ตะวัน (ร้าย) ฉายรัก (นามปากกา 'พิริตา' ) เปิดจองรูปแบบเล่มพร้อม E-Book
‘ปาลิกา’ หญิงสาวกำพร้าที่สูญเสียครอบครัวไป
ตั้งแต่ยังเยาว์วัย แต่โชคดีที่มีผู้อุปการะไว้ ซึ่งก็เป็นนายจ้างของครอบครัว
เธอนั่นเอง ปาลิกาเติบโตมาท่ามกลางความรัก เข้าใจอย่างล้นเหลือของ
ประมุขทั้งสองของบริษัท ‘เดอะซัน กรุ๊ป จิวเวลรี่’ และเพราะที่แห่งนี้เป็น
สถานที่ที่ทั้งพ่อแม่และยายของเธอได้ใช้ชีวิตอยู่จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
ที่นี่จึงมีความหมาย และมีความสำคัญสำหรับหญิงสาวมาก
ในชีวิตของปาลิกามีเพียงสองสิ่งเท่านั้นที่เธอรู้สึกว่าเป็นอุปสรรค ขวาก
หนามที่ยิ่งใหญ่ นั้นก็คือ ปมแห่งความหวาดกลัวที่เป็นเหตุให้เธอติดอยู่กับฝัน
ร้ายในวัยเด็ก และลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูล ‘รัตนาวาณิชย์’ ที่เติบโต
มาด้วยกัน เขามีอายุอ่อนกว่าเธอหนึ่งปี แต่ไม่เคยยอมรับว่าเธอเป็นพี่สาว
หนำซ้ำยังคอยแกล้งเธอมาตั้งแต่เด็ก และเธอก็เรียกเขาว่า ‘จอมวายร้ายเจ้า
เล่ห์,คนกวนประสาทฯ ‘ แต่ทว่าจอมวายร้ายคนนั้นกลับเป็นคนเดียวกันที่อยู่
เคียงข้างเธอยามมีภัย และพยายามช่วยเธอให้หลุดพ้นจากปมแห่งฝันร้าย
นั้น และเป็นคนเดียวกับที่ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย
แต่แล้ว...ก็กลับเป็นคนเดียวกัน ที่กันเธอออกจากเดอะซัน กรุ๊ปฯ และชีวิต
ของเขา เหมือนไม่เห็นค่า ความสำคัญของเธออีกต่อไป จนหญิงสาวทนอยู่
กับความรู้สึกเจ็บปวด สิ้นไร้ ด้อยค่าของตัวเองไม่ไหว ที่สุดจึงตัดสินใจเดิน
ออกมาจากชายคาเดอะซัน กรุ๊ปฯ ด้วยหัวใจที่บอบช้ำ.
‘ตะวันฉาย’ ลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูล ‘รัตนาวาณิชย์’ และผู้สืบทอด
กิจการของบริษัท ‘เดอะซัน กรุ๊ป จิวเวลรี่’ ต่อจากมารดา หลังกลับจากเรียน
ต่อต่างประเทศชายหนุ่มได้เข้ามาเรียนรู้งานในเดอะซัน กรุ๊ปฯ อย่างเต็มตัว
โดยมี ‘ปาลิกา’ (หรือที่เขาเรียกจนติดปากว่า ‘ยัยปลิก’) คอยกระตุ้นอยู่ตลอด
ทั้งที่โดยนิสัยแล้วตะวันฉายเป็นคนที่มีความตั้งใจ รับผิดชอบและจริงจังกับ
งาน โดยเฉพาะช่วงหลังที่เขาเข้ามาทำงานอย่างเต็มตัวแล้วนั่น แต่ใน
ทางกลับกันตะวันฉายจะกลายเป็นเด็กไม่ยอมโตทันทีที่อยู่กับปาลิกา เพราะ
ความรื่นรมย์อีกอย่างในชีวิตของเขาตั้งแต่เล็กจนโต คือการได้แกล้งปาลิกา
ทั้งวาจาและการกระทำ แต่เขาก็ได้สงวนลิขสิทธิ์ในการแกล้งไว้แค่ตัวเขา
เอง คนอื่นห้ามแกล้งโดยไม่ได้รับอนุญาตเสียอย่างนั้น
แต่ทว่าหากยามใดที่ปาลิกามีภัย อ่อนแอ ตะวันฉายจะถึงตัวเธอก่อนเสมอ
เขาห่วงทุกย่างก้าวในชีวิตของเธอ โดยเฉพาะปมแห่งความกลัวที่ทำให้เธอ
ฝันร้ายในตอนเด็ก ชายหนุ่มปรารถนาจะให้เธอเอาชนะความกลัวนั้นให้ได้
และการที่ตะวันฉายได้มีโอกาสอยู่เพียงลำพัง ไกลห่างกับปาลิกาขณะที่
เรียนอยู่ต่างประเทศนั้น ได้ทำให้เขารู้ใจตัวเองว่าคิดอย่างไรกับเธอ ชาย
หนุ่มไม่เคยสงสัยในความรู้สึกที่มีต่อหญิงสาวเลยสักนิด แต่เพราะเชื่อว่าเธอ
รักใครอีกคนที่เป็นญาติสนิทของเขา และผู้ชายคนนั้นก็เป็น ‘ผู้ชายในฝัน’
ของเธอมาตั้งแต่เด็ก ทำให้เขาได้แต่กล้ำกลืนความรู้สึกเอาไว้ กว่าจะรู้ว่า
ปาลิกาก็รักเขาไม่ต่างกัน ก็ในวันที่เธอได้หนีเขาไปเสียแล้ว...
‘ก็ลื้อสองคนน่ะสิ มีด้ายแดงผูกติดกันมา
ตั้งแต่เกิด แต่ที่แปลกไปกว่านั้นคือด้ายแดงที่ผูกพวกลื้อไว้นั้นมันสั้นมาก ทำ
ให้ต้องมาใกล้กันตั้งแต่เด็ก ไม่เหมือนบางคู่ที่ด้ายจะยาวอาจใช้เวลานานกว่า
จะได้มาเจอกัน แต่นั่นแหล่ะด้ายแดงแห่งโชคชะตาของพวกลื้อจะไม่มีวันถูก
ตัดขาด แล้วมันก็จะอยู่ในระยะสั้นอย่างนี้ตลอดไป อย่างที่เคยเป็นมาจนกว่า
จะตายจากกัน และหากวันใดที่มันยืดยาวออกไปไม่ว่าด้วยสาเหตุอันใด ด้าย
นั้นก็จะดึงรั้งพวกลื้อให้ต้องกลับมาใกล้กันจนได้ หากพวกลื้อฝืนก็จะทำให้
เจ็บปวดทุรนทุราย เหมือนจะขาดใจเลยทีเดียว มันเป็นลิขิตของสวรรค์’
ตะวันฉายกับปาลิกาจะทำเช่นไรกับหัวใจของตัวเอง
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา และสายใยแห่งความผูกพัน
จะสามารถนำพาหัวใจทั้งสองดวงให้กลับมาแนบชิดกัน
เหมือนในวันเก่าได้หรือไม่?..................................
โปรดติดตามใน ‘ตะวัน (ร้าย) ฉายรัก’ ได้เลยค่ะ
ตั้งแต่ยังเยาว์วัย แต่โชคดีที่มีผู้อุปการะไว้ ซึ่งก็เป็นนายจ้างของครอบครัว
เธอนั่นเอง ปาลิกาเติบโตมาท่ามกลางความรัก เข้าใจอย่างล้นเหลือของ
ประมุขทั้งสองของบริษัท ‘เดอะซัน กรุ๊ป จิวเวลรี่’ และเพราะที่แห่งนี้เป็น
สถานที่ที่ทั้งพ่อแม่และยายของเธอได้ใช้ชีวิตอยู่จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
ที่นี่จึงมีความหมาย และมีความสำคัญสำหรับหญิงสาวมาก
ในชีวิตของปาลิกามีเพียงสองสิ่งเท่านั้นที่เธอรู้สึกว่าเป็นอุปสรรค ขวาก
หนามที่ยิ่งใหญ่ นั้นก็คือ ปมแห่งความหวาดกลัวที่เป็นเหตุให้เธอติดอยู่กับฝัน
ร้ายในวัยเด็ก และลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูล ‘รัตนาวาณิชย์’ ที่เติบโต
มาด้วยกัน เขามีอายุอ่อนกว่าเธอหนึ่งปี แต่ไม่เคยยอมรับว่าเธอเป็นพี่สาว
หนำซ้ำยังคอยแกล้งเธอมาตั้งแต่เด็ก และเธอก็เรียกเขาว่า ‘จอมวายร้ายเจ้า
เล่ห์,คนกวนประสาทฯ ‘ แต่ทว่าจอมวายร้ายคนนั้นกลับเป็นคนเดียวกันที่อยู่
เคียงข้างเธอยามมีภัย และพยายามช่วยเธอให้หลุดพ้นจากปมแห่งฝันร้าย
นั้น และเป็นคนเดียวกับที่ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย
แต่แล้ว...ก็กลับเป็นคนเดียวกัน ที่กันเธอออกจากเดอะซัน กรุ๊ปฯ และชีวิต
ของเขา เหมือนไม่เห็นค่า ความสำคัญของเธออีกต่อไป จนหญิงสาวทนอยู่
กับความรู้สึกเจ็บปวด สิ้นไร้ ด้อยค่าของตัวเองไม่ไหว ที่สุดจึงตัดสินใจเดิน
ออกมาจากชายคาเดอะซัน กรุ๊ปฯ ด้วยหัวใจที่บอบช้ำ.
‘ตะวันฉาย’ ลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูล ‘รัตนาวาณิชย์’ และผู้สืบทอด
กิจการของบริษัท ‘เดอะซัน กรุ๊ป จิวเวลรี่’ ต่อจากมารดา หลังกลับจากเรียน
ต่อต่างประเทศชายหนุ่มได้เข้ามาเรียนรู้งานในเดอะซัน กรุ๊ปฯ อย่างเต็มตัว
โดยมี ‘ปาลิกา’ (หรือที่เขาเรียกจนติดปากว่า ‘ยัยปลิก’) คอยกระตุ้นอยู่ตลอด
ทั้งที่โดยนิสัยแล้วตะวันฉายเป็นคนที่มีความตั้งใจ รับผิดชอบและจริงจังกับ
งาน โดยเฉพาะช่วงหลังที่เขาเข้ามาทำงานอย่างเต็มตัวแล้วนั่น แต่ใน
ทางกลับกันตะวันฉายจะกลายเป็นเด็กไม่ยอมโตทันทีที่อยู่กับปาลิกา เพราะ
ความรื่นรมย์อีกอย่างในชีวิตของเขาตั้งแต่เล็กจนโต คือการได้แกล้งปาลิกา
ทั้งวาจาและการกระทำ แต่เขาก็ได้สงวนลิขสิทธิ์ในการแกล้งไว้แค่ตัวเขา
เอง คนอื่นห้ามแกล้งโดยไม่ได้รับอนุญาตเสียอย่างนั้น
แต่ทว่าหากยามใดที่ปาลิกามีภัย อ่อนแอ ตะวันฉายจะถึงตัวเธอก่อนเสมอ
เขาห่วงทุกย่างก้าวในชีวิตของเธอ โดยเฉพาะปมแห่งความกลัวที่ทำให้เธอ
ฝันร้ายในตอนเด็ก ชายหนุ่มปรารถนาจะให้เธอเอาชนะความกลัวนั้นให้ได้
และการที่ตะวันฉายได้มีโอกาสอยู่เพียงลำพัง ไกลห่างกับปาลิกาขณะที่
เรียนอยู่ต่างประเทศนั้น ได้ทำให้เขารู้ใจตัวเองว่าคิดอย่างไรกับเธอ ชาย
หนุ่มไม่เคยสงสัยในความรู้สึกที่มีต่อหญิงสาวเลยสักนิด แต่เพราะเชื่อว่าเธอ
รักใครอีกคนที่เป็นญาติสนิทของเขา และผู้ชายคนนั้นก็เป็น ‘ผู้ชายในฝัน’
ของเธอมาตั้งแต่เด็ก ทำให้เขาได้แต่กล้ำกลืนความรู้สึกเอาไว้ กว่าจะรู้ว่า
ปาลิกาก็รักเขาไม่ต่างกัน ก็ในวันที่เธอได้หนีเขาไปเสียแล้ว...
‘ก็ลื้อสองคนน่ะสิ มีด้ายแดงผูกติดกันมา
ตั้งแต่เกิด แต่ที่แปลกไปกว่านั้นคือด้ายแดงที่ผูกพวกลื้อไว้นั้นมันสั้นมาก ทำ
ให้ต้องมาใกล้กันตั้งแต่เด็ก ไม่เหมือนบางคู่ที่ด้ายจะยาวอาจใช้เวลานานกว่า
จะได้มาเจอกัน แต่นั่นแหล่ะด้ายแดงแห่งโชคชะตาของพวกลื้อจะไม่มีวันถูก
ตัดขาด แล้วมันก็จะอยู่ในระยะสั้นอย่างนี้ตลอดไป อย่างที่เคยเป็นมาจนกว่า
จะตายจากกัน และหากวันใดที่มันยืดยาวออกไปไม่ว่าด้วยสาเหตุอันใด ด้าย
นั้นก็จะดึงรั้งพวกลื้อให้ต้องกลับมาใกล้กันจนได้ หากพวกลื้อฝืนก็จะทำให้
เจ็บปวดทุรนทุราย เหมือนจะขาดใจเลยทีเดียว มันเป็นลิขิตของสวรรค์’
ตะวันฉายกับปาลิกาจะทำเช่นไรกับหัวใจของตัวเอง
ด้ายแดงแห่งโชคชะตา และสายใยแห่งความผูกพัน
จะสามารถนำพาหัวใจทั้งสองดวงให้กลับมาแนบชิดกัน
เหมือนในวันเก่าได้หรือไม่?..................................
โปรดติดตามใน ‘ตะวัน (ร้าย) ฉายรัก’ ได้เลยค่ะ
Tags: ตะวัน ร้าย ฉาย รัก ปลา อัญมณี จิวเวลรี่ หวานซึ้ง
ตอน: บทที่ 31
เปิดให้จองอย่างเป็นทางการแล้วนะคะสำหรับ ‘ตะวัน (ร้าย) ฉายรัก
ราคา 349 บ. ค่าส่งแบบลงทะเบียน 30 บ.
สนใจรูปแบบเล่มสามารถติดต่อไรเตอร์ได้ทาง Inbox
http://www.facebook.com/pirita.boonta
หรือในเพจ ‘พิริตา อเมทริน นักเขียน’
Email: kanplu@windowslive.com
โทร.0626656247
หรือทางไลน์ ID: pirita-ametrine
ส่วน E-Book ประมาณสิ้นเดือนนี้พบกันได้ทุกเว็บค่ะ
เช้าวันต่อมาหยินมี่เข้ามาในห้องทำงานของตะวันฉาย แล้วก็ต้องตกใจกับภาพที่เห็น
“ซันนายไปทำอะไรมา ทำไมหน้าตาถึงบวมเป่งอย่างนั้นล่ะ อย่างกะไปฟัดกับหมามาแน่ะ”
แต่ตอนท้ายเริ่มรู้สึกขำขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“น้อยๆ หน่อยหยินมี่” เสียงของตะวันฉายที่เปล่งออกมาฟังดูแปลกๆ เพราะปากที่บวมเจ่อ
แล้วก็ต้องยกมือกุมปากด้วยความเจ็บเนื่องจากขยับเขยื้อนแรงไปหน่อย นอกจากปากที่บวมเจ่อ
แล้ว ตรงแก้มก็บวมไม่แพ้กัน และใบหน้าขาวนั้นก็มีสีแดง สีเขียวในบางจุดอีกต่างหาก ทำให้หยิน
มี่ถึงกับเก็บอาการขำไม่อยู่เมื่อเพ่งพิจารณาหน้าตาของตะวันฉายถนัดถนี่ขึ้นกว่าเดิม
“ตกลงนายไปฟัดกับหมาที่ไหนมา แล้วนี่คุณป้าเห็นหน้านายหรือยังเนี่ย” ถามทั้งที่ยัง
หัวเราะไม่หาย
“ยัง นี่ฉันยังไม่รู้จะบอกหม่าม๊าว่าไงเหมือนกัน ว่าฉันกับเฮียอ๋าชกกัน”
“อะไรนะ มีเรื่องอะไรทำไมไม่พูดจากันดีๆ ” สาวอวบถึงกับร้องด้วยความแปลกใจ
“ฉันผิดเองแหล่ะที่ชกเฮียอ๋าก่อน ฉันโมโหเพราะเข้าใจว่ายัยปลิกหนีไปเพราะผิดหวังที่
เฮียอ๋าหมั้นกับผู้หญิงคนอื่น”
“แล้วไม่ใช่หรือไง”
“หยินมี่ เธอเชื่อไหมว่ายัยนั่นปฏิเสธที่จะแต่งงานกับเฮียอ๋าก่อน” ตะวันฉายเอ่ยถามด้วย
ท่าทางจริงจังแต่หยินมี่ไม่มีท่าทีแปลกใจสักนิด แถมยังยิ้มกริ่มชอบใจ
“เห็นไหมล่ะ ฉันว่ายัยปลามีความคิดน่า และถ้ายัยปลาปฏิเสธเฮียอ๋าแล้วหนีไปอย่างนี้ที่
ฉันเข้าใจก็คงไม่ผิด”
“หมายความว่ายังไงหยินมี่ เธอพูดเหมือนรู้เรื่องดี” เป็นชายหนุ่มเองเสียอีกที่ฉงนกับ
ท่าทางของเพื่อน “เรียกว่าเข้าใจจะดีกว่า อย่าลืมสิว่าพวกเราสนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็กนะ ทำไมฉัน
จะดูไม่ออก เพียงแต่ช่วงที่พวกนายไม่เข้าใจกัน ฉันก็พยายามจะพูด แต่นายก็คิดแต่ว่ายัยปลารัก
เฮียอ๋า พูดไปนายก็คงไม่ฟัง ส่วนยัยปลาเองก็คิดว่านายไม่เห็นความสำคัญ ฉันว่าจะปล่อยให้พวก
นายใจเย็นลงอีกสักพัก แต่ไม่นึกว่าเรื่องมันจะบานปลายขนาดนี้” แล้วคนพูดก็เป็นฝ่ายถอนหายใจ
เสียเอง
“ฉันผิดเองที่ทำอะไรไม่คิด ฉันเสียใจที่สุดก็ตรงที่ตัวฉันกลายเป็นคนที่ทำร้ายยัยนั่นเสียเอง
ทั้งที่ฉันพยายามดูแล ปกป้องยัยนั่นมาตลอด” ชายหนุ่มได้แต่โทษตัวเองด้วยความรู้สึกผิดที่อัด
แน่นเต็มหัวใจ
“เรื่องเฮียอ๋าฉันเข้าใจนะซัน ฉันรู้ว่าที่นายทำไปก็เพราะรักและห่วงยัยปลา แต่ก่อนหน้านั้น
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการประกวดออกแบบเครื่องประดับ หรือให้หยางขึ้นไปช่วยยัยปลา ฉันไม่รู้ว่านาย
มีเหตุผลอะไรที่ต้องปิดบัง ฉันขอพูดตรงๆ ว่ามันไม่ถูกต้อง นายรู้ไหมว่าที่ผ่านมาชีวิตของยัยปลามี
เพียงเดอะซัน กรุ๊ปฯ นายและคุณป้าเท่านั้นที่สำคัญ หากวันใดที่รู้สึกถูกกันออกจากสิ่งเหล่านี้ชีวิต
ยัยปลาก็เหมือนไม่มีความหมายอะไรกับที่นี่อีก กับนายยัยปลาคิดว่ารู้เรื่องนายดีที่สุด แต่นายกลับ
ทำเหมือนยัยปลาไม่สำคัญ ถ้าเป็นนาย นายยังจะทนได้ไหม ฉันไม่รู้หรอกว่ามีอะไรแย่ๆ อีก
ระหว่างนายกับยัยปลา แต่เรื่องนายกับยัยน้องดีด้าอกสะบึ้มนั่นก็คงสำคัญไม่น้อย”
“นั่นสิ...คงเหมือนความรู้สึกของฉันตอนที่คิดว่ายัยนั่นจะแต่งงานกับเฮียอ๋าสินะ แต่นั่น
แหล่ะ ฉันเองพึ่งรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันเป็นแผนการของยัยแฝดนรกนั่น” ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ
เมื่อพูดเรื่องนี้ขึ้นมา
“ตายแล้ว...จริงเหรอซัน อีกแล้วเหรอเนี่ย ให้ตายเถอะ พวกนั้นกล้าทำกับนายขนาดนี้เลย
เหรอ” แต่หยินมี่กลับตาวาวด้วยความโมโหแทน
“ไม่ต้องห่วงหรอกหยินมี่ มันจบลงแล้ว ตอนนี้ฉันกังวลเรื่องยัย
ปลิกมากกว่า ฉันไม่รู้ว่ายัยนั่นไปอยู่ไหน เท่าที่รู้ก็ไม่ค่อยจะมีญาติกะเค้าเท่าไหร่ เออ...จริงสิ แล้ว
เพื่อนๆ ที่สนิทกันสมัยเรียนล่ะหยินมี่เป็นไง” เมื่อฉุกคิดขึ้นมาได้จึงถามเอากับหยินมี่ในท้าย
ประโยค สาวอวบที่ตอนนี้คลายความโมโหลงแล้วทอดถอนใจพลางส่ายหน้า
“ขนาดฉันยัยปลายังไม่บอก ไม่ติดต่อมาเลย พวกนั้นก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน ไม่ค่อยได้
ติดต่อกันด้วยซ้ำ ฉันพึ่งโทร.ถามมาเนี่ย” แต่ก่อนที่ทั้งคู่จะคุยกันต่อ
“ตายแล้วลูก! หน้าตาบวมไปหมด ทำไมทำกันอย่างนี้ ไม่ใช่เด็กๆ กันแล้วนะ มีอะไรทำไม
ไม่ค่อยพูดค่อยจากันดีๆ เล่าลูก” คุณโฉมฉายถลันเข้ามาลูบหน้าลูบตาลูกชายด้วยความเป็นห่วง
แต่ตะวันฉายกลับต้องร้องโอดโอยยิ่งกว่าเดิมเพราะไปโดนตรงที่เจ็บเข้าพอดี “อุ๊ย...ขอโทษลูก เจ็บ
มากไหม”
“ไม่เป็นไรมากหรอกครับหม่าม๊า” หยินมี่เห็นดังนั้นจึงหลบฉากออกไปด้วยรอยยิ้มขำอีก
ครั้ง
“หม่าม๊าพึ่งแวะไปที่โชว์รูมมา เห็นตาอ๋าหน้าตายับเยิน หม่าม๊าไล่กลับไปพักแล้ว น้องซันก็
เหมือนกันนะหม่าม๊าว่าไปพักดีกว่าลูก”
“ไม่ต้องหรอกครับหม่าม๊า ผมไม่ได้ใช้หน้าตาหากินแบบเฮียอ๋า ไม่ต้องพักก็ได้ครับ อีก
อย่างผมมีอะไรต้องเคลียร์เยอะด้วย หม่าม๊าไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ”
“หม่าม๊าไม่สบายใจเรื่องหนูปลาไปคนหนึ่งแล้ว อย่าทำให้หม่าม๊าต้องเป็นห่วงน้องซันอีก
คนสิลูก” ผู้เป็นมารดาเปรยพร้อมทอดถอนใจ ใบหน้าที่ตกแต่งไว้เป็นอย่างดีนั้นฉายแววกังวล
“ผมขอโทษที่ทำให้หม่าม๊าเป็นห่วง ผมจะไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามอีกแล้วล่ะครับ”
“ดีแล้วล่ะลูก เอ่อ...แล้วน้องซันพอจะได้ข่าวคราวหนูปลาบ้างหรือยังลูก” คำถามของ
มารดาเป็นเหตุให้ชายหนุ่มถอนหายใจหนักหน่วงพลางส่ายหน้า
“ยังเลยครับหม่าม๊า ผมก็มืดแปดด้าน คิดไม่ออกเหมือนกันว่ายัยปลิกจะไปไหน ใจคอคง
อยากจะไปให้ไกลจากผมที่สุดล่ะมั้งครับ” ที่สุดเขาก็อดตัดพ้อลมแล้งด้วยความน้อยใจไม่ได้ คุณ
โฉมฉายมองดูลูกชายด้วยความรู้สึกเห็นใจไม่น้อย
“อ้อ จริงสิ หม่าม๊าจำได้ว่าที่ผ่านมาหนูปลาเคยไปเยี่ยมญาติที่โคราชปีละหนสองหน ลูกว่า
หนูปลาน่าจะไปหาญาติคนนั้นไหม ครูเปรมศักดิ์น่ะ” แล้วก็เปรยขึ้นหลังจากนึกขึ้นมาได้
“จริงสิครับหม่าม๊า ผมก็พอจะจำได้รางๆ แต่ว่าหม่าม๊าพอจะรู้ไหมครับว่าเขาอยู่ส่วนไหน
ของโคราช” ทำให้ชายหนุ่มกระตือรือร้นขึ้นในทันใด
“หม่าม๊าก็ไม่เคยไปกับหนูปลาเสียด้วยสิ แต่ที่แผนกช่างมีเพื่อนรุ่นเดียวกับพ่อแม่หนูปลาที่
ยังอยู่กับเรา น่าจะลองถามดู เผื่อเขาจะรู้จักญาติหนูปลาบ้าง เท่าที่หม่าม๊าจำได้ช่างคนนี้อยู่
หมู่บ้านเดียวกับยายปลิกนะลูก” คำตอบนั้นทำให้แววตาของตะวันฉายมีประกายแห่งความหวัง
ขึ้นมาในทันที
“งั้นเหรอครับ ผมจะให้หยางจัดการเดี๋ยวนี้เลยครับ”
ตะวันฉายออกเดินทางไปโคราชแต่เช้า ตามที่อยู่คร่าวๆ ที่ได้มาจากพนักงานช่างที่เป็น
เพื่อนร่วมงานกับพ่อ แม่ของปาลิกา และเป็นคนบ้านเดียวกันกับยายปลิกด้วย ซึ่งหลังจากที่พ่อ แม่
ปาลิกาจากไป ยายปลิกได้ขายบ้านที่โคราชและให้ลูกชายคนเล็กที่ชื่อ ‘เปรมศักดิ์’ มาเรียนใน
กรุงเทพฯ จนกระทั่งยายปลิกจากไปลูกชายคนนี้ก็ได้รับราชการครูแล้ว แต่กลับไปสอนอยู่ในตัว
เมืองโคราช และได้ติดต่อกับปาลิกาอยู่เนืองๆ
ชายหนุ่มมาถึงโรงเรียนมัธยมฯ แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในตัวจังหวัด เขาไม่รีรอที่จะออกตามหา
คนที่ต้องการพบ สักครู่มีการประกาศเสียงตามสายหาครูเปรมศักดิ์ว่ามีคนมาขอพบ ตะวันฉายนั่ง
รออยู่ในห้องรองรับแขกไม่นานก็เห็นผู้ชายวัยประมาณสี่สิบปีเดินเข้ามาหา และเขาก็พอจะจำได้ว่า
เคยพบกันมาก่อน แม้หน้าตาของชายคนนี้จะมีริ้วรอยที่เพิ่มขึ้นตามวัยก็ตาม
“สวัสดีครับครูเปรมศักดิ์” ตะวันฉายกระพุ่มมือไหว้
“ครับ สวัสดีครับ อ่า...ไม่ทราบว่า...”
“ผมชื่อตะวันฉาย ลูกชายของคุณโฉมฉายกับเจ้าสัวอาทิตย์ เจ้าของบริษัทเดอะซัน กรุ๊ปฯ
ครับ”
“อ๋อ...ผมจำได้แล้ว ไม่ได้เจอกันเกือบสิบกว่าปี โตขึ้นแทบจำไม่ได้แน่ะ” ครูเปรมศักดิ์ร้อง
ออกมาเมื่อจำได้ เพราะครั้งสุดท้ายที่ทั้งคู่เจอกันก็ตอนที่ยายปลิกแม่ของแกเสีย ซึ่งตอนนั้นตะวัน
ฉายยังอยู่มัธยมฯ อยู่เลย “คุณผู้หญิงสบายดีนะครับ” และถามถึงผู้เป็นมารดาของชายหนุ่ม
“สบายดีครับ คือที่ผมมานี่ก็เพื่อจะมาถามว่าปาลิกามาหาครูเปรมศักดิ์หรือเปล่าครับ”
ตะวันฉายรีบเข้าเรื่องและกลั้นใจรอฟังคำตอบด้วยหัวใจที่เต้นแรง
“ไม่นี่ครับ มีอะไรหรือเปล่าครับ” แต่สิ่งที่เขาได้ยินเล่นเอาใจแฟ่บลงในทันที
“คือ ปาลิกาหนีผมมาด้วยเรื่องเข้าใจผิดบางอย่างน่ะครับ ผมอยากมาตามเธอกลับ”
“เอ่อ คุณไปดูบ้านเพื่อนหนูปลาหรือยังครับ”
“ครับ ปาลิกาไม่ได้ไปหาใคร และผมตรวจสอบดูแล้ว ปาลิกาไม่ได้มีญาติที่ไหนนอกจากครู
ผมก็เลยคิดว่าปาลิกาน่าจะมาที่นี่น่ะครับ”
“หนูปลาไม่ได้มาจริงๆ ครับ ตอนนี้หนูปลาอาจจะอยู่กับคนอื่นที่รู้จักกันก็ได้นะครับ แต่ถ้า
หนูปลามาที่นี่ผมจะบอกแกให้ว่าคุณมาหา และถ้าหากคุณเจอแกก่อนก็ช่วยส่งข่าวมาให้ผมทราบ
ด้วยนะครับ พอมาทราบข่าวแบบนี้แล้วผมก็เป็นห่วงแกเหมือนกัน” ครูเปรมศักดิ์ว่า ท่าทางกังวลไม่
แพ้กัน
“ได้ครับ ว่าแต่บ้านของครูอยู่ที่ไหนครับ บางทีปาลิกาอาจจะพึ่งไปหาตอนที่ครูไม่อยู่ก็ได้
นะครับ แค่บอกที่อยู่มาก็ได้ครับเดี๋ยวผมไปเอง” ชายหนุ่มยังไม่ยอมหมดหวังง่ายๆ
“เอ่อ...คุณจะไปดูบ้านผมเหรอ” ครูเปรมศักดิ์มีท่าทีลังเลเล็กน้อย ก่อนกุลีกุจอหากระดาษ
ปากกามาเขียนแผนที่ให้ตะวันฉายคร่าวๆ
ตะวันฉายจอดรถริมฟุตบาทตรงหน้าร้านขายข้าวแกง ที่อยู่ในห้องหนึ่งของตึกแถวสีฟ้า
สองชั้นสภาพกลางเก่ากลางใหม่ มีป้ายบอกชื่อร้าน ‘เป้-ปอนด์ โภชนา’ เนื่องจากเวลาเริ่มบ่ายแล้ว
จึงไม่ค่อยมีลูกค้า และดูเหมือนว่ากำลังเก็บร้านกันอยู่
“สวัสดีครับ ผมมาหาภรรยาของครูเปรมศักดิ์เจ้าของร้านน่ะครับ” ชายหนุ่มบอกผู้หญิงวัย
ใกล้เคียงกับครูเปรมศักดิ์ แต่ตัวอวบกว่าคนหนึ่งที่สวมผ้ากันเปื้อน กำลังเก็บถาดใส่อาหารอยู่ตรง
เค้าเตอร์ที่วางกับข้าว
“สวัสดีค่ะ ดิฉันเนตรดาวเป็นภรรยาพี่เปรมค่ะ ไม่ทราบว่ามีอะไรกับดิฉันหรือเปล่าคะ”
ตะวันฉายสอบถามเรื่องปาลิกา พลางมองไปรอบๆ ร้าน แต่นอกจากจะไม่เห็นแม้เงาของ
หญิงสาวแล้ว คำตอบที่ได้รับก็สร้างความผิดหวังให้ชายหนุ่มได้มากมายไม่แพ้กัน
“หนูปลามาเยี่ยมเราครั้งสุดท้ายก็กลางปีที่แล้ว จากนั้นก็ไม่ได้เจอกันอีกเลยค่ะ”
“ถ้าเธอมารบกวนช่วยโทร.บอกผมด้วยนะครับ นี่นามบัตรครับ” ตะวันฉายส่งนามบัตรให้
อีกฝ่าย “และช่วยบอกเธอให้ด้วยนะครับว่าผมมาตามหา” เขาสำทับไปอีกครั้งและไม่อาจซ่อน
ความผิดหวังเอาไว้ได้
ภรรยาครูเปรมศักดิ์รับคำ ก่อนที่ตะวันฉายจะกล่าวลาและเดินไหล่ตกออกมา ชายหนุ่มขึ้น
ไปนั่งบนรถทอดสายตามองไปยังร้านนั้นอีกครั้ง หัวใจที่พองโตด้วยความหวังก่อนจะมาที่นี่ แต่ณ.
ตอนนี้กลับแฟ่บราวกับลูกโป่งหมดลมกระนั้น เขาจะไปตามหาเธอที่ไหนอีกหนอ...
ตอบเม้นต์จ้า...
คุณร้อยวจี-ต้องดูกันต่อไปค่ะว่าจะเข็ดไหม อิ อิ
คุณKim-แล้วก็มาต่อที่ตามหายัยปลาต่อเนอะ
ตะวัน (ร้าย) ฉายรักจะอัพฯ ให้อ่านประมาณ 70-80% นะคะ (ประมาณตอน 35) ใครที่รักนายซันกับนู๋ปลาก็ติดตามกันต่อไปได้ในรูปแบบ E-Book และเล่มเน้อ... ขอบคุณที่ติดตามกันมาตลอดค่า
กานพลู
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 ก.พ. 2559, 20:56:56 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 ก.พ. 2559, 20:57:40 น.
จำนวนการเข้าชม : 1154
<< บทที่ 26 | บทที่ 34 >> |
Kim 26 ก.พ. 2559, 21:19:57 น.
ตามหากันต่อไป
ตามหากันต่อไป
ร้อยวจี 26 ก.พ. 2559, 23:19:33 น.
คงไม่ใช่แบบว่าอยู่แต่บอกว่าไม่อยู่นะ ที่ไม่อยู่เพราะออกไปข้างนอกพอดี 55
คงไม่ใช่แบบว่าอยู่แต่บอกว่าไม่อยู่นะ ที่ไม่อยู่เพราะออกไปข้างนอกพอดี 55
ปลาวาฬสีน้ำเงิน 27 ก.พ. 2559, 22:37:09 น.
งานนี้นายซัน จ๋อยเลย 555
งานนี้นายซัน จ๋อยเลย 555