เล่ห์บุพเพ
พันธนาการที่ไม่ได้เริ่มต้นด้วยความรัก ทำให้มนต์พระจันทร์ต้องการอิสรภาพคืน ทว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อการพบกันอีกครั้งระหว่างเธอและเขามีกฏเกณฑ์ทางหน้าที่กำหนดไว้ว่าระหว่างคอนซัลและวิศวกรห้ามมีความสัมพันธ์กันนอกเหนือจากเพื่อนร่วมงานธรรมดา มนต์พระจันทร์จึงไม่อาจทวงถามถึงอิสรภาพที่รอคอยได้เสียที ในขณะที่วิณรุจน์เองก็ทำราวกับไม่รู้จักเธอ..ซ้ำยังกลายมาเป็นชู้ เรื่องวุ่นๆจึงเกิดขึ้น

ตัวอย่างจ้า

"อยากหย่านักใช่มั้ย" วิณรุจน์เอ่ยถามหลังจากมีโอกาสอยู่กันตามลำพัง

"ค่ะ ทะเบียนสมรสมันทำให้พระจันทร์ลำบาก"เธอเอ่ยราบเรียบ

Tags: มนต์พระจันทร์/วิณรุจน์/คอนซัล/โปรเจ็คแมนเนเจอร์

ตอน: บทที่ 3 ---เล่ห์บุพเพ ---100%



“เริ่มจากการรายงานผลการดำเนินงานแต่ละโซนนะ ติดขัดตรงไหนจะได้หาทางแก้” ผู้อำนวยการโครงการกล่าวก่อนเปิดการประชุม จากนั้นวิศวกรประจำโซนก็เริ่มผลการดำเนินงานตามจุดที่ตนเองเป็นผู้รับผิดชอบ

สัปดาห์ที่ผ่านมาเหนื่อยหน่อยเรียกว่าไม่ได้พักจึงจะถูกเพราะวิศวกรคนเก่าที่โซนเอซึ่งเป็นโซนสำคัญวางยาไว้ค่อนข้างหนักเอาการก่อนจะถูกไล่ออกเพราะทุจริตเรื่องการสั่งซื้อวัสดุที่ไม่ได้มาตรฐาน ทำให้วิศวกรที่ดูแลโปรเจ็คนี้อย่างวิณรุจน์ต้องลงมาดูแลชั่วคราวจนกว่าทางกรุงเทพฯจะส่งวิศวกรคนใหม่มา

“รุจน์โซนเอ ตอนนี้แก้ไขไปถึงไหนแล้ว” ผอ.โครงการหันมาถามหัวหน้าวิศวกรคนใหม่ที่เพิ่งมารับตำแหน่งได้พียงเดือนเดียวถึงจุดสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไขให้แล้วเสร็จก่อนจะเริ่มทำการก่อสร้างส่วนถัดไป ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเพื่อชี้แจ้งบ้าง

“ผมตรวจสอบจุดที่เชื่อมต่อกับโซนบีแล้ว ไม่มีผลกระทบมากนัก ตัวตอหม้อที่เชื่อมต่อแข็งแรงดี ที่น่าห่วงคือโซนดีเพราะขนานกับโซนเอ ตอนนี้ต้องหล่อตอหม้อค้ำพยุงกันไปก่อน ส่วนโซนเอต้องทุบทิ้งแล้วทำใหม่ทั้งหมดครับ” เขาอธิบาย

วิณรุจน์ ถูกเรียกตัวมากะทันหันจากหนองคายเมื่อสองเดือนที่แล้ว โชคดีที่ทางนั้นเหลือเพียงเก็บรายละเอียดอีกเล็กน้อยก็ส่งงานได้จึงปล่อยให้หัวหน้าวิศวกรท่านอื่นดูแลงานต่อ

เดิมทีวิณรุจน์ก็เกือบจะได้มาดูแลโปรเจ็คนี้ตั้งแต่เริ่มแรกแล้ว ทว่าทางรัฐบาลไทยก็ให้เกียรติรัฐบาลลาวเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างเพื่อสร้างมิตรไมตรีที่ดีต่อกัน กระทั่งมีการทุจริตเกิดขึ้นหัวหน้าวิศวกรคนดังกล่าวจึงถูกไล่ออกพร้อมทั้งวิศวกรโซนเอที่เป็นชาวไทยและพนักงานตรวจสอบหนึ่งคนซึ่งสมรู้ร่วมคิดด้วย

“เหนื่อยหน่อยนะรุจน์ อีกสองวันวิศวกรคนใหม่ถึงจะมา ขอบใจรุจน์มากนะ ถ้าไม่ได้รุจน์ บริษัทคงถูกปรับหมดตัวแน่”
วิณรุจน์ยิ้มรับเล็กน้อย แต่ก็ทำให้สาวๆจากแผนกบัญชีและคอนซัลติ้งที่เข้าร่วมประชุมประจำเดือนด้วยแทบหลอมละลายกันเลยทีเดียว

เขาทำงานที่นี่ตั้งแต่เรียนจบ ความที่เป็นคนซื่อตรงไม่มีนอกมีใน แต่ลูกล่อลูกชนเยอะ ทำงานคมทุกขั้นตอนละเอียดและรอบคอบเสมอจึงไต่เต้าขึ้นมากระทั่งได้เป็นโปรเจ็คแมนเนเจอร์มือหนึ่งของบริษัทออลอินวัน คอนสตรัคชั่น บริษัทก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ ด้วยฝีไม้ลายมือไม่ธรรมดาเกินคนวัยเดียวกัน

งานไหนว่าหินถ้าวิณรุจน์ลงมือแล้วไม่มีคำว่าไม่สำเร็จ ทำได้ก็บอกว่าได้ ไม่ได้ก็คือไม่ได้แม้แต่ลูกค้าเองต่อให้มีแบบมาดีแค่ไหนถ้าผิดจากมาตรฐานที่กฎหมายกำหนดเขาก็ไม่ทำ จนลูกค้าต้องยอมแต่วิณรุจน์ก็ไม่เคยอวดเก่งโชว์แมนคนเดียว เขายังคงวางตัวเป็นวิศวกรฝึกหัดที่ต้องรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่เชี่ยวชาญและอาวุโสกว่าเสมอ

“ถ้างั้นช่วงนี้ก็ต้องช่วยกันดูแลจุดล่อแหลมไปก่อนจนกว่าของจะมาถึง เมื่อไหร่นะรุจน์” ผอ.โครงการหันมาถามเขา

“พรุ่งนี้ครับ” เขาตอบ

“งั้นวันนี้คุณก็กลับไปพักที่บ้านก่อนนะ เพราะหลังจากที่ของมาถึงเราคงต้องเหนื่อยกันมากขึ้น”

“ครับ”วิณรุจน์ตอบพร้อมทั้งพยักหน้ารับ เขาเองก็ล้าเต็มที เกือบสองอาทิตย์ที่กินนอนอยู่แต่ในไซต์งาน ได้กลับไปนอนที่บ้านพักก็ดีเหมือนกัน เพราะที่ตู้คอนเทเนอร์ซึ่งเป็นที่ทำงานของเขาค่อนข้างแคบเต็มไปด้วยกองเอกสาร นอนไม่ค่อยสบายนัก

“จุดอื่นๆถ้ามีปัญหาก็คุยกับรุจน์ได้เลยนะ ไม่ต้องรอผม คนนี้มือโปรผมไว้ใจ”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ผมยังต้องการความคิดเห็นจากพวกคุณอยู่” เขาออกตัว นี่เป็นนิสัยส่วนหนึ่งที่ทำให้วิณรุจน์ก้าวหน้าเร็ว เขามักให้เกียรติและรับฟังความคิดเห็นจากเพื่อนร่วมทีมเสมอ

“มีใครติดปัญหาตรงไหนมั้ย จะได้เคลียร์ทีเดียว” ผอ.โครงการเปิดโอกาสให้ทุกคนได้พูดก่อนจะปิดประชุม “ถ้าไม่มีก็แยกย้ายกัน
ไปพักผ่อนได้ วันนี้เงินเดือนออก อย่าเมาจนลุกไม่ขึ้นล่ะ โดยเฉพาะแก..ไอ้ทิน”

“โถ่!พี่คี้ ไม่ว่าไอ้โยบ้างล่ะครับ มันชอบชวนตลอด” คนที่ถูกดักคอบ่นอุบ

“ก็เพราะคนอื่นไม่มีประวัติเหมือนอย่างแกนี่หว่า ปิดประชุมได้” ทันทีที่พีรทัต ผอ.ประจำโครงการเดินออกจากห้อง เสียงพูดคุยก็ดังขึ้นราวกับนกกระจอกแตกรังโดยที่มีวิณรุจน์ออกจากห้องเป็นคนสุดท้าย

“ไอ้รุจน์เร็วหน่อยสิวะ เดี๋ยวไม่ทัน” ทินกรเข้ามาเร่งให้เขาเก็บของเร็วๆ

ทินกรเป็นเพื่อนสนิทกับวิณรุจน์มานานตั้งแต่สมัยเรียนมหา’ลัย พอจบก็เข้ามาทำงานที่เดียวกัน แต่วิณรุจน์กลับก้าวหน้าเร็วกว่าเพราะความสามารถโดดเด่น แต่เขาก็ไม่เคยนึกอิจฉาเพราะรู้ศักยภาพของตัวเองดีว่ามีไม่เท่าวิณรุจน์และถึงแม้วิณรุจน์จะเป็นแมนเนเจอร์อันดับหนึ่งของบริษัท เป็นหัวหน้างานแต่ในความเป็นเพื่อน วิณรุจน์ก็ยังเหมือนเดิม เคยเป็นมายังไงก็ยังเป็นแบบนั้นไม่เปลี่ยน

“ไม่ทันอะไร” เขานึกสงสัย

“กินเหล้าไง เหนื่อยมาหลายวันแล้ว ไอ้นนท์กับไอ้สองมันซื้อมาจากในเมืองเมื่อวันก่อน ไปเร็ว”
วิณรุจน์ส่ายหน้ายิ้มๆแต่ก็ยอมให้เพื่อนโอบไหล่จูงไปอยู่ดี
--------------------------------------------------------------------------------***-------------------------------------------------------

มนต์พระจันทร์หลับตาลงหลังจากคาดเข็มขัดนิรภัย นึกแปลกในว่าที่นั่งด้านในซึ่งติดกับเธอเป็นของใครกันเพราะถ้าว่างแล้วทำไมสายการบินจึงไม่จัดให้เธอนั่งติดหน้าต่าง จะเว้นไปเพื่ออะไร

เธอกำลังเดินทางไปเชียงรายเพื่อเริ่มหน้าที่ใหม่ในวันรุ่งขึ้น ภาวินีและช่อรดามาส่งเธอที่สนามบิน แต่น่าแปลกที่หนนี้คุณป้ากลับไม่มีน้ำตาให้เห็นซักหยด ในดวงตาอุ่นเย็นกลับพราวระยับราวกลับกำลังดีใจที่เธอไปเชียงรายเสียได้ซึ่งผิดวิสัย เพราะทุกครั้งท่านจะต้องขอให้เธอเปลี่ยนใจอยู่กับท่านจนวินาทีสุดท้ายเลยเชี่ยวล่ะ

ขณะที่สมองคิดเรื่อยเปื่อยเสียงทุ้มของใครบางคนก็ดังขึ้นทำลายความคิดเธอ จึงต้องลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง

“ขอโทษนะครับที่ทำให้คุณตื่น พอดีผมไปเข้าห้องน้ำก่อนที่เครื่องจะขึ้นน่ะครับ” เขาอ้อมแอ้มตอบยิ้มเขินๆจนเธอเผลอยิ้มออกมา นึกในใจมีคนเป็นเหมือนเธอด้วยเหรอยามที่นกยักษ์ทะยานขึ้นท้องฟ้า ท้องน้อยก็มักจะปั่นป่วนเสียวไส้ราวกับปัสสาวะจะราดออกมา

มนต์พระจันทร์ขยับตัวนิดเพื่อให้เขาได้เข้ามานั่งตรงที่ว่างข้างด้านใน

“คุณจะหัวเราะก็ได้นะ ผมไม่โกรธหรอก” เขาหันมาบอกกับเธอทั้งยังเผยรอยยิ้มกว้างให้เห็น มันชวนมองไม่น้อย

“ค่ะ เพราะฉันไม่คิดว่าจะมีคนเป็นเหมือนกัน” เธอบอกตามตรง เขาอึ้งไปนิดก่อนจะคลี่ยิ้มขบขันไม่ต่างจากเธอ

“คุณก็เป็นเหมือนกันเหรอครับ” เขาเว้นจังหวะนิด ขณะที่มนต์พระจันทร์พยักหน้ารับขันๆ “มิน่าล่ะ คุณถึงมาช้า ปล่อยให้ผมลุ้นอยู่เชียวว่าเบาะข้างๆจะเป็นชาวต่างชาติตัวเหม็นอีกรึเปล่า” เขาพูดต่อ

“เข้าใจค่ะเพราะฉันก็เคยเจอ” เธอตอบกลั้วขัน ชายหนุ่มหันมามองเธอราวกับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ก็ไม่ปานก่อนจะยิ้มขันเบาๆ

วันนี้เขาโชคดีเหลือเกินที่เจอเพื่อนร่วมทางเป็นหญิงสาวแสนสวยซ้ำยังมีอารมณ์ขันและประสบการณ์แปลกๆเหมือนกับเขา แต่น่าเสียดายที่ระยะทางจากกรุงเทพฯไปเชียงรายใช้เวลาสั้นเกินไป ภาวิทย์จึงไม่รีรอที่จะถามข้อมูลอื่นๆเพิ่มเติม ถ้านี่เป็นพรหมลิขิต..เขาก็อยากจะสานต่อเผื่อว่าเธอจะยังโสด ไม่บ่อยนักที่เขาจะเจอคนถูกใจ

“คุณไปเที่ยวเหรอครับ” ชายหนุ่มเริ่มหาเรื่องชวนคุย ขณะที่เจ้าหน้าที่ประจำสายการบินแจ้งระเบียบปฏิบัติต่างๆที่ผู้โดยสารต้องทำตามขณะโดยสารบนเครื่องบิน

“เปล่าค่ะ ไปทำงาน” มนต์พระจันทร์ตอบโดยไม่ปิดบัง

“เหมือนผมเลยครับ ช่างบังเอิญซะจริง ไม่รู้จะใช่ที่เดียวกันรึเปล่า” เขาเอ่ยติดตลกทว่าก็คาดหวังในคำตอบไม่น้อย

มนต์พระจันทร์ตั้งท่าจะอ้าปากตอบ ทว่าพนักงานแอร์ฯก็แจ้งให้เตรียมความพร้อมเพราะเครื่องจะทำการบินในอีกไม่ช้า เธอจึงไม่ทันได้ตอบเขา และมันก็ทำให้ภาวิทย์นึกเสียดาย แต่พอเครื่องบินทรงตัวอยู่กลางเวหาเรียบร้อยดี เขาก็เริ่มชวนเธอคุยอีกครั้ง

“เมื่อกี้..คุณบอกว่าไปทำงาน ขอโทษนะครับที่อำเภอไหน” เขาถามทว่าก็ต้องชะงักไปเมื่อเจอกับสายตาของมนต์พระจันทร์ที่แสดงออกถึงความไม่พอใจที่เขาถามมากไปนิด จึงรีบอธิบาย “คือ..ผมเป็นคนเชียงรายน่ะครับ เผื่อว่าคุณอยากเที่ยว ผมสามารถแนะนำที่กินที่เที่ยวดีๆให้ได้”

“ขอบคุณนะคะ แต่ฉันไปทำงาน เวลาพักคงมีไม่มาก ขอโทษด้วยค่ะ ฉันอยากพักสายตา” มนต์พระจันทร์ตอบแบบรวบรัดตัดความง่ายๆ ก่อนจะหลับตาลงตามที่บอก

เมื่อคืนเธอพักผ่อนน้อยเพราะมัวเปิดเน็ตอ่านข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับโครงการที่เธอกำลังจะไปรับหน้าที่ใหม่จนดึกดื่น จึงรู้สึกเพลีย อีกอย่าง..เธอก็ไม่ต้องการสนทนากับคนแปลกหน้ามากนัก

ภาวิทย์ถึงกับยิ้มเก้อไปเลยทีเดียว เกิดมาเขาไม่เคยโดนผู้หญิงปฏิเสธตั้งแต่ครั้งแรกเลยซักหน ใครจะไปทันคิด ..เห็นว่าเป็นกันเองดี ไม่รู้ว่าจะถือตัวขนาดนี้ ก็น่าอยู่หรอก..เขาดันถามลึกเกินไปหน่อยสำหรับคนที่ไม่รู้จักกันเลย
------------------------------------------------------------------------------***-----------------------------------------------------------

หลังจากเครื่องจอดเทียบสนามบินปลายทางเรียบร้อยแล้ว มนต์พระจันทร์ก็มารอรับกระเป๋าและกีตาร์ตัวโปรดที่เพิ่งโหลดลงจากเครื่องก่อนจะก้าวฉับๆเพื่อไปยังจุดนัดหมายซึ่งทางโครงการได้ส่งรถมารับเธอ ไม่นานนัก ก็พบผู้หญิงสองคนยืนถือป้ายชื่อของเธออยู่ไม่ห่าง ขณะที่ป้ายชื่ออีกใบก็เป็นของใครบางคนซึ่งน่าจะไปที่เดียวกัน

“ดิฉัน..มนต์พระจันทร์ค่ะ” เธอแสดงตัวต่อทั้งคู่ทันทีในขณะที่เสียงทุ้มคุ้นหูก็ดังขึ้นมาตามกัน

“ผม..ภาวิทย์ครับ อ้าว!คุณ” ชายหนุ่มถึงกับอุทานด้วยความประหลาดใจที่พบเพื่อนร่วมสายการบินตรงจุดนัดพบ ตอนที่ลงจากเครื่องเธอก็ลุกมาเลยไม่คิดจะเอ่ยลากันสักคำ ยังนึกเสียดายอยู่ไม่รู้จะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ ภาวิทย์คลี่ยิ้มด้วยความยินดี มนต์พระจันทร์เองก็แปลกใจไม่น้อยที่เจอเขาอีกครั้ง ก่อนที่ผู้หญิงหนึ่งในสองคนจะเอ่ยขัดจังหวะ

“รู้จักกันด้วยเหรอคะ”

“พอดีเราโดยสารไฟลท์เดียวกันน่ะครับ บังเอิญจริงๆคุณว่ามั้ย” เขาหันมาขอความเห็นจากมนต์พระจันทร์ เธอยิ้มรับก่อนจะตอบสั้นๆเช่นเคย

“ค่ะ”

จากนั้นทั้งหมดก็เดินขึ้นรถตู้ แล้วผู้หญิงคนเดิมก็เริ่มทำตัวเป็นทูต

“พี่ขอแนะนำตัวเองก่อนนะคะ ขออนุญาตแทนตัวเองว่าพี่แล้วกันนะคะเพราะคุณสองคนคงอายุน้อยกว่า พี่ชื่อจรุงรัตน์เป็นฝ่ายประสานงานของโครงการ เรียกว่าพี่จูนก็ได้ ส่วนคนนี้..ชื่อนภาดาวเป็นผู้ช่วยพี่”

เมื่อแนะนำตัวเองและผู้ช่วยจบ จรุงรัตน์ก็เริ่มแนะนำว่าเธอและภาวิทย์เป็นใครทำหน้าที่อะไร จากนั้นก็อธิบายรายละเอียดทั่วๆไปเกี่ยวกับโครงการให้ทั้งคู่ได้รับทราบเบื้องต้นคร่าวๆ

“คุณภาวิทย์และคุณมนต์พระจันทร์รู้จักกันก่อนก็ดีแล้วค่ะจะได้ร่วมงานกันง่ายขึ้น” จรุงรัตน์จบประโยคโดยการวกกลับมาที่เธอและ
ภาวิทย์ หลังจากพูดไปมากมาย จนเธอนึกขัน สมแล้วที่เป็นผู้ประสานงานพูดได้น้ำไหลไฟดับจริงๆ

“เรียกพระจันทร์เฉยๆก็ได้ค่ะ” เธอบอก เริ่มทำตัวตามสบายเพราะเจ้าหน้าที่จากโครงการทั้งสองดูเป็นมิตรดี ภาวิทย์เองก็พลอยทำตัวสบายๆไปด้วย ถ้าไม่บอกเธอนึกว่าเขาเป็นพวกช่างภาพ ก็ดูจากการแต่งตัวแล้วไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่าวิศวกรเลย

“ดีเลยค่ะ จะได้ดูเป็นกันเองหน่อย แต่แหม..ทางกรุงเทพฯเข้าใจส่งน้องพระจันทร์มานะคะ ฝูงแรดคงได้แตกตื่นลุกฮือก็คราวนี้แหละ..ว่ามั้ยดาว” จรุงรัตน์หันไปขอความเห็นจากผู้ช่วย

“จริงค่ะ สวยจนผู้หญิงด้วยกันยังต้องมองเหลียวหลังเชียวล่ะ” นภาดาวเสริม มนต์พระจันทร์ได้แต่ยิ้มรับ เธอชินแล้วสำหรับคำชมเพราะมักจะได้รับบ่อยๆ

ราวชั่วโมงเศษรถตู้ก็พามาถึงที่พัก แต่ก่อนจะถึงก็ผ่านเขตก่อสร้างที่เธอต้องเริ่มงานในวันพรุ่งนี้ มนต์พระจันทร์ตื่นตาตื่นใจไม่น้อย ตั้งแต่ทำงานมาไม่เคยเห็นสิ่งปลูกสร้างใหญ่โตเท่านี้มาก่อนแม้จะเห็นจากที่ไกลๆ มากสุดก็แค่โรงแรมหรูๆเท่านั้น
รถตู้จอดหน้ารีสอร์ทแห่งหนึ่ง คงเป็นที่เป็นที่พักซึ่งทางโครงการเตรียมไว้

“คุณภาวิทย์พักที่นี่นะคะ เพราะโซนนี้เป็นของทีมวิศวกรเกือบทั้งหมด” จรุงรัตน์บอกพร้อมทั้งส่งกุญแจห้องให้ชายหนุ่ม ก่อนจะหันมาพูดกับเธอ “ส่วนห้องพักของน้องพระจันทร์จะอยู่หลังสุดท้าย” จรุงรัตน์บอกพร้อมทั้งชี้ให้ดู นภาดาวถึงกับตีหน้ายุ่งก่อนจะพูดบางอย่างที่ทำให้มนต์พระจันทร์ต้องแปลกใจไปด้วย

ขณะที่ภาวิทย์ก็ตั้งใจฟังเป็นอย่างดี เพราะอยากจะรู้ว่ามนต์พระจันทร์พักอยู่ส่วนไหนของรีสอร์ท

“บ้านแฝดหลังสุดท้าย หลังเดียวกับโปรเจ็คหรือคะ” นภาดาวชักสีหน้าราวกับบ้านหลังนั้นเป็นบ้านผีสิง

“ใช่..เพราะว่างเพียงหลังเดียว” เธอพูดกับนภาดาวก่อนจะหันมาอธิบายให้มนต์พระจันทร์ฟัง “ เดิมทีพี่ก็จะจัดให้พักกับคอนซัลด้วยกัน แต่เผอิญว่าห้องที่จองไว้ดันมีนกบินเข้าไปตายเมื่อเช้านี้ แล้วห้องก็เต็มหมด พี่ก็เลยต้องจัดให้พระจันทร์พักห้องนั้นไปก่อน ครั้นจะให้พระจันทร์ไปพักห้องเมื่อกี้มันก็อันตรายเกินไปเพราะมีแต่พวกแรดพวกเสือทั้งนั้น”

“ดาวว่า..ไม่ต่างกันเท่าไหร่มั้งคะ” นภาดาวเอ่ยทั้งยังตีสีหน้าขลาดๆจนดูตลก

“ทำไมเหรอคะ”มนต์พระจันทร์อดไม่ได้ที่จะอยากรู้

“เจ้าที่แรงน่ะค่ะ” นภาดาวตอบ

“ผีเจ้าที่เหรอครับ” ภาวิทย์ถือโอกาสแทรกขึ้นมาอย่างเสียมารยาทหลังจากยืนฟังด้วยความสงสัยไม่ต่างจากมนต์พระจันทร์

“ไม่มีหรอกค่ะ ยัยดาวก็พูดจาเหลวไหลไปเรื่อย พระจันทร์อย่าไปฟังเลย ระหว่างเจ้าที่แรงกับดงแรดถ้าเป็นเธอจะเลือกพักที่ไหนฮึ!ยัยดาว” จรุงรัตน์หันมาถามเสียงเข้ม

“ถ้าพูดถึงความปลอดภัย บ้านพักหลังสุดท้ายปลอดภัยกว่าค่ะคุณพระจันทร์” นภาดาวให้ความเห็น ถึงอย่างไรโปรเจ็คคนใหม่ก็ยังน่าไว้ใจกว่าแก๊งวิศวกรพวกนั้น เพราะไม่เคยทำตัวรุ่มร่ามเจ้าชู้ให้ได้ยิน

จากนั้นจรุงรัตน์ก็แจ้งต่อว่าช่วงบ่ายภาวิทย์ต้องเข้าไปรายงานตัวกับผอ.โครงการและโปรเจ็คแมนเนเจอร์ประจำโครงการจึงให้เขานำกระไปเก็บให้เรียบร้อยจะได้มีเวลาพัก ส่วนมนต์พระจันทร์เริ่มงานทีเดียวในวันพรุ่งนี้เพราะวันนี้ คุณลีชางหัวหน้าทีมที่ปรึกษาไม่ว่าง จากนั้นจรุงรัตน์ก็มอบกุญแจห้องพักให้กับมนต์พระจันทร์แล้วจึงก็ขอแยกตัวไปทำงานพร้อมนภาดาว

ภาวิทย์อาสาช่วยเธอลากกระเป๋ามาส่งที่ห้องพัก มนต์พระจันทร์ไม่ได้ปฏิเสธอะไรเพราะที่นี่เธอไม่รู้จักใคร มีมิตรยังดีกว่ามีศัตรูเป็นไหนๆ

“ผมเห็นคุณหอบกีต้าร์มาด้วย คุณเล่นเป็นด้วยเหรอฮะ” เขาชวนคุยระหว่างเดินไปยังบ้านพักหลังสุดท้าย

“ค่ะ หัดเล่นสมัยเรียนอยู่เมืองนอก เวลาที่คิดถึงบ้าน” เธอบอก ภาวิทย์รู้สึกทึ่งในตัวหญิงสาวผู้นี้ไม่น้อย ภายนอกดูอ่อนหวาน ทว่าวาจาและนิสัยค่อนข้างห่างจากใบหน้าหวานหยดทีเดียว

“ผมชักอยากฟังซะแล้วสิ!” เขาเอ่ยนัยน์ตาเป็นประกาย

“ถ้ามีโอกาสนะคะ ขอบคุณมากที่เดินมาส่ง” เธอเอ่ยหลังจากสุดทางที่บ้านพักฝาแฝดตามที่จรุงรัตน์ชี้บอก

“ยินดีครับ แล้วก็ยินดีที่ได้รู้จักและร่วมงานกันอย่างเป็นทางการนะครับคุณพระจันทร์”

“เช่นกันค่ะ” เธอตอบรับพร้อมทั้งส่งยิ้มให้เขา ขณะที่หัวใจของภาวิทย์กระตุกวูบด้วยความรู้สึกบางอย่างที่กำลังก่อตัว

-------------------------------------------------------------------------***----------------------------------------------------------
หลังจากเข้าที่พัก เธอก็จัดแจงรื้อข้าวของออกจากกระเป๋าเพื่อจัดเข้าตู้ และสั่งอาหารจากทางโรงแรมมารับประทาน จากนั้นก็โทร.หาป้าภาวินีว่าเธอถึงที่พักเรียบร้อยดี ก่อนจะวางสายคุณป้ายังย้ำนักย้ำหนาให้เธอไปพบวิณรุจน์ มนต์พระจันทร์รับปากไปงั้น ทั้งที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาอยู่ส่วนไหนของเชียงราย

แต่ฟังจากคำบอกเล่าของคุณป้าแล้ว ไม่น่าจะหายากนักเพราะวิณรุจน์เป็นมือหนึ่งของบริษัทก่อสร้างชื่อดัง แต่จากข้อมูลที่เธออ่านเจอ โครงการนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทที่วิณรุจน์ร่วมงานอยู่ ถามจากคนในบริษัทเดียวกันก็น่าจะได้คำตอบ แต่คงต้องรอให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางก่อน

มนต์พระจันทร์ทิ้งตัวลงนอนกะจะพักเอาแรงเพื่อสู้งานในวันรุ่งขึ้น ไม่รู้ว่าต้องเจอกับอะไรบ้าง เพื่อนร่วมงานที่นี่จะมีคุ้นหน้าคุ้นตากันบ้างรึเปล่าก็ไม่รู้ นึกถึงทีมคอนซัลอย่างพี่สุและน้ำฝนจะอยู่ในไซต์นี้ด้วยมั้ยนะ ถ้าทั้งสองคนมาด้วยก็คงดี อย่างน้อยก็คุยกันคล่องปากขึ้น

-------------------------------------------------------------******------------------------------------------------------------------------

ฝากติชม เม้นกันด้วยนะคะ

รักษาสุขภาพค่ะ

BY....รจนาไฉน



รจนาไฉน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 ก.พ. 2559, 14:07:27 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ก.ย. 2559, 15:46:34 น.

จำนวนการเข้าชม : 1310





<< บทที่ 2   บทที่ 4 ----------เล่ห์บุพเพ 100%-------- >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account