สมมติว่าเรารักกัน
เมื่อเขาและเธอ ต่างก็คิดว่า เพศตรงข้าม เป็นมาร ขวางความสำเร็จ ความรักหลอกๆ ที่สมมติขึ้นขายผ้าเอาหน้ารอด จะจบลงแบบใด

ติดตามได้ใน สมมติว่าเรารักกัน
Tags: โรแมนติกคอมมาดี้

ตอน: ตอนที่ 5



“ฉันว่ายัยแคลนี่มันแปลกนะเรย์ แกว่าไหม ชอบให้เราไปสนทนาหาเรื่องเจอแต่ผู้ชายกลุ่มนั้น”

กะทิออกความเห็น

“ถือซะว่าเป็นเพื่อนร่วมค่าย”

เรย์ตอบง่ายๆ ไม่มีอารมณ์ร่วมไปมากกว่านี้ การผิดนัดของรุจยังคาใจหล่อนอยู่มาก

“น้ำตาลละ ว่าไง”

กะทิยังพยายามขอความคิดเห็น

“หนูก็ไม่มีความเห็นค่ะ”

หัวหน้าวงถอนหายใจ ทำไมไม่มีคนรู้สึกเหมือนเธอรู้สึกนะ เอ๊ะ หรือเธอจะเซ้นดีอยู่คนเดียว

เมื่อเดินมาถึงหน้าห้องซ้อมของวง Night Knight ก็พบว่า ประตูกระจกปิดสนิท น้ำตาลตัดสินใจเคาะ แต่เหมือนคนข้างในจะไม่ได้ยิน หญิงสาวจึงเอาหน้าแนบกระจก มองเข้าไปข้างใน จึงเห็นว่า ทั้งหมดซ้อมดนตรีกันอยู่ครบวง น้ำตาลหันมาขอความเห็นพี่ๆ

“ผลักเข้าไปเลยดีไหมคะ เราแค่เอาของมาให้”

พี่ๆทั้งสองพยักหน้างึกๆ ก่อนที่จะร่วมกันเปิดประตูเข้าไป เป็นผลให้นักดนตรีที่กำลังซ้อมอยู่นั้นหยุดชะงัก มิ้นท์ที่กำลังควงไม้กลองอยู่ถึงกับทำไม้กลองหลุดมือ เมื่อเห็นว่าใครผลักประตูเข้ามา

“อ้าว ไปไงมาไง”

นัทธ์ทักยิ้มๆ

“ขึ้นลิฟท์แล้วกดมาเนี่ย เอ้า ขนมกับน้ำ เจ้าของเงินเขาให้เอามาให้ เมื่อคืนก็ลืม”

กะทิตอบหัวหน้าวงก่อนจะปรายตาไปที่มือกลองหนุ่มแวบนึงโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น
เวย์เอ่ยวาจากระแทกคนที่ไม่ได้มา

“แหม เพื่อนคุณนี่ก็กวนประสาทดีนะ ให้เสียแต่เมื่อคืนก็จบแล้ว แกล้งกันนี่”

“กำลังซ้อมเพลงแรกของอัลบั้ม อยากฟังไหม”

ไม่รอให้ฝ่ายสาวๆ ตกลง มิ้นท์รัวกลองเป็นการเริ่มจังหวะ ก่อนที่เพลงจะดังขึ้น สามสาวนั่งฟังอย่างตั้งใจ ไม่คิดเลยว่า เขาทั้งสี่คนนี้ จะร้องเพลง และเล่นดนตรีได้ไพเราะมาก ลีลาการดีดกีต้าร์ของนัทธ์นั้น ทำให้น้ำตาลไม่อาจละสายตาได้

เขาเป็นผู้ชายร่างสูง ไหล่กว้าง แม้จะไม่มีกล้ามแบบคนที่ฟิตร่างกาย แต่ก็ดูเขามีสุขภาพแข็งแรงดี ผิวขาวของเขา รับกับผมสีน้ำตาลอ่อนที่ดูเหมือนเขาจะตั้งใจโกรก และ เขาเป็นผู้ชายที่ใส่ตุ้มหูแล้วเท่ชะมัด
เจอกันมาก็หลายหนแต่ไม่เคยเห็นว่าเขาหน้าตาดีเท่าวันนี้เลย

น้ำตาล เธอเป็นอะไรไป เธอหวั่นไหวเหรอ ในชีวิตนี้ ไม่เคยเลยซักครั้งที่เธอจะคิดพิจารณารูปร่างชายหนุ่ม ตั้งแต่สมัยเรียน จนมาถึงวันนี้ คนที่เธอใกล้ชิดมากที่สุดคือพ่อเธอเอง

น้ำตาลสะบัดหัวแรงๆเหมือนจะไล่ตัวมาร เอ๊ย ไล่ความคิดนั้นออกไป

เพลงจบลง ชายหนุ่มทั้งสี่ละจากเครื่องดนตรีเดินมาที่ขนม วันนี้เค้าซ้อมมาตั้งแต่เช้า พักหน่อยก็ดีเหมือนกัน

“กินด้วยกันสิคุณ เยอะแยะแบบนี้พวกเรากินไม่หมดหรอก”

นัทธ์เอ่ยชวนพร้อมกับเดินไปหยิบน้ำแข็งจากในตู้เย็น

“ไม่ล่ะ พวกคุณทานเถอะ เสร็จแล้วงั้นเราขอตัวกลับ”

เรย์ตัดบทก่อนจะลุกเดินนำเพื่อนร่วมวงอออกมา

“เฮ้ยเรย์ แกไม่สบายใจเรื่องพี่รุจอยู่เหรอ”

เรย์ไม่ตอบกะทิ แต่หันมาบอกเพียงสั้นๆว่า

“ฉันไม่เข้าห้องซ้อมแล้ว บอกทุกคนด้วยนะ อยากไปหาที่เงียบๆ”

ว่าแล้วเรย์ก็เดินหนีทุกคนไป ไม่สนใจเสียงร้องเรียก

เสียงเคาะประตู ทำให้ท่านบรรพจน์เงยหน้าจากหนังสือพิมพ์ฉบับนึงที่อยู่ในมือ

“เข้ามาสิ นัทธ์ น้ำตาล”

สองหนุ่มสาวเดินเข้ามาตัวลีบ วันนี้เขาและเธอถูกเรียกตัวให้มาพบแต่เช้า

สงสัยต่อไป คงสามเวลาหลังอาหาร

“ดูข่าวซุบซิบนี่”

ปรานบริษัทยื่นหนังสือพิมพ์ให้พวกเขาดู

รักแท้ยังไง? ไม่รู้ว่า รักจริงหรือรักหลอก เพราะคู่รักนักร้องคู่ใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวกลางโต๊ะแถลงข่าว ไม่มีแม้แต่ภาพภาพสวีทหลุดออกมา รักจืดจางลงหรือโอละพ่อ?

“พวกเธอรู้ไหม นักข่าวพวกนี้กำลังจ้องเล่นงานพวกเธออยู่ พรุ่งนี้น้ำตาลมีถ่ายเอ็มวีกับทีเซอร์ นัทธ์ เธอต้องไปที่สตูดิโอ ไปนั่งให้คนมันซุบซิบ”

ท่านบรรพจน์สั่งการทันที
“ต้องให้มันฉาวอีกแล้วใช่ไหมฮะท่าน”

“มันก็ไม่ขนาดนั้น แต่พวกเธอบอกทุกคนว่า พวกเธอคบกัน แต่ไม่มีแม้แต่ภาพแอบถ่ายพวกเธอไปเที่ยวกันสองต่อสอง คนมันจ้องจะหาเรื่องพวกเธอยู่แล้ว ถือว่าทำเพื่องานแล้วกัน ไว้จบอัลบั้มนี้ ค่อยว่ากันใหม่”

และนั่นก็ทำให้นัทธ์มานั่งทำหน้าเซ็งใต้แว่นกันแดดสีดำสนิทอยู่ที่สตูดิโอถ่ายทำมิวสิควีดีโอของวงเฟรชวันนี้ ใจจริงๆ เขาก็ไม่ได้อะไรมาก แต่ถ้ามันต้องทำตามคำสั่ง คนดื้ออย่างเขาก็ไม่อยากจะทำตาม เขาเริ่มรู้สึกได้แล้วว่า มีคนกำลังถ่ายรูปเขา แต่เขาก็ยังทำเป็นไม่รู้ตัว

อยากได้มากใช่ไหม ไอ้ภาพสวีทน่ะ ได้ เดี๋ยวเขาจะจัดให้ซักดอก

เขาหายไปซักครู่ ก็เข้ามาพร้อมกับดอกกุหลาบสีขาวจัดช่ออย่างสวยงาม และนั่งรอน้ำตาลอยู่ที่เดิม พวกเธอกำลังถ่ายมิวสิคสตูดิโอเวอร์ชั่น ทั้งร้องและเต้น คอนเซปยังคงความสดใสเหมือนชื่อวง แต่ก็แฝงไว้ด้วยความแข็งแรง น้ำตาลหลือบมองชายหนุ่ม เขายังคงนั่งกอดอกมองเธออยู่ ช่วงเวลาพัก เธอเดินเข้าไปใกล้ๆ ก็พบว่า เขานั่งหลับ ยังทันที่เธอจะเดินออกไป จู่ๆเขาก็หยิบกุหลาบช่อเล็กๆ มาจากไหนไม่รู้ ยื่นให้หล่อน

“รับแล้วยิ้มให้ผมสวยๆนะ มีคนจ้องเราอยู่เยอะ”

เขาถอดแว่นกันแดดออกแล้วอมยิ้ม รอยยิ้มของเขา ทำเอาหัวใจหญิงสาวสะท้านไหว เธออมยิ้มก่อนจะรับกุหลาบไว้ เอาน้ำที่ถือมาด้วยยื่นให้

“นั่งนาน เอาน้ำมาให้นะคะ”

“ไม่เป็นไรน่า ถือว่ามาพักผ่อน นี่ถ้าผมเอาเกมส์มานั่งเล่นด้วย ไม่ต้องห่วง คงจะหายเบื่อไปได้อีกเยอะ”

เขาชูเกมส์กดในมือให้เธอเห็น ก่อนจะชวนคุยต่อ

“นี่ตอนผมถ่ายเอ็มวี สงสัยคุณต้องไปนั่งเฝ้าด้วยแน่ๆ"

ทีมงานเรียกหล่อนกลับไปถ่ายต่อ น้ำตาลเดินออกมา หันไปมองเขาอีกครั้งก็พบว่าเขากำลังเมามันกับเกมส์ในมือไปแล้ว

การถ่ายทำเป็นไปอย่างเรียบร้อยจนเกือบเสร็จ ทั้งน้ำตาลและนัทธ์ก็ไดรับข้อความ จากประธานบริษัท

ไปกินข้าวที่โรงแรม จองไว้ให้แล้ว ที่ร้าน...

ชายหนุ่มปิดโทรศัพท์อย่างเซ็งๆ คอนโทรลจริงโว้ย เขาสบตากับน้ำตาล เธอก็มีท่าทีไม่ต่างจากเขา

“คุณรู้ไหม เหมือนเราเป็นหุ่น ให้ท่านบรรพจน์เชิด”

หล่อนมองหน้าเขานิ่งๆ ก่อนจะพูดกับเขาด้วยประโยคที่ราบเรียบแต่กระแทกใจเขาอย่างจัง

“ถ้าคุณอยากจะอยู่วงการนี้ คุณก็ต้องทำค่ะ”

พูดจบก็เดินนำเขาออกไป ไม่ได้พูดอะไรต่อ บรรยากาศดีๆ ที่มีก่อนหน้านี้ กร่อยลงไปพอสมควร นัทธ์ตัดสินใจให้เธอนั่งรถเขา และมุ่งหน้าไปโรงแรมที่ท่านบรรพจน์แมสเสจมาบอก เธอยังคงนั่งเงียบ ไม่พูดกับเขา รู้สึกไม่พอใจที่เขาทำเหมือนรำคาญที่ต้องอยู่กับเธอ

โกรธไรวะ แค่นินทาเจ้าของบริษัท

“คุณ ฟังเพลงไหม”

ในที่สุดนัทธ์ก็เป็นฝ่ายชวนคุย

ไม่มีเสียงอะไรตอบเขากลับมา

“คุณ หิวยัง”

เขายังไม่ละความพยายาม

“คุณ กุหลาบละ”

หญิงสาวมองออกไปนอหน้าต่าง ไม่พูดอะไรเช่นเดิม แต่นิ้วชี้ไปที่หลังรถ

“คุณ จิ้งจกเกาะหลัง”

และนั่นก็เรียกเสียงกรี๊ดจากน้ำตาลได้ลั่นรถ

นัทธ์หัวเราะเกือบตาย “ไงคุณ มีปฏิกิริยาแล้วสิ นี่นึกว่านั่งรถมากะอากาศนะเนี่ย” ท่าทางร้องวี๊ดตกใจของหล่อน ยังทำให้เขาขำไม่หาย

“เอาน่า อย่าโกรธดิ ผมไม่รู้คุณจะไม่พอใจผมเรื่องอะไรนะ แค่นินทาป๋าของคุณ คุณไม่คิดเหมือนผมเหรอ มันคือชีวิตเรานะ ทำไมต้องมีคนคอนโทรล มีมิชชั่นยังกะรายการเรียลลิตี้”

นั่นก็ยังไม่ทำให้น้ำตาลหันมาสนทนากับเขา เขาจึงใช้ไม้ตายสุดท้าย แสร้งกดโทรศัพท์ ใส่แฮนด์ฟรี

ตู๊ดดดดดด

ตู๊ดดดดดด

ตู๊ดดดดดด

หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ กรุณาฝากข้อความหลังได้ยินเสียงสัญญาณ

น้ำเสียงกระแดะของเขา ทำเอาน้ำตาลหลุดขำจนได้

“คุณนี่มันเพี๊ยน”

เธอต่อว่าเขาก่อนจะหัวเราะอีกครั้ง

ผู้หญิงนี่ก็แปลกวะ เมื่อกี้ยังไม่พอใจอยู่เลย นี่หัวเราะแล้ว

มนุษย์ผู้หญิงเป็นเพศที่เข้าใจยากจริงๆ

ทั้งคู่เดินเข้าโรงแรมดัง ในโรงแรมนั้น มีร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังอยู่ โอโฮ้ ให้เขามากินอาหารญี่ปุ่นเลยเหรอเนี่ย ท่านบรรพจน์ เข้าเดินมาใกล้น้ำตาลอีกนิด ก่อนจะกระซิบว่า

“คุณ ป๋าคุณนี่ใจป้ำเนอะ ให้เรามากินอาหารญี่ปุ่นด้วยอ่ะ ท่าทางจะแพงน่าดู"

“เป็นบุพเฟ่ ไม่แพงหรอก มีปัญญากินก็กินไปเลย"

หล่อนหันมาตอบแล้วเดินนำเขาเข้าร้าน ท่าบรรพจน์จองห้องส่วนตัวไว้ให้พวกเขา ไม่ทันได้นั่ง ก็มีแมสเสจมาอีกครั้ง
สามทุ่มค่อยกลับออกมา

“ไหนๆ เราก็ต้องนั่งอยู่ที่นี่อีกหลายชั่วโมง เรามาคุยกันเถอะ ผมอยากรู้ว่าคุณมาเป็นร้องได้ไง แล้วเดี๋ยวผมจะคุยให้ฟังบ้าง”

นัทธ์ชวนคุย

“ฉันเริ่มเรียนเต้นและร้องเพลงตอนสมัยอายุ 11 คุณพ่อคุณแม่เห็นว่าฉันชอบ เลยให้เรียน แต่ท่านก็แค่ให้ฉันเรียนเล่นๆน่ะ ไม่ได้จริงจังอะไร แต่ฉันชอบ และที่นั่นฉันได้เจอพี่เรย์ พี่ทิ พ่อแม่พอเห็นว่าฉันเริ่มจะออกนอกเส้นทาง ท่านก็ไม่ยอมให้ฉันไปเรียนอีก แต่ส่งฉันไปเรียนพิเศษแทน แต่พี่เรย์ก็ติดสินบนอาจารย์ ให้โกหกว่าฉันมาเรียนทุกวัน แต่ที่ไหนได้ ฉันหนีมาเรียนเต้นและร้องเพลงเหมือนเดิม ฉันทำแบบนี้จนวันนึง พ่อมาหาฉันที่เรียนพิเศษ แล้วไม่เจอ ท่านตามไปจนเจอว่าฉันอยู่ที่บริษัทของป๋า”

“โดนตีไหมคุณ”

เขาถามอย่างอยากรู้

“ไม่โดนหรอก พ่อถามฉันว่า อยากจะทำจริงๆเหรอ ถ้าอยากทำจริงๆ ท่านก็อนุญาต แต่มีข้อแม้ว่า การเรียนของฉันต้องไม่ตก ถ้าตกเมื่อไหร่ ฉันต้องออกจากวงการทันที ฉันทำได้นะ เพราะฉันจบปริญญาด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง”

นัทธ์มองดูผู้หญิงตรงหน้าอย่างที่งๆ

เทียบกันแล้วกับความพยายามของเธอ ความพยายามของเขา ดูด้อยไปเลย

“ผมเล่นดนตรีสมัยมหาลัยนะ เจอกับพวกนี้ในม.เดียวกันนี่แหละ ก็เล่นกันมากเรื่อย จนไปเล่นตามผับ วันนึง คนของท่านบรรพจน์ไปเจอ เลยเรียกมาคุย”

“คุณเรียนจบอะไรมา”

“สถาปัตย์”

คำตอบของเขา แม้จะสั้น แต่ก็ได้ใจความ

“แม้จะไม่ได้เกียรตินิยม แต่ก็พอตัวนะ”

“แล้วคนอื่นๆละคะ”

“เวย์ก็จบสถาปัตย์เหมือนผม ส่วนจูนมันเรียนหมอ แต่ใจรักดนตรี ตอนมาทำวงด้วยกันนี่ ที่บ้านเล่นเอาตัดขาด มิ้นท์ก็อย่างที่คุณรู้ เด็กวิศวะ ฝั่งคุณละ เล่ามามั่งสิ”

“ฉันจบอักษรศาสตร์ พี่ทิจบบริหาร พี่เรย์ก็เหมือนกัน ส่วนพี่แคลจบมัณฑนศิลป์”

การสนทนาดำเนินไปเรื่อยๆ ทั้งคู่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันจนลืมเวลา จนกระทั่งพนักงานเปิดประตูเข้ามาเตือน

“ใกล้สามทุ่มแล้ว เรากลับกันเถอะ นี่เราคุยกันเพลินเลย”

“ไว้เจอกันพรุ่งนี้ สวัสดีปีใหม่นะ”

นัทธ์พูดยิ้มๆ ก่อนจะถอยรถออกไป ทิ้งให้น้ำตาลยืนงง อะไรของเขา เลยปีใหม่มาตั้งสามสี่เดือนแล้วนี่ แต่ไม่นาน หล่อนก็ร้องอ๋อ

พรุ่งนี้วันสงกรานต์นี่นา


ท่านบรรพจน์นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โซฟา ไม่นานก็ได้ยินเสียงรถเข้ามาจอด ท่านจำได้ ว่านี่คือเสียงรถของรุจ เพื่อนของบุตรชายคนโต วันนี้เขาชวนชายหนุ่มมาทานข้าวที่บ้าน โดยที่ไม่บอกบุตรสาวคนเล็ก ด้วยกลัวว่าเธอจะหนีไปไม่ยอมอยู่เจอหน้าอีก
ท่านมองแวบเดียวก็รู้ว่า หนุ่มสาวคู่นี้ มีใจให้กัน

จริงๆ ท่านรู้มาตั้งนานแล้ว ท่านและพ่อของรุจก็เป็นเพื่อนสนิทกัน ก่อนที่รุจจะกลับมาเมืองไทยหลังเรียนจบ ท่านยังคุยกับเพื่อนว่า เสียดายที่เรย์ของท่านอายุน้อยไป ในตอนนั้น หนูเรย์ของท่านเพิ่งจะ16 การจะคิดจับคู่กับลูกชายเพื่อนคนนี้ก็เห็นจะทำไม่ได้ ทางพ่อของรุจเลยหาคนที่เหมาะสมให้เขาได้แต่งงาน มีครอบครัวไป

แต่เมื่อเวลาผ่านไป ท่านก็ได้ทราบข่าวมาเป็นระยะ ว่าชีวิตครอบครัวของรุจนั้นไม่ราบรื่น เขาเป็นชายหนุ่มที่บ้างาน แต่แพรวา ภรรยานั้น ตรงกันข้าม เธอรักที่จะเข้าสังคมมากกว่าจะมานั่งจ่อมรอสามี

สุดท้าย ทั้งคู่ก็หย่ากันในที่สุดโดยไม่มีลูกมาผูกพัน พ่อของรุจโทษตัวเอง ที่ทำให้ลูกชายคนเดียวต้องเจ็บปวด และเลิกยุ่งกับชีวิตเขาอีก รุจดูเหมือนจะไม่จริงจังกับใคร เขาครองสถานะพ่อม่ายไว้ จนกระทั่งท่านได้เห็นสายตาของเขายามเมื่อมองบุตรสาวของท่าน

หรืออะไรๆ มันจะเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้วกระมัง

ท่านก็รักลูกสาวคนเล็กคนนี้มาก ลูกสาวท่านเป็นอย่างไร ท่านรู้ดี

ในวันนี้ ท่านถึงได้พยายามทำในสิ่งที่เรียกว่า พ่อสื่อ อย่างน้อยๆ ก็ให้สองคนนี้ได้คบหรือได้ศึกษากันและกัน หลังจากนั้นจะเป็นอย่างไร ก็แล้วแต่โชคชะตาฟ้ากรรมหนด
ชายหนุ่มเดินเข้ามาแล้วยกมือไหว้ผู้เป็นเพื่อนบิดาอย่าสนิทสนมคุ้นเคย

“ไหว้พระหลานชาย นี่เพิ่งเลิกงานหรือ หน้าตาเคร่งเครียดทีเดียวเชียว”

“ไม่หรอกครับ พอดีรถติดนิดหน่อย”

สิ่งที่ทำให้เขาเครียดคงจะเป็นลูกสาวคนเล็กของบ้านนี้มากกว่า เมื่อวันก่อนเขาเบี้ยวนัดเธอ หลังจากนั้นไม่ว่าเขาจะโทรหากี่รอบเธอก็ไม่ยอมรับสาย นี่ไม่อยากจะคิดว่า เจอหน้าเขาที่บ้านเธอจะทำยังไง

“มาๆ นั่งดื่มน้ำเย็นๆ ให้หายเหนื่อย รอครู่เดียวกำลังให้แม่บ้านตั้งโต๊ะอยู่”

“ใครมาคะป๋า เวลากินข้าวแล้วเนี่ย”

เสียงเรย์ดังมาก่อนที่จะเจ้าตัวจะลงมา แลเมื่อเห็นหน้าเขา เรย์ก็ชะงักกึก แทบจะหันหลังกลับขึ้นห้อง

“พี่รุจเองค่ะหนูเรย์ วันนี้มาขอฝากท้อง เลี้ยงข้าวพี่ซักมื้อนะคะ”

เขามองขึ้นไป หัวใจชายหนุ่มเต้นแรง เรย์อยู่ในชุดกางเกงขาสั้น เสื้อสืดฮูทแขนยาว เธอดูเหมือนเด็กอายุ17-18 ไม่ดูเหมือน28เลย

เธอไม่ตอบเขา แต่เดินลงมายกมือไหว้แล้วเดินเข้าห้องทานอาหารไปอย่างไม่สนใจ ทำให้รุจใจแป้ว

เชอะ ผู้ชายผิดคำพูด หล่อนไม่อยากคุยด้วยแล้ว

******************************************************

แสนดีมาอีกแว้ว

an00
ไม่ใช่หรอกค่ะ มันคงสูตรสำเร็จเกินไป แสนเขียนแบบธรรมดาไม่เป็น อิอิ แคลก็มีคนของเขา และไม่ใช่คนที่คุณคิดแน่นอนอิอิ เขายังไม่ปรากฏตัวค่ะ ต้องรออีกนานเลย

พี่นะ
หายงอนแล้วแก้มป่องน้อยลงนะจ๊ะ อิอิ

พี่นุ่น
กะทิเค้าคิดมากค่ะ เลยเครียดหน่อย แต่เดี๋ยวก็ใจอ่อน ไม่นานอิอิ

พี่พลอย
ขอบคุณที่แวะมาตามทุกตอนนะค๊าบ เหนียวแน่นๆ อิอิ

sai
ขออวยพรให้ความฝันเป็นจริงนะจ๊ะ ฮา

พจน์
แม่ยกจูนตามตลอดทุกบท อิอิ

มิ้นท์
มาให้กำลังใจอย่างเดียว ไม่ยอมนะยะ ชริ

วันอังคารหน้าเจอกันจ้าาาาาาาาา




แสนดี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 ก.ค. 2554, 21:44:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 ก.ค. 2554, 21:46:38 น.

จำนวนการเข้าชม : 1589





<< ตอนที่ 4   ตอนที่ 6 >>
anOO 28 ก.ค. 2554, 22:08:03 น.
ดูสิพี่รุจจะหาวิธีไหนมาง้อสาว


sai 29 ก.ค. 2554, 09:31:41 น.
ตามติดติดตามo_O


ภานินี 29 ก.ค. 2554, 17:24:14 น.
มาเช็คชื่อ


dee_jung 30 ก.ค. 2554, 17:17:00 น.
มาแหล้วค้า


เพียงพลอย 31 ก.ค. 2554, 11:52:45 น.
"จิ้งจกเกาะหลัง" นายนัทธ์นี่ทำให้ขำได้ทุกตอนสิน่า


Moomint 31 ก.ค. 2554, 19:29:31 น.
จ๋าพี่แสนดี เค้าเป็นกำลังใจให้พี่แสนเขียนนิยายไงคะ ฮี่ๆๆ ^_______^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account