ตะวัน (ร้าย) ฉายรัก (นามปากกา 'พิริตา' ) เปิดจองรูปแบบเล่มพร้อม E-Book
‘ปาลิกา’ หญิงสาวกำพร้าที่สูญเสียครอบครัวไป

ตั้งแต่ยังเยาว์วัย แต่โชคดีที่มีผู้อุปการะไว้ ซึ่งก็เป็นนายจ้างของครอบครัว

เธอนั่นเอง ปาลิกาเติบโตมาท่ามกลางความรัก เข้าใจอย่างล้นเหลือของ

ประมุขทั้งสองของบริษัท ‘เดอะซัน กรุ๊ป จิวเวลรี่’ และเพราะที่แห่งนี้เป็น

สถานที่ที่ทั้งพ่อแม่และยายของเธอได้ใช้ชีวิตอยู่จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

ที่นี่จึงมีความหมาย และมีความสำคัญสำหรับหญิงสาวมาก

ในชีวิตของปาลิกามีเพียงสองสิ่งเท่านั้นที่เธอรู้สึกว่าเป็นอุปสรรค ขวาก

หนามที่ยิ่งใหญ่ นั้นก็คือ ปมแห่งความหวาดกลัวที่เป็นเหตุให้เธอติดอยู่กับฝัน

ร้ายในวัยเด็ก และลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูล ‘รัตนาวาณิชย์’ ที่เติบโต

มาด้วยกัน เขามีอายุอ่อนกว่าเธอหนึ่งปี แต่ไม่เคยยอมรับว่าเธอเป็นพี่สาว

หนำซ้ำยังคอยแกล้งเธอมาตั้งแต่เด็ก และเธอก็เรียกเขาว่า ‘จอมวายร้ายเจ้า

เล่ห์,คนกวนประสาทฯ ‘ แต่ทว่าจอมวายร้ายคนนั้นกลับเป็นคนเดียวกันที่อยู่

เคียงข้างเธอยามมีภัย และพยายามช่วยเธอให้หลุดพ้นจากปมแห่งฝันร้าย

นั้น และเป็นคนเดียวกับที่ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย

แต่แล้ว...ก็กลับเป็นคนเดียวกัน ที่กันเธอออกจากเดอะซัน กรุ๊ปฯ และชีวิต

ของเขา เหมือนไม่เห็นค่า ความสำคัญของเธออีกต่อไป จนหญิงสาวทนอยู่

กับความรู้สึกเจ็บปวด สิ้นไร้ ด้อยค่าของตัวเองไม่ไหว ที่สุดจึงตัดสินใจเดิน

ออกมาจากชายคาเดอะซัน กรุ๊ปฯ ด้วยหัวใจที่บอบช้ำ.


‘ตะวันฉาย’ ลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูล ‘รัตนาวาณิชย์’ และผู้สืบทอด

กิจการของบริษัท ‘เดอะซัน กรุ๊ป จิวเวลรี่’ ต่อจากมารดา หลังกลับจากเรียน

ต่อต่างประเทศชายหนุ่มได้เข้ามาเรียนรู้งานในเดอะซัน กรุ๊ปฯ อย่างเต็มตัว

โดยมี ‘ปาลิกา’ (หรือที่เขาเรียกจนติดปากว่า ‘ยัยปลิก’) คอยกระตุ้นอยู่ตลอด

ทั้งที่โดยนิสัยแล้วตะวันฉายเป็นคนที่มีความตั้งใจ รับผิดชอบและจริงจังกับ

งาน โดยเฉพาะช่วงหลังที่เขาเข้ามาทำงานอย่างเต็มตัวแล้วนั่น แต่ใน

ทางกลับกันตะวันฉายจะกลายเป็นเด็กไม่ยอมโตทันทีที่อยู่กับปาลิกา เพราะ

ความรื่นรมย์อีกอย่างในชีวิตของเขาตั้งแต่เล็กจนโต คือการได้แกล้งปาลิกา

ทั้งวาจาและการกระทำ แต่เขาก็ได้สงวนลิขสิทธิ์ในการแกล้งไว้แค่ตัวเขา

เอง คนอื่นห้ามแกล้งโดยไม่ได้รับอนุญาตเสียอย่างนั้น

แต่ทว่าหากยามใดที่ปาลิกามีภัย อ่อนแอ ตะวันฉายจะถึงตัวเธอก่อนเสมอ

เขาห่วงทุกย่างก้าวในชีวิตของเธอ โดยเฉพาะปมแห่งความกลัวที่ทำให้เธอ

ฝันร้ายในตอนเด็ก ชายหนุ่มปรารถนาจะให้เธอเอาชนะความกลัวนั้นให้ได้

และการที่ตะวันฉายได้มีโอกาสอยู่เพียงลำพัง ไกลห่างกับปาลิกาขณะที่

เรียนอยู่ต่างประเทศนั้น ได้ทำให้เขารู้ใจตัวเองว่าคิดอย่างไรกับเธอ ชาย

หนุ่มไม่เคยสงสัยในความรู้สึกที่มีต่อหญิงสาวเลยสักนิด แต่เพราะเชื่อว่าเธอ

รักใครอีกคนที่เป็นญาติสนิทของเขา และผู้ชายคนนั้นก็เป็น ‘ผู้ชายในฝัน’

ของเธอมาตั้งแต่เด็ก ทำให้เขาได้แต่กล้ำกลืนความรู้สึกเอาไว้ กว่าจะรู้ว่า
ปาลิกาก็รักเขาไม่ต่างกัน ก็ในวันที่เธอได้หนีเขาไปเสียแล้ว...


‘ก็ลื้อสองคนน่ะสิ มีด้ายแดงผูกติดกันมา

ตั้งแต่เกิด แต่ที่แปลกไปกว่านั้นคือด้ายแดงที่ผูกพวกลื้อไว้นั้นมันสั้นมาก ทำ

ให้ต้องมาใกล้กันตั้งแต่เด็ก ไม่เหมือนบางคู่ที่ด้ายจะยาวอาจใช้เวลานานกว่า

จะได้มาเจอกัน แต่นั่นแหล่ะด้ายแดงแห่งโชคชะตาของพวกลื้อจะไม่มีวันถูก

ตัดขาด แล้วมันก็จะอยู่ในระยะสั้นอย่างนี้ตลอดไป อย่างที่เคยเป็นมาจนกว่า

จะตายจากกัน และหากวันใดที่มันยืดยาวออกไปไม่ว่าด้วยสาเหตุอันใด ด้าย

นั้นก็จะดึงรั้งพวกลื้อให้ต้องกลับมาใกล้กันจนได้ หากพวกลื้อฝืนก็จะทำให้

เจ็บปวดทุรนทุราย เหมือนจะขาดใจเลยทีเดียว มันเป็นลิขิตของสวรรค์’

ตะวันฉายกับปาลิกาจะทำเช่นไรกับหัวใจของตัวเอง

ด้ายแดงแห่งโชคชะตา และสายใยแห่งความผูกพัน

จะสามารถนำพาหัวใจทั้งสองดวงให้กลับมาแนบชิดกัน

เหมือนในวันเก่าได้หรือไม่?..................................

โปรดติดตามใน ‘ตะวัน (ร้าย) ฉายรัก’ ได้เลยค่ะ


Tags: ตะวัน ร้าย ฉาย รัก ปลา อัญมณี จิวเวลรี่ หวานซึ้ง

ตอน: บทที่ 16


ที่โรงพยายาบาลเอกชนแห่งหนึ่งใกล้บ้านของครอบครัวหยินมี่

หยางและตะวันฉายหิ้วของฝากกันทั้งสองมือก้าวนำปาลิกาที่เดินตัว

เปล่าเข้าไปในห้องคนไข้ หยินมี่นั่งอยู่ข้างเตียงที่มีหญิงชราผิวขาวตัว

เล็กผอม ผมสีขาวโพลนนั้นตัดสั้น ใบหน้าขาวเหี่ยวย่นตามวัย หญิงชรา

กวาดสายตามองมาทางผู้เข้ามาใหม่ทั้งสาม

“สวัสดีค่ะอาม่า/ สวัสดีครับอาม่า” ตะวันฉายและปาลิกายกมือ

ไหว้อาม่าที่มาถึงตอนนี้พยายามชันตัวลุกขึ้น โดยมีหยินมี่คอยประคอง

อยู่

“เออ ดีๆ แล้วพวกลื้อเป็นใครบ้างล่ะเนี่ย” อาม่าถามรัวเร็วด้วย

สำเนียงไทยไม่ชัดตามแบบฉบับคนไทยเชื้อสายจีนสมัยก่อนและเขม้น

ตามองทั้งสอง ขณะที่หยินมี่กับหยางเอาของฝากไปเก็บอีกด้าน

“หนูปลาไงคะ อาม่าจำไม่ได้เหรอคะ ที่อาม่าชอบเรียก อาหมวย

ดำ ไงล่ะคะ” ปาลิกาเกาะแขนอาม่าพลางเท้าความถึงชื่อที่อาม่าเรียก

เธอมาตั้งแต่เด็กจนโต และนั่นทำให้หญิงสาวรู้สึกใจหายนักที่เห็นว่า

อาม่าเริ่มจะจำอะไรไม่ค่อยได้ตามที่หยินมี่เคยบอกไว้จริงๆ

“เออ...อั๊วะจำได้แล้ว อีที่ตัวสูงๆ นี่ละ” หญิงชราหันไปทางตะวัน

ฉาย

“ผมอาตี๋ซันไงครับอาม่า” อาม่าเขม้นตามองคนตัวสูงอีกครั้ง

“ลูกอาทิตย์กะอาโฉมน่ะเร้อ เอ้าไปไงมาไงกันล่ะนี่”

“ก็มาเยี่ยมอาม่านั่นแหล่ะ” หยินมี่ว่าพร้อมกับหันมามองสบตา

เพื่อนๆ กลั้นยิ้ม ทำปากพยักพเยิดถึงความขี้หลงขี้ลืมของอาม่าที่ตัวเอง

เคยเล่าให้ฟัง ปาลิกาจับมือเล็กผอมข้างหนึ่งของหญิงชราพลางนวด

เบาๆ

“อั๊วะไม่เป็นไรแล้วนา แต่ไม่รู้ทำไมหมออีไม่ยอมให้อั๊วะกลับบ้าน

ซักทีนา”

“เชื่อหมอเถอะครับอาม่า กินข้าวเยอะๆ กินยาตามที่หมอจัดให้

เดี๋ยวก็ได้กลับแล้วครับ” ตะวันฉายเอื้อมมือมาจับแขนของอาม่าอีกคน

ในขณะที่ปาลิกายังนวดมืออยู่ อาม่าพยักหน้าหงึกหงัก แต่แล้วหญิงชรา

กลับชะงักไป ก่อนที่ดวงตาฝ้าฟางคู่นั้นจะหรี่มองตะวันฉายและปาลิกา

สลับกันไปมาด้วยท่าทางประหลาดใจ

“เชื่อเถอะค่ะอาม่า อาหมวยดำกับอาตี๋ซันไม่ได้โกหกนะคะ” ปาลิ

กาเข้าใจว่าอาม่าไม่เชื่อในสิ่งที่ตะวันฉายพูดจึงมีท่าทีประหลาดอย่าง

นั้น แต่ทว่า...

“ไม่ใช่เรื่องนั้น แปลกมาก ไม่ๆ ต้องบอกว่าเป็นเรื่องประหลาดนา”

“คะ? มีอะไรหรือคะอาม่า”

“ก็ลื้อสองคนน่ะสิ มีด้ายแดงผูกติดกันมาตั้งแต่เกิด แต่ที่แปลกไป

กว่านั้นคือด้ายแดงที่ผูกพวกลื้อไว้นั้นมันสั้นมาก ทำให้ต้องมาใกล้กัน

ตั้งแต่เด็ก ไม่เหมือนบางคู่ที่ด้ายจะยาว และอาจจะใช้เวลานานกว่าจะ

ได้มาเจอกัน แต่นั่นแหล่ะด้ายแดงแห่งโชคชะตาของพวกลื้อจะไม่มีวัน

ถูกตัดขาด

“และมันจะอยู่ในระยะสั้นอย่างนี้ตลอดไป อย่างที่เคยเป็นมา

จนกว่าจะตายจากกัน และหากวันใดที่มันยืดยาวออกไปไม่ว่าด้วย

สาเหตุอันใด ด้ายนั้นก็จะดึงรั้งพวกลื้อให้ต้องกลับมาใกล้กันจนได้ หาก

พวกลื้อฝืนก็จะทำให้เจ็บปวดทุรนทุราย เหมือนจะขาดใจเลยทีเดียว มัน

เป็นลิขิตของสวรรค์” คำพูดของอาม่าทำให้ทั้งคู่หันมามองหน้ากันโดย

ไม่ได้นัดหมาย ด้วยความรู้สึกที่ทั้งงงงันและสั่นไหวอยู่ในอก

“อาม่าก็พูดไปเรื่อยเปื่อยพวกเธออย่าสนใจเลย คนแก่ก็เลอะ

เลือนอย่างนี้แหล่ะ” หยินมี่ที่ฟังอยู่ด้วยรีบโพล่งขึ้น

“นั่นสิ ผิดคนผิดคู่หรือเปล่าครับอาม่า สองคนนี่เป็นพี่น้องกันนะ

ครับ ถ้าเป็นเฮียอ๋าล่ะว่าไปอย่าง” หยางค้านอย่างเห็นขัน

“เอ๊ะ อาหยางลื้อนี่ยังไงนะชอบขัดอั๊วะอยู่เรื่อย อั๊วะเห็นยังไงก็พูด

ไปอย่างงั้น อั๊วะไม่รู้ ไม่สนหรอกว่าจะเป็นพี่น้องกันยังไง” อาม่าเสียงขุ่น

และทำท่าฮึดฮัดใส่หลานชาย

“เห็นไหมล่ะ อาม่ามักจะดื้อและเอาแต่ใจอย่างนี้แหล่ะ ยิ่งแก่ยิ่ง

ดื้อ” หยินมี่กระซิบทั้งสองเหมือนเห็นเป็นเรื่องธรรมดา แต่หลานชายได้

แต่หัวเราะเจื่อนๆ ที่ถูกอาม่าฮึดฮัดใส่


หลังจากเยี่ยมอาม่าของหยินมี่ ปาลิกายังคงครุ่นคิดถึงสิ่งที่อาม่า

พูดอยู่อย่างไม่อาจตัดออกไปจากความคิดได้ จนกระทั่งนั่งอยู่บนรถกับ

ตะวันฉายแล้ว

“คิดอะไรของเธออยู่ อย่าบอกนะว่าคิดเรื่องที่อาม่าพูด หยินมี่ก็

บอกแล้วว่าอาม่าเลอะเลือน” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ

“เอ่อ...เปล่าหรอก ฉันแค่สงสารอาม่า” ปาลิกาได้แต่บอกปัดไป

อีกทาง

“สงสารอาม่า...ทำไม? ”

“ก็สงสารอาม่าที่คิดถึงอากงน่ะสิ ตั้งแต่อากงจากไปอาม่าก็มี

อาการซึมเหม่อ เลอะเลือน จำอะไรไม่ค่อยได้ เห็นหยินมี่ว่าบางทีอยู่คน

เดียวก็พร่ำเพ้อถึงเรื่องราวความหลังตอนที่อากงยังอยู่ สงสารแกจัง”

“การที่คนสองคนรัก ผูกพันจนเป็นทั้งหมดของชีวิตและลมหายใจ

ของกันและกัน พอคนใดคนหนึ่งจากไป ก็เหมือนกับจะพาชีวิตของอีก

คนไปด้วย มีลมหายใจอยู่ก็ไม่เต็มร้อยแล้ว เป็นเรื่องที่ทรมานนะ” ปาลิ

กาลอบมองเสี้ยวหน้าของคนที่ขับรถอยู่ด้วยความรู้สึกแปลกใจกับ

ท่าทางและถ้อยคำเห็นอกเห็นใจนั้น ก่อนหญิงสาวจะเป็นฝ่ายทอดถอน

ใจเสียเอง

“ถ้าจะต้องทรมานแบบนี้สู้ไม่มีจะดีกว่าไหม หรือไม่ก็รักแบบที่

ไม่ให้ลึกขนาดนั้นไม่ดีกว่าหรือซัน” ปาลิกาเปรยขึ้นอย่างเศร้าๆ

“คนเราแยกแยะชัดเจนแบบนั้นไม่ได้หรอก ลองเธอได้รักใครสัก

คนสิ รักจากหัวใจจริงๆ เหตุผลอะไรมันก็ไม่มีความหมายทั้งนั้น

นอกจากความต้องการของหัวใจ สำหรับฉันถ้าลองได้รักแล้วก็เต็มร้อย

เสมอ แม้จะต้องเป็นเหมือนอาม่าฉันก็เต็มใจ”

“นายเชื่อในหัวใจตัวเอง ไม่ได้เชื่อเรื่องด้ายแดงหรอกเหรอ” มาถึง

ตอนนี้ปาลิกาคิดไปถึงสิ่งที่พูดกับอานุภาพในตอนกลางวันขึ้นมา

“เชื่อสิ ฉันเชื่อว่าเหนือไปกว่าความรัก เหนือไปกว่าหัวใจของ

คนเราก็คือเรื่องด้ายแดงนี่แหล่ะ ที่บันดาลให้เราได้อยู่ใกล้ใครบางคน

ให้เราได้รัก ได้ผูกพันและได้เคียงคู่กันตลอดจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

แม้ว่าที่สุดแล้วเราจะต้องจากกันไปเหมือนอากงกับอาม่า แต่ฉันเชื่อว่าที่

ผ่านมาทั้งคู่ก็คงมีความสุขร่วมกันมามาก”

“นายคิดอย่างนั้นจริงๆ เหรอซัน” ปาลิกาถามเสียงแผ่ว แต่สายตา

ของตะวันฉายยังคงมองไปยังถนนเบื้องหน้า ขณะพยักหน้ารับและ

กล่าวต่อ

“อือ...ไม่ใช่แค่อาม่าหรอกนะยัยปลิก ใกล้ตัวเราก็มี หม่าม๊าไง

หม่าม๊าบอกกับฉันเสมอว่าแม้ป่ะป๊าจะจากเราไปเร็วเกินไป แต่ที่ผ่านมา

ทั้งคู่ก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขมาโดยตลอด หม่าม๊าไม่เคยคิดมีใคร

อีกนอกจากป่ะป๊า เวลามีอะไรไม่สบายใจหม่าม๊าก็คุยกับรูปของป่ะป๊า

ตลอด หม่าม๊าบอกว่าในชีวิตคนๆ หนึ่งการได้รักใครสักคนอย่างสุด

หัวใจและได้รักตอบ ได้ใช้ชีวิตร่วมกันจนถึงวินาทีสุดท้ายก็ถือว่าโชคดี

เหลือเกินแล้ว ไม่รู้สิ...ฉันอาจจะฟังหม่าม๊าพูดเรื่องนี้รวมถึงความเชื่อ

เรื่องด้ายแดงมามากจนซึมเข้าไปในใจแล้วมั้ง หม่าม๊าเองก็เคยคุยกับ

เธออยู่ไม่ใช่เหรอ”

“ใช่ ฉันก็เคยได้ยินคุณป้าพูดแบบนี้ และฉันก็รู้สึกซาบซึ้งใจกับ

ความรักของคุณป้าและคุณท่านมากๆ เลย จนทำให้ฉันเชื่อ...” ในเรื่อง

ด้ายแดงมาตลอด ท้ายประโยคเสียงแผ่วและหายไปในลำคอ จนอีก

ฝ่ายไม่ได้ยิน

หญิงสาวแอบชำเลืองมองมือของตัวเองที่วางบนตัก แล้วสงสัยนัก

ว่ามันจะมีด้ายแดงผูกไว้ที่นิ้วก้อยไหม และปลายเชือกอีกด้านหนึ่งนั้น

จะผูกไว้กับนิ้วก้อยของคนที่กำลังประคองพวงมาลัยรถอยู่ข้างตัวจริงๆ

อย่างที่อาม่าพูดหรือไม่ แต่ความคิดก็มีอันสะดุดลงกับเสียงทุ้มห้าวที่

ดังขัดขึ้น

“แล้วเธอคิดยังไงถึงมาถามความคิดเห็นของฉัน หรือว่าอยากรู้

ความคิดของเฮียอ๋าจึงมาซาวด์เสียงผู้ชายดู นี่...อยากรู้ก็ถามไปตรงๆ ดี

กว่าป่ะ ผู้ชายใช่ว่าจะคิดเหมือนกัน แต่ฉันว่าไม่ว่าเฮียอ๋าจะคิดยังไงก็คง

ไม่ทำให้หัวใจเธอเปลี่ยนไปได้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง แล้วก็ไม่ต้องกังวล

เรื่องด้ายแดงที่อาม่าพูดหรอกนะ ยังไงเนื้อคู่ของเธอคงไม่แคล้วเป็น

เฮียอ๋าอยู่แล้วล่ะ” น้ำเสียงของคนพูดติดรื่นเริง จนคนฟังรู้สึกหงุดหงิด

อยู่ในใจ

“ไม่เกี่ยวกับพี่อ๋าซะหน่อย นายไม่รู้อะไรอย่ามาพูดดีกว่า” ที่สุดก็

ตัดบทไปด้วยเสียงห้วนๆ แสดงอาการไม่พอใจระคนอารมณ์เสีย ทำให้

อีกฝ่ายทำหน้างงๆ และบ่นอุบอิบที่ถูกตีหน้าหงิกใส่


“หยินมี่วันอาทิตย์นี้เธอว่างไหม” ปาลิการีบถามหยินมี่ หลังจาก

มาดักรอที่ลานจอดรถในเช้าวันหนึ่ง

“อาม่าก็กลับบ้านวันก่อนแล้ว พี่เทิดก็ติดงาน อืมม์...ก็ว่างอยู่นะ

ทำไมเหรอยัยปลา”

“ฉันจะชวนเธอไปทำธุระเป็นเพื่อนหน่อย”

“ธุระอะไรของเธอ” แต่คนชวนเหลียวซ้ายแลขวาเหมือนกลัวใคร

จะมาได้ยินแผนการลับสุดยอด ก่อนป้องปากกระซิบข้างหูเพื่อน “หา!

อะไรนะไปหัดทำซี่โครงหมูทอด” หยินมี่ร้องเสียงหลงทำหน้าปุเลี่ยน

“จุ๊ๆๆ เบาๆ สิ เดี๋ยวใครก็มาได้ยินเข้าหรอก” ปาลิกาเอ็ดเบาๆ

“ฉันไม่เข้าใจ ทำไมต้องเป็นความลับด้วย แล้วอีกอย่างร้อยวันพัน

ปีเธอไม่เคยสนใจเรื่องทำกับข้าว แล้วนี่เกิดคิดอุตริอะไรขึ้นมาล่ะ” ทั้ง

น้ำเสียง หน้าตาของหยินมี่แสดงออกถึงความไม่เข้าใจในระดับสูงสุดขีด

“พูดแล้วอย่าเอ็ดไปนะ เรื่องของเรื่องคือฉันตั้งใจจะไปหัดเพื่อมา

ทำให้นายซันวันเกิดแต่ไม่ทัน เพราะพึ่งตามหาอาเจ๊แกเจอ วันเกิดฉันจึง

ไม่ได้ให้อะไรนายซันเลย แล้วเธอก็รู้ว่าตั้งแต่เด็กนายซันชอบกินข้าว

ซี่โครงหมูทอดร้านอาเจ๊แกขนาดไหน” ปาลิกาอธิบายเหมือนเป็นเรื่อง

สำคัญระดับประเทศ

“นั่นสิ แล้วที่เธอจะไปหัดทำเนี่ย มันจะสู้อาเจ๊แกได้เหรอ” เพื่อน

ตัวอวบยังตั้งคำถามแบบไม่ออมน้ำใจอีกฝ่ายสักนิด จนปาลิกาส่งค้อน

เล็กๆ ให้ก่อนว่าต่อ

“แหม...หยินมี่เธอไม่ให้กำลังใจกันเลยนะ ไม่รู้ล่ะยังไงก็ต้องลองดู

อีกอย่างอาเจ๊แกบอกว่าไม่ยากเพราะมีสูตรตายตัว รวมทั้งข้าวยำหมู

กรอบของโปรดฉันด้วย อาเจ๊แกจะเทรนให้จนกว่าจะได้รสชาติที่เหมือน

แกเลยล่ะ”

“เอาจริงเหรอยัยปลา แล้วอาเจ๊แกคิดค่าสูตร ค่าเรียนยังไงล่ะ”

“ฟรีสิหยินมี่ เพราะตอนนี้แกไม่ได้ขายแล้ว โอกาสดีๆ อย่างนี้หา

ยากนะกว่าจะตามล่าหาตัวอาเจ๊ได้ก็ตั้งนาน นะเธอไปเป็นเพื่อนฉัน

หน่อยนะ” ว่าแล้วตากลมโตของคนพูดก็เริ่มปริบๆ ขึ้นมา

“ก็ได้ๆ ไม่ต้องมาทำตาแป๋วแหววกับฉันเลย ฉันไม่ใช่นายซันนะ”

หยินมี่รีบรับปากก่อนที่เพื่อนจะงัดไม้เด็ดอื่นๆ มาใช้ให้สยองอีก

“เออ ใช่ เธออย่าบอกนายซันนะ” ปาลิกากระซิบกระซาบเหมือน

พึ่งนึกขึ้นมาได้

“พวกเธอนี่ยังไงนะ อยู่ใกล้กันขนาดนี้ แต่ก็ชอบทำเป็นมีลับลมคม

ในต่อกัน” หยินมี่ส่ายหน้าไม่เข้าใจ

“อะไรนะ นายนั่นมีความลับอะไรกับฉันงั้นเหรอ” คนฟังถึงกับหัน

มาคาดคั้นตาวาว

“เอ่อ เปล่า ไม่มีหรอก ที่พูดน่ะฉันว่าเธอต่างหากล่ะ” แล้วสาว

อวบก็รีบเฉไฉไปจนได้

“แหม...ฉันก็แค่อยากเซอร์ไพร์นายซันเท่านั้นเอง” ปาลิกาว่าและ

ดูท่าจะไม่ติดใจคาดคั้นเพื่อนอีก เล่นเอาหยินมี่แอบผ่อนลมหายใจ

โล่งอก เกือบหลุดปากออกไปแล้วไหมล่ะ เฮ้อ



กานพลู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 ม.ค. 2559, 15:47:08 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ม.ค. 2559, 15:47:08 น.

จำนวนการเข้าชม : 1198





<< บทที่ 15   บทที่ 17 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account