ตะวัน (ร้าย) ฉายรัก (นามปากกา 'พิริตา' ) เปิดจองรูปแบบเล่มพร้อม E-Book
‘ปาลิกา’ หญิงสาวกำพร้าที่สูญเสียครอบครัวไป

ตั้งแต่ยังเยาว์วัย แต่โชคดีที่มีผู้อุปการะไว้ ซึ่งก็เป็นนายจ้างของครอบครัว

เธอนั่นเอง ปาลิกาเติบโตมาท่ามกลางความรัก เข้าใจอย่างล้นเหลือของ

ประมุขทั้งสองของบริษัท ‘เดอะซัน กรุ๊ป จิวเวลรี่’ และเพราะที่แห่งนี้เป็น

สถานที่ที่ทั้งพ่อแม่และยายของเธอได้ใช้ชีวิตอยู่จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

ที่นี่จึงมีความหมาย และมีความสำคัญสำหรับหญิงสาวมาก

ในชีวิตของปาลิกามีเพียงสองสิ่งเท่านั้นที่เธอรู้สึกว่าเป็นอุปสรรค ขวาก

หนามที่ยิ่งใหญ่ นั้นก็คือ ปมแห่งความหวาดกลัวที่เป็นเหตุให้เธอติดอยู่กับฝัน

ร้ายในวัยเด็ก และลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูล ‘รัตนาวาณิชย์’ ที่เติบโต

มาด้วยกัน เขามีอายุอ่อนกว่าเธอหนึ่งปี แต่ไม่เคยยอมรับว่าเธอเป็นพี่สาว

หนำซ้ำยังคอยแกล้งเธอมาตั้งแต่เด็ก และเธอก็เรียกเขาว่า ‘จอมวายร้ายเจ้า

เล่ห์,คนกวนประสาทฯ ‘ แต่ทว่าจอมวายร้ายคนนั้นกลับเป็นคนเดียวกันที่อยู่

เคียงข้างเธอยามมีภัย และพยายามช่วยเธอให้หลุดพ้นจากปมแห่งฝันร้าย

นั้น และเป็นคนเดียวกับที่ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย

แต่แล้ว...ก็กลับเป็นคนเดียวกัน ที่กันเธอออกจากเดอะซัน กรุ๊ปฯ และชีวิต

ของเขา เหมือนไม่เห็นค่า ความสำคัญของเธออีกต่อไป จนหญิงสาวทนอยู่

กับความรู้สึกเจ็บปวด สิ้นไร้ ด้อยค่าของตัวเองไม่ไหว ที่สุดจึงตัดสินใจเดิน

ออกมาจากชายคาเดอะซัน กรุ๊ปฯ ด้วยหัวใจที่บอบช้ำ.


‘ตะวันฉาย’ ลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูล ‘รัตนาวาณิชย์’ และผู้สืบทอด

กิจการของบริษัท ‘เดอะซัน กรุ๊ป จิวเวลรี่’ ต่อจากมารดา หลังกลับจากเรียน

ต่อต่างประเทศชายหนุ่มได้เข้ามาเรียนรู้งานในเดอะซัน กรุ๊ปฯ อย่างเต็มตัว

โดยมี ‘ปาลิกา’ (หรือที่เขาเรียกจนติดปากว่า ‘ยัยปลิก’) คอยกระตุ้นอยู่ตลอด

ทั้งที่โดยนิสัยแล้วตะวันฉายเป็นคนที่มีความตั้งใจ รับผิดชอบและจริงจังกับ

งาน โดยเฉพาะช่วงหลังที่เขาเข้ามาทำงานอย่างเต็มตัวแล้วนั่น แต่ใน

ทางกลับกันตะวันฉายจะกลายเป็นเด็กไม่ยอมโตทันทีที่อยู่กับปาลิกา เพราะ

ความรื่นรมย์อีกอย่างในชีวิตของเขาตั้งแต่เล็กจนโต คือการได้แกล้งปาลิกา

ทั้งวาจาและการกระทำ แต่เขาก็ได้สงวนลิขสิทธิ์ในการแกล้งไว้แค่ตัวเขา

เอง คนอื่นห้ามแกล้งโดยไม่ได้รับอนุญาตเสียอย่างนั้น

แต่ทว่าหากยามใดที่ปาลิกามีภัย อ่อนแอ ตะวันฉายจะถึงตัวเธอก่อนเสมอ

เขาห่วงทุกย่างก้าวในชีวิตของเธอ โดยเฉพาะปมแห่งความกลัวที่ทำให้เธอ

ฝันร้ายในตอนเด็ก ชายหนุ่มปรารถนาจะให้เธอเอาชนะความกลัวนั้นให้ได้

และการที่ตะวันฉายได้มีโอกาสอยู่เพียงลำพัง ไกลห่างกับปาลิกาขณะที่

เรียนอยู่ต่างประเทศนั้น ได้ทำให้เขารู้ใจตัวเองว่าคิดอย่างไรกับเธอ ชาย

หนุ่มไม่เคยสงสัยในความรู้สึกที่มีต่อหญิงสาวเลยสักนิด แต่เพราะเชื่อว่าเธอ

รักใครอีกคนที่เป็นญาติสนิทของเขา และผู้ชายคนนั้นก็เป็น ‘ผู้ชายในฝัน’

ของเธอมาตั้งแต่เด็ก ทำให้เขาได้แต่กล้ำกลืนความรู้สึกเอาไว้ กว่าจะรู้ว่า
ปาลิกาก็รักเขาไม่ต่างกัน ก็ในวันที่เธอได้หนีเขาไปเสียแล้ว...


‘ก็ลื้อสองคนน่ะสิ มีด้ายแดงผูกติดกันมา

ตั้งแต่เกิด แต่ที่แปลกไปกว่านั้นคือด้ายแดงที่ผูกพวกลื้อไว้นั้นมันสั้นมาก ทำ

ให้ต้องมาใกล้กันตั้งแต่เด็ก ไม่เหมือนบางคู่ที่ด้ายจะยาวอาจใช้เวลานานกว่า

จะได้มาเจอกัน แต่นั่นแหล่ะด้ายแดงแห่งโชคชะตาของพวกลื้อจะไม่มีวันถูก

ตัดขาด แล้วมันก็จะอยู่ในระยะสั้นอย่างนี้ตลอดไป อย่างที่เคยเป็นมาจนกว่า

จะตายจากกัน และหากวันใดที่มันยืดยาวออกไปไม่ว่าด้วยสาเหตุอันใด ด้าย

นั้นก็จะดึงรั้งพวกลื้อให้ต้องกลับมาใกล้กันจนได้ หากพวกลื้อฝืนก็จะทำให้

เจ็บปวดทุรนทุราย เหมือนจะขาดใจเลยทีเดียว มันเป็นลิขิตของสวรรค์’

ตะวันฉายกับปาลิกาจะทำเช่นไรกับหัวใจของตัวเอง

ด้ายแดงแห่งโชคชะตา และสายใยแห่งความผูกพัน

จะสามารถนำพาหัวใจทั้งสองดวงให้กลับมาแนบชิดกัน

เหมือนในวันเก่าได้หรือไม่?..................................

โปรดติดตามใน ‘ตะวัน (ร้าย) ฉายรัก’ ได้เลยค่ะ


Tags: ตะวัน ร้าย ฉาย รัก ปลา อัญมณี จิวเวลรี่ หวานซึ้ง

ตอน: บทที่ 14

และแล้วบรรยากาศสุดแสนโรแมนติคสำหรับคู่รักเมื่อครู่ ก็กลับ

กลายเป็นงานเลี้ยงที่แสนเฮฮาปาร์ตี้ระหว่างเพื่อนฝูงไปในพริบตา โดย

ไม่เกรงใจสถานที่และคู่รักโต๊ะอื่นกันเลยแม้แต่น้อย ปาลิกามองคนที่นั่ง

เยื้องกันไปด้วยความรู้สึกขุ่นขึ้งในใจ พลางส่งสายตาพิฆาตไปยังอีก

ฝ่ายเป็นระยะๆ แต่ตะวันฉายกลับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

จนกระทั่งงานเลี้ยงเลิกรา ปาลิกาออกมาจากร้านพร้อมหยินมี่

และเทิดพงศ์ พอถึงลานจอดรถ ต่างแยกย้ายกันกลับ ขณะที่หญิงสาว

กำลังกดรีโมทเปิดประตู ทันใดนั้นร่างสูงคุ้นตาก็ปราดมาฉกกุญแจรถใน

มือเธอ แล้วเข้าไปนั่งในรถในตำแหน่งคนขับอย่างรวดเร็ว ปาลิกาอ้า

ปากค้าง

“เร็วเข้า! ขึ้นมาสิยัยปลิก” ตะวันฉายเร่งเร้าสตาร์ทรถรอเรียบร้อย

ปาลิกาถึงได้รู้สึกตัว เธอรีบถลันเข้าไปดึงทึ้งคนตัวสูงด้วยความโมโห

“จะบ้าเหรอไง ทำอะไรของนายลงมาจากรถฉันเดี๋ยวนี้เลยนะนาย

ซัน นายมายังไงก็กลับไปยังงั้นเลยนะอย่ามายุ่งกับฉัน”

“ฉันไม่ได้เอารถมา มากะยัยหมวยนรก ขึ้นมาสิ กลับตึกกัน” ชาย

หนุ่มพูดพร้อมกับเร่งเครื่องยนต์เสียงกระหึ่มตามองไปทางข้างหลังเธอ

ปาลิกาหันไปตามสายตาของเขาจึงเห็นว่าวดีลดากำลังวิ่งตรงมา และ

ตะวันฉายก็เกิดอาการลนลานขึ้นมาอีกครั้ง “ถ้าเธอไม่ขึ้นมาฉันจะทิ้ง

เธอไว้ตรงนี้นะจะบอกให้” เพียงแค่นั้นปาลิกาก็รีบวิ่งมานั่งข้างคนขับ

ในทันที เพราะรู้ว่าคนอย่างตะวันฉายไม่ได้พูดเล่นเป็นแน่

“พี่ซัน พี่ซันทำอย่างนี้กับดีด้าไม่ได้นะคะ พี่ซันจะไปกับยัยป้านั่น

ไม่ได้นะคะ ดีด้าไม่ย้อม...” เสียงวดีลดาดังไล่หลังมา

หลังจากที่ขับรถออกมาไกลจากวดีลดา และแน่ใจแล้วว่าสาวเจ้า

ไม่ได้ขับรถตามมาแน่แล้ว ตะวันฉายจึงผ่อนความเร็วลง

“เป็นบ้าอะไรของนาย วิ่งหนียัยน้องดีด้าอกโตของนายแบบนี้บ้า

หรือเปล่า”

“มันเรื่องของฉันน่า อย่าบ่นไปหน่อยเลย”

“ฉันจะไม่บ่นเลยถ้านายไม่มาวุ่นวายกับรถฉัน แล้วเรื่องวันนี้นาย

จงใจแกล้งฉันใช่ไหม” เธอฮึ่มฮั่มใส่เมื่อคิดถึงเรื่องที่ร้านอาหาร และยัง

โมโหเขาไม่หาย

“โหย...ใครจะกล้าคุณน๊าย สำคัญตัวเองผิดไปหรือเปล่า อย่าลืมสิ

ว่าวันนี้ก็เป็นวันเกิดฉันเหมือนกันนะ”

“แล้วทำไมไม่ไปเลี้ยงกันที่อื่น ทำไมจะต้องเกณฑ์ใครต่อใครมา

ป่วนฉันกับพี่อ๋า”

“โห...เธอนี่ใจแคบชะมัด วันเกิดทั้งทีคิดจะฉลองกันสองต่อสอง

แล้วเพื่อนๆ เธอล่ะ หยินมี่งี้ หยางงี้ เธอสนิททั้งนั้น ถามจริงสมองเธอมี

ไว้คิดอะไรบ้าง นอกจากคิดแต่อยากจู่จี๋กับเฮียอ๋าอย่างเดียว” เขาปราย

ตามาอย่างเหยียดๆ

“อ๊าย! นายซันบ้า มันจะมากไปแล้วนะ นายมาว่าฉันแบบนี้ได้

ยังไง ปากเหรอนั่นน่ะ” เป็นเหตุให้หญิงสาวถึงกับกรีดร้องเสียงหลง “ฉัน

กับพี่อ๋าไม่ได้จู๋จี๋บ้าบออะไรอย่างที่นายว่าเลยนะ” ก่อนปฏิเสธด้วยเสียง

ที่ยังบ่งบอกถึงความปรี๊ดไม่หาย

“อ้าว...แล้วไอ้ที่พากันมานั่งร้านสุดโรแมนติค จุดเทียนวับๆ แวมๆ

ให้ของขวัญวันเกิดกันสองคน มันแปลว่าอะไรถ้าไม่ใช่...”

“หยุดพูดเลยนะ ไม่งั้นนายลงจากรถฉันไปเลย” เจ้าของรถส่ง

สายตาแล่นเปรี๊ยะมาทางคนปากดี เป็นสัณญาณว่า ‘เอาจริง’ เขาจึงยก

มือยอมแพ้

“โอเคๆๆ...วันเกิดเราอย่ามาทะเลาะกันเลยนะยัยปลิก”

“นายก็หัดทำตัวให้ดีๆ หน่อยสิ อย่ากวนให้มากนัก” แม้น้ำเสียง

จะอ่อนลงแต่ยังคงความขุ่นอยู่ “ยังไงฉันก็เสียใจกับเธอด้วยนะ เรื่อง

ของขวัญเฮียอ๋า” แล้วถ้อยคำและน้ำเสียงที่จริงจังนั้น ก็ทำให้

ปาลิกาต้องชำเลืองมองเสี้ยวใบหน้าสวยของคนข้างๆ ด้วยความรู้สึก

แปลกใจ แต่เมื่อไม่เห็นร่องรอยความเยาะเย้ยหรือยั่วเย้าปะปนอยู่หญิง

สาวจึงเลิกคิดต่อปากต่อคำเป็นเด็กๆ

“อืมม์ ช่างเหอะ ฉันไม่หวังจะได้อะไรจากพี่อ๋าอยู่แล้ว แค่เขานึก

ถึงฉันก็พอใจแล้วล่ะ อีกอย่างฉันชินกับพฤติกรรมปัญญาอ่อนของยัย

แฝดนรกนั่นแล้วล่ะ พวกนั้นน่ะโตแต่ตัว สมองกลวงอย่างกะอะไรดี” เธอ

พูดเหมือนเห็นเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่คนฟังกลับหัวเราะก๊าก

“หัวเราะอะไรของนาย” ปาลิกาเริ่มเสียงขุ่นขึ้นมาอีกครั้ง พลางคิดในใจ

ให้ตายเถอะจอมวายร้ายนี่ ทำตัวดีได้ไม่ถึงห้านาที

“เธอนี่ร้ายไม่หยอกนะ ด่ากันแบบหน้าตาเฉย ถามจริงนอกจาก

เถียงกันแบบเด็กปัญญาอ่อนแล้วเธอเคยด่ายัยสองตัวนั่นต่อหน้าบ้าง

ไหม”

“เคยสิ เวลาพวกนั้นทำฉันจี้ดจริงๆ น่ะ” พอเห็นว่าเขาไม่ตั้งใจจะ

กวนหญิงสาวจึงคลายความระวังลง

“แล้วเป็นไง”

“เป็นไง? ทางนั้นก็อึ้งไปอย่างน้อยสิบวินาที อย่างมากหนึ่งอาทิตย์

พอคิดได้ว่าฉันด่าก็กลับมาด่าตอบอีก เล่นเอาฉันต้องวิ่งหนีเลยล่ะ นาย

ก็รู้เวลายัยแฝดนรกนั่นแท็คทีมกันน่ะน่ากลัวจะตาย” ปาลิกาไม่แสดง

อารมณ์อะไรนอกจากขำกับสิ่งที่ตัวเองเล่าเหมือนเห็นเป็นเรื่องตลก

แทนที่จะโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง

ตะวันฉายเองเสียอีกที่แม้จะหัวเราะน้อยๆ ตามคนพูดแต่ในใจอด

รู้สึกสะท้อนไม่ได้ เขาแอบปรายตามองเสี้ยวหน้าหวานละมุนนั้นอย่าง

ครุ่นคิด

“เธอเคยนึกโกรธพวกนั้นบ้างไหมยัยปลิก” แล้วจึงถามขึ้นด้วย

น้ำเสียงอ่อนโยน แต่คนฟังไม่ได้สะดุดใจสักนิด เพราะยังจดจ่ออยู่กับ

เรื่องราวที่พูด

“โกรธสิ ฉันก็เป็นคนนะ ไม่ใช่พระอิฐพระปูนซะหน่อย แต่ยาย

สอนฉันให้อภัยและพยายามเข้าใจคนอื่น แล้วอีกอย่างฉันขี้เกียจเจ้าคิด

เจ้าแค้นด้วยล่ะ โกรธแป๊บเดียวก็หาย แม้แต่คนที่ทำให้ฉันจี้ดบ่อยๆ

อย่างนายก็เหอะ” เธอหันมาทางเขาประกอบคำพูด

“เฮ้ย...ไม่เอาสิ คุยเรื่องยัยหมวยนรก ไม่ได้คุยเรื่องฉัน” เล่นเอา

ชายหนุ่มร้องประท้วง

“แหม รีบถีบตัวเองสูงขึ้นมาเชียวนะ ยังไงฉันก็เหมานายรวม

กับยัยพวกนั้นอยู่ดีล่ะ” เขาจึงยกมือยอมแพ้อีกรอบ

“เออ ฉันไม่ได้ให้ของขวัญวันเกิดเธอเลย คงเสร็จไม่ทันจริงๆ ”

แล้วตะวันฉายก็เปรยขึ้น ขณะสายตายังจ้องมองท้องถนนเบื้องหน้า

“อะไรนะ นายทำอะไรให้ฉันถึงเสร็จไม่ทัน” แต่คำถามของปาลิกา

ทำให้เขารู้สึกตัวขึ้นมา

“โอ๊ะ ไม่ใช่เสร็จไม่ทัน หาไม่ทันต่างหากล่ะ” และรีบอธิบาย

ในทันที

“ไม่เป็นไรหรอกเพราะฉันก็หาให้นายไม่ทันเหมือนกัน เจ๊ากันล่ะ

กันนะ” หญิงสาวหันมายิ้มให้โดยไม่มีท่าทีว่าโกรธเคืองเขาในเรื่องใดๆ

เลยสักนิด ตะวันฉายได้แต่แอบผ่อนลมหายใจ


ร่างบางก้าวออกมาจากห้องของตัวเอง สอดส่ายสายตาไปทั่ว

ห้องรับแขก ก็ไม่พบเจ้าของร่างสูงที่เธอเห็นว่าเขาขึ้นมาจากออฟฟิศ

ข้างล่างได้สักพักแล้ว ปาลิกาเดินไปเคาะประตูห้องเป้าหมายที่ปิดเงียบ

นั้น แต่ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ หญิงสาวเลยตัดสินใจเปิดประตู เยี่ยมหน้า

เข้าไปก่อนเช่นเดิม

“ซันทำอะไรอยู่เหรอ อ้าว...ไปไหนของเค้านะ” เธอบ่น ก่อนเข้าไป

ชะโงกดูประตูห้องน้ำจึงเห็นว่าปิดสนิท ไม่กล้าเข้าไปใกล้นัก เพราะกลัว

จะเจอกับภาพอุจาดนัยน์ตาเหมือนคราวก่อน

แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คที่เปิดทิ้งไว้บน

เตียง ปาลิกาสาวเท้าเข้าไปใกล้ๆ ก็ยังเห็นภาพหน้าจอไม่ถนัดนัก หญิง

สาวจึงล้มตัวลงนอนคว่ำบนเตียงแล้วใช้มือแตะทัชแพด เลื่อนภาพในจอ

ขึ้นมาดู มันเป็นภาพลายเส้นที่หน้าตาดูเหมือนกับดวงตะวัน แต่ที่แยก

อีกรูปในหน้าเดียวกัน เป็นรูปอะไรสักอย่างดูพิลึก แล้วมีอีกภาพ

ด้านล่างที่นำทั้งสองมาประกอบเข้าด้วยกันดูยุ่งเหยิงพิกล มันคืออะไร

นะเนี่ย? หญิงสาวครุ่นคิด ขณะเลื่อนภาพที่ดูไม่รู้เรื่องขึ้นๆ ลงๆ

“ทำอะไรของเธอน่ะ” เสียงทุ้มห้าวดังขึ้น ทำให้คนที่กำลังคิ้วขมวด

มุ่นถึงกับสะดุ้งโหยง

“ว้าย! ตกใจหมดเลย ก็ดูอะไรที่นายทำไว้น่ะสิ”

“เธอนี่เสียมารยาท ยุ่งของฉันโดยไม่ได้รับอนุญาตได้ไง” เขาปราด

มาฉกโน๊ตบุ๊คไปวางไว้ที่โต๊ะเขียนหนังสืออย่างรวดเร็ว ปาลิกาลุกขึ้นนั่ง

ทำปากยื่นด้วยแสนขัดใจ

“ดูแค่นี้ทำหวง ทีนายไปเปิดของฉันล่ะไม่เห็นว่า แล้วนายทำ

อะไรน่ะ อย่าบอกนะว่านายยังไม่เลิกวาดรูปอีก” ดวงตากลมโตของเธอ

ฉายแววจริงจังขึ้น แต่ชายหนุ่มกลับยักไหล่

“มันเรื่องของฉันน่า แล้วเธอคิดว่าที่เห็นมันเป็นอะไรล่ะ” แล้วย้อน

ถามเธอเสียอย่างนั้น

“ก็เห็นว่าเป็นรูปดวงตะวันแล้วก็แมงอะไรไม่รู้รูปร่างแปลกๆ ว่าแต่

มันคืออะไรล่ะ”

“ทำไมฉันต้องบอกเธอ คนไม่มีหัวทางศิลปะอย่างเธออธิบายทั้ง

ชาติก็ไม่มีวันเข้าใจหรอก” ตะวันฉายกระตุกยิ้มเยาะ ใช้นิ้วจิ้มหน้าผาก

มนให้หงายเล่นอีกต่างหาก

“อ๊าย! ซัน นายกำลังดูถูกฉันนะ” ปาลิกาหันมาโวยวายโหวกเหวก

และพยายามคว้ามืออีกฝ่ายหมายจะเอามางับด้วยความเจ็บใจ แต่เขา

กลับสะบัด เธอก็ยังดึงทึ้งไม่ยอมแพ้ จนร่างสูงทรงตัวไม่อยู่โอนเอนลง

มา และแล้วร่างของคนทั้งคู่ก็ล้มลงบนที่นอน

แต่ตะวันฉายใช้มือข้างหนึ่งยันที่นอนเอาไว้ ใบหน้าของเขาและ

เธออยู่ใกล้จนลมหายใจเป่ารดใบหน้ากันและกัน วินาทีนั้นความวูบไหว

ก็แล่นเข้ามาสู่หัวใจคนทั้งคู่ จนแทบจะได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่ายที่เริ่ม

เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่อาจควบคุมได้

“อย่าเที่ยวไปนอนบนเตียงผู้ชายคนอื่นแล้วทำท่าแบบนี้อีกนะ”

พอตั้งสติได้เขาก็พูดขึ้น แต่หญิงสาวกระพริบตาถี่ๆ บ่งบอกถึงความไม่

เข้าใจ “ช่างเหอะ ลุกขึ้นได้แล้ว เธอมาห้องฉันทำไมมีธุระอะไรหรือ

เปล่า” เป็นครั้งแรกที่เอ่ยถามเป็นงานเป็นการขณะลุกจากเตียง แต่ก็

เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกที่เต้นรัวอยู่ภายในหัวใจมากกว่า

“ก็ เอ่อ...คือฉันแค่จะมาถามว่านายยังอยากกินข้าวซี่โครงหมู

ทอดของโปรดนายอยู่หรือเปล่า แค่นั้นเอง” เธอตะกุกตะกักทั้งตอบและ

ถามในคราเดียวกันหลังจากลุกขึ้นจากเตียงแล้ว ชายหนุ่มมองเจ้าของ

ร่างบางที่ไม่กล้าสบตาเขามากนักชั่วครู่ นึกแปลกใจในท่าทีของเธอไม่

น้อย

“ทำไม? เธอจะไปบีบคออาเจ๊ให้แกทำให้ฉันกินโดยเฉพาะหรือไง”

เขาแกล้งถาม ใบหน้าเล็กนั้นยังคงสีชมพูระเรื่อ

“ถ้าฉันทำได้ล่ะ นายจะว่ายังไง” เธอช้อนสายตาขึ้นมองเขา แต่ก็

ยังดูเหมือนกล้าๆ กลัวๆ

“ถามได้ ก็กินน่ะสิยัยบ๊อง ถามบ๊องๆ ” ตะวันฉายพูดกลั้วหัวเราะ

“สรุปแล้วนายยังอยากกินอยู่ใช่ม๊า” เขาทำเสียงรับในลำคอ “ก็แค่

นั้นแหล่ะ” หญิงสาวว่า ก่อนจะหันหลังรีบสาวเท้าออกไปจากห้อง ตะวัน

ฉายมองตามร่างเล็กที่จากไปแล้ว ด้วยหัวใจที่ยังเต้นแปลกๆ แต่ทว่า

ชายหนุ่มไม่เคยสงสัยหรือตั้งคำถามกับอาการที่เป็นอยู่นี้เลยสักนิด




กานพลู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 ม.ค. 2559, 10:18:00 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 ม.ค. 2559, 10:18:00 น.

จำนวนการเข้าชม : 1140





<< บทที่ 13   บทที่ 15 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account