อลวน ถนน หัวใจ (จบแล้ว)

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 15 อลวน ถนน หัวใจ

15.

ด้วยเรือสกู๊ตเตอร์ส่วนตัวมีอยู่เพียงลำเดียวทำให้ลูกสมุนของเสี่ยสาธรต้องออกจากรีสอร์ตไปยังบ้านของชาวบ้าน กว่าจะไปเจรจายืมเรือหางยาวกันมาได้สามลำเวลาก็ล่วงไปถึงสามชั่วโมง เมื่อรวมตัวกันได้แล้ว หัวหน้าบอดี้การ์ดจึงถามความเห็นของนายใหญ่ว่าควรจะไปยังทิศใด

เสี่ยสาธรเชื่อว่า รังสิตาจะต้องขับสกู๊ตเตอร์ไปยังฝั่งตรงกันข้ามแน่ ๆ เพราะจะลัดและสะดวกปลอดภัยที่สุด ถ้าหาไม่พบตรงจุดนั้นก็ให้แยกไปทางซ้ายและขวาด้านละลำ ส่วนอีกลำให้เลียบล่องไปทางทิศใต้ ซึ่งทิศนี้จะสามารถไปสุดที่เขื่อนศรีนครินทร์ ถ้าคาดไม่ผิด ป่านนี้พวกเขาอาจจะไปขึ้นฝั่งที่นั่นแล้วต่อรถไปไหนสักที่ เสี่ยสาธรอดแปลกใจไม่ได้ว่า นายประดิพัทธ์ยอมเสียรถราคาเป็นล้านไว้ที่นี่เพื่อช่วยยายน้องสาวตัวแสบของเขาเลยรึ มันน่าจะมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ ๆ แต่เรื่องนี้ใครเป็นคนต้นคิดล่ะ

“ในห้องคุณประดิพัทธ์ยังมีเสื้อผ้าและโทรศัพท์มือถือ กุญแจรถยนต์ก็ยังอยู่ครบ ส่วนในห้องของหญิงชายคู่นั้น มีเสื้อผ้าอยู่ครบมีหนังสือท่องเที่ยวเมืองกาญฯ วางอยู่บนโต๊ะอีกเล่ม แถมในกระเป๋าของผู้หญิงคนนั้นมีกล้องถ่ายรูปมีอุปกรณ์อะไรบ้างไม่รู้ มีกระเป๋าสตางค์ทุกอย่างอยู่ครบหมด”

เมื่อได้ฟังรายงานจากนมแสง เขายิ่งเชื่อมั่นว่า คนทั้งสามนั้นจะต้องตกบันไดพลอยโจนไปกับน้องสาวเขาเป็นแน่

หลังจากที่กองเรือออกจากท่าไปชั่วโมงเศษ สายที่แยกข้ามฝั่งแล้วแยกไปทางด้านขวาก็รายงานกลับมาว่า พบเรือจอดอยู่พร้อมกับคุณประดิพัทธ์และผู้หญิงชื่ออินทรา เสี่ยสาธรขอโทรศัพท์เจรจาด้วยทันที

“มันเกิดอะไรขึ้นเล่าให้ละเอียด”

“คุณรังสิตาชวนพวกผมขึ้นไปนั่งเล่นบนเรือ เรานั่งดื่มไวน์กันยังยกแก้วไม่ทันลงคอเธอติดเครื่องแล้วเคลื่อนเรือออกทันที”

“แล้วใครแกะเชือก”

“ผมไม่รู้ครับ ไม่รู้ว่าผูกอยู่หรือเปล่าแต่พวกผมตั้งสติไม่ทัน”

“แล้วตอนนี้เธอไปไหน”

“เธอเดินเข้าป่าไปกับเพื่อนผมอีกคน อันที่จริง นายโชคชัยเขาก็ไม่อยากไป แต่เราเป็นห่วงว่าคุณรังสิตาจะได้รับอันตรายก็เลยให้เขาติดตามไปด้วย”

“แล้วคุณสองคนทำไมไม่ไปด้วย” เสี่ยสาธรซัก

“อ้าว ถ้าผมไปแล้วจะมีใครคอยรายงานเสี่ยละครับ”

เมื่อได้ยินเขาพูดเพื่อช่วยนายโชคชัยดังนี้ประดิพัทธ์ได้ใจอินทราขึ้นเป็นกองเลยทีเดียว

“งั้นผมขอคุยกับคนของผมหน่อย”

ประดิพัทธ์ได้ยินเสียงครับ ๆ พอคนที่เป็นหัวหน้าวางสาย กลุ่มหนึ่งก็สละเรือวิ่งขึ้นสู่ฝั่งไปยังทิศทางที่อินทราชี้บอก ซึ่งมันอยู่ตรงกันข้ามกับทางที่รังสิตาและโชคชัยเดินทางกันไป

“ทำไมคุณทำอย่างนั้น” ประดิพัทธ์ถามขึ้นเมื่อนั่งเคียงกันอยู่บนเรือหางยาวที่ลากเรือสกู๊ตเตอร์ กลับรังสิตารีสอร์ต

“ให้คุณรังสิตาเขามีความหวังบ้างซิ ถ้าตามไปพบเลยในวันนี้วันพรุ่งนี้ ก็เท่ากับว่าเมื่อคืนจนถึงวันนี้เธอเสียเวลาคิด”

ประดิพัทธ์มองหน้าอันอ่อนระโหยของอินทราซึ่งมองผิวน้ำเป็นระรอกคลื่นแหวกออกเมื่อเรือแล่นไป

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

“เปล่า ไม่มีอะไร แค่สงสัยตัวเองเหมือนกันว่าคิดผิดหรือเปล่าที่ไม่ตามคนทั้งคู่ไป”

“ถ้าเราไปกับเขา เหตุการณ์มันอาจจะเลวร้ายกว่านี้ก็ได้นะ เธออาจจะล้มเจ็บอีก ข้อเท้าเป็นอย่างไรบ้าง” เขาก้มหน้าดูข้อเท้าของหญิงสาวที่แดงเนื่องจากตอนเดินกลับมาอินทรานั้นหกล้มด้วยเป็นที่ไถลลง

“ยังขัด ๆ อยู่เดี๋ยวก็คงหายแล้ว” ด้วยเป็นเวลาเช้ากับไม่ได้หลับเพราะยุงตัวใหญ่ก่อกวนในขณะนั่งรอคนของเสี่ยให้ตามมาพบทำให้อินทราแทบลืมตาไม่ขึ้น เมื่อเห็นว่าหญิงสาวสลึมสลือประดิพัทธ์จึงใช้แขนโอบไปที่หัวไหล่แล้วใช้ฝ่ามือด้านขวาดันศีรษะกลมให้ซบมาที่บ่าหนาของตัวเอง ด้วยเรือหางยาวต้องลากเรือสกู๊ตเตอร์ด้วย จึงทำให้เวลากลับนั้นเนิ่นนาน สายลมเย็น ๆ ที่พัดมาพร้อมแสงสว่างที่ทำให้อากาศค่อย ๆ อบอุ่นทำให้อินทราหลับในบ่าของผู้ชายซึ่งเธอไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตนี้จะได้บ่าของพ่อดาราคนนี้มาหนุนต่างหมอน

(วันที่ 4)


เมื่อเห็นว่าเรือหางยาวกำลังแล่นลากเรือสกู๊ตเตอร์เข้ามา รัชดาพรซึ่งยืนชะเง้ออยู่พร้อมกับเจ้าของบ้านทั้งชายและหญิงรวมถึงนมแสง ถือจังหวะที่ทุก ๆ คนกำลังชะเง้อนั้นรีบใช้โทรศัพท์มือถือกดภาพของประดิพัทธ์ที่มีหญิงสาวตัวเล็กสวมสูทซบอยู่ที่หัวไหล่

เมื่อเรือมาจอดเทียบท่าอินทราลืมตาขึ้นด้วยฝ่ามือหนา ๆ ที่สัมผัสเบา ๆ บริเวณพวงแก้ม เมื่อลืมตาขึ้นหญิงสาวพบผู้คนมากหน้าหลายตายืนจ้องมองมายังเธอและประดิพัทธ์ด้วยสายตามีคำถาม คนขับเรือมัดเชือกเรือกับเสาของท่าเทียบเรือ ประดิพัทธ์ยืนขึ้นแล้วพยุงเธอให้ลุกขึ้นตาม เขาก้าวเท้าขึ้นตลิ่งก่อนแล้วส่งมือหนาให้ร่างเล็กส่งตัวเองขึ้นตาม

“ไปเที่ยวไหนกันมาหรือคะไม่เห็นชวนดิฉันบ้างเลย” รัชดาพรทักทายด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

“ผมกลัวคุณรัชดาพรหลับไม่ครบแปดชั่วโมง ก็เลยไม่ได้ชวน” ประดิพัทธ์ทักคืนไปอย่างนั้นเอง

“พวกคุณโอเคนะ” เสี่ยสาธรซึ่งพอจะซึ้งในน้ำใจของประดิพัทธ์มีแววตาเป็นห่วง

“โอเคครับ แต่พวกเราเพลีย อยากพักผ่อนสักครู่”

“ทานข้าวเช้าก่อนแล้วกัน นมแสงเตรียมข้าวต้มไว้แล้วเชิญค่ะ” คุณวินิตรารีบเปลี่ยนเรื่องคุย แม้อยากจะล้งเล้งเรื่องของรังสิตาแต่เมื่อรัชดาพรยังยืนอยู่ด้วย เห็นทีต้องเก็บเอาไว้พูดกันในที่ส่วนตัว

ประดิพัทธ์ประคองอินทราเดินตามทั้งคณะไปยังห้องอาหาร เขาตักข้าวต้มให้หญิงสาว อินทรากล้ำกลืนหมดชามตามด้วยน้ำส้มคั้นสดหนึ่งแก้ว ดื่มน้ำเย็นจัดตามแล้วสะกิดประดิพัทธ์ให้ขอตัวออกไปพร้อมกัน


“คุณต้องย้ายของจากห้องคุณมาที่ห้องฉันนะ” อินทราขอร้องเขาด้วยดวงตาแดงช้ำ ประดิพัทธ์เดาไม่ถูกว่าในเวลานี้อินทราคิดอย่างไร เธอคงจะเสียใจเรื่องโชคชัย หรือว่าบางที เธอมีใจให้กับผู้ชายหน้าตาดี ๆ คนนั้นไปแล้วก็ได้

เมื่อกวาดกระเป๋าของตัวเองกลับมาไว้ยังห้องพักของอินทรา หญิงสาวก็ถอดเสื้อสูทของเขาคืนให้โดยไม่มีคำว่าขอบคุณ เขารับมาถือไว้จ้องมองหน้าที่ยังหม่นมุ่ย

เธอหาได้สนใจ รื้อค้นกระเป๋าที่มีรอยรื้อค้น กระแทกกระทั้นกับพื้นอย่างขัดใจก่อนหิ้วกระเป๋าใบนั้นเข้าไปในห้องน้ำ

เสียงน้ำจากฝักบัวดังซ่าซ่านปลุกอารมณ์เปลี่ยวของเขาที่นุ่งผ้าเช็ดตัวรอเข้าห้องน้ำอยู่บนเตียง ตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็นที่เขาได้กลิ่นกายกลิ่นความหอมหวานจากดอกไม้ดอกเล็ก ๆ ดอกนี้ เมื่อซื้อเสื้อผ้าให้แล้วส่งเธอเข้าร้านเสริมสวย เขาก็ออกไปเดินดูเสื้อสำหรับตัวเอง พอเขากลับมารับ ลูกเป็ดขี้เหร่ได้รับการแปลงโฉมกลายร่างเป็นสาวสะพรั่ง เขาแทบจะละสายตาจากวงหน้าเล็กในกรอบผมที่ยุ่งแทบไม่ได้ทีเดียว

เสียงน้ำยังดังซ่าซ่านปลุกอารมณ์เขามากขึ้นเรื่อย ๆ หลายวันเต็มทีที่เขาไม่ได้ออกไปยังอ่างอาบน้ำริมถนนรัชดา หลายวันเต็มทีที่เขาไม่มีอารมณ์เสาะหาน้ำหวานจากดอกไม้ที่ทำให้จิตใจของเขารัญจวน ประดิพัทธ์พยายามข่มความรู้สึกงุ่นง่านของตัวเอง เขาเดินกลับไปกลับมา จนกระทั่งประตูห้องน้ำเปิดออกเผยให้เห็นว่าอินทราอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวลายสก๊อตกับเกงเกงยีนส์สีซีดดั่งเดิม เมื่อเห็นดวงตาที่ดูกลัดมันของเขา อินทราก็เลี่ยงหลบไปยังที่โต๊ะเครื่องแป้ง โดยที่เขาเองต้องรีบวิ่งเข้าห้องน้ำก่อนที่จะหักห้ามอารมณ์เปลี่ยวของตัวเองไม่ไหว

ประดิพัทธ์ออกมาจากห้องน้ำก็พบว่าอินทรานอนห่อตัวหลับตาพริ้มอยู่ในผ้าห่มผืนหนา เขาใช้มือเช็ดผมจนแห้งแล้วหวีเบา ๆ ให้เส้นผมไปยังทิศทางเดียวกัน เมื่อหวีผมเสร็จเรียบร้อยเขาหันกลับมามองร่างของสาวน้อยอีกครั้ง ใจที่ว้าวุ่นก่อนเข้าห้องน้ำได้สงบลง บางครั้งเขาก็อยากแสวงหาคำว่า ‘รักแท้’ ดูบ้าง เมื่อนึกถึงทีท่าลังเลของนายโชคชัยแล้วเขาสะท้อนในหัวอก ถ้าเขาเองชอบคุณรังสิตาขึ้นมาจริง ๆ เขาจะกล้าวิ่งตามผู้หญิงคนนั้นไปไหม


พระอาทิตย์ที่ทอแสงจ้าปลุกให้โชคชัยลืมตาขึ้น ที่ต้นแขนด้านซ้ายของเขาชาดิกทีเดียว เขาอยากขยับตัวแต่ด้วยมีร่างของรังสิตาหนุนนอนอยู่เขาจึงได้แต่ข่มความเจ็บปวดไว้ เมื่อคืนนี้หลังจากที่เขาตัดสินใจวิ่งตามเธอมา เธอหันมาหาเขาแล้ววิ่งกลับมากอดคอเขาร่ำไห้ เธอตีอกชกหัว เขาไม่รู้ว่าเธอคิดอะไร เธออาจจะน้อยใจที่ทั้งประดิพัทธ์และอินทราเห็นแก่ตัว หรือเธอกลัวก้าวข้างหน้าที่จะก้าวไป แต่เมื่อเขาตัดสินใจวิ่งตามเธอมาแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาคงจะไปกับเธอให้ถึงที่สุดเช่นกัน

“ไม่เป็นไรครับ ผมยังอยู่ตรงนี้ ผมไม่ปล่อยให้คุณหนีคนเดียวหรอก ผมรับปากคุณแล้วนี่ว่าผมจะช่วย ผมก็ต้องช่วยคุณซิ”

“แต่พวกเขา”

“ผมเข้าใจเขา คุณอย่าโกรธเขาเลย คุณจะไปทางไหน คุณบอกผม คุณรู้อะไรในป่านี้ยามค่ำคืนบ้าง”

“ฉันไม่รู้อะไรเลย ฉันรู้แต่ว่าทางด้านซ้ายมือจะไปที่น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น ทางขวาจะเป็นถนนไปยังอำเภอสังขละบุรี”

“ไกลไหม”

“ไกลมาก ๆ”

“แล้วคุณจะไปทางไหน”

“ฉันอยากไปทางขวา ทางนั้นพี่ชายคงตามฉันไม่เจอ”

“ไปซิ เป็นไงเป็นกัน”

ด้วยเป็นเวลาที่ควรนอนพักผ่อนบนที่นอนนุ่ม ด้วยเธอเหนื่อยจากการเดินทางมานับชั่วโมง บวกฤทธิ์ของแอลกอฮอล์จากไวน์ราคาแพงนั่น ทำให้เธอถึงกับหยุดนั่งลงแล้วหอบจนลมที่ท้องตีน้ำลายให้ไหลออกมา

“พักก่อนก็ได้” ด้วยเขาออกกำลังเป็นประจำ ด้วยร่างกายยังอยู่ในวัยหนุ่ม หรืออาจะเป็นด้วยสัญชาติญาณของบุรุษที่ต้องปกป้องสุภาพสตรีผู้อ่อนโยน แต่จะว่าไปเหตุการณ์เมื่อคืนเขาก็ได้เห็นลูกบ้าของเธอเหมือนกัน

“พักได้ที่ไหน เผื่อทางนั้นตามมาพบฉันก็จบเห่นะซิ”

“งั้นผมพยุงคุณไปแล้วกันนะ”

จากที่พยุงกลายเป็นแขนข้างซ้ายของเธอนั้นมาโอบอยู่ที่ต้นคอของเขาเหมือนกับวิ่งสามขาอย่างไรอย่างนั้น แม้เสียงของป่ายามค่ำคืนจะดูน่ากลัว แม้ต้นไม้สูงทึบจะบดบังแสงของพระจันทร์จนเงาไม้ที่ทอดตัวลงมายังถนนลูกรังด้านหน้าคล้ายกับทางเดินสู่อเวจีน่ากลัว แต่ใจของคนทั้งสองคนกลับยิ่งแนบสนิทชิดกันยิ่งขึ้น

ไม่มีคำพูดใด ๆ หลุดจากปากของรังสิตาตลอดระยะเวลาที่น่าจะมากกว่าสามกิโลเมตรภายในหนึ่งชั่วโมง เมื่อเห็นทางเข้าสู่หมู่บ้านชาวกะเหรี่ยง เมื่อเห็นศาลาพักระหว่างทาง จึงชี้ให้เขาพาไปยังที่นั่น เขานั่งชิดเสาส่วนเธอก็นั่งชิดตัวเขาแล้วก็ม่อยหลับไป

ในตอนแรกกลิ่นกรุ่นของหัวน้ำหอมกับกลิ่นกายสาวทำให้จิตใจของเขาปั่นป่วนแต่ด้วยความเหน็ดเหนื่อยทำให้เขาม่อยหลับจนกระทั่งพระอาทิตย์ทอแสงในยามเช้า เหล่านกการ้องเสียงกู่ก้อง

“คุณรังสิตา” เขาใช้ฝ่ามือข้างซ้ายสัมผัสที่ใบหน้าเรียวสวยในกรอบผมม้าที่ปล่อยเส้นผมอ่อนนุ่มคลี่กระจายไปทั่วแผ่นหลัง หญิงสาวค่อย ๆ ปรือตาขึ้นมาแล้วดันตัวออกจากไหล่ที่ชาดิกของเขา

“กี่โมงแล้ว”

โชคชัยล้วงโทรศัพท์มือถือของตนออกมา มันไม่มีสัญญาณแต่มันก็ยังมีแบตเตอรี่ที่พออาศัยดูเวลาได้ ในตอนนี้เขานึกถึงลุงอินตาขึ้นมา แล้วก็คิดว่าที่นี่คือที่ไหน เข่านึกโมโหตัวเองที่ไม่ดูแผนที่จากหนังสือของที่อินทราซื้อมา

“กี่โมง” รังสิตาถามอีกรอบ

“6 โมงครึ่งแล้วครับ ตรงโน้นมีกระท่อมชาวบ้าน หลังนั้นท่าจะอยู่ห่างจากบ้านคนอื่น ๆ เราไปที่กระท่อมหลังนั้นกัน”

“ทำไม”

“เรากำลังหลบหนีนี่คุณ อย่าให้ใครรู้เห็นการเคลื่อนไหวของเรามาก ผมมั่นใจอยู่อย่างหนึ่งว่า พี่ชายของคุณต้องแบ่งกำลังตามหาพวกเราเป็นสองทางแน่เขาคงไม่ไปทางห้วยแม่ขมิ้นอย่างเดียวหรอก”

พูดจบเขายกโทรศัพท์มือถือซึ่งไร้สัญญาณมากดปิดการทำงาน

“เอาไว้ใช้ยามจำเป็นครับ ไม่ได้ชาร์ตแบตมาหลายวันแล้ว”

รังสิตามีสีหน้าดีขึ้น อย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องคิดแผนการหนีอยู่คนเดียว ชายหนุ่มลุกขึ้นแล้วก็ยื่นมือให้หญิงสาวที่เงยหน้าสบตาเขา

“ฉันทำให้คุณยุ่งยากหรือเปล่า”

“ไม่ครับ ผมเลือกเองต่างหาก”

รังสิตาส่งมือให้เขา พอยืนขึ้นได้โชคชัยก็ประคองหญิงสาวไปยังกระท่อมหลังน้อย


“สวัสดีครับ” โชคชัยประคองร่างของรังสิตาไปหยุดยืนอยู่ที่บันไดไม้ไผ่สามขั้นที่พาดขึ้นสู่กระท่อมหลังคามุงด้วยหญ้าคา ข้างฝาทำด้วยไม้ไผ่ทุบแตกเป็นแผ่น

มีเสียงผู้หญิงไอแค็ก ๆ ออกมา

“เหว่า เหว่าเอ้ยใครมาร้องเรียก”

“เราไปหาบ้านที่ดูดีมีฐานะกว่านี้หน่อยไม่ได้เหรอ” รังสิตากวาดตาไปรอบ ๆ แล้วรู้สึกว่าบรรยากาศที่นี่ไม่น่าพักเป็นอย่างยิ่ง

โชคชัยไม่ตอบ เขายังคงจ้องมองไปข้างใน หวังว่าคนในกระท่อมจะช่วยเหลือเขาและเธอ อึดใจเดียวร่างของเด็กสาวผมยุ่งหน้าตายับยู่ยี่วัยสักสิบสองก็เปิดประตูไม้ไผ่ออกมา เมื่อได้เห็นพวกเขาซึ่งแต่งตัวบอกให้รู้ว่าเป็นคนจากในเมือง เด็กหญิงมีสีหน้าแปลกใจ

“มาหาใคร”

“อยู่กับใคร”

“ยาย” เมื่อเห็นคนแปลกหน้าในน้ำเสียงนั้นคล้ายกับหูตาสว่างขึ้นมาแล้ว

“เราขอขึ้นไปข้างบนหน่อยได้ไหม”

“มีอะไร” เด็กหญิงยังคงย้อนถาม

“เราหนีโจรที่มันปล้นพวกเรามา” โชคชัยจำต้องโกหก เด็กหญิงที่ยายเรียกชื่อว่าเหว่าเกาหัวแกรก

“ขึ้นมาก็ได้”

เมื่อได้ไต่บันไดไม้ไผ่ขึ้นไปแล้ว คนทั้งคู่จึงได้เห็นสภาพบ้านที่แทบจะไม่เรียกว่าบ้านได้ มุ้งเก่า ๆ มียายของเด็กหญิงนอนไอแค็ก ๆ อยู่ข้างในนั้นดำคล้ำ แถมด้วยกลิ่นอับโชยเตะจมูกจนรังสิตาถึงกับจามออกมา

“พวกพี่หนีโจรมาเหรอ” เด็กหญิงที่ขยับเข้ามาใกล้คนทั้งสองอีกนิด

“ใครหนีโจรมา” คนเป็นยายร้องถามทั้งที่ตัวยังอยู่ในมุ้ง คนเป็นหลานเขยิบเข้าไปชิดมุ้งแล้วก็พูดกับยายว่า

“ยาย พี่สองคนเขาบอกว่าถูกโจรปล้นอ่ะ”

“โจรปล้น โจรที่ไหน บ้านเราเคยมีโจรเรอะ พวกโจรมันตายกันไปหมดแล้ว ในป่าไม่มีโจรแล้ว พวกโจรมันอยู่ในเมือง โจรในเมืองมันปล้นป่า ปล้นธรรมชาติ” เมื่อได้ฟังวาทะของยาย โชคชัยแทบไม่เชื่อว่า ผู้หญิงคนนี้มีบ้านอยู่กลางป่า

“โกหกกันใช่ไหม” แล้วใบหน้าที่เหี่ยวแห้งฟันบ๋อมก็โผล่หน้าออกมาจากมุ้งสีดำ

“ว้าย!” รังสิตาขยับอย่างเร็วเพื่อเข้าหาชายหนุ่มที่ยังนั่งนิ่งเหมือนไม่ยินดียินร้าย

“ครับพวกเราโกหก คุณยายเดาถูก” โชคชัยรับสารภาพ

“พูดตรง ๆ กันแบบนี้ค่อยคุยกันง่ายหน่อย” แล้วร่างของหญิงชราก็ออกมาจากมุ้ง เนื้อตัวของนางนั้นเหี่ยวย่นเสื้อผ้าที่สวมใส่ก็เก่าจนเนื้อผ้าเกือบยุ่ย รังสิตาไม่กล้ามองร่างที่งองุ้มเต็มตานัก เธอกลัว กลัวความชรา เธอไม่อยากเป็นเช่นนั้น

“ยาย พวกผมหนีคนที่ไม่หวังดีมา ยายพอจะช่วยให้พวกเราออกไปจากที่นี่ได้ไหม”

“จะไปไหนกัน”

“ผมจะไปสังขละบุรียาย ไปให้ถึงถนนลาดยาง หรือที่ที่มีสัญญาณโทรศัพท์ ยายพอรู้เส้นทางลัดเลาะออกไปจากหมู่บ้านโดยที่ชาวบ้านแถวนี้ไม่เห็นได้ไหม”

คนเป็นยายหันไปหาหลานสาว ซึ่งยิ้มแป้นทีเดียว

“ไม่ได้หนีตามกันมาใช่ไหม”

“หมายความว่าอย่างไรยาย” รังสิตาไม่เข้าใจ

“ก็หนุ่มสาวที่พ่อแม่ไม่ยินยอม อยากเป็นผัวเมียกันก็หนีตามกันมานะซิ”

“ไม่ใช่หรอกจ้ะ ฉันหนีงานแต่งงานมา ส่วนผู้ชายคนนี้เป็นคนช่วยให้ฉันหนีสำเร็จ”

“ถ้าเป็นแบบนี้แถวบ้านยายเขาเรียกว่าหนีตามกันแล้ว จะได้เสียกันหรือยังก็ถือว่าเป็นผัวเมียกันแล้ว”


ใบหน้าของรังสิตาแดงระเรื่อ ส่วนโชคชัยหันมาหาหญิงสาวที่ยังเกาะเขาแน่นแล้วยิ้มกริ่มให้

“ยายหนูปวดห้องน้ำ”

“ต้องเข้าป่าอย่างเดียว ห้องน้ำไม่มี”

“บ้านยายห่างจากบ้านคนอื่นมากไหม”

“ถ้าไม่มีคนบังเอิญเดินผ่านมาก็ไม่มีใครเห็นหรอก เอาอย่างนี้ละกัน เหว่าแกพาคุณทั้งสองคนไปเข้าส้วมตามป่าไป เอาจอบไป”

เด็กหญิงขานรับ รังสิตาและโชคชัยจำต้องไต่ลงบันไดแล้วเดินออกจากตัวบ้าน

รังสิตารู้สึกเขินอายเมื่อจะต้องถอดกางเกงแล้วนั่งลงโดยที่ไม่มีอะไรมุงบัง โชคชัยนั้นเมื่อขุดหลุมให้เธอแล้วเขาถือจอบเลี่ยงไปอีกทางอย่างสบาย ๆ

“ฉันไม่มีทิชชู่”

รังสิตาตะโกนเสียงดังออกไป

“กิ่งไม้แห้งไงคุณ ทนหน่อยแล้วกัน” คนตอบเองนั้นก็ลำบากใจแต่ด้วยเคยเข้าค่ายลูกเสือและเรียน รด. เขาจึงผ่านความยากลำบากนี้ไปได้ไม่ยากเย็นนัก



จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 ก.ค. 2554, 08:55:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 ก.ค. 2554, 08:55:07 น.

จำนวนการเข้าชม : 1873





<< 14. อลวน ถนน หัวใจ   16. อลวน ถนน หัวใจ >>
nutcha 28 ก.ค. 2554, 09:33:59 น.
รังสิตาสวย ใส ไร้สมอง เอาแต่ใป เห็นแก่ตัว ครบสูตรขนาดนี้โชคชัยยังเห็นว่าน่ารักก็สมกันดี ให้อินทราพบคนที่ดีกว่าโชคชัยเหอะ


nutcha 28 ก.ค. 2554, 09:34:04 น.
รังสิตาสวย ใส ไร้สมอง เอาแต่ใป เห็นแก่ตัว ครบสูตรขนาดนี้โชคชัยยังเห็นว่าน่ารักก็สมกันดี ให้อินทราพบคนที่ดีกว่าโชคชัยเหอะ


pattisa 28 ก.ค. 2554, 11:08:07 น.
โอ๊ยย ขัดใจอยากให้อินคู่กับนายโชคชัย :D


คิมหันตุ์ 28 ก.ค. 2554, 11:54:35 น.
คุณโชค น่ารักจัง


Zephyr 28 ก.ค. 2554, 20:18:10 น.
ตอนนี้เห็นด้วยกับคุณ nutcha ค่ะ ยังหาความน่ารักจากรังสิตาไม่เจอเลย หนูอินดูดีกว่าอ่ะค่ะ ให้หนูอินเจอคนดีกว่านี้ก็ดีนะคะ ส่วนรังสิตาจะคู่ใครก็เถอะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account