ปิ่นแก้วนครา (ในนามปากกา 'พิริตา' )
ด้วยฤทธิ์อำนาจของปิ่นโบราณที่เธอได้มา ทำให้ ‘กังสดาล’ หญิงสาวธรรมดาที่ติดกระโดกกระเดก และง้องแง้งเป็นนิสัย ต้องเดินทางย้อนกลับไปในอดีตของล้านนาเมื่อเก้าร้อยกว่าปีก่อน เพื่อช่วย ‘เจ้าน้อยปิ่นเมือง’ เจ้าราชบุตรแห่งเวียงสีปันจา ยับยั้งการล่มสลายของเวียงสีปันจา แต่ทว่าที่นั่นเธอกลับต้องสวมรอยเป็นหญิงสาวชาวป่าชื่อ ‘สร้อยแสงดา’ ขณะเดียวกันก็ตกกระไดพลอยโจนเป็นคู่หมายของเจ้าราชบุตรไปเสียนี่ กังสดาลจะช่วยยับยั้งการล่มสลายของเวียงสีปันจาได้หรือไม่ เรื่องราวความรักของหญิงสาวที่มาจากอนาคตและเจ้าราชบุตรผู้แสนน่ารัก และอ่อนโยนในอดีต จะเป็นอย่างไร ติดตามความสนุกสนานและซาบซึ้งได้ใน ‘ปิ่นแก้วนครา’ เร็วๆ นี้ค่ะ!
Tags: ปิ่นแก้วนครา เจ้าน้อย พีเรียด ย้อนยุค ล้านนาโบราณ เสือเย็น

ตอน: บทนำ

ตึกสองชั้นกลางเก่ากลางใหม่ขนาดใหญ่สีอิฐ ตั้งอยู่ในย่านชุมชนฝั่งหนึ่งของกรุงเทพมหานคร เป็นที่ตั้งของ

ร้านรวงต่างๆ หนึ่งในนั้นคือร้านกรุกระจกใสที่อยู่ตรงหัวมุมด้านซ้าย ป้ายไม้ที่แขวนอยู่ด้านหน้าเขียนไว้ว่า‘ลายคราม’ ซึ่งเป็นร้านรับซื้อขาย

ของเก่ามีค่า จำพวกเพชร พลอย เครื่องประดับต่างๆ ถ้วย โถลายครามโบราณ ฯลฯ เท่าที่คนจะสามารถเสาะหามาขายได้

เจ้าของร้านเป็นชายหนุ่มร่างท้วม อายุประมาณยี่สิบกว่าปีปลายๆ นั่งอยู่หลังเค้าเตอร์กึ่งตู้โชว์สินค้าตัวยาว

เขากำลังหรี่ตาเพ่งมองผ่านกล้องส่องอันเล็ก ส่องดูเหรียญโบราณอันหนึ่งอย่างตั้งอกตั้งใจ

ตรงหน้าเขานอกจากเหรียญสี่ห้าเหรียญแล้วยังมีแจกันใบเขื่องลวดลายแปลกตาแต่ดูเก่าคร่ำคร่า กำไลหยกหักๆ

และปิ่นปักผมทำจากทองเหลืองที่มีลักษณะเป็นช่อชั้นคล้ายเจดีย์ มีสายสร้อยเป็นพู่ห้อยระย้าเชื่อมต่อตรงปลาย

แม้โดยรวมแล้วปิ่นอันนี้จะยังสมบูรณ์ดีเกือบทุกประการแต่ก็เก่าแก่พอกัน

ของทั้งหมดเป็นของที่เขาพึ่งรับซื้อมารอบล่าสุด มันยังหาที่มาที่ไปไม่ได้ และก็เป็นหน้าที่ของชายหนุ่มที่จะต้องเสาะหาประวัติความเป็นมา

ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับสิ่งของเหล่านี้ เพื่อให้รายละเอียดกับลูกค้าต่อไป

แต่ทันใดนั้นเอง ประตูกระจกหน้าร้านก็ถูกเปิดออก ปรากฏร่างบางในชุดสูททำงานสีดำก้าวเข้ามา ในมือของหญิงสาวถือกระเป๋าใบใหญ่ใส่

อุปกรณ์การทำงาน และสะพายกระเป๋ากล้องถ่ายรูปไว้บนบ่าอีกใบ ส่วนอีกมือถือถุงพลาสติกใส่ดอกไม้สีขาว พร้อมรอยยิ้มสดใสประจำตัว

“หวัดดีค่ะพี่ก้อง ดูอะไรอยู่เหรอ ทำหน้านิ่วเชียว” เจ้าของร่างบางที่ก้าวเข้ามาใหม่เอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม ขณะวางกระเป๋าทั้งสองใบ และถุง

ดอกไม้ลงบนหน้าเค้าเตอร์


ดวงหน้ารูปไข่ ดูงดงามลงตัวด้วยเครื่องหน้าที่ดูพอเหมาะพอเจาะ ดวงตาคู่กลมโตเปล่งประกายสดใสมีชีวิตชีวา อีกทั้งก็มีส่วนละม้ายกับชาย

หนุ่มไม่น้อย ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามีความเกี่ยวพันกันทางสายเลือดอย่างแน่นอน

“อ้าว...ยัยกั้ง ก็ของที่พี่เพิ่งรับมาวันก่อนน่ะสิ มีเหรียญแปลกๆ เยอะเลย ว่าแต่เราเหอะ ว่างหรือไงวันนี้ถึงกลับมาบ้านได้”ท้ายประโยคออก

แนวประชดประเทียดเล็กน้อย แต่คนเป็นน้องสาวไม่ใส่ใจ

“ก็ว่างช่วงเย็น ว่าจะมาทานข้าวฝีมือพี่รสซะหน่อย พี่รสอยู่ไหนล่ะคะ” กั้ง หรือ กังสดาล ถามหาพี่สะใภ้พลางสอดส่ายสายตามองหา ก่อนที่

คนเป็นพี่ชายจะทันตอบ ร่างอวบในชุดคลุมท้องของภรรยาก็เดินออกมาจากด้านใน พร้อมจานใส่ผลไม้

“พี่อยู่นี่จ้ะ ดีจังที่น้องกั้งแวะมาได้ เห็นพี่ชายเราบ่นถึงทุกวัน เดี๋ยวพี่ไปเอาน้ำมาให้นะ” พูดพลางจะหันหลังกลับเข้าไปด้านใน หลังรับไหว้

น้องสาวสามีแล้ว

“ไม่ต้องลำบากหรอกค่ะพี่รส เดี๋ยวกั้งเข้าไปเอาเองดีกว่า พี่ยิ่งกำลังท้องกำลังไส้อยู่ด้วย” ว่าแล้วเจ้าของร่างบางก็โฉบเข้าไปด้านในสุดซึ่ง

เป็นที่ตั้งของห้องครัว ตามนิสัยของคนที่ชอบทำอะไรรวดเร็ว เพียงครู่ก็กลับมาพร้อมแก้วน้ำเปล่าเย็นเจี๊ยบ และแก้วเปล่าทรงเตี้ยอีกสองใบ

“ว่าแต่คืนนี้น้องกั้งจะค้างที่บ้านหรือเปล่าจ๊ะ”รสริน ผู้เป็นพี่สะใภ้ถามขึ้น พร้อมนั่งลงบนเก้าอี้ข้างสามี

“คงค้างไม่ได้หรอกค่ะพี่รส เพราะพรุ่งนี้กั้งมีงานด่วนแต่เช้าเลย” หญิงสาวตอบ พลางวางแก้วน้ำ และแก้วเปล่าสองใบลงบนเค้าเตอร์ ก่อนจะ

นั่งลงบนเก้าอี้ข้างพี่ชายอีกด้าน

เพราะการเป็นนักข่าวสายการเมืองให้กับหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งของกังสดาล ทำให้เธอแทบไม่มีเวลากลับมา ‘บ้าน’ นี้ ซึ่งอยู่ห่างจากที่ทำ

งานคนละฟากฝั่งของกรุงเทพฯ เลยทีเดียว

หญิงสาวจึงพักอยู่คอนโดฯ ใกล้ที่ทำงานแทน และตอนนี้ก็มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเธอต้องคอยเกาะติดสถานการณ์นาทีต่อนาที

อีกด้วย

“ฮึ! ไม่ต้องไปถามมันหรอกรส ปกติมันก็ไม่อยากกลับมาบ้านนักหรอก”เสียงพี่ชายงอนๆ จนสองสาวอดหัวเราะกับท่าทางนั้นไม่ได้

“โธ่...พี่ก้อง ก็งานกั้งยุ่งจริงๆ นี่นา เอาไว้ตอนพี่รสคลอดกั้งจะลาพักร้อนมาช่วยเลี้ยงหลานสักอาทิตย์หนึ่ง โอเค.ไหมคะ” คนเป็นน้องสาวทั้ง

โอดครวญและออดอ้อนเอาใจในตอนท้าย แต่ กัมปนาทยังทำเป็นไม่สนใจ

“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ พี่ชายน้องกั้งก็เป็นเสียอย่างนี้แหล่ะ อย่าไปใส่ใจเลย” จนพี่สะใภ้อดไม่ได้จึงเอ่ยแทน

กังสดาลแอบยิ้มขำกับท่าทางของพี่ชายที่ค้อนประหลับประเหลือกราวกับผู้หญิงก็ไม่ปาน หญิงสาวรู้ดีว่ากัมปนาทรักและเป็นห่วงเธอมากแค่

ไหน เพราะมีกันอยู่แค่สองคนพี่น้องเท่านั้น

หลังจากที่บิดา มารดา จากไปด้วยอุบัติเหตุเมื่อหลายปีก่อน และได้ทิ้งตึกนี้ไว้ให้ทั้งคู่พร้อมกิจการให้เช่าร้านรวงต่างๆ ในตึก รวมทั้งร้านค้า

ขายของเก่าแก่มีค่าของครอบครัวแห่งนี้

กัมปนาท ผู้เป็นพี่ชาย โตพอที่จะดูแลทุกอย่างได้แล้วในตอนนั้น ขณะที่กังสดาลยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ ทั้งคู่จึงอาศัยอยู่ที่บ้าน หรือร้าน

ลายครามแห่งนี้กันเพียงสองคนพี่น้อง จนกระทั่งกัมปนาทแต่งงาน รสรินก็ได้ย้ายเข้ามาเป็นสมาชิกของครอบครัวอีกคน

แต่หลังจากกังสดาลเรียนจบเมื่อสองปีที่ผ่านมาเธอก็ได้ย้ายออกไปอยู่คอนโดฯ ใกล้ที่ทำงานซึ่งอยู่ใจกลางเมืองแทน ท่ามกลางความไม่

เห็นด้วยของพี่ชาย พี่สะใภ้ แต่ด้วยความเชื่อมั่นในตัวเองของเธอทั้งคู่จึงคร้านที่จะทักท้วง

“กั้งซื้อดอกพุดซ้อนมาไหว้พ่อกับแม่ด้วยล่ะค่ะพี่ก้อง”กังสดาลว่าพลางเปิดถุงใส่ดอกไม้ออก

กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้สีขาวที่อยู่ในกรวยใบตองกล้วยสีเขียวสด ทำให้บรรยากาศสดชื่นขึ้นไม่น้อย ก่อนที่หญิงสาวจะจัดใส่แก้วทรง

เตี้ยที่เตรียมมาทั้งกรวย แล้วจึงเอาน้ำมาเติมลงไป

กัมปนาทมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกสบายใจ แม้กังสดาลจะไม่ค่อยมีเวลากลับมาบ้านนี้ แต่พอมาครั้งใดเธอก็มักจะหาดอกพุดซ้อน ซึ่งเป็น

ดอกไม้แสนโปรดของมารดามาไหว้รูปบุพการีทั้งสองในห้องพระชั้นบนเสมอ

ทั้งเขาและน้องสาวต่างก็ผูกพันกับดอกไม้ชนิดนี้ไม่น้อย ค่าที่ตอนมารดายังมีชีวิตอยู่ชอบปลูกในกระถางวางไว้บนดาดฟ้า แถมยังคอยซื้อ

ดอกพุดซ้อนที่นำมาจัดใส่กรวยใบตองจากหญิงชราเจ้าประจำตรงสี่แยกหน้าบ้านมาไหว้พระ จัดใส่แจกันอีกต่างหาก

เวลาเห็นดอกพุดซ้อนสองพี่น้องมักจะคิดถึงมารดาเสมอ และเจ้าดอกไม้สีขาวชนิดนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตพวกเขาไปโดยไม่รู้ตัว

“พี่ก้องกำลังดูอะไรอยู่ กั้งขอดูมั่งดิ” หญิงสาวจัดดอกไม้ใส่แก้วเตรียมไว้แล้ว แต่ยังไม่ขึ้นไปห้องพระในทันที

ด้วยเห็นพี่ชายยังงอนๆ จึงกระแซะเข้าไปหา ทำเป็นสนใจสิ่งที่เขาทำอยู่เพื่อเอาใจ และก็ได้ผลกัมปนาทผลักกองของเก่ามาตรงหน้าน้อง

สาว

“เห็นว่าได้มาจากแม่น้ำทางเหนือ ลวดลายมันดูแปลกๆ พี่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย เราดูสิ”

แม้จะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องของเก่าพวกนี้เหมือนอีกฝ่าย แต่กังสดาลพอจะดูของเป็นอยู่บ้าง จากการคลุกคลีกับบิดาและพี่ชายมาตั้งแต่เด็ก

หญิงสาวกวาดสายตามองของหลายชิ้นที่วางอยู่ ก็เห็นดังกัมปนาทว่า ลวดลายมันดูแปลกตา ทั้งเหรียญเก่าๆ สี่-ห้าอันนั้นและปิ่นปักผมทอง

เหลือง

“ปิ่นอันนี้รูปแบบเหมือนของเจ้านางทางเหนือเลยพี่ก้อง แต่ลวดลายแปลกกว่ามาก พู่ห้อยนี่ก็ยังสมบูรณ์อยู่เลย แล้วก็สวยมากด้วย” ซึ่งอัน

หลังนี้ดึงดูดใจกังสดาลได้มากเป็นพิเศษ จนต้องหยิบขึ้นมาเพ่งพินิจ

หญิงสาวอาจเคยเห็นปิ่นที่มีลักษณะเป็นช่อชั้นคล้ายเจดีย์มาบ้าง แต่ในความเก่าแก่ของปิ่นทองเหลืองอันนี้กลับดูแปลกตานัก เพราะนอก

จากสายสร้อยที่ห้อยตรงปลายเป็นพู่ระย้าแล้ว หัวของปิ่นก็ประดับด้วยอัญมณีสีขาว

อีกทั้งตรงชั้นต่างๆ ก็ประดับอัญมณีหลากหลายสี ช่างน่าแปลกนัก แม้จะขุ่นเขรอะจนแทบดูไม่ออกว่าเป็นสีอะไร แต่เธอกลับเห็นความสวย

งามที่ซ่อนอยู่ของมัน

“อย่ามาชมว่าสวยได้ไหม เราชมทีไรทุนหายกำไรหดทุกที” คนเป็นพี่ชายบ่นอุบด้วยรู้ถึงนิสัยของน้องสาวดี ว่าแม้จะไม่ได้คลั่งไคล้ของเก่า

สุดจิตสุดใจแบบตัวเขา แต่ถ้ามีชิ้นไหนถูกใจมากๆ กังสดาลมักจะขอเก็บเอาไว้ชื่นชมเองเสมอ แล้วส่วนมากจะเป็นของที่ทำราคาได้ดีเสีย

ด้วย

“แหม...กะอีแค่ของเก่าชิ้นเดียว ที่ยังไม่รู้ที่มาที่ไปด้วยซ้ำ จะขายได้กี่บาทกันเชียว กั้งขอเถอะนะ นะพี่ก้องนะ กั้งช้อบ ชอบ” ตอนท้ายหญิง

สาวทำตาปริบๆ ออดอ้อนพี่ชายสุดฤทธิ์

“ก็ได้ แต่เราต้องจ่ายต้นทุนมาให้พี่ก่อน” กัมปนาทแกล้งทำหน้าจริงจัง

“พี่ก้องล่ะก็ ทำเป็นงกไปได้” กังสดาลบ่นทำหน้าตูมอย่างขัดใจ

“อ้าว... ก็ของซื้อของขายนี่นา แล้วเราน่ะแอบจิ๊กของพี่ไปตั้งกี่ชิ้นแล้วล่ะ”คนเป็นน้องสาวตั้งท่าจะค้าน แต่ชายหนุ่มชิงพูดต่อเสียก่อน

“แต่ก็ไม่แน่นะ หากเราจะเปลี่ยนใจค้างที่นี่คืนนี้พี่อาจจะยกให้ฟรีๆ เลยก็ได้”

“โห... เอางี้เลยเหรอพี่ก้อง เอ้า! ก็ได้ๆ กั้งค้างก็ได้ ยอมไปทำงานสายวันหนึ่งละกัน” แม้จะแกล้งโวยวายแต่ก็ยอมรับในที่สุด คนเป็นพี่ชายจึง

ยิ้มอย่างเป็นต่อ

รสรินมองสองพี่น้องคุยกันแล้วส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม ไม่ว่ากี่ปีสองพี่น้องก็มีวิธีพูดคุยกันแบบนี้เสมอ แต่เธอก็รู้ว่าทั้งคู่รักและห่วงใยกันมาก

เพียงไหน

*-*-*-*-*-*

หลังอาหารเย็น ร้านลายครามได้ปิดให้บริการแล้ว กังสดาลกับพี่ชายและพี่สะใภ้ใช้เวลาอยู่ที่โซฟาตัวยาวในห้องพักผ่อนชั้นสอง

ทั้งหมดต่างให้ความสนใจกับข้อมูลของเก่าที่กัมปนาทสรรหามา เพื่อศึกษาถึงที่มาที่ไปของเก่าแต่ละชิ้นเท่าที่จะพอหาได้ แต่ทว่าปิ่นปักผม

ทองเหลืองที่กังสดาลได้จับจองไว้นั้นกลับไม่มีที่มาที่ไปให้ศึกษาเลยแม้แต่น้อย

“ไม่เห็นบอกเลยว่าเป็นของยุคไหน หรือจะเป็นของเจ้านางทางเหนือสมัยหลายร้อยปีก่อนนะพี่ก้อง” กังสดาลหมุนปิ่นเก่าแก่อันนั้นไปมา

อย่างพิจารณา พร้อมเปรยขึ้น

“ไม่รู้สิ วันก่อนพี่เองก็พยายามถามเพื่อนๆ แต่ก็ไม่มีใครรู้เหมือนกัน แม้ตัวงานจะเก่าแก่มาก แต่ก็แปลกที่ยังคงสมบูรณ์แบบดีทุกอย่าง เป็น

งานฝีมือละเอียดอ่อน ประณีตมาก ไม่น่าจะเป็นของชาวบ้านธรรมดา” ชายหนุ่มออกความคิดเห็น

กัมปนาทได้ปิ่นทองเหลืองโบราณอันนี้มาเมื่อหลายวันก่อน พร้อมกับของเก่าชิ้นอื่นๆ ปิ่นนี้มีความสวยงามและสมบูรณ์เกือบ 100% หากขาย

ราคาค่างวดก็คงมากโขอยู่ แต่เวลากังสดาลอยากได้อะไรชายหนุ่มไม่เคยขัดใจน้องสักที ซึ่งเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เด็ก

คราวนี้ก็เช่นกัน แม้จะแกล้งทำเป็นบ่นแท้ที่จริงแล้วเขาเต็มใจเป็นอย่างยิ่ง สิ่งใดที่เป็นความสุขของน้องไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่หรือเล็ก ถ้าทำ

ได้กัมปนาทจะไม่ขัดใจเลยแม้แต่น้อย เพราะนอกจากครอบครัวที่เขากับภรรยาร่วมกันสร้างขึ้นมาใหม่แล้ว ก็มีเพียงกังสดาลเท่านั้นที่เป็นสิ่ง

สำคัญในชีวิตของชายหนุ่ม

“งั้นกั้งก็ได้ครอบครองสมบัติที่ประเมินค่าไม่ได้แล้วสิ อีกไม่นานราคาอาจจะสูงสุดๆ ก็ได้นะพี่ก้อง ถึงเวลานั้นจริงๆ กั้งจะเอาออกขาย คราวนี้

แหล่ะเราจะได้รวย รวย รวยสุดๆ กันไปเลย” หญิงสาวทำหน้าตาท่าทางเพ้อฝันสุดฤทธิ์ คนเป็นพี่ชายมองแล้วได้แต่ส่ายหน้า

“พี่กลัวว่ายิ่งรวยก็จะยิ่งขยายร้านออกไปอีกน่ะสิน้องกั้ง”รสรินซึ่งนั่งอยู่ข้างสามีอดพูดขึ้นอย่างหยอกเย้าไม่ได้

“นั่นสินะคะพี่รส ปกติพี่ก้องก็บ้างานอยู่แล้วด้วย” และกังสดาลก็เห็นด้วยเต็มที่

“ใครว่าบ้ายัยกั้ง เขาเรียกว่า ‘ความรัก’ ต่างหาก การทำร้านขายของเก่าแบบนี้มันมีเสน่ห์จะตาย ทั้งดูลี้ลับ น่าตื่นเต้นดีออก มีแต่เรานั่นแหล่ะ

ที่ไม่ชอบ” ชายหนุ่มค่อนเข้าให้ในตอนท้าย

“กั้งไม่ได้ไม่ชอบนะพี่ก้อง ก็แค่มีอะไรที่กั้งชอบมากกว่าต่างหากล่ะ” คนเป็นน้องค้าน

ความจริงกังสดาลเรียนมาทางด้านรัฐศาสตร์การปกครอง แต่กลับจับพลัดจับผลูได้มาทำงานทางด้านสื่อกับรุ่นพี่ตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ

ตั้งแต่นั้นมาเธอก็ไม่เคยออกจากวงการนี้อีกเลย และหญิงสาวก็ชอบงานนี้มาก เพราะมันเข้ากับนิสัยไม่อยู่สุขของเธอดีพิลึก

“ชอบเป็นนักข่าวสายการเมือง ที่เหนื่อยแทบกระอักเลือดน่ะนะ” กัมปนาทแค่นเสียงว่า เพราะความไม่เห็นด้วยตั้งแต่ไหนแต่ไรมานั่นเอง

กังสดาลแกล้งยกมือกุมขมับพลางบ่น

“เฮ้อ! เอาอีกแล้ว บ่นอีกแล้ว ง่วงจัง กั้งไปนอนดีกว่า”ว่าแล้วหญิงสาวก็อ้าปากหาว ก่อนจะคว้าปิ่นเก่าแก่ติดมือ

“ราตรีสวัสดิ์ค่ะพี่รส พี่ก้อง พรุ่งนี้เช้าเจอกันค่ะ” แล้วก็ผลุบหายไปก่อนที่คนเป็นพี่ชายจะทันบ่นไปมากกว่านี้

“เป็นอย่างนี้ทุกทีสิ ยัยน้องคนนี้” กัมปนาทบ่นพลางถอนหายใจ สายตายังมองตามหลังน้องสาวที่ออกไปจากห้องพักผ่อนด้วยท่าทางอ่อน

อกอ่อนใจ

“คุณก็เลิกบ่นน้องเสียทีเถอะค่ะ น้องกั้งโตแล้วนะคะ” รสรินอดปรามขึ้นไม่ได้

“ผมก็แค่เป็นห่วงยัยกั้ง ไม่อยากให้ไปอยู่ข้างนอกเท่านั้นเอง” ชายหนุ่มว่าเหมือนอย่างเคย

“เอาเถอะค่ะ รสเข้าใจ แต่คุณก็อย่าลืมว่าน้องกั้งต้องมีชีวิตของตัวเอง ถึงอย่างไรเธอก็ไม่สามารถเอาชีวิตมาผูกติดกับคุณได้ตลอดหรอกนะ

คะ วันหนึ่งเธอจะต้องมีครอบครัว มีโลกของเธอเอง

“คุณก็ควรจะเชื่อมั่นในตัวน้องกั้งนะคะว่าเธอจะเลือกสิ่งที่ทำให้ตัวเองมีความสุขที่สุด และไม่ว่าน้องกั้งจะเลือกหรือทำอะไรก็ตาม เราก็ควร

ยินดีไปกับเธอ และยืนอยู่ตรงนี้เพื่อเป็นกำลังใจให้เธอ”หญิงสาวทั้งแนะทั้งปลอบเสียยาวเหยียด

จนกัมปนาทต้องคิดตามไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมา ใช่ว่าเขาจะไม่เข้าใจ แต่บางอารมณ์ชายหนุ่มก็ไม่ได้คิดถึงเหตุผลและความจริงสักเท่า

ไหร่

“ขอบคุณนะรส ที่เข้าใจและให้กำลังใจผม” กัมปนาทมองภรรยาด้วยความขอบคุณ ก่อนจะจับมือเธอขึ้นมาจุมพิต

“จะไม่ให้เข้าใจได้ยังไงล่ะคะ เจ้าตัวเล็กจะออกมาดูโลกอยู่รอมร่อแล้ว นี่รสยังคิดอยู่เลยนะคะว่าขนาดน้องกั้งโตป่านนี้คุณยังห่วงหวงไม่เลิก

ถ้าเป็นลูกอีกจะขนาดไหน” รสรินส่ายหน้ายิ้มๆ กับพฤติกรรมของคนเป็นสามี

“นั่นสินะ แต่คงไม่เป็นไรหรอกเพราะผมมีคุณคอยเตือนสติอยู่แล้วนี่ ใช่ไหมเจ้าตัวเล็กของพ่อ” ชายหนุ่มหัวเราะพลางก้มลงคุยกับเจ้าตัวเล็ก

ในท้องนูนๆ ของภรรยา

รสรินได้แต่หัวเราะตาม จากนั้นภายในห้องพักผ่อนของร้านลาย

ครามก็มีแต่เสียงพูดคุย หัวเราะดังอยู่ไม่ได้ขาด



กานพลู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 ม.ค. 2559, 10:04:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 ม.ค. 2559, 11:19:16 น.

จำนวนการเข้าชม : 914





<< เกริ่นนำ   ปิ่นโบราณ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account