งเสียงอู้อี้ด้วยความตกใจ
สุดขีด
“อย่าส่งเสียง! ” คนที่ปิดปากเธอแน่นออกคำสั่งเสียงกระซิบ
พร้อมกับลากร่างเล็กไปยังหลังโขดหิน
“เฮียซัน เฮียซันอยู่ไหน อยู่แถวนี้หรือเปล่าเฮีย” เสียงที่คุ้นหูดังมา
ใกล้ ตัวมลพิษที่หญิงสาวหลบมานั่นเอง ปาลิกาจึงรู้ว่าคนที่ปิดปากเธอ
อยู่ในตอนนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก...ตะวันฉาย นั่นทำให้หญิงสาว
คลายลงจากอาการตกใจและหวาดกลัว
“ฉันบอกแล้วว่าเฮียไม่ได้มาทางนี้” เสียงหมวยใหญ่ว่า
“แต่ฉันเห็นแว่บๆ ว่ามาทางนี้นี่นา” วดีลดาเถียงไม่เต็มเสียงนัก
แล้วสามสาวก็เถียงกันไปมาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะได้บทสรุปว่าควร
จะไปตามหาตะวันฉายที่ห้องคุณโฉมฉายกัน พอเสียงฝีเท้าของสามสาว
อันตรายห่างออกไป มือที่ปิดปากปาลิกาแน่นหนาก็คลายออก
“ฉันไม่เข้าใจนายเลยจริงๆ ทีเมื่อกี้ยังรักกันจี๋จ๋าป้อนข้าวป้อนน้ำ
ยังกะนายเป็นง่อย มาตอนนี้วิ่งหนียังกะเป็นผี อะไรของนาย” พอปาก
เป็นอิสระก็เริ่มเอาเรื่องเสียงขุ่นทันที
“ก็ฉันอิ่มจนจะอ้วกอยู่แล้วน่ะสิ อย่าพูดมากมานี่เลย” ชายหนุ่ม
ดึงแขนปาลิกาหมายจะพาไปยังริมชายหาด ทำให้คนอารมณ์ขุ่นเมื่อครู่
แปรเปลี่ยนเป็นตกใจขึ้นมาอีกครั้ง
“ไม่เอ๊า! ฉันไม่ไป ไม่เอานะไม่ลงนะซัน” ร้องเสียงหลงและขืนตัว
“ไม่ไปดีๆ ใช่ไหม มานี่...ฮื้บ! ” ตะวันฉายตวัดร่างเล็กขึ้นมาอุ้ม
พาดบ่า พาเดินไปยังริมชายหาด
จินตนาการอันเลวร้ายผุดขึ้นมาในหัวปาลิกา ตะวันฉายจะต้อง
โยนเธอลงทะเลท่ามกลางความมืดมิดเป็นแน่ ความหวาดกลัวอัดแน่น
เต็มหัวใจของหญิงสาว เธอจึงตะเบ็งเสียงโวยวายแข่งกับเสียงคลื่น
พร้อมกับที่มือเล็กระดมทุบหลังเขาพัลวัน แต่ตากลับหลับปี๋ แต่ทว่า...
เขากลับหยุดและวางร่างของเธอลง แรกเท้าสัมผัสผืนทรายและระลอก
คลื่นที่ซัดสู่ชายหาด ปาลิการู้สึกถึงความเย็นเยียบจนต้องถอยขึ้นมานิด
หนึ่งทั้งที่มือยังเกาะแขนเขาไว้แน่น
“อยู่กับฉันน่ะ เธอไม่ต้องกลัวหรอก ฉันอาจจะแกล้งโยนเธอลงน้ำ
สารพัด แต่ฉันเคยปล่อยให้เธอตายไหม” ตะวันฉายถามขึ้น
“แต่ฉันกลัวนี่” ตอบไปทั้งที่ไม่วายเสียงสั่น มือที่จับแขนเขาคลาย
ลง
“ฉันรู้ว่าเธอกลัว เพราะอย่างนี้ฉันจึงอยากให้เธอเลิกกลัว เลิกทำ
ตัวเป็นหมาบ้ากลัวน้ำเสียทีไง แต่ช่างเหอะ” เขาว่าก่อนจะก้าวเท้าตาม
คลื่นที่ถอยร่นลงไป และวิ่งกลับขึ้นมาเมื่อมันม้วนตัวเข้าซัดหาดทราย
แล้วหัวเราะชอบใจเหมือนเด็ก เป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้งท่ามกลางความ
มืดสลัวที่มองเห็นเพียงริ้วขาวของคลื่นเท่านั้นที่ชัดเจน
“มาสิ สนุกนะ” ตะวันฉายหยุดแล้วยื่นมือมาตรงหน้าปาลิกาที่ยืน
มองอยู่ด้วยความสนใจ “ฉันไม่แกล้งเธอหรอก” ถ้อยคำต่อมาที่จริงจัง
ทำให้หญิงสาวตัดสินใจวางมือลงบนมือเรียวของเขา แล้วตะวันฉายก็
พาเธอวิ่งขึ้นวิ่งลงตามลูกคลื่น ปาลิกาส่งเสียงหัวเราะกรี๊ดกร๊าดดังแข่ง
กับเสียงคลื่นในยามค่ำคืนด้วยความสนุกสนาน
“ไม่เอาแล้ว ฉันเหนื่อยแล้ว พอเหอะซัน” หญิงสาวหยุดอยู่กับที่
หายใจหอบถี่ เมื่อผ่านไปได้ครู่ใหญ่ๆ
“อะไรกัน ทำตัวเป็นยายแก่ไปได้เธอนี่” ไม่พูดเปล่าเขากลับฉุดมือ
เธอให้วิ่งอีกครั้ง แต่...
“โอ๊ย! ” ปาลิการ้องแทบทันทีที่รู้สึกแปลบตรงใต้ฝ่าเท้า คนฉุดมือ
ชะงัก ร่างเล็กก้มลงเอามือกุมเท้า
“เป็นอะไรไปยัยปลิก ไหนดูซิ” ตะวันฉายถามพร้อมก้มมอง
น้ำเสียงแสดงถึงความวิตกจนเห็นได้ชัด แต่เพราะความมืดทำให้มอง
อะไรไม่เห็นชายหนุ่มจึงสบถอย่างหัวเสีย ก่อนถาม “เจ็บมากหรือเปล่า
ฉันรู้สึกว่าเลือดเธอจะออกด้วยนะ กลับกันเถอะ มาฉันอุ้ม”
“ฉันไม่เป็นไรมากหรอก แค่อะไรบาดเท่านั้นเอง นายแค่พยุงฉันไป
ก็ได้” หญิงสาวรีบบอกพลางเกาะแขนเขาลุกขึ้น แต่ปาลิกาเสียหลักเซ
จะล้มลงอีกครั้ง ตะวันฉายจึงตวัดหอบเอาร่างบางนั้นขึ้นมาได้ในทัน
ควัน
แต่ทว่า...ใบหน้าของเขากลับโน้มลงมา ขณะที่ใบหน้าของปาลิกา
เงยขึ้นพอดี ริมฝีปากของชายหนุ่มกดแนบเข้ากับริมฝีปากนุ่มโดยไม่
ตั้งใจ เป็นเหตุให้ทั้งคู่ชะงักนิ่งงันอยู่เช่นนั้น เหมือนมวลอากาศหวาม
ไหวกำลังโอบรัดทั้งสองเอาไว้ ท่ามกลางเสียงเต้นของหัวใจที่ดังผสาน
กับเสียงคลื่น ก่อนที่ชายหนุ่มจะรีบถอนริมฝีปากออกมา
“เอ่อ...ฉันว่าเรารีบกลับที่พักกันเถอะ จะได้ดูแผลให้เธอ” พูดได้
แค่นั้นแล้วตะวันฉายก็ตวัดร่างเล็กขึ้นมาอุ้มอีกครั้ง ก่อนเดินดุ่มไปทาง
บ้านพัก โดยที่อีกฝ่ายไม่กล้าแม้จะส่งเสียงโวยวายสักคำ
กานพลู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 ม.ค. 2559, 09:52:24 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 ม.ค. 2559, 10:06:47 น.
จำนวนการเข้าชม : 1011
<< บทที่ 11 | บทที่ 13 >> |