มนต์อักษรอ้อนรัก
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ 3
บทที่ 3
ครองขวัญนึกแปลกใจเมื่อเห็นกอบบุญกลับมาด้วยสีหน้าบูดบึ้ง แถมยังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางพึมพำว่าอยากฆ่าคน ด้วยไม่ไว้ใจและคิดว่าสถานการณ์ไม่ปลอดภัยนัก เธอจึงตัดสินใจสงบปากสงบคำไม่ซักถามทั้งที่นึกสงสัย
กระทั่งครึ่งชั่วโมงต่อมา เมื่อแฟนคลับคนพิเศษปรากฏตัว
“พี่ขวัญ สวัสดีค่ะ”
ครองขวัญยิ้มรับสาวน้อยหน้าใสที่ส่งเสียงและยิ้มมาให้ตั้งแต่ยังเดินมาไม่ถึง ไม่ทันเห็นว่ากอบบุญหันมามองทันที
“ยายตัวดี!”
น้ำเสียงที่เหมือนคำรามนั้นดึงความสนใจทั้งจากครองขวัญและนาวิตา ก่อนที่ฝ่ายหลังจะเบิกตากว้างแล้วตามด้วยคำพูดบาดใจคนฟัง
“นาย! ไอ้ขโมยหัวใส!”
“โว้ย! บอกแล้วไงว่าฉันไม่ใช่ขโมย ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือ!”
ครองขวัญมองคนทั้งคู่อย่างไม่ค่อยเข้าใจนักกับท่าทีเหมือนจะกินเลือดกินเลือดของกอบบุญและสีหน้างอง้ำของนาวิตาที่บอกชัดว่าเจอเรื่องไม่สบอารมณ์
“มีเรื่องอะไรกันคะ”
หญิงสาวตัดสินใจถามญาติหนุ่ม ซึ่งไม่ผิดหวังกับคำตอบที่ได้รับอย่างรวดเร็ว
“ก็ยายนี่นะสิ มาหาว่าพี่เป็นขโมย”
“อะไรนะ!”
ยังไม่หายจากตกใจ ครองขวัญก็หันไปมองนาวิตาเมื่อได้ยินคำบอก
“พี่ขวัญ ผู้ชายคนนี้คิดจะขโมยกระเป๋าของนาค่ะ”
“ว่าไงนะ!”
ครองขวัญอุทานเป็นรอบสอง ทั้งงงและตั้งตัวไม่ติด
“พี่ขวัญถูกนายคนนี้ขโมยของอะไรไปบ้างคะ ไม่ต้องกลัวค่ะเดี๋ยวนาจะไปตามรปภ. มาให้ คราวนี้ล่ะจะมาแก้ตัวว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดไม่ได้อีกแล้ว”
คำพูดตอนท้ายของนาวิตาแฝงความมุ่งมั่นไม่ต่างจากแววตาวาวจ้าที่จับจ้องคู่กรณี ซึ่งก็ได้รับการมองกลับอย่างเอาเรื่องจากกอบบุญเช่นกัน
เห็นการปะทะกันทางสายตาของหนุ่มสาว ครองขวัญจึงคิดจะไกล่เกลี่ย
“พี่ว่า...คงเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันจริง ๆ ล่ะหนูนา”
“เข้าใจผิดเรื่องอะไรคะพี่ขวัญ”
ครองขวัญยิ้มอย่างนึกเห็นใจ ไม่นึกโทษนาวิตาต่อความเข้าใจผิดของอีกฝ่ายด้วยรู้นิสัยของกอบบุญ บ่อยครั้งที่ญาติผู้พี่ของเธอมักทำให้คนรอบข้างเข้าใจผิด ด้วยนิสัยค่อนข้างโผงผางและคำพูดคำจาที่บางครั้งไม่ได้ใคร่ครวญให้ดีทำให้มีหลายหนสร้างความไม่พอใจให้ใครต่อใครจนกลายเป็นความไม่ชอบหน้า
“หนูนา คนคนนี้ไม่ใช่ขโมยหรอกค่ะ เขาเป็นพี่ชายของพี่เองชื่อกอบบุญ”
“ขอโทษ”
สีหน้าหงอย ๆ ของนาวิตายามออกปากนั้นไม่ได้ทำให้ความรู้สึกของกอบบุญดีขึ้น ตรงกันข้ามชายหนุ่มยิ่งหัวเสียเมื่อหวนนึกถึงตอนเจอกันแล้วถูกหญิงสาวตั้งข้อหาจนทำให้เขาถูกควบคุมตัวและโดนสอบปากคำอีกพักใหญ่
“พี่กอบ หนูนาขอโทษแล้วนะคะ”
กอบบุญดึงตัวเองออกจากความคิดคำนึงเมื่อได้ยินคำพูดของครองขวัญ เห็นสีหน้าไม่ค่อยดีก็นึกเดาได้ว่าญาติผู้น้องคงไม่สบายใจ
หลังจากถอนหายใจแรง ๆ ชายหนุ่มก็ยกมือขึ้นกอดอกแล้วขานรับเสียงในลำคอโดยไม่ทันนึกว่าท่าทีของเขาอาจสร้างความเข้าใจผิดหรือก่อให้เกิดความหมั่นไส้ขึ้นได้กับใครบางคน
“แล้วนี่จะกลับกันหรือยัง ตารางแจกลายเซ็นแกถึงบ่ายสองไม่ใช่หรือ นี่มันเลยมาครึ่งชั่วโมงแล้วนะ”
กอบบุญหันไปพูดกับน้องสาวโดยไม่ได้ให้ความสนใจกับหญิงสาวอีกคน จึงไม่ทันเห็นสีหน้างอง้ำของอีกฝ่าย
“กลับก็ได้ค่ะพี่กอบ แต่ขวัญขอไปบอกพวกพี่ ๆ ก่อนนะ” ครองขวัญบอกก่อนหันไปพูดยิ้ม ๆ กับนาวิตา “หนูนา รอพี่ก่อนนะ”
“ขี้เก๊ก!”
แค่คล้อยหลังครองขวัญ คำพูดนั้นก็ลอยมาเข้าหูจนกอบบุญต้องหันไปมองอย่างเอาเรื่อง แต่เห็นเพียงใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วยังไม่มองเขาอีก แต่ชายหนุ่มก็ไม่ยอมปล่อยผ่าน
“เมื่อกี้พูดว่าอะไร”
“คะ”
น้ำเสียงที่ใช้แทนการตั้งคำถาม อีกทั้งสีหน้าแววตาที่ราวกับไม่เข้าใจใด ๆ นั้นไม่อาจหลอกกอบบุญได้ ชายหนุ่มขบเขี้ยวเคี้ยวฟันครู่หนึ่ง กำลังจะอ้าปากจังหวะนั้นครองขวัญก็เดินกลับเข้ามาสมทบ
“หนูนา มีธุระจะไปไหนต่อหรือเปล่า ถ้าไม่มีก็ไปด้วยกัน พี่ตั้งใจว่าจะเลี้ยงข้าวหนูนาสักมื้อ” บอกกับนาวิตาแล้ว ครองขวัญก็หันไปยิ้มประจบกอบบุญ “พี่กอบ เดี๋ยวเราแวะหาอะไรกินกันก่อนกลับบ้านนะ”
กอบบุญยังไม่ทันขยับปาก คนข้างตัวครองขวัญก็แทรกขึ้นอย่างรวดเร็ว
“นาขอเป็นโอกาสหน้านะคะ ยังอยากแวะดูหนังสือที่บูทอื่นต่ออีก”
หลังจากเงียบไปนิด เจ้าตัวจึงพูดต่อ
“วันนี้มีคนมาขอลายเซ็นพี่ขวัญเยอะไหมคะ”
“ก็พอสมควรจ้ะ”
“แล้ว...”
ท่าทีอึกอักของนาวิตาคงสร้างความรำคาญให้กับกอบบุญจนแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงเข้มขุ่น
“จะคุยกันอีกนานไหม จะได้กลับก่อน”
ครองขวัญเริ่มทำหน้าไม่ถูกในขณะที่นาวิตาหน้าหงิกงอ
“เอ่อ...งั้นไว้คุยกันวันหลังนะหนูนา”
ครองขวัญบอกด้วยสีหน้าจืดเจื่อน
“ค่ะ”
นาวิตาขานรับ หากไม่วายปรายตามองกอบบุญอย่างเคือง ๆ
ขณะมองตามคนทั้งสองที่กำลังเดินจากไปนาวิตาก็ยังนึกโมโหกอบบุญ หากเมื่อทั้งคู่หายลับไปจากสายตาแล้วหญิงสาวก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่จาการนึกเรื่องบางอย่าง
สองอาทิตย์ผ่านไปแล้วนับจากงานหนังสือ และเป็นสองอาทิตย์ที่ครองขวัญไม่มีสมาธิกับงานเขียนเหมือนเคยเพราะใจคอยจดจ่อถึงคนที่เงียบหาย...Rakkun
นับจากวันนั้น เขาไม่ได้ติดต่อมาหาเธออีกเลย
เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า
บ่อยครั้งที่หญิงสาวถามกับตัวเอง ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมานั่งนึกถึงแฟนนิยายคนนี้ทั้งที่ยังไม่เคยเจอ กระทั่งสุดท้ายก็ทนไม่ไหวต้องส่งข้อความไปทักถามเมื่อวันก่อน
แต่ถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีข้อความตอบกลับมา
หญิงสาวเหม่อมองคอมพิวเตอร์เบื้องหน้า ก่อนถอนหายใจ
“เป็นอะไรวะไอ้ขวัญ ถอนหายใจซะดัง”
ครองขวัญยิ้มรับ พลางคิดหาคำแก้ตัวเพื่อไม่ให้กอบบุญนึกสงสัย
“ขวัญ...แต่งตอนใหม่ไม่ออกน่ะ ก็เลยเบื่อ”
“แล้วไป ฉันนึกว่าแกกำลังใจลอยนึกถึงหนุ่มคนไหนอยู่ซะอีก”
คำพูดจี้ใจนั้นทำให้หญิงสาวยิ้มไม่ออก พอรู้อยู่ว่าในสายตาของกอบบุญเธอเป็นพวกช่างฝันที่เอาแต่คิดเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ แล้วก็นั่งฝันหวานไปวัน ๆ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ค่อยชอบใจนักกับมุมมองของญาติผู้พี่
กอบบุญคงคิดว่า คนหัวอ่อนและชอบเชื่อคนง่ายอย่างเธอคงเอาแต่เฝ้าฝันว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิงในนิยายที่สักวันจะมีเจ้าชายรูปงามขี่ม้าขาวมารับ
“ถ้าสมองตัน งั้นออกไปตีแบดฯ กันไหม ได้ออกแรงขับเหงื่อเผื่อบางทีจะช่วยให้สมองโปร่งคิดอะไรลื่นไหล”
หญิงสาวส่ายหน้าหวือกับข้อเสนอนั้น บ่อยครั้งเมื่อกอบบุญรู้ว่าเธอเกิดอาการสมองตันเขาก็มักเสนอทางเลือกนี้ ทำราวกับเกรงว่าจะไม่คุ้มค่าสมาชิกที่ตัวเองสมัครไว้กับสนามแบดมินตันซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านนัก
หลังจากเฝ้าคะยั้นคะยออีกครู่ ในที่สุดกอบบุญก็ยอมแพ้
ครองขวัญถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อกอบบุญยอมผละไป ถึงรู้ว่ากอบบุญก็เหมือนลุงกับป้าที่ห่วงคนซึ่งเปรียบเสมือนกบในกะลาอย่างเธอ แต่หลายครั้งความห่วงใยของชายหนุ่มก็ทำให้เธออึดอัด
ความสนใจของหญิงสาวถูกหันเหเมื่อเห็นข้อความที่ผุดขึ้นทางหน้าจอคอมพิวเตอร์ หัวใจเต้นแรงจนเผลอยิ้มเมื่อเห็นว่าข้อความถูกส่งมาจากใคร
ราวบ่ายวันต่อมาซึ่งเป็นวันอาทิตย์ ครองขวัญก็เข้ามานั่งอยู่ในร้านกาแฟและเบเกอรี่แห่งหนึ่งด้วยความรู้สึกตื่นเต้นและกระวนกระวาย
ยอมรับว่าถึงตอนนี้เธอยังรู้สึกผิดอยู่บ้างที่ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับกอบบุญ
หญิงสาวหวนนึกถึงเย็นวานตอนที่ได้รับข้อความจาก Rakkun
ตอนนั้นเธอดีใจมากที่เขาติดต่อกลับมาพร้อมกับคำขอโทษที่วันนั้นรีบกลับก่อน และเมื่อเขาแสดงความต้องการว่าอยากแก้ตัวด้วยการขอนัดพบเธออีกครั้งในวันนี้ เธอจึงตอบตกลงโดยไม่ลังเล
แวบแรกครองขวัญคิดจะบอกเรื่องนัดหมายกับกอบบุญ แต่เหมือนมีบางอย่างดลใจไม่ให้เธอปริปากแล้วตัดสินใจมาตามลำพัง
นี่ก็กลางวันแสก ๆ แถมยังมีคนตั้งมากมาย คงไม่มีอันตรายอะไรหรอก
ครองขวัญบอกกับตัวเองอย่างต้องการปลุกปลอบเศษเสี้ยวลึก ๆ ที่หวาดหวั่นอยู่บ้าง
หญิงสาวเหลือบมองเวลาบนนาฬิกาข้อมือแวบหนึ่งด้วยความกังวลเมื่อเห็นว่าเลยเวลานัดไปเกือบครึ่งชั่วโมง อดคิดไม่ได้ว่าหรือเธอจะมารอเก้อ
ขณะกำลังก้มหน้าเพื่อจะตักเค้กส้มเข้าปาก เงาหม่นที่พาดผ่านเข้ามาก็ดึงความสนใจให้ต้องแหงนเงยขึ้นมอง ยามมองเข้าไปในดวงตาคมเข้มสีดำจัดคู่นั้น ครองขวัญเชื่อว่าเธอกำลังถูกดึงดูดด้วยพลังงานบางอย่าง หัวใจเต้นแรงจนน่ากลัวว่าจะทะลุออกมานอกอก ก่อนเปลี่ยนเป็นกระตุกวูบในวินาทีที่ได้ยินน้ำเสียงทุ้ม
“สวัสดีครับ ผม...Rakkun ครับ”
วูบนั้น ครองขวัญคิดว่าสิ่งที่เธอเฝ้าอธิษฐานมานานกำลังกลายเป็นจริง
ในที่สุดก็มีคนมาสารภาพรักกับเธอ!
“ช่วยพูดใหม่อีกครั้งได้ไหมคะ”
ในขณะที่หญิงสาวตกอยู่ในห้วงฝัน ชายหนุ่มคงรู้สึกต่างกันเมื่อดูจากอาการขมวดคิ้ว
“ขอโทษ ผมไม่คิดว่าคุณจะหูตึง”
ราวกับมีใครสักคนเอาเข็มมาจิ้มลูกโป่งสวย ๆ ที่เธอกำลังถือ และมันก็ดับภาพฝันอันงดงามในใจจนหมดสิ้น
“เอ่อ...อะไรนะคะ...คุณ...”
“ผม Rakkun ครับ”
ครองขวัญร้อนผ่าวไปทั้งหน้า เมื่อคิดว่าเริ่มเข้าใจแล้ว
“คุณ...ชื่อรักคุณ ไม่ใช่ชื่อแรคคูนหรอกหรือคะ”
หญิงสาวเห็นชายหนุ่มมีทีท่าอึ้งงัน ก่อนตามด้วยสีแดงจางบนโหนกแก้มที่ทำให้นึกสงสัยว่าเกิดจากความอายหรือโกรธกันแน่
“ขอโทษ แรคคูนครับ”
วินาทีนั้น ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่กำลังสับสน
ครองขวัญถอนหายใจเบา ๆ อย่างนึกเสียดาย วูบนั้นนึกกระดากจนไม่กล้าสบตาด้วย
“ขอนั่งด้วยนะครับ”
“เอ่อ...เชิญค่ะ”
หญิงสาวโมโหตัวเองที่เกิดความรู้สึกประหม่าจนส่งผลให้เหมือนคนติดอ่าง กระนั้นก็ยังไม่กล้าพอจะมองหน้าคนนั่งตรงกันข้าม กระทั่งได้ยินเสียงถอนหายใจจึงเผลอตัวจ้องมอง
แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ครองขวัญรู้สึกราวกับถูกไฟช๊อตยามสานสบกับดวงตาคมเข้มสีนิลคู่นั้น
“ขอโทษนะครับที่มาช้า ก่อนจะมาถึงนี่มีอุบัติเหตุรถชนกันเลยทำให้รถติดมากเป็นพิเศษ”
“ค่ะ”
ณ เวลานั้น ครองขวัญรู้สึกราวกับเธอกลับไปเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ที่ต้องเผชิญกับคนแปลกหน้า ทั้งตื่นเต้นและทำตัวไม่ถูก ไม่ทันสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจับตามองเธอเหมือนจะประเมินบางอย่าง
“คุณอยากทานอะไรไหมคะ ฉันจะไปสั่งให้”
หญิงสาวเสนอตัวเพราะอยากขอเวลาเพื่อขจัดความรู้สึกอึดอัดขัดเขิน แต่เหมือนชายหนุ่มรู้ทัน
“ไม่เป็นไรครับ ผมจัดการเองดีกว่า”
เมื่อชายหนุ่มลุกออกไปจากที่นั่ง ครองขวัญก็ลอบผ่อนลมหายใจ
ใช่ว่าที่ผ่านมาเธอไม่เคยต้องอยู่กับคนแปลกหน้า หลายปีที่ผ่านมาจากการได้พบปะนักอ่านที่แวะเวียนมาหาในงานหนังสือทำให้เธอเริ่มคุ้นชินกับการได้พบและพูดคุยกับผู้คน เพียงแต่ไม่เคยมีใครทำให้เธอทั้งอึดอัดและขัดเขินเหมือนอย่างผู้ชายคนนี้
ยิ่งนึกถึงตอนที่สบตากัน ครองขวัญก็รู้สึกตะครั่นตะครอราวกับจะเป็นไข้
กว่าชายหนุ่มจะกลับมาที่โต๊ะอีกครั้งพร้อมกับกาแฟร้อน ครองขวัญก็ปรับความรู้สึกของตัวเองให้เป็นปกติได้แล้ว
“ขอโทษ ผมลืมไปว่ายังไม่ได้แนะนำตัวเอง”
ครองขวัญยิ้มกว้างอย่างนึกขำเมื่อเห็นชายหนุ่มส่ายหน้าช้า ๆ หลังจบคำพูดราวกับนึกอ่อนใจตนเอง และเพราะไม่กล้าสบตาด้วยนานจึงทำให้ไม่ทันเห็นว่าอีกฝ่ายทีท่าชะงักงันไปเล็กน้อย
“ผมชื่อนินนาท ยินดีที่ได้รู้จัก”
“ฉันชื่อครองขวัญค่ะ”
“อ้าว! ไม่ใช่มนต์อักษรหรือ”
ถึงตอนนี้ครองขวัญก็ยิ้มมากขึ้น ก่อนชี้แจงด้วยน้ำเสียงติดหัวเราะ โดยลืมเรื่องบางอย่างเสียสนิท
“ชื่อนั้นเป็นนามปากกาที่ใช้เขียนหนังสือค่ะ ส่วนครองขวัญคือชื่อจริงของฉัน”
“ขอโทษที ผมไม่ทราบเลย”
วูบนั้น หญิงสาวจึงเพิ่งนึกออก
เป็นไปได้หรือที่นักอ่านหรือแฟนนิยายจะไม่รู้ว่าชื่อของนักเขียนส่วนใหญ่เป็นแค่นามปากกาที่ตั้งขึ้นมาสำหรับงานเขียน และส่วนมากไม่ใช่ชื่อจริง
ความหวาดระแวงพลันเข้ามาเกาะกุมจิตใจ เสี้ยวหนึ่งในใจผลักดันให้ตั้งคำถาม
“นอกจากฉัน คุณเป็นแฟนนิยายนักเขียนคนไหนบ้างคะ”
ครองขวัญเห็นเขานิ่วหน้าครู่หนึ่ง ก่อนให้คำตอบขณะหรุบตาลงมองถ้วยกาแฟตรงหน้า
“ไม่มี”
คำตอบนั้นฟังกำกวมในความรู้สึกอย่างประหลาด
“ไม่มีสักคนเลยหรือคะ”
หญิงสาวยังคงถามย้ำ หากคำตอบที่ได้ก็เหมือนยิ่งเพาะเชื้อความระแวงลงในจิตใจ
“ครับ”
เธอควรภูมิใจหรือเปล่าที่ผู้ชายคนนี้เป็นแฟนนิยายของเธอเพียงคนเดียว
“แล้ว...คุณได้อ่านนิยายเรื่องล่าสุดของฉันหรือยังคะ”
“ยังครับ”
เมื่อดูจากคิ้วเข้มที่ยิ่งขมวดเข้าหากัน อีกทั้งคำตอบที่ได้ก็สุดแสนสั้นทำให้ครองขวัญพลอยหมดกะจิตกะใจซักถาม
“ผมขอเบอร์โทร. คุณได้ไหม”
หลังจากนิ่งไปครู่ราวกับถูกสต๊าฟ ครองขวัญจึงเพิ่งหาเสียงตัวเองเจอ
“เบอร์โทร. หรือคะ”
“ใช่” หลังจากเงียบไปครู่พลางจับจ้องท่าทีอึ้งงันของหญิงสาว ชายหนุ่มก็เลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นสูง “หวังว่าคุณคงไม่รังเกียจ”
เจอคำพูดนี้เข้าไป ครองขวัญก็ไม่รู้จะปฏิเสธยังไงนอกจากยอมทำตัวว่าง่าย
ราวกับว่านั่นคือภารกิจที่ได้รับมอบหมาย เพราะหลังจากได้สิ่งที่ต้องการแล้วชายหนุ่มก็บอก
“ต้องขอโทษด้วย พอดีเพิ่งนึกได้ว่ามีธุระ เอาเป็นว่าเราค่อยนัดเจอกันใหม่นะครับ”
นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่ครองขวัญได้ยินก่อนเฝ้ามองตามอีกฝ่ายซึ่งลุกออกจากที่นั่งแล้วเดินออกไป ด้วยความรู้สึกในใจที่ทั้งสับสนและกังขา
********************************************************************
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ
สำหรับตอนต่อไป ไว้เจอกันอาทิตย์หน้านะคะ
คุณปลาวาฬสีน้ำเงิน - คราวที่แล้วคลาดกัน แต่ตอนนี้ได้เจอกันแล้วค่ะ
ครองขวัญนึกแปลกใจเมื่อเห็นกอบบุญกลับมาด้วยสีหน้าบูดบึ้ง แถมยังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางพึมพำว่าอยากฆ่าคน ด้วยไม่ไว้ใจและคิดว่าสถานการณ์ไม่ปลอดภัยนัก เธอจึงตัดสินใจสงบปากสงบคำไม่ซักถามทั้งที่นึกสงสัย
กระทั่งครึ่งชั่วโมงต่อมา เมื่อแฟนคลับคนพิเศษปรากฏตัว
“พี่ขวัญ สวัสดีค่ะ”
ครองขวัญยิ้มรับสาวน้อยหน้าใสที่ส่งเสียงและยิ้มมาให้ตั้งแต่ยังเดินมาไม่ถึง ไม่ทันเห็นว่ากอบบุญหันมามองทันที
“ยายตัวดี!”
น้ำเสียงที่เหมือนคำรามนั้นดึงความสนใจทั้งจากครองขวัญและนาวิตา ก่อนที่ฝ่ายหลังจะเบิกตากว้างแล้วตามด้วยคำพูดบาดใจคนฟัง
“นาย! ไอ้ขโมยหัวใส!”
“โว้ย! บอกแล้วไงว่าฉันไม่ใช่ขโมย ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือ!”
ครองขวัญมองคนทั้งคู่อย่างไม่ค่อยเข้าใจนักกับท่าทีเหมือนจะกินเลือดกินเลือดของกอบบุญและสีหน้างอง้ำของนาวิตาที่บอกชัดว่าเจอเรื่องไม่สบอารมณ์
“มีเรื่องอะไรกันคะ”
หญิงสาวตัดสินใจถามญาติหนุ่ม ซึ่งไม่ผิดหวังกับคำตอบที่ได้รับอย่างรวดเร็ว
“ก็ยายนี่นะสิ มาหาว่าพี่เป็นขโมย”
“อะไรนะ!”
ยังไม่หายจากตกใจ ครองขวัญก็หันไปมองนาวิตาเมื่อได้ยินคำบอก
“พี่ขวัญ ผู้ชายคนนี้คิดจะขโมยกระเป๋าของนาค่ะ”
“ว่าไงนะ!”
ครองขวัญอุทานเป็นรอบสอง ทั้งงงและตั้งตัวไม่ติด
“พี่ขวัญถูกนายคนนี้ขโมยของอะไรไปบ้างคะ ไม่ต้องกลัวค่ะเดี๋ยวนาจะไปตามรปภ. มาให้ คราวนี้ล่ะจะมาแก้ตัวว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดไม่ได้อีกแล้ว”
คำพูดตอนท้ายของนาวิตาแฝงความมุ่งมั่นไม่ต่างจากแววตาวาวจ้าที่จับจ้องคู่กรณี ซึ่งก็ได้รับการมองกลับอย่างเอาเรื่องจากกอบบุญเช่นกัน
เห็นการปะทะกันทางสายตาของหนุ่มสาว ครองขวัญจึงคิดจะไกล่เกลี่ย
“พี่ว่า...คงเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันจริง ๆ ล่ะหนูนา”
“เข้าใจผิดเรื่องอะไรคะพี่ขวัญ”
ครองขวัญยิ้มอย่างนึกเห็นใจ ไม่นึกโทษนาวิตาต่อความเข้าใจผิดของอีกฝ่ายด้วยรู้นิสัยของกอบบุญ บ่อยครั้งที่ญาติผู้พี่ของเธอมักทำให้คนรอบข้างเข้าใจผิด ด้วยนิสัยค่อนข้างโผงผางและคำพูดคำจาที่บางครั้งไม่ได้ใคร่ครวญให้ดีทำให้มีหลายหนสร้างความไม่พอใจให้ใครต่อใครจนกลายเป็นความไม่ชอบหน้า
“หนูนา คนคนนี้ไม่ใช่ขโมยหรอกค่ะ เขาเป็นพี่ชายของพี่เองชื่อกอบบุญ”
“ขอโทษ”
สีหน้าหงอย ๆ ของนาวิตายามออกปากนั้นไม่ได้ทำให้ความรู้สึกของกอบบุญดีขึ้น ตรงกันข้ามชายหนุ่มยิ่งหัวเสียเมื่อหวนนึกถึงตอนเจอกันแล้วถูกหญิงสาวตั้งข้อหาจนทำให้เขาถูกควบคุมตัวและโดนสอบปากคำอีกพักใหญ่
“พี่กอบ หนูนาขอโทษแล้วนะคะ”
กอบบุญดึงตัวเองออกจากความคิดคำนึงเมื่อได้ยินคำพูดของครองขวัญ เห็นสีหน้าไม่ค่อยดีก็นึกเดาได้ว่าญาติผู้น้องคงไม่สบายใจ
หลังจากถอนหายใจแรง ๆ ชายหนุ่มก็ยกมือขึ้นกอดอกแล้วขานรับเสียงในลำคอโดยไม่ทันนึกว่าท่าทีของเขาอาจสร้างความเข้าใจผิดหรือก่อให้เกิดความหมั่นไส้ขึ้นได้กับใครบางคน
“แล้วนี่จะกลับกันหรือยัง ตารางแจกลายเซ็นแกถึงบ่ายสองไม่ใช่หรือ นี่มันเลยมาครึ่งชั่วโมงแล้วนะ”
กอบบุญหันไปพูดกับน้องสาวโดยไม่ได้ให้ความสนใจกับหญิงสาวอีกคน จึงไม่ทันเห็นสีหน้างอง้ำของอีกฝ่าย
“กลับก็ได้ค่ะพี่กอบ แต่ขวัญขอไปบอกพวกพี่ ๆ ก่อนนะ” ครองขวัญบอกก่อนหันไปพูดยิ้ม ๆ กับนาวิตา “หนูนา รอพี่ก่อนนะ”
“ขี้เก๊ก!”
แค่คล้อยหลังครองขวัญ คำพูดนั้นก็ลอยมาเข้าหูจนกอบบุญต้องหันไปมองอย่างเอาเรื่อง แต่เห็นเพียงใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วยังไม่มองเขาอีก แต่ชายหนุ่มก็ไม่ยอมปล่อยผ่าน
“เมื่อกี้พูดว่าอะไร”
“คะ”
น้ำเสียงที่ใช้แทนการตั้งคำถาม อีกทั้งสีหน้าแววตาที่ราวกับไม่เข้าใจใด ๆ นั้นไม่อาจหลอกกอบบุญได้ ชายหนุ่มขบเขี้ยวเคี้ยวฟันครู่หนึ่ง กำลังจะอ้าปากจังหวะนั้นครองขวัญก็เดินกลับเข้ามาสมทบ
“หนูนา มีธุระจะไปไหนต่อหรือเปล่า ถ้าไม่มีก็ไปด้วยกัน พี่ตั้งใจว่าจะเลี้ยงข้าวหนูนาสักมื้อ” บอกกับนาวิตาแล้ว ครองขวัญก็หันไปยิ้มประจบกอบบุญ “พี่กอบ เดี๋ยวเราแวะหาอะไรกินกันก่อนกลับบ้านนะ”
กอบบุญยังไม่ทันขยับปาก คนข้างตัวครองขวัญก็แทรกขึ้นอย่างรวดเร็ว
“นาขอเป็นโอกาสหน้านะคะ ยังอยากแวะดูหนังสือที่บูทอื่นต่ออีก”
หลังจากเงียบไปนิด เจ้าตัวจึงพูดต่อ
“วันนี้มีคนมาขอลายเซ็นพี่ขวัญเยอะไหมคะ”
“ก็พอสมควรจ้ะ”
“แล้ว...”
ท่าทีอึกอักของนาวิตาคงสร้างความรำคาญให้กับกอบบุญจนแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงเข้มขุ่น
“จะคุยกันอีกนานไหม จะได้กลับก่อน”
ครองขวัญเริ่มทำหน้าไม่ถูกในขณะที่นาวิตาหน้าหงิกงอ
“เอ่อ...งั้นไว้คุยกันวันหลังนะหนูนา”
ครองขวัญบอกด้วยสีหน้าจืดเจื่อน
“ค่ะ”
นาวิตาขานรับ หากไม่วายปรายตามองกอบบุญอย่างเคือง ๆ
ขณะมองตามคนทั้งสองที่กำลังเดินจากไปนาวิตาก็ยังนึกโมโหกอบบุญ หากเมื่อทั้งคู่หายลับไปจากสายตาแล้วหญิงสาวก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่จาการนึกเรื่องบางอย่าง
สองอาทิตย์ผ่านไปแล้วนับจากงานหนังสือ และเป็นสองอาทิตย์ที่ครองขวัญไม่มีสมาธิกับงานเขียนเหมือนเคยเพราะใจคอยจดจ่อถึงคนที่เงียบหาย...Rakkun
นับจากวันนั้น เขาไม่ได้ติดต่อมาหาเธออีกเลย
เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า
บ่อยครั้งที่หญิงสาวถามกับตัวเอง ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมานั่งนึกถึงแฟนนิยายคนนี้ทั้งที่ยังไม่เคยเจอ กระทั่งสุดท้ายก็ทนไม่ไหวต้องส่งข้อความไปทักถามเมื่อวันก่อน
แต่ถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีข้อความตอบกลับมา
หญิงสาวเหม่อมองคอมพิวเตอร์เบื้องหน้า ก่อนถอนหายใจ
“เป็นอะไรวะไอ้ขวัญ ถอนหายใจซะดัง”
ครองขวัญยิ้มรับ พลางคิดหาคำแก้ตัวเพื่อไม่ให้กอบบุญนึกสงสัย
“ขวัญ...แต่งตอนใหม่ไม่ออกน่ะ ก็เลยเบื่อ”
“แล้วไป ฉันนึกว่าแกกำลังใจลอยนึกถึงหนุ่มคนไหนอยู่ซะอีก”
คำพูดจี้ใจนั้นทำให้หญิงสาวยิ้มไม่ออก พอรู้อยู่ว่าในสายตาของกอบบุญเธอเป็นพวกช่างฝันที่เอาแต่คิดเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ แล้วก็นั่งฝันหวานไปวัน ๆ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ค่อยชอบใจนักกับมุมมองของญาติผู้พี่
กอบบุญคงคิดว่า คนหัวอ่อนและชอบเชื่อคนง่ายอย่างเธอคงเอาแต่เฝ้าฝันว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิงในนิยายที่สักวันจะมีเจ้าชายรูปงามขี่ม้าขาวมารับ
“ถ้าสมองตัน งั้นออกไปตีแบดฯ กันไหม ได้ออกแรงขับเหงื่อเผื่อบางทีจะช่วยให้สมองโปร่งคิดอะไรลื่นไหล”
หญิงสาวส่ายหน้าหวือกับข้อเสนอนั้น บ่อยครั้งเมื่อกอบบุญรู้ว่าเธอเกิดอาการสมองตันเขาก็มักเสนอทางเลือกนี้ ทำราวกับเกรงว่าจะไม่คุ้มค่าสมาชิกที่ตัวเองสมัครไว้กับสนามแบดมินตันซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านนัก
หลังจากเฝ้าคะยั้นคะยออีกครู่ ในที่สุดกอบบุญก็ยอมแพ้
ครองขวัญถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อกอบบุญยอมผละไป ถึงรู้ว่ากอบบุญก็เหมือนลุงกับป้าที่ห่วงคนซึ่งเปรียบเสมือนกบในกะลาอย่างเธอ แต่หลายครั้งความห่วงใยของชายหนุ่มก็ทำให้เธออึดอัด
ความสนใจของหญิงสาวถูกหันเหเมื่อเห็นข้อความที่ผุดขึ้นทางหน้าจอคอมพิวเตอร์ หัวใจเต้นแรงจนเผลอยิ้มเมื่อเห็นว่าข้อความถูกส่งมาจากใคร
ราวบ่ายวันต่อมาซึ่งเป็นวันอาทิตย์ ครองขวัญก็เข้ามานั่งอยู่ในร้านกาแฟและเบเกอรี่แห่งหนึ่งด้วยความรู้สึกตื่นเต้นและกระวนกระวาย
ยอมรับว่าถึงตอนนี้เธอยังรู้สึกผิดอยู่บ้างที่ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับกอบบุญ
หญิงสาวหวนนึกถึงเย็นวานตอนที่ได้รับข้อความจาก Rakkun
ตอนนั้นเธอดีใจมากที่เขาติดต่อกลับมาพร้อมกับคำขอโทษที่วันนั้นรีบกลับก่อน และเมื่อเขาแสดงความต้องการว่าอยากแก้ตัวด้วยการขอนัดพบเธออีกครั้งในวันนี้ เธอจึงตอบตกลงโดยไม่ลังเล
แวบแรกครองขวัญคิดจะบอกเรื่องนัดหมายกับกอบบุญ แต่เหมือนมีบางอย่างดลใจไม่ให้เธอปริปากแล้วตัดสินใจมาตามลำพัง
นี่ก็กลางวันแสก ๆ แถมยังมีคนตั้งมากมาย คงไม่มีอันตรายอะไรหรอก
ครองขวัญบอกกับตัวเองอย่างต้องการปลุกปลอบเศษเสี้ยวลึก ๆ ที่หวาดหวั่นอยู่บ้าง
หญิงสาวเหลือบมองเวลาบนนาฬิกาข้อมือแวบหนึ่งด้วยความกังวลเมื่อเห็นว่าเลยเวลานัดไปเกือบครึ่งชั่วโมง อดคิดไม่ได้ว่าหรือเธอจะมารอเก้อ
ขณะกำลังก้มหน้าเพื่อจะตักเค้กส้มเข้าปาก เงาหม่นที่พาดผ่านเข้ามาก็ดึงความสนใจให้ต้องแหงนเงยขึ้นมอง ยามมองเข้าไปในดวงตาคมเข้มสีดำจัดคู่นั้น ครองขวัญเชื่อว่าเธอกำลังถูกดึงดูดด้วยพลังงานบางอย่าง หัวใจเต้นแรงจนน่ากลัวว่าจะทะลุออกมานอกอก ก่อนเปลี่ยนเป็นกระตุกวูบในวินาทีที่ได้ยินน้ำเสียงทุ้ม
“สวัสดีครับ ผม...Rakkun ครับ”
วูบนั้น ครองขวัญคิดว่าสิ่งที่เธอเฝ้าอธิษฐานมานานกำลังกลายเป็นจริง
ในที่สุดก็มีคนมาสารภาพรักกับเธอ!
“ช่วยพูดใหม่อีกครั้งได้ไหมคะ”
ในขณะที่หญิงสาวตกอยู่ในห้วงฝัน ชายหนุ่มคงรู้สึกต่างกันเมื่อดูจากอาการขมวดคิ้ว
“ขอโทษ ผมไม่คิดว่าคุณจะหูตึง”
ราวกับมีใครสักคนเอาเข็มมาจิ้มลูกโป่งสวย ๆ ที่เธอกำลังถือ และมันก็ดับภาพฝันอันงดงามในใจจนหมดสิ้น
“เอ่อ...อะไรนะคะ...คุณ...”
“ผม Rakkun ครับ”
ครองขวัญร้อนผ่าวไปทั้งหน้า เมื่อคิดว่าเริ่มเข้าใจแล้ว
“คุณ...ชื่อรักคุณ ไม่ใช่ชื่อแรคคูนหรอกหรือคะ”
หญิงสาวเห็นชายหนุ่มมีทีท่าอึ้งงัน ก่อนตามด้วยสีแดงจางบนโหนกแก้มที่ทำให้นึกสงสัยว่าเกิดจากความอายหรือโกรธกันแน่
“ขอโทษ แรคคูนครับ”
วินาทีนั้น ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่กำลังสับสน
ครองขวัญถอนหายใจเบา ๆ อย่างนึกเสียดาย วูบนั้นนึกกระดากจนไม่กล้าสบตาด้วย
“ขอนั่งด้วยนะครับ”
“เอ่อ...เชิญค่ะ”
หญิงสาวโมโหตัวเองที่เกิดความรู้สึกประหม่าจนส่งผลให้เหมือนคนติดอ่าง กระนั้นก็ยังไม่กล้าพอจะมองหน้าคนนั่งตรงกันข้าม กระทั่งได้ยินเสียงถอนหายใจจึงเผลอตัวจ้องมอง
แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ครองขวัญรู้สึกราวกับถูกไฟช๊อตยามสานสบกับดวงตาคมเข้มสีนิลคู่นั้น
“ขอโทษนะครับที่มาช้า ก่อนจะมาถึงนี่มีอุบัติเหตุรถชนกันเลยทำให้รถติดมากเป็นพิเศษ”
“ค่ะ”
ณ เวลานั้น ครองขวัญรู้สึกราวกับเธอกลับไปเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ที่ต้องเผชิญกับคนแปลกหน้า ทั้งตื่นเต้นและทำตัวไม่ถูก ไม่ทันสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจับตามองเธอเหมือนจะประเมินบางอย่าง
“คุณอยากทานอะไรไหมคะ ฉันจะไปสั่งให้”
หญิงสาวเสนอตัวเพราะอยากขอเวลาเพื่อขจัดความรู้สึกอึดอัดขัดเขิน แต่เหมือนชายหนุ่มรู้ทัน
“ไม่เป็นไรครับ ผมจัดการเองดีกว่า”
เมื่อชายหนุ่มลุกออกไปจากที่นั่ง ครองขวัญก็ลอบผ่อนลมหายใจ
ใช่ว่าที่ผ่านมาเธอไม่เคยต้องอยู่กับคนแปลกหน้า หลายปีที่ผ่านมาจากการได้พบปะนักอ่านที่แวะเวียนมาหาในงานหนังสือทำให้เธอเริ่มคุ้นชินกับการได้พบและพูดคุยกับผู้คน เพียงแต่ไม่เคยมีใครทำให้เธอทั้งอึดอัดและขัดเขินเหมือนอย่างผู้ชายคนนี้
ยิ่งนึกถึงตอนที่สบตากัน ครองขวัญก็รู้สึกตะครั่นตะครอราวกับจะเป็นไข้
กว่าชายหนุ่มจะกลับมาที่โต๊ะอีกครั้งพร้อมกับกาแฟร้อน ครองขวัญก็ปรับความรู้สึกของตัวเองให้เป็นปกติได้แล้ว
“ขอโทษ ผมลืมไปว่ายังไม่ได้แนะนำตัวเอง”
ครองขวัญยิ้มกว้างอย่างนึกขำเมื่อเห็นชายหนุ่มส่ายหน้าช้า ๆ หลังจบคำพูดราวกับนึกอ่อนใจตนเอง และเพราะไม่กล้าสบตาด้วยนานจึงทำให้ไม่ทันเห็นว่าอีกฝ่ายทีท่าชะงักงันไปเล็กน้อย
“ผมชื่อนินนาท ยินดีที่ได้รู้จัก”
“ฉันชื่อครองขวัญค่ะ”
“อ้าว! ไม่ใช่มนต์อักษรหรือ”
ถึงตอนนี้ครองขวัญก็ยิ้มมากขึ้น ก่อนชี้แจงด้วยน้ำเสียงติดหัวเราะ โดยลืมเรื่องบางอย่างเสียสนิท
“ชื่อนั้นเป็นนามปากกาที่ใช้เขียนหนังสือค่ะ ส่วนครองขวัญคือชื่อจริงของฉัน”
“ขอโทษที ผมไม่ทราบเลย”
วูบนั้น หญิงสาวจึงเพิ่งนึกออก
เป็นไปได้หรือที่นักอ่านหรือแฟนนิยายจะไม่รู้ว่าชื่อของนักเขียนส่วนใหญ่เป็นแค่นามปากกาที่ตั้งขึ้นมาสำหรับงานเขียน และส่วนมากไม่ใช่ชื่อจริง
ความหวาดระแวงพลันเข้ามาเกาะกุมจิตใจ เสี้ยวหนึ่งในใจผลักดันให้ตั้งคำถาม
“นอกจากฉัน คุณเป็นแฟนนิยายนักเขียนคนไหนบ้างคะ”
ครองขวัญเห็นเขานิ่วหน้าครู่หนึ่ง ก่อนให้คำตอบขณะหรุบตาลงมองถ้วยกาแฟตรงหน้า
“ไม่มี”
คำตอบนั้นฟังกำกวมในความรู้สึกอย่างประหลาด
“ไม่มีสักคนเลยหรือคะ”
หญิงสาวยังคงถามย้ำ หากคำตอบที่ได้ก็เหมือนยิ่งเพาะเชื้อความระแวงลงในจิตใจ
“ครับ”
เธอควรภูมิใจหรือเปล่าที่ผู้ชายคนนี้เป็นแฟนนิยายของเธอเพียงคนเดียว
“แล้ว...คุณได้อ่านนิยายเรื่องล่าสุดของฉันหรือยังคะ”
“ยังครับ”
เมื่อดูจากคิ้วเข้มที่ยิ่งขมวดเข้าหากัน อีกทั้งคำตอบที่ได้ก็สุดแสนสั้นทำให้ครองขวัญพลอยหมดกะจิตกะใจซักถาม
“ผมขอเบอร์โทร. คุณได้ไหม”
หลังจากนิ่งไปครู่ราวกับถูกสต๊าฟ ครองขวัญจึงเพิ่งหาเสียงตัวเองเจอ
“เบอร์โทร. หรือคะ”
“ใช่” หลังจากเงียบไปครู่พลางจับจ้องท่าทีอึ้งงันของหญิงสาว ชายหนุ่มก็เลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นสูง “หวังว่าคุณคงไม่รังเกียจ”
เจอคำพูดนี้เข้าไป ครองขวัญก็ไม่รู้จะปฏิเสธยังไงนอกจากยอมทำตัวว่าง่าย
ราวกับว่านั่นคือภารกิจที่ได้รับมอบหมาย เพราะหลังจากได้สิ่งที่ต้องการแล้วชายหนุ่มก็บอก
“ต้องขอโทษด้วย พอดีเพิ่งนึกได้ว่ามีธุระ เอาเป็นว่าเราค่อยนัดเจอกันใหม่นะครับ”
นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่ครองขวัญได้ยินก่อนเฝ้ามองตามอีกฝ่ายซึ่งลุกออกจากที่นั่งแล้วเดินออกไป ด้วยความรู้สึกในใจที่ทั้งสับสนและกังขา
********************************************************************
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ
สำหรับตอนต่อไป ไว้เจอกันอาทิตย์หน้านะคะ
คุณปลาวาฬสีน้ำเงิน - คราวที่แล้วคลาดกัน แต่ตอนนี้ได้เจอกันแล้วค่ะ
ปิยะณัฏฐ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 ก.พ. 2559, 08:02:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 ก.พ. 2559, 08:02:18 น.
จำนวนการเข้าชม : 1040
<< บทที่ 2 | บทที่ 4 >> |