ตะวัน (ร้าย) ฉายรัก (นามปากกา 'พิริตา' ) เปิดจองรูปแบบเล่มพร้อม E-Book
‘ปาลิกา’ หญิงสาวกำพร้าที่สูญเสียครอบครัวไป

ตั้งแต่ยังเยาว์วัย แต่โชคดีที่มีผู้อุปการะไว้ ซึ่งก็เป็นนายจ้างของครอบครัว

เธอนั่นเอง ปาลิกาเติบโตมาท่ามกลางความรัก เข้าใจอย่างล้นเหลือของ

ประมุขทั้งสองของบริษัท ‘เดอะซัน กรุ๊ป จิวเวลรี่’ และเพราะที่แห่งนี้เป็น

สถานที่ที่ทั้งพ่อแม่และยายของเธอได้ใช้ชีวิตอยู่จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

ที่นี่จึงมีความหมาย และมีความสำคัญสำหรับหญิงสาวมาก

ในชีวิตของปาลิกามีเพียงสองสิ่งเท่านั้นที่เธอรู้สึกว่าเป็นอุปสรรค ขวาก

หนามที่ยิ่งใหญ่ นั้นก็คือ ปมแห่งความหวาดกลัวที่เป็นเหตุให้เธอติดอยู่กับฝัน

ร้ายในวัยเด็ก และลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูล ‘รัตนาวาณิชย์’ ที่เติบโต

มาด้วยกัน เขามีอายุอ่อนกว่าเธอหนึ่งปี แต่ไม่เคยยอมรับว่าเธอเป็นพี่สาว

หนำซ้ำยังคอยแกล้งเธอมาตั้งแต่เด็ก และเธอก็เรียกเขาว่า ‘จอมวายร้ายเจ้า

เล่ห์,คนกวนประสาทฯ ‘ แต่ทว่าจอมวายร้ายคนนั้นกลับเป็นคนเดียวกันที่อยู่

เคียงข้างเธอยามมีภัย และพยายามช่วยเธอให้หลุดพ้นจากปมแห่งฝันร้าย

นั้น และเป็นคนเดียวกับที่ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย

แต่แล้ว...ก็กลับเป็นคนเดียวกัน ที่กันเธอออกจากเดอะซัน กรุ๊ปฯ และชีวิต

ของเขา เหมือนไม่เห็นค่า ความสำคัญของเธออีกต่อไป จนหญิงสาวทนอยู่

กับความรู้สึกเจ็บปวด สิ้นไร้ ด้อยค่าของตัวเองไม่ไหว ที่สุดจึงตัดสินใจเดิน

ออกมาจากชายคาเดอะซัน กรุ๊ปฯ ด้วยหัวใจที่บอบช้ำ.


‘ตะวันฉาย’ ลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูล ‘รัตนาวาณิชย์’ และผู้สืบทอด

กิจการของบริษัท ‘เดอะซัน กรุ๊ป จิวเวลรี่’ ต่อจากมารดา หลังกลับจากเรียน

ต่อต่างประเทศชายหนุ่มได้เข้ามาเรียนรู้งานในเดอะซัน กรุ๊ปฯ อย่างเต็มตัว

โดยมี ‘ปาลิกา’ (หรือที่เขาเรียกจนติดปากว่า ‘ยัยปลิก’) คอยกระตุ้นอยู่ตลอด

ทั้งที่โดยนิสัยแล้วตะวันฉายเป็นคนที่มีความตั้งใจ รับผิดชอบและจริงจังกับ

งาน โดยเฉพาะช่วงหลังที่เขาเข้ามาทำงานอย่างเต็มตัวแล้วนั่น แต่ใน

ทางกลับกันตะวันฉายจะกลายเป็นเด็กไม่ยอมโตทันทีที่อยู่กับปาลิกา เพราะ

ความรื่นรมย์อีกอย่างในชีวิตของเขาตั้งแต่เล็กจนโต คือการได้แกล้งปาลิกา

ทั้งวาจาและการกระทำ แต่เขาก็ได้สงวนลิขสิทธิ์ในการแกล้งไว้แค่ตัวเขา

เอง คนอื่นห้ามแกล้งโดยไม่ได้รับอนุญาตเสียอย่างนั้น

แต่ทว่าหากยามใดที่ปาลิกามีภัย อ่อนแอ ตะวันฉายจะถึงตัวเธอก่อนเสมอ

เขาห่วงทุกย่างก้าวในชีวิตของเธอ โดยเฉพาะปมแห่งความกลัวที่ทำให้เธอ

ฝันร้ายในตอนเด็ก ชายหนุ่มปรารถนาจะให้เธอเอาชนะความกลัวนั้นให้ได้

และการที่ตะวันฉายได้มีโอกาสอยู่เพียงลำพัง ไกลห่างกับปาลิกาขณะที่

เรียนอยู่ต่างประเทศนั้น ได้ทำให้เขารู้ใจตัวเองว่าคิดอย่างไรกับเธอ ชาย

หนุ่มไม่เคยสงสัยในความรู้สึกที่มีต่อหญิงสาวเลยสักนิด แต่เพราะเชื่อว่าเธอ

รักใครอีกคนที่เป็นญาติสนิทของเขา และผู้ชายคนนั้นก็เป็น ‘ผู้ชายในฝัน’

ของเธอมาตั้งแต่เด็ก ทำให้เขาได้แต่กล้ำกลืนความรู้สึกเอาไว้ กว่าจะรู้ว่า
ปาลิกาก็รักเขาไม่ต่างกัน ก็ในวันที่เธอได้หนีเขาไปเสียแล้ว...


‘ก็ลื้อสองคนน่ะสิ มีด้ายแดงผูกติดกันมา

ตั้งแต่เกิด แต่ที่แปลกไปกว่านั้นคือด้ายแดงที่ผูกพวกลื้อไว้นั้นมันสั้นมาก ทำ

ให้ต้องมาใกล้กันตั้งแต่เด็ก ไม่เหมือนบางคู่ที่ด้ายจะยาวอาจใช้เวลานานกว่า

จะได้มาเจอกัน แต่นั่นแหล่ะด้ายแดงแห่งโชคชะตาของพวกลื้อจะไม่มีวันถูก

ตัดขาด แล้วมันก็จะอยู่ในระยะสั้นอย่างนี้ตลอดไป อย่างที่เคยเป็นมาจนกว่า

จะตายจากกัน และหากวันใดที่มันยืดยาวออกไปไม่ว่าด้วยสาเหตุอันใด ด้าย

นั้นก็จะดึงรั้งพวกลื้อให้ต้องกลับมาใกล้กันจนได้ หากพวกลื้อฝืนก็จะทำให้

เจ็บปวดทุรนทุราย เหมือนจะขาดใจเลยทีเดียว มันเป็นลิขิตของสวรรค์’

ตะวันฉายกับปาลิกาจะทำเช่นไรกับหัวใจของตัวเอง

ด้ายแดงแห่งโชคชะตา และสายใยแห่งความผูกพัน

จะสามารถนำพาหัวใจทั้งสองดวงให้กลับมาแนบชิดกัน

เหมือนในวันเก่าได้หรือไม่?..................................

โปรดติดตามใน ‘ตะวัน (ร้าย) ฉายรัก’ ได้เลยค่ะ


Tags: ตะวัน ร้าย ฉาย รัก ปลา อัญมณี จิวเวลรี่ หวานซึ้ง

ตอน: บทที่ 22

ตะวันฉายที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ต้องตกใจเล็กน้อยกับ

เสียงเคาะประตูกระจก ซึ่งไม่ต้องเงยหน้าขึ้นมองก็รู้ว่าเป็นใคร เพราะ

ปกติทุกคนที่เข้ามาหาเขาจะต้องผ่านหยินมี่ก่อน และคนที่เขาคุ้นเคย

กับการมาเยือนแบบกันเองนี้ก็ไม่รอให้ชายหนุ่มต้องเอ่ยอนุญาต

ร่างเล็กเดินเข้ามาในห้องและหยุดอยู่ไม่ไกลจากโต๊ะทำงานของ

เขา เหมือนกำลังตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเดินเข้าไปใกล้ดีหรือไม่ แต่ที่สุดก็

ยืนอยู่กับที่

“นายทำงานอยู่เหรอ” และก็เอ่ยปากถามราวกับไม่รู้จะเริ่มต้น

ตรงไหนดี แต่ชายหนุ่มกลับเหลือบตามองเพียงแว่บเดียวและพยักหน้า

แบบขอไปที “ซันนายเป็นอะไรหรือเปล่า” ว่าแล้วก็ค่อยกระเถิบเข้ามา

ใกล้อีกนิด

“เปล่านี่” ตะวันฉายพยายามสงวนคำให้มากที่สุด

“แต่นายทำมึนตึงกับฉัน ทำอย่างกะโกรธฉันมาเป็นสิบชาติงั้น

แหล่ะ ฉันทำอะไรให้นายไม่พอใจงั้นเหรอ”

“เปล่า”

“ไม่จริง ทุกทีนายไม่เห็นเป็นแบบนี้นี่” เธอยังรุกต่อ

“เป็นยังไง” และเขาก็อดไม่ได้ที่จะอยากรู้

“ก็โกรธฉันนานอย่างนี้น่ะสิ บางทีฉันไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำนายก็หาย

งอนแล้ว แต่คราวนี้...”

“ฉันไม่ได้งอนเธอ” ชายหนุ่มรีบสะบัดเสียงตอบ ก่อนที่อีกฝ่ายจะ

จาระไนพฤติกรรมการงอนของตัวเองอีก เพราะมันคง อืมม์...ไม่น่าดู

เท่าไหร่

“งั้นนายก็คุยกับฉันสิ...นะ ฉันไม่รู้หรอกว่านายงอนฉันเรื่องอะไร

บอกฉันหน่อยได้ม๊า ฉันจะได้รู้ ถ้าผิดฉันก็จะได้ขอโทษนายไง” พูดเสียง

อ่อนแล้วเขยิบเข้ามาใกล้คนตัวสูงอีกนิดหนึ่ง

“บอกแล้วว่าฉันไม่ได้งอน” ก็จะให้บอกได้อย่างไรเล่าว่าเขาไม่

พอใจ และโมโหเรื่องอะไร มันเป็นเรื่องที่พูดออกไปได้เมื่อไหร่กัน แม้

ตอนนี้เขาจะดูเหมือนเป็นเด็กที่ไร้เหตุผลมากขึ้นทุกทีก็เถอะ

“จริงนะ งั้นเราดีกันนะ” เขายังคงเฉยไม่ต่อคำ “นายรู้ไหม...นาย

ไม่คุยกับฉันทั้งที่เห็นหน้ากันอย่างนี้มันรู้สึกยังไงไม่รู้ แล้วทุกคืนฉันก็

คอยนายกลับมาว่าจะคุยเรื่องนี้กับนาย แต่นายก็ไม่กลับมาซักที ฉันไม่

สบายใจเลย” คราวนี้เริ่มลามเข้ามาเกาะแขน ส่งสายตาปริบๆ มาให้คน

ขี้งอน ที่พอหันไปสบสายตานั้นเข้าใจก็อ่อนยวบ แทบลืมความโมโหและ

ความร้อนรุ่มในใจกับภาพหวานระหว่างเธอกับอานุภาพในวันนั้นไปเสีย

สิ้น จนต้องแอบยิ้มอยู่ในใจ แต่...หึ...ไม่มีทางดีง่ายๆ หรอก ต้องแกล้ง

ต่ออีกนิด ชายหนุ่มคิดแล้วจึงเงียบเฉยอีก

“นี่ซัน เย็นนี้ฉันทำซี่โครงหมูทอดของโปรดเป็นการขอโทษนายดี

ไหม” ขณะที่ตะวันฉายกำลังจะตอบว่า ‘ตามใจเธอสิ’ ก็มีเสียงหนึ่งดัง

ขัดขึ้นมา

“คงไม่ได้หรอกป้า เพราะเย็นนี้พี่ซันมีนัดกับดีด้าแล้ว” วดีลดากับ

ชุดสีฉูดฉาด เน้นวาบหวิวตามคอนเซ็ปต์ประจำตัวก้าวเข้ามา ทำให้มือ

ที่เกาะแขนตะวันฉายออดอ้อนเมื่อครู่คลายลงในทันที

“อ๋อ...แบบนี้นี่เอง ถ้างั้นฉันขอตัวนะ” ปาลิกาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียง

และท่าทีเฉยเมยบ้าง

“ดีแล้วค่ะป้า เดี๋ยวดีด้าดูแลพี่ซันต่อเอง” วดีลดาเบียดปาลิกาที่

กำลังจะผละออกมา เข้าไปเกาะแขนตะวันฉายต่อ “พี่ซัน ดีด้าพึ่งถ่าย

แบบเสร็จเลยจะมาเฝ้า เอ๊ย! รอพี่ซัน เย็นนี้ดีด้าไปงานด้วยนะคะ งาน

สำคัญทั้งทีดีด้าไม่อยากพลาด” ตะวันฉายถอนหายใจ ไม่อยากต่อคำ

วดีลดา ได้แต่ทอดสายตามองตามร่างเล็กที่เดินออกไปด้วยหัวใจหนัก

อึ้ง


หลังเลิกงานจากโอที.ก็เป็นเวลาสองทุ่มกว่าแล้ว ปาลิกาขึ้นมาบน

ห้องได้ไม่กี่นาทีคุณโฉมฉายก็ตามขึ้นมาด้วยท่าทางรีบร้อน

“หนูปลาว่างหรือเปล่าลูก หม่าม๊าว่าจะชวนไปงานประกวด

ออกแบบเครื่องประดับที่จะประกาศผลวันนี้น่ะ พอดีทางงานเขาเชิญมา

หม่าม๊าว่าจะชวนน้องซันไปเป็นเพื่อน แต่ไม่รู้หายตัวไปไหน กว่าจะรู้ว่า

ไปเที่ยวกับหนูดีด้า หม่าม๊าก็รอจนจวนจะถึงเวลาแล้ว โทร.หาก็ไม่ติด”


“ปลาไปเป็นเพื่อนคุณป้าเองค่ะ ขอเวลาปลาเปลี่ยนชุดแป๊บเดียว

นะคะ”

ณ.ลานแฟชั่น ฮอลล์ของศูนย์การค้าที่ใหญ่ระดับประเทศย่านใจ

กลางเมืองกรุงเทพฯ คือสถานที่จัดงานแสดงแฟชั่นโชว์เครื่องประดับ

รอบสุดท้ายของสถาบันวิจัยพัฒนาทางด้านอัญมณีและเครื่องประดับ

กับบริษัทห้างร้านที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องประดับและอัญมณีร่วมกัน

จัดขึ้น

คุณโฉมฉายกับปาลิกามาถึงงานผู้คนก็เริ่มหนาตาแล้ว บ้างก็จับ

กลุ่มคุยกัน บ้างก็เดินชมภาพแบบจิวเวลรี่ที่ส่งเข้าประกวดและผ่าน

เข้ารอบแรกๆ ที่จัดแสดงไว้ด้านหนึ่ง แต่คุณโฉมฉายที่มารั้งท้ายมัวแต่

ทักทายบรรดานักธุรกิจในแวดวงเดียวกันหลายคน กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ถึง

เวลาที่งานแสดงแฟชั่นโชว์กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว

ทั้งคู่ได้ที่นั่งอยู่ทางด้านหลังสุด พิธีกรในงานได้เชิญผู้อำนวยการ

สถาบันฯ ขึ้นมากล่าวถึงจุดประสงค์ของงานพอเป็นพิธี แล้วก็มาถึงการ

เดินแฟชั่นโชว์เครื่องประดับจากบรรดานางแบบชั้นนำ ที่ได้นำแบบวาด

เครื่องประดับจากผู้เข้าประกวดที่เข้ารอบ 5 แบบ ไปสร้างสรรค์เป็น

เครื่องประดับจริงเพื่อมาใส่ประชันกันบนเวทีนี้ ซึ่งแต่ละแบบจะต้องอยู่

ในคอนเซ็ปต์ที่คณะกรรมการกำหนด คอนเซ็ปต์สำหรับปีนี้คือ ‘อัญมณี

กับความเป็นไทย’

ระหว่างที่นางแบบเดินอยู่บนแคทวอล์คนั้น สามารถมองใน

ระยะใกล้ได้จากจอโปรเจคเตอร์ที่ติดตั้งไว้รอบๆ ฮอล์ล และเสียง

บรรยายถึงรายละเอียดของงานแต่ละชิ้น

“ผลงานชิ้นนี้มีชื่อว่า heart of gem ของคุณวัลยา เทพากร...”

“หม่าม๊าว่ามันดูไม่เห็นเข้ากับความเป็นไทยซักเท่าไหร่เลยชิ้นนี้

สงสัยเป็นรสนิยมส่วนตัวของกรรมการ” คุณโฉมฉายออกความคิดเห็น

เบาๆ อยู่ตลอดเมื่อเห็นผลงานที่เข้ารอบ แต่ความคิดเห็นต่อผลงานแต่

ละชิ้นของคุณโฉมฉายนั้นเจ้าของผลงานคงไม่อยากได้ยินเท่าไหร่ จน

มาถึงผลงานชิ้นสุดท้าย ที่พอภาพปรากฏประมุขของเดอะซัน กรุ๊ปฯ

ถึงกับเอ่ยปากชม

“อันนี้สิ ดูแตกต่างหน่อย สวยดีนะหนูปลาหม่าม๊าว่าน่าจะได้”

ปาลิกายิ้มไปกับกูรูที่ออกความคิดเห็นดีๆ ได้สักที แล้วจึงเพ่งสายตา

มองไปยังภาพที่อยู่บนจอโปรเจคเตอร์

เป็นชุดเครื่องประดับซึ่งประกอบไปด้วยสร้อยสังวาลย์ สร้อย

ข้อมือลวดลาย*กนกเปลว ทำเป็นชิ้นเล็กๆ แบ่งเป็นข้อๆ นำมาต่อกัน มี

รายละเอียดชัดเจน ส่วนจี้ ต่างหู หัวแหวนก็เป็นลวดลายเดียวกัน แต่นำ

สองชิ้นมาประกอบกันให้เป็นรูปออกวงรี

ซึ่งคนที่ออกแบบผลงานชิ้นนี้ขึ้นมาต้องใช้ความประณีตและ

ความคิดสร้างสรรค์เป็นอย่างมาก เพราะตัวเรือนที่มีความเว้าโค้งอ่อน

ช้อยด้วยลวดลายกนกเปลวแบบไทยๆ นั้นคงความละเอียดประณีต

แบบลายไทยแท้ๆ ผสมผสานกับความงามของอัญมณี

อันได้แก่ เพชรเม็ดเล็กที่ฝังอยู่โดยรอบ มีเพียงตรงหัวแหวน ตรง

กลางของจี้และต่างหูเท่านั้นที่เป็นเพชรเม็ดขนาดใหญ่ขึ้นมาหน่อย

ส่วนตัวเรือนทำด้วยทอง 14k ทั้งหมด ทั้งชุดถูกออกแบบมาให้มีขนาด

เล็กไม่ได้อลังการมาก แต่กลับเน้นตรงรายละเอียด ความประณีต

งดงามและอ่อนช้อย

“ผลงานเข้ารอบชิงชนะเลิศชิ้นสุดท้ายเป็นผลงานที่มีชื่อว่า รัตนา

กนกเปลว ของคุณ ตะวันฉาย รัตนาวาณิชย์ ครับ” สิ้นเสียงประกาศที่

ดังขึ้นทำให้คุณโฉมฉายกับปาลิกาถึงกับอึ้งไป แล้วหันมามองหน้ากัน

โดยอัตโนมัติ

“ตายจริง! น้องซันไม่เห็นบอกหม่าม๊าเลย หนูปลารู้เรื่องบ้างไหม

ลูก” คุณโฉมฉายรีบถามด้วยความตื่นเต้นไม่หายเมื่อได้สติ

“เอ่อ...ปลาก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ”

“คงกะเซอร์ไพร์แน่ๆ ไม่รู้มาด้วยหรือเปล่าสิเนี่ย” ประมุขของ

เดอะซัน กรุ๊ปฯ กวาดตามองไปรอบๆ ฮอล์ล

ทั้งสองพยายามมองหาตะวันฉาย แต่พอดีกับนักออกแบบที่

เข้ารอบถูกเชิญขึ้นไปบนแคทวอล์ค และคุณโฉมฉายก็กรี๊ดเสียงดังทันที

ที่เห็นร่างสูงของลูกชายก้าวขึ้นไปยืนเคียงข้างนางแบบที่สวมใส่

เครื่องประดับที่เขาออกแบบเป็นคนสุดท้ายในจำนวน 5 คน จนกระทั่ง

ถึงเวลาที่ทุกคนรอคอยคือการประกาศผลรางวัลนั่นเอง

“ผลงานที่ได้รองชนะเลิศรางวัลที่สองได้แก่ ผลงานที่ชื่อ heart of

gem ของคุณวัลยา เทพากร ขอแสดงความยินดีด้วยครับ” มีการมอบ

รางวัล ถ่ายรูปร่วมกัน และกล่าวอะไรเล็กน้อยเป็นพิธี

“ต่อไปเป็นผลงานที่ได้รองชนะเลิศรางวัลที่หนึ่ง ได้แก่ผลงานที่ชื่อ

หยดน้ำ ของคุณนิติพล เชิดศาสตร์ขอแสดงความยินดีด้วยครับ”

จนกระทั่งมาถึงรางวัลสุดท้ายที่สำคัญที่สุด

“และผลงานที่ได้รับรางวัลชนะเลิศในปีนี้ได้แก่ผลงานที่ชื่อ รัตนา

กนกเปลว ของคุณตะวันฉาย รัตนาวาณิชย์ครับ ขอแสดงความยินดี

ด้วยครับ” เสียงปรบมือดังกึกก้อง พร้อมเสียงกรี๊ดของคุณโฉมฉายที่ลุก

ยืนขึ้นปรบมืออย่างไม่สนสายตาใคร

“น้องซันของหม่าม๊าเก่งที่สุดเลย” รอยยิ้มปลาบปลื้มปรากฏบน

ใบหน้า และดวงตาก็คลอเอ่อด้วยน้ำตาแห่งความภาคภูมิใจ ก่อนที่

ตะวันฉายจะกล่าวขอบคุณอย่างเป็นเรื่องเป็นราวหลังรับมอบรางวัล

จากนั้นบนเวทีก็วุ่นวายกับการแสดงความยินดีกับผู้ที่ได้รับรางวัลพร้อม

ถ่ายรูป

ปาลิการู้สึกเหมือนกำลังดูละครที่เคลื่อนไหวอยู่บนเวทีตรงหน้า

และเธอก็เป็นแค่คนดูคนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีบทบาทอะไร ได้แต่นั่งดูอยู่

เงียบๆ จนกระทั่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ คุณโฉมฉายดึงมือเธอ

ออกไปหาตะวันฉายที่กำลังให้สัมภาษณ์เรื่องงานที่ได้รับรางวัลกับ

สื่อมวลชนอยู่ด้านนอก โดยมีวดีลดายืนยิ้มอยู่ข้างๆ และหยางยืนมอง

อยู่นอกวงเช่นกัน

คุณโฉมฉายเข้าไปหาตะวันฉาย และกลายเป็นจุดสนใจของสื่อไม่

แพ้ลูกชายเช่นกัน ปาลิกามองภาพนั้นอยู่ห่างๆ โดยไม่เข้าไปใกล้ หยาง

จึงเดินเข้ามาหา

“เป็นยังไงบ้างเจ๊ปลา มากับป้าโฉมเหรอ”

“อือ...ใช่จ้ะ พอดีคุณป้าให้มาเป็นเพื่อน”

“เจ้าซันมันเก่งนะเจ๊ นี่เห็นว่าตอนเรียนอยู่เมืองนอกมันก็ส่ง

ประกวด และกวาดรางวัลมาเกือบทุกรายการเลยนะ” หยางเปรยขณะ

สายตามองเพื่อนอย่างชื่นชม ปาลิกาได้แต่ยิ้มรับโดยไม่ได้พูดอะไร

ออกไป

หยางยังพร่ำพรรณนาถึงความเก่งกาจสามารถของตะวันฉาย ที่

เธอไม่ได้ตั้งใจฟังนัก แต่จับใจความได้ว่าตะวันฉายไม่เคยทิ้งการวาดรูป

ที่เขาชอบ ขนาดไปเรียนด้านบริหารฯ แต่ก็ยังใช้ช่วงเวลาว่างไปเรียน

พวกนี้อยู่ตลอด

และพยายามผสมผสานสิ่งที่เขารักคือการวาดรูป กับงานบริษัทที่

เขาต้องกลับมารับผิดชอบ มันเป็นสิ่งที่หญิงสาวไม่เคยรู้มาก่อน

ตลอดเวลาเธอเข้าใจว่าตัวเองสนิทสนมกับตะวันฉายมากที่สุด รับรู้

ความเป็นไปในชีวิตของเขามากที่สุด แต่ตอนนี้เล่า...ปาลิกาอยาก

หัวเราะเยาะตัวเองดังๆ นัก แต่ในใจกลับขื่นอย่างไรชอบกล

จนกระทั่งงานเลิกที่ทุกคนต่างก็อยู่กันพร้อมหน้าตรงลานจอดรถ

“พอดีเลยหนูปลากลับกับน้องซันนะลูก ส่วนหยางเดี๋ยวป้าให้

คนขับรถแวะไปส่งเองเพราะทางเดียวกัน” คุณโฉมฉายจัดแจง

“ตะ แต่ว่า...ปลากลับแท็คซี่ก็ได้ค่ะคุณป้า คือ...เผื่อว่านายซันจะ

ไปส่งคุณดีด้า” ปาลิการีบค้านขึ้นเพราะไม่อยากกลับกับตะวันฉาย

มากกว่า แต่กลับไม่เป็นผล

“หม่าม๊ากลับเถอะครับ ผมกลับกับยัยปลิกเอง” ปาลิกาจำใจต้อง

เดินตามเขาไปอย่างไม่ใคร่เต็มใจนัก พอถึงตรงที่รถของเขาจอดอยู่

“พี่ซัน พี่ซันดีด้าไปด้วย รอด้วยค่ะ” เจ้าของเสียงรีบวิ่งกระหืด

กระหอบตามมาถึงที่จอดรถ

“ดีด้าเอารถมาเองไม่ใช่เหรอ” น้ำเสียงของชายหนุ่มไม่แสดง

อารมณ์ใดๆ

“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวให้คนรถที่บ้านมาเอาก็ได้” วดีลดาเบียด

ปาลิกาที่กำลังจะเปิดประตูรถให้พ้นทางและรีบเข้าไปนั่งด้านข้างคนขับ

ในทันที ปาลิกาได้แต่ยืนเงอะงะอยู่กับที่เพราะทำอะไรไม่ถูกไปครู่หนึ่ง

ก่อนจะถอยออกมายืนอยู่ห่างๆ โดยไม่ปริปากพูดอะไรสักคำ “มาสิคะ

พี่ซัน ไปกันเถอะค่ะ ส่วนยัยป้านี่ก็ให้นั่งรถไปกับคุณป้าโฉม ไม่ก็นั่งแท็ค

ซี่ไปเอง เราจะได้แวะไปฉลองกันต่อไงคะ” แล้วหญิงสาวเซ็กซี่ก็รบเร้า

“พี่จะกลับบ้าน ดีด้าไปเองก็แล้วกันพี่อยากพักผ่อน”

“ได้ยังไงล่ะคะ ไปก็ต้องไปด้วยกันสิคะ ดีด้าอยากไปเที่ยวต่อ นะ

คะ...พี่ซันขาไปเที่ยวกันต่อเถอะนะคะ” ตะวันฉายเห็นดังนั้นจึงได้แต่

ถอนหายใจและยังไม่ยอมขึ้นรถ กลับเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมากด

หมายเลข

“เออ หยางแกยังอยู่ที่ลานจอดรถหรือเปล่า กำลังจะขึ้นรถเหรอ

เออ...ฉันมีปัญหาอยากให้แกช่วยหน่อยว่ะ มาหาฉันที่จอดรถหน่อยสิ

โอเค.นะ” พอวางสายจากหยางที่อยู่อีกฟากของลานจอดรถ ตะวันฉาย

จึงหันไปทางวดีลดาที่นั่งหน้าเชิดอยู่ในรถ “ดีด้าเอากุญแจรถมาให้พี่

ดีกว่า”

“หา...พี่ซันจะเอารถดีด้าไปใช่ไหมคะ แล้วจะให้นายอ้วนนั่นเอา

รถพี่ซันไปส่งยัยป้านี่ใช่ไหม โอเค.เลยค่ะ” วดีลดาพูดกลั้วหัวเราะชอบใจ

กับความเข้าใจของตัวเอง

แล้วรีบเปิดประตูรถออกมาหาตะวันฉาย หยิบกุญแจจากกระเป๋า

ถือมาส่งให้ ก่อนจะเกาะแขนและซบหน้ากับอกชายหนุ่มออดอ้อน

ออเซาะ สร้างความขวางหูขวางตาให้กับคนที่ยืนมองอยู่ได้ไม่น้อย แต่ก็

โล่งใจนัก เมื่อรู้ว่าต้องกลับกับหยางแทนตะวันฉาย และพอหยางมาถึง

“เดี๋ยวแกช่วยไปส่งดีด้าให้หน่อยนะ นี่กุญแจ” พูดพร้อมกับโยน

กุญแจให้หยางรับไป

“ได้เลยเพื่อน ด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง” หยางหันไปยิ้มกริ่มใส่

วดีลดาที่ยังตื่นตะลึงไม่แพ้ปาลิกา ตะวันฉายฉวยโอกาสนี้รีบคว้ามือ

ปาลิกาที่ยังทำหน้าเอ๋องงๆ ขึ้นรถและขับออกมาอย่างรวดเร็ว

“พี่ซันทำแบบนี้กับดีด้าไม่ได้นะคะ พี่ซัน ดีด้าไม่ย๊อม....” เสียง

หวีดแหลมนั้นดังตามหลังมาเช่นเคย นั่นทำให้ชายหนุ่มยิ่งเร่งความเร็ว

ขึ้นมากกว่าเดิม

จนกระทั่งขับมาได้สักพักเขาจึงได้ผ่อนความเร็วลง ตะวันฉายหัน

ไปมองคนที่นั่งเคียงข้างตอนนี้หน้าเอ๋อนั้นแปรเปลี่ยนไปเป็นหงิกบอก

บุญไม่รับเสียแล้ว

“เป็นอะไรไป โกรธฉันเหรอ” เงียบ... “ฉันขอโทษที่ทำงอนเธอ

หลายวันมานี่น่ะ เธออย่างอนตอบฉันเลยนะ ฉันขอโทษ เราดีกัน

นะยัยปลิก” แต่ก็ยังคงความเงียบอยู่เช่นเดิม “เธอโมโหฉันเรื่องอะไร จะ

ไม่ยอมบอกฉันหน่อยหรือไง” เขายังไม่ละความพยายาม แต่ทว่า...

ภายในรถยังเต็มไปด้วยบรรยากาศอันชวนอึดอัดอยู่อย่างนั้น

พอถึงตึกเดอะซัน กรุ๊ปฯ ตะวันฉายพารถมาจอดยังลานจอดรถ

ปาลิกาก็ยังไม่ยอมเอ่ยปากพูดอะไรสักคำ ชายหนุ่มรู้สึกจนด้วยเกล้า


“ใจคอเธอจะไม่แสดงความยินดีกับฉันหน่อยหรือไง” ที่สุดเขาก็

เอ่ยขึ้นอีกครั้ง ทำให้มือเล็กที่กำลังเปิดประตูชะงักค้างไปครู่หนึ่ง ก่อน

หันมามองเขาตรงๆ แล้วยิ้มในแบบที่ชายหนุ่มเห็นแล้วใจหายนัก เพราะ

มันดูฝืดฝืน และห่างไกลเสียเหลือเกิน

“ยินดีด้วยนะคะคุณตะวันฉาย สำหรับรางวัลชนะเลิศ” แล้วก็ก้าว

ลงจากรถไป

ทิ้งให้อีกคนมองตามหัวใจกระตุกวูบ และคำถามมากมายก็

ประดังเข้ามาในความคิด โกรธอะไรนักหนานะ หรือกำลังเอาคืนเรื่องที่

เขาทำงอนหลายวันที่ผ่านมานี้ ตะวันฉายภาวนาขอให้เป็นอย่างนั้นด้วย

เถิด เพราะเขาก็ดูไร้เหตุผลมากเหมือนกันที่ทำอย่างนั้น ขออย่าให้เป็น

เหตุผลอื่นเลย

ที่สำคัญเขามีอะไรอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้บอกเธอ ตั้งใจว่าจะ

บอกทั้งเรื่องการประกวดวันนี้และเรื่องแผนงานของบริษัทที่วางไว้ แต่

พอดีมางอนเธอเสียก่อน แล้วตอนนี้ก็เป็นฝ่ายหญิงสาวที่งอนเขา ชาย

หนุ่มได้แต่หวังว่าอีกไม่นานคงดีกันเหมือนเดิม เขาจะรอวันที่ปาลิกายก

โทษให้ และคงมีโอกาสบอกทุกอย่างกับเธอ ตะวันฉายคิด โดยหารู้ไม่ว่า

สิ่งที่เขาคิดนั้นผิดถนัด


หมายเหตุ *กนกเปลว-เป็นชื่อลายไทยลายหนึ่งในกลุ่มลายกนก ที่ได้รับความบันดาลใจและประดิษฐ์ขึ้นมาจากยอดสะบัดของเปลวเพลิง


ตอบคอมเม้นต์จร้า!!

คุณ Kim ค่ะ- ขอบคุณนะคะที่ติดตาม ตอนนี้มาง้อแล้วค่ะ แต่ท่าว่าจะเริ่มดราม่าซะแล้ว (สปอยส์เล็กน้อย อิ อิ)



กานพลู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ก.พ. 2559, 20:35:06 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ก.พ. 2559, 20:35:06 น.

จำนวนการเข้าชม : 1219





<< บทที่ 21   บทที่ 23 >>
Kim 8 ก.พ. 2559, 21:08:27 น.
เปลี่ยนกันงอน แต่ก็เข้าใจปลานะ สมน้ำหน้ายัยดีด้า(ดี๊ด๊า)


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account