ปิ่นแก้วนครา (ในนามปากกา 'พิริตา' )
ด้วยฤทธิ์อำนาจของปิ่นโบราณที่เธอได้มา ทำให้ ‘กังสดาล’ หญิงสาวธรรมดาที่ติดกระโดกกระเดก และง้องแง้งเป็นนิสัย ต้องเดินทางย้อนกลับไปในอดีตของล้านนาเมื่อเก้าร้อยกว่าปีก่อน เพื่อช่วย ‘เจ้าน้อยปิ่นเมือง’ เจ้าราชบุตรแห่งเวียงสีปันจา ยับยั้งการล่มสลายของเวียงสีปันจา แต่ทว่าที่นั่นเธอกลับต้องสวมรอยเป็นหญิงสาวชาวป่าชื่อ ‘สร้อยแสงดา’ ขณะเดียวกันก็ตกกระไดพลอยโจนเป็นคู่หมายของเจ้าราชบุตรไปเสียนี่ กังสดาลจะช่วยยับยั้งการล่มสลายของเวียงสีปันจาได้หรือไม่ เรื่องราวความรักของหญิงสาวที่มาจากอนาคตและเจ้าราชบุตรผู้แสนน่ารัก และอ่อนโยนในอดีต จะเป็นอย่างไร ติดตามความสนุกสนานและซาบซึ้งได้ใน ‘ปิ่นแก้วนครา’ เร็วๆ นี้ค่ะ!
Tags: ปิ่นแก้วนครา เจ้าน้อย พีเรียด ย้อนยุค ล้านนาโบราณ เสือเย็น

ตอน: สู่เวียงสีปันจา (๑)



เจ้าของร่างบอบบางวิ่งลงมาถึงบริเวณชายป่าได้

อย่างไรไม่รู้ กังสดาลเริ่มรู้สึกว่าทุกอย่างเงียบสงบ

แตกต่างจากภาพที่เธอเห็นเมื่อครู่มากนัก

ยามเช้าดวงตะวันสาดส่องแสงจ้า บ้านที่สร้างด้วย

ไม้ มุงด้วยหญ้าคาและใบตองรวมกันอยู่ตรงนั้นตรงนี้

บนทางเดินเต็มไปด้วยดินลูกรังฝุ่นฟุ้งกระจาย ดงหญ้า

ป่าไม้รายรอบยังดูอุดมสมบูรณ์มาก อย่างที่หญิงสาวไม่

เคยเห็นมาก่อนในชีวิต อีกทั้งไม่มีความโกลาหลหรือ

สงครามเกิดขึ้นแต่อย่างใด

กังสดาลเดินสวนกับผู้คนที่แต่งกายกันด้วยเสื้อผ้า

ฝ้ายสีพื้น ผู้ชายส่วนมากนุ่งกางเกงแบบขาก๊วย แต่ขมวด

ตรงเอว พับขารั้งให้สูงขึ้นเพื่อความคล่องตัว บ้างก็สวม

เสื้อแขนยาวคอกลมผ่าอก บ้างก็ไม่สวมเสื้อ โพกศีรษะ

ด้วยผ้า ไม่ก็ไว้ผมยาวขมวดเป็นจุกกลางหัว

บางคนแบกกระบุงบรรจุพืชผล แบกไม้ฟืน จูงวัว

ควาย ฯลฯ ส่วนผู้หญิงถ้าหน้าตาอ่อนวัยหน่อยก็ นุ่ง

ผ้าถุงทั้งมีสีสันสดใสและทึบทึม สวมเสื้อแขนยาว

สาบเสื้อป้ายทับไปทางขวาดูมิดชิด

แต่หากวัยกลางคนขึ้นไปมักสวมเสื้อแขนกุดตัว

สั้นเต่อกับผ้าซิ่น คนสูงวัยเองก็จะใช้เพียงผ้าแถบพันอก

เอาไว้แล้วห่มสไบผืนเล็กเฉียงๆ แต่ก็ยังเป็นสีพื้นๆ เสีย

ส่วนใหญ่ และโดยมากจะโพกหัวด้วยผ้าเช่นกัน

แต่ที่คนเหล่านั้นดูเด่นสะดุดตาก็คือ ทั้งหญิงชาย

ตั้งแต่วัยกลางคนขึ้นไป มักคาบอะไรบางอย่างที่มี

ลักษณะเป็นมวนยาวไว้ในปาก และพ่นควันออกมา

โขมงพร้อมกลิ่นยาสูบไหม้ไฟ บ้างก็สูบจนมันสั้นจู๋

หญิงสาวจึงเข้าใจว่ามันเป็นบุหรี่อีกแบบหนึ่งนั่นเอง

แต่ก็มีบางคนที่มีปากสีแดงแช้ด ฟันดำมะเมี่ยม

และปากก็เคี้ยวหยับๆ อยู่ตลอดเวลา ก่อนจะบ้วนน้ำสี

แดงนั้นลงกับพื้นปริ้ดหนึ่ง แล้วจึงเคี้ยวต่อ กลิ่นของมัน

ก็แปลกประหลาดนักในความรู้สึกของกังสดาล

ตั้งแต่เกิดมาหญิงสาวอาจจะไม่เคยเห็นคนกิน

หมากมาก่อน แต่ก็พอรู้จากสื่อต่างๆ และเรื่องเล่าใน

อดีตอยู่บ้างว่ามันเป็นวัฒนธรรมและค่านิยมของคน

โบราณ การกินหมากไม่ได้เป็นเพียงเรื่องความอยาก

ความหิว ความอิ่มเพียงเท่านั้น

*1หากยังเป็นความพึงพอใจ ฟันที่ดำจากการกิน

หมากถือเป็นเรื่องปกติและความงามอย่างหนึ่งสำหรับ

คนในอดีต ถึงขนาดมีคำกล่าวกันว่า ‘หมาน่ะซี ที่มีฟันสี

ขาว’ และมีคำอธิษฐานขอต่อพระหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์

ทั้งหลายทั้งปวงว่า ‘ขอให้ฟันดำเหมือนลูกหว้า ขอให้

ปัญญาเหมือนพระมโหสถ’

ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะมีโอกาสได้เห็นของจริง

ในตอนนี้ แถมยังตกมาอยู่ท่ามกลางความแปลก

ประหลาดเหล่านี้ได้ แล้วตกลงที่นี่คือที่ไหนกัน

กังสดาลถามตัวเอง

ขณะมองผู้คนที่ต่างเดินสวนทางกันไปมา ทักทาย

กันด้วยภาษาที่ฟังดูเหมือนภาษาเหนือ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคำ

และเป็นสำเนียงเฉพาะ แม้จะพอฟังรู้เรื่องแต่ก็มีบางคำ

ที่แปลกหูเกินกว่าจะเข้าใจได้ ผู้คนส่วนมากเดินเท้าเปล่า

ด้วยท่าทีปกติ ไม่ได้ตื่นตระหนกตกใจอย่างที่ควรจะ

เป็น

หรือว่าความโกลาหลจากการล่มสลาย หรือ

สงครามที่เธอเห็นบนจุดสูงสุดเมื่อครู่นั้น เป็นเพียงภาพ

ลวงตาที่ผู้เฒ่าคนนั้นสร้างขึ้นมาเพื่อให้เห็นถึงความ

หายนะที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า หรือที่นี่จะเป็นเวียงสี

ปันจาจริงๆ

หากเป็นเช่นนั้น เธอคงไม่อาจปฏิเสธคำขอร้อง

ของชายชราคนนั้นได้อีกต่อไปแล้ว เพราะนอกจากจะ

เป็นภาวะจำยอมแล้ว อีกใจหนึ่งหากสามารถช่วยได้

กังสดาลก็ปรารถนาที่จะช่วยเต็มที่เหมือนกัน แต่ก่อน

อื่นเธอต้องมั่นใจเสียก่อนว่าที่นี่คือเวียงสีปันจา

“พี่ พี่คะ ที่นี่ที่ไหนหรือคะ” คิดได้ดังนั้นหญิงสาว

จึงตัดสินใจถามผู้หญิงวัยกลางคน ที่กำลังจะเดินผ่าน

เธอไป พร้อมลูกน้อยไม่สวมเสื้อผ้า

หญิงชาวบ้านหน้าตาดำมะเมี่ยมที่ปากก็เคี้ยว

หมากหยับๆ กับลูกน้อยมองมา ราวกับพึ่งเห็นว่า

กังสดาลยืนอยู่ตรงนี้ ความแปลกใจระคนงงงันปรากฏ

บนใบหน้า

“เจ้าเป็นใครรึ เหตุใดสำเนียงของเจ้าช่างแปร่งนัก

อีกทั้งถ้อยคำ การแต่งกายของเจ้ารึก็ไม่น่าใช่คนถิ่นนี้”

คำถามนั้นเป็นเหตุให้กังสดาลต้องหันกลับมามอง

ตัวเอง

เธออยู่ในชุดนอนตัวยาวลายโดราเอม่อน การ์ตูน

ตัวโปรดตัวเดิม หากที่นี่เป็นเวียงสีปันจาจริง เธอก็คง

เป็นตัวประหลาดแน่แท้

“เอ่อ... ฉันมาจากเมืองอื่นน่ะค่ะ ที่นี่คือเวียงสีปัน

จาหรือเปล่าคะ” หญิงสาวพยายามปัดไป และถามถึงสิ่ง

ที่ต้องการรู้
“ใช่แล้ว เจ้ามาทำสิ่งใดที่เมืองเราหรือ” หญิงคน

นั้นยังมองเธอแปลกๆ ตั้งแต่เท้ายันหัวโดยไม่สนเรื่อง

มารยาทสักนิด

แต่กังสดาลพยายามไม่สนใจท่าทีนั้น เพราะเมื่อรู้

แน่ชัดแล้วว่าที่นี่คือที่ไหน ขั้นตอนต่อไปก็คือ หาทาง

ไปพบเจ้าน้อยปิ่นเมืองให้เร็วที่สุด

“อ่า... คือ... ฉันมาเพื่อพบเจ้าน้อยปิ่นเมืองน่ะค่ะ

ไม่ทราบว่าฉันจะพบท่านได้ที่ไหน” แต่ทว่าคำถามของ

เธอกลับสร้างความหวาดระแวงขึ้นในแววตาของหญิง

ชาวบ้านคนนั้นอย่างเห็นได้ชัด

นางหันซ้ายแลขวาแล้วกวักมือเรียกผู้ชายตัวใหญ่

คนหนึ่งที่แบกไม้และกำลังจะผ่านไปพอดี ก่อนจะ

กระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับผู้ชายคนนั้น ซึ่งก็

มองสำรวจกังสดาลตั้งแต่หัวจรดเท้าไปด้วยเช่นกัน

“เจ้าเป็นผู้ใดกัน เหตุใดจึงต้องการพบเจ้าน้อยปิ่น

เมือง” แล้วชายร่างใหญ่ก็ตั้งคำถามกับเธออีกครั้ง

“ฉันมาจากที่ๆ เอ่อ... พูดไปพวกท่านก็ไม่รู้จัก

หรอก แต่เอาเป็นว่าฉันต้องการพบเจ้าน้อยเพราะมีเรื่อง

สำคัญมากจะบอก” กังสดาลคิดว่าชายผู้นี้คงช่วยเธอได้

ไม่มากก็น้อย เขาจ้องเธอเขม็งก่อนเอ่ยต่อ

“ถ้าเช่นนั้น จงบอกเรื่องสำคัญนั้นกับข้าเถิด ข้าจะ

เข้าไปในคุ้มเจ้าน้อยเพื่อบอกกล่าวความแก่ท่านเอง”

ท่าทางชายคนนั้นไม่ได้เลวร้ายนักในความรู้สึกของ

หญิงสาว

และคิดว่าคงจะดีไม่น้อยหากทุกอย่างจบลงได้ใน

ขั้นตอนเดียวอย่างนี้ เธอได้ช่วยเหลือบ้านเมืองนี้เต็ม

กำลังตามที่ผู้เฒ่าคนนั้นคาดหวัง แล้วก็จะได้กลับบ้าน

เสียที กังสดาลจึงยิ้มออกมาอย่างยินดี

“งั้นก็ดีน่ะสิ คือช่วยบอกเจ้าน้อยปิ่นเมืองด้วยนะ

คะว่าบ้านเมืองของพวกท่าน เวียงสีปันจากำลังจะถึง

กาลล่มสลายในเร็ววันนี้ เจ้าน้อยจะต้องรีบทำการแก้ไข

ไม่อย่างนั้นอีกไม่นานบ้านเมืองนี้จะลุกเป็นไฟ และล่ม

สลายไปอย่างหมดสิ้น” ถ้อยคำต่างๆ จึงพรั่งพรูออกมา

จากปากของหญิงสาว โดยไม่เฉลียวใจสักนิด

“เจ้าว่าอะไรนะ?!! ” สิ้นคำของเธอชายหญิงคู่นั้น

ก็พากันตกตะลึง

“เจ้าช่างกล้า เจ้าแต่งกายประหลาด สำเนียงพูดจา

แปลกๆ แถมยังมาสาปแช่งบ้านเมืองของพวกข้า เจ้า

เป็นใครกันแน่ เป็นหมอผีเช่นนั้นหรือ” ก่อนที่หญิงคน

นั้นจะตวาดเสียงดังด้วยความโกรธจัด

เสียงโวยวายนั้นส่งผลให้ผู้คนที่กำลังเดินผ่านไป

มาเกิดความสนใจขึ้นมา จึงก้าวเข้ามารวมกลุ่มและหนา

ตาขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว แล้วต่างก็สอบถามกันไปมาถึง

สาเหตุของอารมณ์ที่ปะทุ และหญิงคนนั้นก็บอกเล่า

ให้กับเพื่อนฝูง ผู้คนรายรอบถึงสิ่งที่กังสดาลพูดด้วย

อารมณ์คุกรุ่นรุนแรง

ถ้อยคำเหล่านั้นแพร่สะพัดไปในกลุ่มคนมุง ทำ

ให้ผู้คนเหล่านั้นต่างก็ส่งเสียงด่าทอกังสดาล ซึ่งกำลัง

ตกใจจนทำอะไรไม่ถูกกับสิ่งที่เกิดขึ้น และนึกรู้อยู่ในใจ

ว่าเธอพลาดไปเสียแล้ว

“นางต้องเป็นพวกสติไม่สมประดี ไม่ก็หมอผีมาก

อาคมจากสิขะปุระเป็นแน่ พวกเราเอานางไว้ไม่ได้แล้ว

บ้านเมืองเรากำลังเข้าสู่ความรุ่งเรืองนางมาพูดจาเช่นนี้

เท่ากับแช่งชักหักกระดูกพวกเรา”

“ใช่ นางคนนี้ต้องมาจากเมืองสิขะปุระเป็นแน่

แท้”

“ต้องใช่แน่ๆ เอานางไว้ไม่ได้แล้ว จับตัวนางไป

ให้ทางการประหารเลยดีกว่า” ยังไม่ทันที่กังสดาลจะทำ

อะไร ผู้ชายตัวใหญ่หลายคนต่างก็กรูเข้ามาหาร่างบอบ

บาง ทั้งจับทั้งดึงทึ้ง

“มะ...ไม่ใช่นะ มันเป็นความจริง ฉันไม่ได้แช่ง

แต่ท่านผู้เฒ่าคนหนึ่งบอกฉันมา” หญิงสาวตั้งสติได้

พยายามตะโกนอธิบาย แต่ก็สายไปเสียแล้ว กลุ่มชาย

ฉกรรจ์พากันเข้ามากลุ้มรุมเธอ ราวกับหมาป่ากำลังรุม

ขย้ำเหยื่อไร้ทางสู้กระนั้น

“ว้าย! อย่านะ ฉันไม่ใช่หมอผี หรือสติไม่ดีนะ ไม่

อย่า ปล่อย... ” กังสดาลรู้สึกถึงความเจ็บไปทั่วทั้งร่าง

เมื่อถูกชายฉกรรจ์เหล่านั้นจับแขนขาตรึงไว้ไม่ให้

กระดิก

พอหญิงสาวอ้าปากร้องก็ถูกตบเข้าตรงใบหน้า

เต็มแรง ยิ่งเธอดิ้นรนขัดขืนก็ถูกชกเข้าที่ท้อง ท่ามกลาง

เสียงสนับสนุนดังเซ่งแซ่ ไม่รู้เสียงใครเป็นเสียงใคร

ต่างก็แสดงถึงความสะอกสะใจที่สามารถกำราบเธอได้

ราวกับบ้านป่าเมืองเถื่อนก็ไม่ปาน

วูบหนึ่งกังสดาลได้แต่ถามตัวเองว่า นี่เธอกำลังทำ

อะไรอยู่? สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความจริงหรือความฝันกันแน่

หากเป็นความฝันมันคงเป็นฝันร้าย และหญิงสาวก็

ปรารถนาเหลือเกินที่จะเจอกับพี่ชายตอนตื่นลืมตา

ขึ้นมา

“หยุด!! นี่มันเกิดอะไรขึ้น” เสียงเต็มไปด้วย

อำนาจตวาดก้องกลบเสียงเซ่งแซ่โดยรอบ กังสดาล

มองเห็นภาพตรงหน้าพร่าพราย ในขณะที่สติจวนเจียน

ดับอยู่รอมร่อ

*-*-*-*-*-*

เบื้องหน้ากลุ่มชาวบ้าน ปรากฏร่างชายหนุ่มสาม

คนนั่งอยู่บนหลังม้า พวกเขาสวมเสื้อแขนยาวสีน้ำตาล

เข้ม ผ่าหน้า ลำตัวสั้น คอเหมือนเสื้อจีน มีกระเป๋าที่

ชายเสื้อ ทับกับด้านในที่เป็นเสื้อตัวยาวสีขาว

สวมกางเกงขายาวปลายกว้าง โพกศีรษะและคาด

เอวด้วยผ้าสีน้ำตาลเข้ม รองเท้าทำจากหนังสัตว์แบบ

สานร้อยรัดถึงน่อง เหน็บมีดสั้นไว้ตรงเอว มือข้างหนึ่ง

ดึงสายบังเหียนม้า

ส่วนมืออีกข้างถือดาบยาวปลายโค้ง ฝักของมัน

ทำจากไม้ผสมเงินสลักลวดลายอ่อนช้อย เพียงแค่

รูปลักษณ์นั้นก็ทำให้ชาวบ้านโค้งคำนับกันโดยถ้วนทั่ว

เพราะนั่นบ่งบอกว่าทั้งสามคือทหารระดับสูงของเวียงสี

ปันจา

“ท่านทหารเจ้า นางแม่ญิงคนนี้เป็นพวกสิขะปุระ

และเป็นหมอผีที่ลักลอบเข้ามาเมืองเราเพื่อทำร้ายเจ้า

ราชบุตรปิ่นเมือง พวกเราเลยต้องจับตัวนางเพื่อส่ง

ทางการเจ้า” ผู้ชายคนที่กำลังจับร่างบอบบาง

ขะมุกขะมอมนั้นเอาไว้รีบรายงานกับทหารทั้งสาม

ในทันที ด้วยท่าทางพินอบพิเทา

“แม่ญิงคนนี้น่ะหรือ ปล่อยนางก่อนเถิด เราจะนำ

ตัวนางไปส่งให้กับทางการเอง” สิ้นคำของทหารหนุ่ม

คนหนึ่งที่อยู่ด้านหน้าสุด ร่างบางก็ร่วงลงไปกองบน

พื้นดินพร้อมสติสุดท้าย

คนบนหลังม้าทั้งสามเห็นดังนั้นจึงรีบกระโดดลง

มาเกือบพร้อมกัน ร่างสูงสง่าแบบทหารคนหนึ่งที่อยู่

ด้านหน้าสุด ปราดเข้าไปรั้งร่างของหญิงสาวขึ้นมาจาก

พื้น ก่อนที่ทหารอีกคนจะตามเข้ามาช่วยประคอง

“นางบอกว่าบ้านเมืองของเราจะล่มสลาย นางคน

นี้สาปแช่งเวียงสีปันจา ได้โปรดให้เจ้าราชบุตรพิจารณา

โทษนางให้ถึงตายเถิดเจ้า” คำพูดของชาวบ้านที่รุม

สกรัมหญิงสาวยังเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธเกรี้ยว ทำให้

ชายหนุ่มทั้งสามผู้อยู่ในคราบทหารของเวียงสีปันจาหัน

มามองหน้ากันชั่วอึดใจ

“อย่าได้ห่วงเลย หากนางมีความผิดจริง ทางการ

จะจัดการกับนางตามที่เห็นสมควรเอง ขอบใจพวกเจ้า

มากที่เป็นหูเป็นตาให้ทางการ ตอนนี้พวกเจ้าแยกย้ายกัน

ไปได้แล้ว ที่เหลือพวกเราจะจัดการเอง” ทหารอีกคนที่

ยืนคุมเชิงอยู่บอกกล่าวแก่ชาวบ้านโดยรอบ ก่อนที่จะ

ค่อยๆ แยกย้ายกันไปพร้อมเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่าง

หวาดหวั่นขวัญเสียระคนสะอกสะใจ

“เราจะทำเยี่ยงไรกับนางดีเจ้า เวลาของเราก็มีน้อย

เหลือเกิน” คนที่ช่วยประคองร่างของหญิงสาวถามขึ้น

ด้วยความนอบน้อม หลังจากบริเวณนั้นเหลือเพียงพวก

เขาสามคน พร้อมกับร่างไร้สติของหญิงสาวแปลกหน้า

“คงทิ้งนางไว้ที่นี่ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นพวกชาวบ้าน

คงได้เอาชีวิตนางเป็นแน่ อีกอย่างตอนนี้พวกเราอยู่ใน

สภาพที่จะไปสั่งการคนอื่นก็มิได้เสียด้วย พานาง

กลับไปที่คุ้มหลวงด้วยก็แล้วกัน อย่างอื่นค่อยว่ากันที

หลัง” ชายหนุ่มใบหน้าหล่อคมคายซึ่งประคองร่างบาง

อีกด้านตอบ

“ตะ...แต่ว่า นางเป็นหมอผี เป็นพวกสิขะปุระนะ

เจ้า” ทหารอีกคนที่ยืนมองอยู่ค้านขึ้น

“เจ้าเชื่ออย่างที่ชาวบ้านพูดจริงๆ หรือนันตา”

เจ้าของใบหน้าคมคายในชุดทหารของเวียงสีปันจา แต่มี

ศักดินาเกินทหารธรรมดาถาม

ก่อนจะก้มลงมองใบหน้าที่เปรอะไปด้วยฝุ่นดิน

และรอยช้ำในอ้อมแขน รอยยิ้มบางแต้มมุมปากชาย

หนุ่มโดยไม่ทันรู้ตัว

“หมอผีที่ไหนกันถึงได้สิ้นลายเยี่ยงนี้ แล้วยัง

สภาพเช่นนี้ด้วยแล้ว เราว่าแม่ญิงคนนี้ไม่มีฤทธิ์มากถึง

เพียงนั้นหรอก แต่ที่เป็นไปก็เพราะความกลัวของคน

ต่างหาก”

“บางทีนางอาจจะแกล้งทำ เพื่อให้เราตายใจก็ได้

นะเจ้า” ทหารสนิทคนเดิมยังคงทักท้วง ด้วยความเป็น

ห่วงเจ้านาย แต่เจ้าของใบหน้าหล่อคมคายกลับยิ้ม

น้อยๆ พร้อมส่ายหน้า

“ถึงอย่างไรเราก็มั่นใจว่านางเป็นเพียงแม่ญิง

ธรรมดาเท่านั้น เอาล่ะหากพวกเจ้ากลัวนัก ไม่ว่าจะเกิด

อะไรขึ้นเราจะรับผิดชอบทุกอย่างเอง” ชายหนุ่มตอบ

อย่างมั่นอกมั่นใจ อะไรบางอย่างบอกเขาเช่นนั้น แม้จะ

ไม่รู้ว่าเป็นอะไรก็ตาม

“ถ้าเช่นนั้น เรารีบเดินทางต่อกันเถิดเจ้า เพราะดู

ท่าแล้วนางคงบอบช้ำมากเหมือนกัน” ทหารคนที่ช่วย

ประคองหญิงสาวอีกข้างรีบพูดขึ้น

แล้วเจ้าของดวงหน้าหล่อคมคายจึงเหวี่ยงตัวขึ้น

หลังม้าสีดำของตน ก่อนจะรับร่างของหญิงสาวจากสอง

คนที่เหลือ ที่รีบช่วยกันยกร่างบางขึ้นไปนั่งด้านหน้า

ของเขา

ชายหนุ่มจัดท่าทางของร่างที่ไม่ได้สตินั้นให้พิง

อกเขาเอาไว้ แล้วจึงโอบประคองด้วยอ้อมแขน

แข็งแกร่งอีกที ก่อนจะใช้ส้นเท้ากระทุ้งสีข้างอาชาสีดำ

ตัวพ่วงพีให้ออกวิ่ง ทิ้งเพียงฝุ่นควันสีแดงตลบอบอวล

เอาไว้เบื้องหลัง

*-*-*-*-*-*

ม้าสามตัวเหยาะย่างผ่านประตูด้านหลังของ

กำแพงสูง ที่สร้างจากศิลาแลงล้อมรอบ เข้ามาในอาณา

เขตที่เรียกกันว่า ‘คุ้มหลวงแห่งเวียงสีปันจา’ แทนที่จะ

เป็นประตูด้านหน้า

เพราะต้องการถึงเรือนส่วนตัวของเจ้าราชบุตร

แห่งสีปันจาโดยเร็วนั่นเอง แม้ทางนั้นจะต้องผ่านทั้ง

อุทยานหลวง สวนหลวงซึ่งอยู่ด้านหลัง อีกทั้งบ้านเรือน

พระญาติจำนวนหนึ่งจึงจะถึงจุดหมาย

แต่ก็นับว่าเร็วกว่าประตูหน้า ซึ่งอาจจะเกิดความ

วุ่นวายขึ้นด้วยความยินดีของคนในคุ้มที่เห็นเจ้าราชบุตร

กลับมานั่นเอง ที่สำคัญเรื่องของหญิงสาวแปลกหน้าซึ่ง

ไม่รู้ที่มาที่ไปอาจทำให้วุ่นวายแตกตื่นมากกว่าชาวบ้าน

ที่กลางเมืองก็เป็นได้

ชายหนุ่มทั้งสามบังคับม้าให้วิ่งไปตามทางเดินที่

ทอดไปสู่กลาง*2ข่วงบ้าน ของหมู่เรือนไม้หลังงามใต้

ถุนสูงเพียงระดับเอวห้า-หกหลัง ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่

เบื้องหน้า

หลังคาทรงสามเหลี่ยมมุงด้วยไม้แป้นเกล็ด ลด

ระดับสามชั้น ด้านบนติดกาแล ป้านลม เชิงชาย ที่

แกะสลักทั้งแบบฉลุและนูนต่ำเป็นลวดลายอ่อนช้อย

งดงาม

“เจ้าน้อยกลับมาแล้ว ท่านเตวินกับท่านนันตาก็มา

ด้วย” เสียงของบริวารรับใช้ซึ่งมีหน้าที่ดูแลเรือนเจ้าราช

บุตรร้องบอกกันอย่างตื่นเต้น

พร้อมทั้งยอบตัวลงทำความเคารพเมื่ออาชาตัว

พ่วงพีเหยาะย่างผ่านเข้ามาถึงตีนบันได แต่มาตอนนี้

เจ้าของเรือนมีเรื่องเร่งด่วนเกินกว่าจะสนใจอย่างอื่น

“นันตา เจ้าจงรีบไปตามหมอหลวงมายังเรือนของ

เราโดยเร็ว” เจ้าราชบุตรแห่งเวียงสีปันจา หรือ ‘เจ้าน้อย

ปิ่นเมือง’ หันไปสั่งทหารคู่ใจนาม นันตา ทันทีหลังจาก

พาม้ามาหยุดตรงหน้าเรือน

ขณะทหารคู่ใจอีกคนที่ชื่อ เตวิน ช่วยพาร่างไร้สติ

ของหญิงสาวเข้ามาภายในห้องส่วนตัวของเจ้าน้อยปิ่น

เมือง ร่างมอมแมมนั้นถูกวางลงบนเตียงกลางห้อง ซึ่งปู

ด้วยฟูกผ้าทอลายดียัดข้างในด้วยนุ่นอ่อนนุ่ม

“เจ้าไปตามแม่ญิงด้านนอกมาช่วยดูแลนางทีเตวิน

ลำพังพวกเราเองคงทำอะไรได้ไม่ถนัดนัก”

“เจ้า เจ้าน้อย” เตวินรับคำก่อนจะรีบก้าวออกไป

จากห้องหับ

จากนั้นไม่นานก็มีบ่าวรับใช้หญิงสองคนเข้ามา

ดูแลจัดการต่อ ก่อนที่หมอหลวงจะตามมาในเวลาไล่เลี่ย

กัน เจ้าน้อยปิ่นเมืองจึงรีบสาวเท้าตามหมอหลวงเข้ามา

ในห้องทันทีหลังรับการเคารพเสร็จ

“เป็นอย่างไรบ้างท่านหมอหลวง นางยังปลอดภัย

ดีอยู่หรือไม่” เขาถามทันทีที่หมอหลวงทำการตรวจร่าง

แน่นิ่งไร้สติ แต่ยังคงหายใจสม่ำเสมอ และมาตอนนี้

เจ้าของร่างบอบบางนั้นอยู่ในชุดหญิงสาวชาวสีปันจา

เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“เท่าที่ข้าน้อยได้ตรวจดู นางบอบช้ำก็จริงแต่ไม่

สาหัสมาก ที่เป็นไปเช่นนี้คงเป็นเพราะความตื่นตกใจ

คงจะต้องรออีกสักชั่วเวลาหนึ่งนางถึงจะฟื้นคืนสติเจ้า”

“ถ้าเช่นนั้น เราคงต้องฝากท่านให้ช่วยรักษานาง

ก่อน เราเองจะได้เข้าเฝ้าเจ้าพ่อเสียที” เจ้าราชบุตรหนุ่ม

เอ่ยด้วยความรู้สึกเบาใจขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในเรื่องนี้

หมอหลวงรับคำ

ก่อนที่เขาจะสั่งให้บ่าวหญิงคอยดูแลให้ความ

สะดวกกับหมอหลวงและหญิงสาวนิรนามที่ยังไม่ฟื้น

แล้วเจ้าน้อยปิ่นเมืองพร้อมคนสนิทจึงย่างลงจากเรือน

ตรงไปยังเรือนของเจ้าหลวง
ซึ่งเป็นที่พำนักของบิดา มารดา ขณะเดียวกัน

นั้นเอง ราวกับความหนักอึ้งที่มีมาตลอดหลายวันมานี้

จะเข้าเกาะกุมหัวใจของเจ้าราชบุตรหนุ่มอีกครั้ง

หมายเหตุ: *1 เรียบเรียงมาจากบทความ ‘วัฒนธรรมการกินหมากของไทย’ จากเว็บไซด์ http://www.samunpri.com และ http://baanmaha.com/community แต่การกินหมากทางภาคเหนือส่วนหนึ่งจะใช้หมากแห้งและพลูนึ่ง นำมาห่อเครื่องหมากต่างๆ เป็นคำ
*2 ข่วงบ้าน มีลักษณะเป็นลานดินกวาดเรียบกว้าง เป็นลานอเนกประสงค์ ใช้ทำกิจกรรมต่างๆ เป็นลานที่เชื่อมเส้นทางสัญจรหรือทางเดินเท้าเข้าสู่ตัวอาคาร บ้านเรือน (ในที่นี้ผู้เขียนหมายถึงลานโล่งที่อยู่ตรงหน้าบ้าน)



กานพลู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 ม.ค. 2559, 20:23:06 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 ม.ค. 2559, 20:23:06 น.

จำนวนการเข้าชม : 1091





<< ปิ่นโบราณ   สู่เวียงสีปันจา (๒) >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account