มนต์อักษรอ้อนรัก

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 4

บทที่ 4


หลังจากวันที่พบกับนินนาท ครองขวัญรู้สึกเหมือนถูกเขาทิ้งคำถามเอาไว้ในใจ

ถึงตอนนี้ความตื่นเต้นดีใจจากการรู้ว่ามีแฟนนิยายเป็นผู้ชายเริ่มจางหายแล้วแทนที่ด้วยความสงสัย

นินนาท

ผู้ชายคนนั้นให้ภาพตรงกันข้ามกับที่เคยวาดไว้ในใจ

ดวงตาคมเข้มเป็นประกายนั้นเหมือนมีแรงดึงดูด ไม่นับรวมบุคลิกลักษณะที่ไม่น่าจะเป็นคนชอบอ่านนิยายเพ้อฝัน หรือหากมีหนังสือบางเล่มที่เขาอ่านก็น่าจะเป็นแนวจิตวิทยาหรือไม่ก็บริหารจัดการ

แต่เขาก็บอกแล้วนี่ว่าเป็นแฟนนิยายของเธอ

ความเป็นคนหัวอ่อนและเชื่อคนง่าย ทำให้ครองขวัญเริ่มไขว้เขว

พอ ๆ เลิกคิดได้แล้ว

หญิงสาวเอ็ดตัวเอง ก่อนเริ่มต้นตั้งสมาธิให้จดจ่ออยู่กับการแต่งนิยายต่อไป


“ไง หมอนั่นยังนัดเจอแกอีกไหม”

สามวันต่อมา ครองขวัญก็ได้รับคำถามนั้นจากกอบบุญเมื่อเปลี่ยนบรรยากาศมานั่งแต่งนิยายในศาลาไม้ใกล้บึงน้ำด้านหลังบ้าน

เพราะเข้าใจได้ทันทีว่ากอบบุญหมายถึงใคร ครองขวัญจึงหลบตาเพราะเกรงหลุดพิรุธ

“ไม่ค่ะ”

“ดีแล้ว ถ้าไอ้แฟนคลับคนนั้นของแกยังมาขอนัดเจออีกก็อย่าลืมละว่าต้องมาบอกฉันทุกครั้ง แล้วที่สำคัญ...ห้ามไปเจอหมอนั่นตามลำพังเด็ดขาด!”

หญิงสาวเกือบสะดุ้งกับน้ำเสียงเข้มจัดในตอนท้าย ความกลัวจะถูกจับได้ว่าเคยขัดคำสั่งจึงกลบเกลื่อนด้วยการพูดเสียงดังเหมือนไม่พอใจ

“รู้แล้วล่ะน่า พี่กอบจะไปไหนก็ไปเถอะอย่าเพิ่งมากวน ขวัญไม่มีสมาธิจะแต่งนิยาย”

“เออ ๆ ฉันไปก็ได้”

คล้อยหลังกอบบุญที่เดินห่างออกไป ครองขวัญก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

ทว่า เย็นวันนั้นนินนาทก็ส่งข้อความมาว่าอยากนัดพบเธอ หลังจากชั่งใจอยู่ครู่ใหญ่ครองขวัญจึงตัดสินใจส่งข้อความตอบกลับไป


วันถัดมาราวสิบเอ็ดโมง ครองขวัญก็มาถึงห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง

เพราะความกลัวและไม่อยากแจ๊คพอตเจอกับกอบบุญหากเขาเกิดนึกอยากมาเดินเล่นที่ห้างฯ แถวบ้าน ครองขวัญจึงตัดสินใจเลือกห้างฯ นี้แทนทั้งที่อยู่คนละเส้นทางกับบ้าน แต่กว่าจะออกจากบ้านมาได้ก็ยังเสียเวลาไม่น้อยไปกับการตอบคำถามของญาติผู้พี่

ทั้งที่ลุงกับป้าไม่เคยเข้มงวดเวลาเธอจะออกไปไหน แต่กอบบุญกลับทำตัวเหมือนเป็นพ่อคนที่สองของเธอมากกว่าจะเป็นแค่พี่ชายเมื่อทั้งซักถามและคาดคั้นถึงเวลาจะกลับเข้าบ้าน

กว่าจะหลุดด่านของกอบบุญมาได้ก็ทำเอาเหนื่อยใจ

เมื่อเห็นว่ายังมีเวลาครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงกำหนดที่นัดไว้กับนินนาท ครองขวัญจึงแวะเข้าร้านหนังสือซึ่งอยู่ถัดลงมาอีกสองชั้น ขณะกำลังเพลิดเพลินกับการเลือกดูหนังสือ น้ำเสียงสดใสคุ้นหูก็ดังขึ้น

“พี่ขวัญ สวัสดีค่ะ”

“หนูนา บังเอิญจัง มาทำอะไรที่นี่”

นาวิตาทำตาวิบวับเหมือนคนมีลับลมคมใน ก่อนบอกเสียงเบา

“นาแอบตามพี่ชายมาค่ะเพราะรู้ว่าวันนี้เขามีนัดกับสาว” เงียบไปนิดเมื่อเจ้าตัวเบ้หน้าก่อนพูดต่ออย่างไม่ชอบใจ “แต่ดันถูกจับได้ ก็เลยว่าจะมาเดินดูหนังสือแก้เซ็ง”

ครองขวัญยิ้มอย่างนึกขำสีหน้าของนาวิตาซึ่งดูแล้วเชื่อว่าเจ้าตัวกำลังรู้สึกอย่างที่พูดจริง ๆ แต่วินาทีต่อมารอยยิ้มก็เจื่อนจาง

“แล้วพี่ขวัญละคะ มาที่นี่เพราะมีนัดกับใครหรือเปล่า”

คำถามจี้ใจนั้นส่งผลให้ครองขวัญคิดไม่ตก เกรงว่าหากตอบตามจริงนาวิตาอาจไม่เข้าใจหรือไม่ก็พานเข้าใจผิดถ้ารู้ว่าเธอมีนัดพบกับแฟนคลับตามลำพังแล้วที่สำคัญยังเป็นผู้ชายอีกด้วย

แต่จะว่าไปเธอเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมจึงยอมรับนัดแล้วมาพบกับนินนาทอีก

“พี่...มีธุระแถวนี้น่ะ”

ครองขวัญตอบส่ง ๆ เพราะชนักในใจทำให้ไม่กล้าสบตา

“หรือคะ” นาวิตาพูดยิ้ม ๆ ก่อนยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลา “นาก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีธุระเหมือนกัน งั้นนาไม่กวนพี่ขวัญแล้วค่ะ ขอให้มีความสุขกับการทำธุระครั้งนี้นะคะ”

เพราะรู้สึกแปลกกับคำอวยพรตอนท้าย ครองขวัญจึงเพียงยกมือโบกตอบอีกฝ่ายก่อนมองตามร่างเล็ก ๆ นั้นที่กำลังกลืนหายไปกับผู้คน

ครึ่งชั่วโมงต่อมาครองขวัญก็มาถึงร้านอาหารตรงชั้นบนของห้างสรรพสินค้า ขณะกำลังจะส่งข้อความหานินนาท ชายหนุ่มก็ปรากฏตัวขึ้นโดยเธอไม่ทันเห็นว่ามาจากทิศทางไหน

“ผมเปลี่ยนใจแล้ว เราไปร้านอื่นกันเถอะ”

คำบอกนั้นมาอย่างรวดเร็วไม่ต่างจากการปรากฏตัว แต่นินนาทไม่ปล่อยให้ครองขวัญได้ทักท้วงเมื่อแตะข้อศอกของหญิงสาวแล้วบังคับกลาย ๆ ให้ก้าวตาม

ในตอนแรกครองขวัญคิดว่านินนาทคงจะเปลี่ยนไปทานอาหารร้านอื่นแต่ยังคงอยู่ในห้างสรรพสินค้า มารู้ว่าเข้าใจผิดก็เมื่อเดินตามชายหนุ่มเข้ามาในลานจอดรถ

“เราจะไปไหนกันคะ”

ความไม่ไว้ใจทำให้ครองขวัญไม่ยอมขึ้นไปบนรถตามที่นินนาทเปิดประตูไว้ให้ แต่เหมือนชายหนุ่มเดาได้

“ไม่ต้องกลัว ผมไม่ได้คิดร้ายกับคุณ”

คำพูดที่แฝงความจริงจังในน้ำเสียงนั้นเสมือนเป็นคาถาปัดเป่าความหวาดหวั่นในใจจนครองขวัญยอมก้าวขึ้นรถ กระนั้นแวบหนึ่งก็ยังอดคิดไม่ได้

หากกอบบุญรู้ว่าเธอยอมขึ้นรถมากับผู้ชายแปลกหน้า เขาคงไม่แค่บ่นเธอจนหูชาแต่คงคิดหากรงมาขังเอาไว้แน่!

สวนอาหารแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากห้างสรรพสินค้าคือสถานที่ที่นินนาทขับรถเข้าไป

“คุณน่าจะชอบอาหารของร้านนี้มากกว่า”

นั่นคือคำพูดประโยคแรกที่ชายหนุ่มพูดกับเธอนับตั้งแต่ออกมาจากห้างสรรพสินค้า หลังรับเมนูมาจากพนักงานของร้าน ชายหนุ่มก็ยื่นส่งต่อให้ผู้ร่วมโต๊ะ

“คุณสั่งเถอะค่ะเพราะดูท่าคุณจะรู้จักร้านนี้ดี”

ครองขวัญคาดเดาเมื่อนึกถึงตอนลงมาจากรถยนต์ นินนาทเดินนำเธอผ่านซุ้มประตูดอกไม้ทางเข้าของร้าน จากนั้นก็เข้ามานั่งที่โต๊ะนี้โดยไม่ได้รอพนักงาน ราวกับคุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างดี

นินนาทเพียงแต่ยิ้มก่อนรับหน้าที่สั่งอาหาร คล้อยหลังพนักงานของร้านที่รับออเดอร์ไปแล้ว ชายหนุ่มก็ตั้งคำถาม

“โกรธหรือเปล่าที่ผมเปลี่ยนร้านกะทันหัน”

“ไม่ค่ะ” หญิงสาวยิ้มก่อนพูดต่อจากใจจริง “ฉันชอบบรรยากาศเงียบสงบแบบร้านนี้มากกว่าความอึกทึกในห้างสรรพสินค้าเสียอีก”

ครองขวัญเห็นความแปลกใจที่วาบผ่านเข้ามาในดวงตาสีนิลคู่นั้น ก่อนทุกอย่างจะกลับมาเป็นปกติพร้อมกับคำถามใหม่

“นี่เป็นนิสัยอย่างหนึ่งของพวกนักเขียน หรือว่าเป็นนิสัยส่วนตัวของคุณเอง”

“ฉันก็ไม่รู้หรอกค่ะว่านักเขียนคนอื่น ๆ เขาจะเหมือนฉันหรือเปล่า แต่ฉันไม่ชอบอะไรที่มันวุ่นวาย ไม่ชอบที่ที่มีคนเยอะ ๆ แล้วก็ไม่ชอบพูดคุยกับคนแปลกหน้า”

หลังจากต่างฝ่ายต่างนิ่งกันไปพักใหญ่ นินนาทก็ทำให้ครองขวัญเริ่มให้ความสนใจเมื่อชายหนุ่มเริ่มต้นพูดความรู้สึกของตัวเอง

“ผมก็เหมือนกัน ไม่ค่อยชอบให้ใครมาวุ่นวาย เบื่อที่ต้องใส่หน้ากากเข้าหากัน แต่สุดท้ายก็คงเหมือนที่คนเขาบอก เกลียดอะไรมักได้สิ่งนั้น ทุกวันนี้ผมต้องเผชิญกับผู้คนมากมาย บางครั้งก็จำเป็นต้องไปร่วมงานสังสรรค์ที่ไม่ได้อยากไป และบ่อยครั้งที่ต้องใส่หน้ากากยิ้มแย้มทั้งที่ใจจริง...นึกเบื่อเต็มที”

ถึงแม้นินนาทจะยิ้ม แต่ครองขวัญก็ยังสัมผัสได้ถึงความรู้สึกหม่นหมองจนนึกเห็นใจ

“แต่ฉันคิดว่า บางครั้งคนเราก็จำเป็นต้องทำในสิ่งที่ไม่ชอบหรือไม่อยากทำเพราะมีสิ่งสำคัญหรือคนสำคัญที่อยากปกป้อง ฉันเชื่อว่าคุณเองก็ต้องมีสิ่งสำคัญหรือคนสำคัญใช่ไหมคะ คุณถึงยอมฝืนใจทำบางอย่างแม้ว่าบางทีอาจทำให้ตัวคุณเองไม่มีความสุข”

“ความสุข” ชายหนุ่มทวนคำพลางเปิดยิ้มที่ส่งไปไม่ถึงดวงตา “บางทีผมก็เคยคิดนะ การใช้ชีวิตกับความสุข ดูเหมือนมันถูกกำหนดมาให้เป็นเส้นขนานจนเหมือนไม่มีวันมาบรรจบกัน”

“ไม่หรอกค่ะ ฉันเชื่อว่าเราสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ เพียงแค่...เปิดใจ”

ครองขวัญยิ้มเมื่อเห็นแววตาของนินนาท พอเดาออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

“คุณคงคิดว่าฉันเป็นพวกเพ้อฝันที่วัน ๆ คิดหรือพูดแต่สิ่งสวยงาม ไม่ได้มองโลกแบบความเป็นจริง ใช่ไหมคะ”
แวบหนึ่งหญิงสาวเชื่อว่าเห็นความละอายใจในแววตาของชายหนุ่มแต่ไม่นึกโกรธหรือไม่พอใจ จะว่าไปเธอชินเสียแล้ว ตั้งแต่ตัดสินใจยึดอาชีพนักเขียนนิยายเธอก็ถูกมองว่าเป็นแบบนั้นในสายตาของคนในครอบครัวถึงแม้ว่าไม่มีใครพูดออกมาตรง ๆ ก็ตาม

“แต่ฉันยังยืนยันนะคะว่าฉันคิดและรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ”

หญิงสาวส่งยิ้มกระจ่างให้เหมือนจะใช้รอยยิ้มปัดเป่าความหม่นหมองในหัวใจของชายหนุ่ม

“ฉันรู้ค่ะว่าอาจมีหลายคนบนโลกใบนี้ที่คงไม่เข้าใจ เหมือนอย่างคนในครอบครัวของฉันตอนที่รู้ว่าฉันตัดสินใจยึดอาชีพนักเขียนมากกว่าจะทำงานประจำที่ดูเหมือนให้ความมั่นคงกับชีวิตได้มากกว่า”

เงียบไปนิดเมื่อเจ้าตัวหวนนึกถึงอดีต กระนั้นรอยยิ้มก็ยังไม่จางหาย

“รู้ไหมคะ ฉันเคยทำให้ลุงกับป้าทั้งห่วงและไม่เข้าใจในตอนที่ฉันไม่ยอมหลับยอมนอน เอาแต่นั่งปั่นนิยายอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ แล้วบางทีก็ยังยิ้มและหัวเราะออกมาทั้งที่อยู่คนเดียว ถึงแม้ฉันเคยอธิบายให้พวกท่านฟังว่านั่นเป็นเพราะฉันมีความสุขจากการได้อ่านคอมเม้นท์ของคนอ่าน ได้รู้ถึงความรู้สึกของคนที่อ่านนิยายของฉัน มีบางครั้งฉันก็เคยถามตัวเองนะคะ ว่าทำไมถึงต้องมาทนอดหลับอดนอนเขียนเล่าเรื่องราวเพ้อฝันที่มาจากความนึกคิดและมันสมองของตัวเอง ทำไม...ต้องเสียเวลามานั่งไล่อ่านคอมเม้นท์ของคนอ่านทั้งที่เราไม่ได้รู้จักกันไม่เคยเห็นหน้า ทั้งที่บางทีสิ่งที่ได้รับก็คือคำขอบคุณหรือบางครั้งมีแค่รูปตุ๊กตาหน้ายิ้มส่งมาให้ แต่ทั้งหมดนั้นก็ยังทำให้ฉันยิ้มและหัวเราะได้”

ครองขวัญไม่รู้ตัว ยามนี้ดวงตาของเธอกำลังสะท้อนความรู้สึกในใจออกมาอย่างชัดเจนด้วยการทอประกายระยิบระยับ กระทั่งเริ่มสะดุดตาสะดุดใจคนที่กำลังจับตามองเงียบ ๆ

“เพราะฉะนั้นฉันถึงเชื่อหมดใจค่ะ ว่าแท้จริงแล้วความสุขไม่ได้อยู่ไกลเกินมือเอื้อม บางทีอาจอยู่ใกล้เรามากด้วยซ้ำ เพียงแต่เราไม่รู้และไม่เข้าใจวิธีที่จะสัมผัสมันเท่านั้นเอง”

“แล้ว...ทำยังไงเราถึงจะสัมผัสมันได้”

“เปิดใจค่ะ เพียงเปิดใจแล้วเราอาจจะแปลกใจที่พบว่า บางครั้ง...แค่การมองดอกไม้ข้างทางก็ทำให้เรามีความสุขได้แล้ว”

หัวใจครองขวัญกระตุก เมื่อพบว่านินนาทกำลังมองเธอด้วยแววตาประหลาด ราวกับมีความอบอุ่นเจือจางอยู่ในดวงตาสีนิลคู่นั้น ไม่ใช่ความว่างเปล่าเฉยชาอย่างที่เธอสัมผัสได้เมื่อครั้งแรกเจอ

หากนั่นเทียบไม่ได้เลยกับรอยยิ้มสว่างไสวที่ชายหนุ่มมอบให้ จนครองขวัญอดกลัวไม่ได้ว่าหัวใจของเธออาจจะละลายกลายเป็นควันไปในไม่กี่วินาที

“คุณบอกว่าไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้า” น้ำเสียงที่พูดออกมานั้นก่อให้เกิดความรู้สึกอุ่น ๆ ในใจได้ไม่แพ้แววตา กระนั้นคำพูดที่ตามมาก็ส่งผลให้ครองขวัญอึ้งงัน “ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้ผมก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับคุณแล้วสินะ”

“ก็...เราเจอกันเป็นครั้งที่สองแล้วนี่คะ”

หญิงสาวยิ้มอย่างพอใจกับคำตอบที่คิดได้ แต่หัวใจก็พลันเต้นแรงกับรอยยิ้มที่ชายหนุ่มส่งกลับมาให้อีกครั้ง ไม่นับรวมน้ำเสียงทุ้ม ๆ ที่ฟังแล้วละมุนละไมไม่แพ้แววตาอ่อนโยนที่ทอดมองมา

“ขอบคุณ”

คงมีเพียงนินนาทเท่านั้นที่รู้ว่าคำขอบคุณของเขากินความหมายลึกแค่ไหน

เพียงแค่เปิดใจ

ชายหนุ่มทวนกับตัวเองขณะลอบมองหญิงสาว

คนที่สมองบอกว่าไม่ใช่ บางทีอาจเป็นคนที่ใช่...สำหรับหัวใจ


หลังจากการพบกันครั้งที่สอง ความสัมพันธ์ระหว่างครองขวัญกับนินนาทก็ค่อย ๆ พัฒนา เริ่มจากทุกเช้าจะมีข้อความส่งมาจากชายหนุ่ม ถึงแม้เป็นข้อความสั้น ๆ เช่น อรุณสวัสดิ์หรือสวัสดียามเช้า แต่ก็ทำให้หัวใจของครองขวัญพองโตได้ทุกครั้ง ไม่ต่างจากยามค่ำคืนซึ่งมีถ้อยคำราตรีสวัสดิ์ที่แม้ไม่ได้อ่อนหวานจับใจ แต่ก็ทำให้หลายครั้งหญิงสาวเข้านอนพร้อมกับรอยยิ้ม

กระทั่งช่วงหลัง เมื่อข้อความแปรเปลี่ยนเป็นการพูดคุย แรกเริ่มจากการพูดคุยสั้น ๆ เช่นไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ จากนั้นจึงเริ่มเปลี่ยนเป็นการพูดคุยเรื่องทั่วไป จนครองขวัญรู้ว่านินนาทไม่ได้เป็นพนักงานบริษัทอย่างที่เธอเคยเข้าใจแต่เป็นถึงผู้บริหารของบริษัทแห่งหนึ่งที่ทำธุรกิจด้านอัญมณีและเครื่องประดับ

อาจเพราะความอาทรห่วงใยในช่วงหลังที่นินนาทแสดงออกผ่านทางคำพูดและข้อความ สร้างความอบอุ่นและเติมเต็มในใจของครองขวัญทีละนิด นานวันเข้าเธอจึงรู้สึกเหมือนการได้คุยกับนินนาทหรือได้รับข้อความจากเขากลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตไปแล้ว


“เฮ้ย! กอบ รู้เรื่องที่บริษัทรับน้องนักศึกษาฝึกงานหรือยังวะ”

แค่เข้ามาถึงห้องทำงานในตอนสาย หลังจากช่วงเช้าต้องเข้าไปตรวจงานที่ไซด์ในฐานะวิศวกรควบคุมการก่อสร้างคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง กอบบุญก็ได้ข้อมูลจากเพื่อนร่วมงาน

“เพิ่งรู้จากเอ็งนี่ล่ะ”

ชายหนุ่มบอกอย่างไม่ใส่ใจแม้นึกสงสัย ก่อนใช้มือกวาดปากกาดินสอที่วางเกลื่อนบนโต๊ะออกไปกองไว้มุมหนึ่ง จากนั้นจึงเอาแบบแปลนบ้านที่ถือไว้วางลงบนโต๊ะแล้วคลี่ออกดู แต่วินาทีถัดมาข้อสงสัยก็ถูกคลี่คลาย

“เห็นว่าเป็นคนรู้จักของพี่นพ”

คงเพราะเหตุนี้จึงทำให้นี่เป็นครั้งแรกที่มีนักศึกษามาฝึกงานที่บริษัท

กอบบุญให้ข้อสรุปกับตัวเองก่อนหวนนึกถึงบริษัทแห่งนี้ซึ่งเป็นที่ที่เขาเริ่มต้นทำงานตั้งแต่เรียนจบ

บริษัท เอ็น.โอ.พี.คอนสตรัคชั่น ทำธุรกิจออกแบบตกแต่งรวมถึงรับเหมาก่อสร้างถูกก่อตั้งเมื่อห้าปีที่แล้ว ด้วยความสัมพันธ์ส่วนตัวที่สนิทสนมกันเป็นพิเศษตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย นพรุจจึงออกปากชักชวนรุ่นน้องซึ่งก็คือเขาและวุฒิชัยให้มาทำงานด้วย

“เสียดายที่อยู่แผนกบัญชี ถ้าได้มาช่วยงานแผนกเราคงเจ๋ง หน้าตางี้โคตรน่ารักเลยเอ็ง” หลังจากทำท่าขบเขี้ยวเคี้ยวฟันครู่หนึ่ง วุฒิชัยจึงพูดต่อ “เมื่อเช้าตอนฝ่ายบุคคลพาเข้ามาแนะนำ ไอ้กรกับไอ้ต่อทำท่ากระดี๊กระด๊ากันใหญ่”

กอบบุญหัวเราะอย่างอดไม่อยู่เมื่อได้ยินเพื่อนรักพูดแขวะรุ่นน้องในแผนก ก่อนมองไปรอบ ๆ แล้วตั้งคำถาม

“แล้วสองคนนั่นไปไหนซะล่ะ”

“ไอ้กรไปตรวจสอบการก่อสร้างโรงแรมที่อยุธยา ส่วนไอ้ต่อก็ไปตรวจเรื่องวัสดุก่อสร้างของลูกค้าที่นครปฐม คงไม่กลับเข้ามาอีก”

“แล้วแกล่ะ วันนี้ไม่ต้องออกไปข้างนอกหรือ”

“ไม่ ข้ามีแบบที่ต้องเร่งส่งลูกค้า นัดไปคุยงานพรุ่งนี้ตอนเก้าโมง”

กอบบุญตอบรับสั้น ๆ จากนั้นก็ให้ความสนใจกับการพิจารณาแบบแปลนบ้านบนโต๊ะของตัวเอง โดยไม่ทันเห็นว่าวุฒิชัยกำลังเดินเข้ามาเมียง ๆ มอง ๆ

“นี่มันงานที่เอ็งเพิ่งเสนอให้ลูกค้ารายใหม่ไม่ใช่หรือ มีปัญหาอะไร หรือเขาอยากจะเปลี่ยนแบบ”

“ใช่ เขาอยากให้แก้ไขตรงห้องรับแขกกับห้องนั่งเล่น ข้าก็เลยว่าจะลองปรับเปลี่ยนแล้วนำไปเสนอใหม่”

“อืม” วุฒิชัยขานรับในลำคอก่อนทำท่านึกบางอย่างออก “เกือบลืม พี่นพบอกว่าถ้าเอ็งมาถึงแล้วให้ไปพบด้วย”

กอบบุญยังใช้เวลาอีกครู่ในการขีด ๆ เขียน ๆ ตรงจุดที่คิดว่าจะปรับแก้ ก่อนเดินออกไปจากห้องแล้วขึ้นบันไดไปห้องทำงานของนพรุจซึ่งอยู่ชั้นบน

ชายหนุ่มเปิดประตูเข้าไปหลังจากเคาะให้สัญญาณหนึ่งครั้ง แล้วก็ชะงักเมื่อพบว่าเจ้านายของตนไม่ได้อยู่ในห้องเพียงลำพัง

แวบแรกที่เห็นเพียงแผ่นหลังของหญิงสาวซึ่งยืนประจันหน้ากับเจ้าของห้องโดยมีโต๊ะทำงานตัวใหญ่คั่นกลาง กอบบุญก็นึกว่าเป็นกันตา พนักงานบัญชีซึ่งมักเอาแฟ้มเอกสารเข้ามาให้นพรุจเซ็นอนุมัติ แต่เมื่ออีกฝ่ายหันกลับมามอง ชายหนุ่มจึงรู้ว่าเข้าใจผิด

“เธอ!”

“นาย!”


เสียงหัวเราะดังลั่นอย่างชอบอกชอบใจของชายหนุ่มร่างสันทัดซึ่งกำลังนั่งอิงหลังพิงพนักเก้าอี้ด้านหลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ คงไม่ใช่เรื่องน่ารื่นรมย์สำหรับชายหญิงร่วมห้องอีกสองคนจนพร้อมใจกันมองเป็นตาเดียว ก่อนที่ฝ่ายหญิงจะพูดขึ้นอย่างมีแง่งอน

“ถ้ารู้ว่าเล่าให้ฟังแล้วถูกหัวเราะเยาะแบบนี้ ทีหลังนาจะไม่เล่าอะไรให้พี่นพฟังอีกเลย”

“โทษทีหนูนา แต่พี่ไม่ได้เยาะเย้ยเรานะก็แค่นึกขำ” นพรุจเงียบไปนิดเมื่อหันไปมองลูกน้องคนสนิทก่อนพูดยิ้ม ๆ “ไงกอบ จู่ ๆ ถูกหมายหัวเป็นขโมยคงเป็นประสบการณ์แปลกใหม่เลยสินะ”

“ครับ เป็นประสบการณ์ที่ผมคงไม่มีวันลืม”

นาวิตาหน้างอ ดูจากแววตาวาววับของกอบบุญที่มองมาก็พอเดาได้ว่าเขายังนึกโกรธเธอ

คนอะไรแค้นฝังหุ่นชะมัด!

หญิงสาวนึกค่อนในใจ ยอมรับละว่าเธอผิดที่ในตอนนั้นด่วนสรุปแต่เธอก็ขอโทษเขาไปแล้ว เขาก็น่าจะเลิกโกรธเธอเสียที

วูบนั้น นาวิตาเซ็งความกลมของโลกใบนี้

ใครละจะคิด อุตส่าห์ไม่ยอมฝึกงานที่บริษัทของครอบครัวเพราะเกรงว่าจะทำให้คนในบริษัทเอาแต่ระมัดระวัง เกรงนั่นเกรงนี่จนอาจทำให้เธอไม่ได้ทำงาน แต่เมื่อเลือกขอร้องญาติห่าง ๆ แทนก็ต้องมาพบคนที่ไม่อยากเจอ

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว นาขอออกไปก่อนนะคะ”

หญิงสาวบอกพลางเอื้อมมือไปหยิบแฟ้มเสนอเซ็นจากบนโต๊ะของนพรุจ

“อ้อ! หนูนา เที่ยงนี้พี่จะพาไปกินข้าว ยังไงก็อย่าเพิ่งออกไปกับคนอื่นล่ะ”

“ค่ะ”

หลังจากนาวิตาออกไปจากห้องแล้ว กอบบุญจึงเริ่มเข้าประเด็น

“เห็นไอ้วุฒิบอกว่าพี่นพให้ผมมาหา มีอะไรหรือครับ”

“อ้อ! ใช่ พี่เห็นช่วงนี้ในแผนกของนายค่อนข้างงานยุ่งกันทุกคน เมื่อวันก่อนได้ยินนายวุฒิมันบ่นเรื่องเอกสารตอนที่ต้องเข้าไปเคลียร์กับฝ่ายบัญชี เรื่องเบิกเงินทดรองแล้วก็ตอนเคลียร์เงินว่ายุ่งยากวุ่นวาย พี่ก็พอเข้าใจนะว่าพวกนายคงไม่ถนัดเรื่องเอกสาร แต่ก็อยากให้เข้าใจทางแผนกบัญชีด้วยเหมือนกัน ถ้าเอกสารไม่ครบถ้วนไม่ถูกต้องเขาก็คงปล่อยผ่านไม่ได้”

“ครับ ผมเข้าใจ เพียงแต่...พวกผมแต่ละคนไม่มีใครเข้าใจอะไรทำนองนี้ เวลาต้องเข้าไปเคลียร์ในห้องบัญชีทีไรก็เลยเหมือนจะทะเลาะกันซะมากกว่า”

“ก็ได้ยินคุณเกดบ่น ๆ อยู่เวลาเอกสารมาถึงมือในแผนกเขาแบบไม่ถูกต้อง ทำไงได้เขาเป็นสมุห์บัญชีก็มีหน้าที่ต้องตรวจสอบ” หลังจากเงียบไปครู่ นพรุจจึงพูดต่อ “ทีนี้ พี่เลยลองมาคิด ๆ ดูว่าถ้าจะเปิดรับสมัครตำแหน่งธุรการมาช่วยงานในแผนกของนาย หลัก ๆ เลยเป็นเรื่องเอกสารที่ต้องเคลียร์กับฝ่ายบัญชี นายคิดว่าไง”

เมื่อเห็นกอบบุญยังนิ่ง นพรุจก็บอก

“พี่ว่าหาคนมาช่วยงานก็น่าจะดีนะ พี่กลัวนายวุฒิมันจะเครียดเกินไปเวลาต้องไปติดต่อกับฝ่ายบัญชี” หยุดพูดไปครู่ก่อนเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้าง “แต่ก็ไม่แน่นะ หลังจากนี้คนในแผนกนายอาจชอบไปแผนกบัญชีบ่อย ๆ ก็ได้”

ไม่ต้องใช้เวลานาน กอบบุญก็คิดตามได้ทัน วูบหนึ่งภาพของหญิงสาวหน้าใส ดวงตากลมโตเป็นประกายก็ผุดขึ้นในความคิด

“ก็ได้ครับถ้าพี่นพอยากหาคนมาช่วยแผนกผม แต่...ผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องเปิดรับสมัครหรอกครับ”


**************************************************************************


ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ


คุณ Zephyr - ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ สำหรับคอมเม้นท์ย้อนหลังตั้งแต่ตอนแรก ส่วนที่ว่าจะมีอะไรเกี่ยวกับหนูนารึเปล่า ไว้เราหาคำตอบไปพร้อม ๆ กันนะคะ ^^







ปิยะณัฏฐ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 ก.พ. 2559, 20:37:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 ก.พ. 2559, 20:37:26 น.

จำนวนการเข้าชม : 978





<< บทที่ 3   บทที่ 5 >>
Zephyr 27 ก.พ. 2559, 02:08:17 น.
หาเอาคนแถวนี้ใช่ไหมพี่กอบ
อืม เริ่มเข้าเค้า
นินนาท นาวิตา ชื่อก็คล้ายน้า
เหตุยังประจวบเหมาะ หึหึ รอดูต่อไป


ปลาวาฬสีน้ำเงิน 27 ก.พ. 2559, 19:45:23 น.


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account