มนต์อักษรอ้อนรัก

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 6

บทที่ 6


ทั้งที่เพิ่งรู้จักกันไม่นาน แต่เธอกลับเจอเขามากกว่านักอ่านที่รู้จักกันมาก่อนหน้านี้

ครองขวัญยิ้มกับความคิดนั้นยามมองปลาหลายตัวที่กำลังโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำเพื่อฮุบอาหารที่เธอเพิ่งโยนลงไป ซึ่งนี่เป็นหนึ่งในบริการของร้านอาหารแห่งนี้ที่มีไว้ให้กับลูกค้าหลังเสร็จสิ้นจากการทานอาหาร

“คุณดูชอบร้านนี้ ถ้าอย่างนั้นวันหลังเรามากันอีกนะ”

ครองขวัญใจเต้นแรงเมื่อรู้ว่าเขายังอยากพบเธออีก

“ตั้งแต่พบกับคุณครั้งที่แล้ว มีหลายครั้งที่คุณทำให้ผมนึกถึงเรื่องที่เราคุยกัน”

แววตาของเธอคงฟ้องถึงความสงสัยจนเขายิ้มให้ก่อนเฉลย

“ความสุขที่อยู่ใกล้แค่มือเอื้อม เพียงแค่เรายอมเปิดใจ”

“ขอโทษค่ะ ถ้าคำพูดของฉันทำให้คุณไม่สบายใจ”

“เปล่าเลย ตรงกันข้าม...คำพูดของคุณทำให้ผมเข้าใจเรื่องบางอย่างมากขึ้นต่างหาก”

“คะ?”

ขณะกำลังนึกสงสัย หัวใจครองขวัญก็เหมือนจะหยุดเต้นในวินาทีที่นินนาทขยับเข้ามาใกล้ เมื่อชายหนุ่มก้มหน้าลงมา ประกายระยิบระยับในดวงตาสีนิลคู่นั้นเหมือนมีมนต์สะกดให้เธอยืนนิ่งอยู่กับที่แต่หัวใจกลับเต้นแรง

“ขอบคุณที่ช่วยเปิดหัวใจให้ผม”


‘ขอบคุณที่ช่วยเปิดหัวใจให้ผม’

ทั้งที่ปกติเวลานี้เธอต้องนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อปั่นนิยาย แต่คืนนี้เธอกลับไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรเพราะสมาธิที่ถูกทำลายจนแตกสานซ่านเซ็นไปแล้วตั้งแต่เมื่อหัวค่ำ

ครองขวัญเผลอยิ้มเหมือนเช่นทุกครั้งยามหวนนึกถึงคำพูดของนินนาท

ตอนนั้นเธอก็รู้สึกร้อนไปทั้งหน้าเหมือนอย่างตอนนี้

เขาบอกว่าเธอช่วยเปิดหัวใจให้เขา แต่เขาจะรู้หรือเปล่าว่าเขาก็กำลังขโมยหัวใจของเธอ

หญิงสาวหน้าแดง นึกอายความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง สมแล้วที่กอบบุญเคยค่อนขอดเธอว่าเป็นพวกชอบเพ้อฝัน

แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่อตอนนี้เธอคิดว่าได้เจอกับเจ้าชายของตัวเองเข้าแล้ว


คืนนี้ ไม่ได้มีเพียงครองขวัญที่ไม่อาจข่มตาหลับ นาวิตาเองก็ไม่อาจข่มตาข่มใจให้หลับได้เสียที

‘ผมนี่ไง ถ้าคุณไม่กลับ ได้ออกจากงานแน่’

ถ้าเขาถูกไล่ออกงานก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องรับผิดชอบเสียหน่อย

เสียงหนึ่งในความคิดดังขึ้น แต่อีกเสียงหนึ่งก็แย้งออกมาทันที

แต่เธอจะทำให้คนคนหนึ่งต้องตกงานเชียวนะ

เมื่อคิดไม่ตก นาวิตาจึงลุกจากเตียงแล้วออกมายืนรับลมตรงระเบียงนอกห้อง แม้พยายามปล่อยใจไปกับการมองดวงดาวบนฟากฟ้าแต่จิตใจยังคงถูกรบกวนด้วยภาพของกอบบุญ จนส่งผลให้ต้องถอนหายใจก่อนตั้งคำถามกับตัวเอง

ถ้าเธอต้องรับผิดชอบเรื่องที่ทำให้คนคนหนึ่งต้องตกงาน แล้วการที่เธอนอนไม่หลับจนต้องลุกขึ้นมายืนดูดาวแบบนี้ล่ะ ใครจะรับผิดชอบ


เมื่อยามเช้ามาเยือน นาวิตาก็เดินทางไปพบญาติหนุ่มที่บริษัท หลังจากบอกการตัดสินใจพร้อมกับยื่นเงื่อนไขไม่ให้ไล่กอบบุญออก หญิงสาวก็อึ้งกับคำบอกของอีกฝ่าย

“ไม่ได้ไล่ออก”

กระนั้น นาวิตาก็ยังทวนซ้ำอย่างไม่อยากเชื่อ ในขณะที่นพรุจหัวเราะในลำคออย่างชอบอกชอบใจ

“พี่ว่าเราคงถูกนายกอบมันอำเข้าให้แล้ว”

ยิ่งถูกนพรุจพูดกระเซ้า นาวิตาก็หน้าหงิกหน้างอ

“แหม! ลูกน้องกับลูกพี่มาสำเภาเดียวกันเลยนะคะ เรื่องเจ้าเล่ห์ ปั้นน้ำเป็นตัวแบบนี้ พิมพ์เดียวกันชัด ๆ”

“อ้าว ๆ ยายหนูนา ไหงมาลงที่พี่ล่ะ พี่ไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยซะหน่อย แล้วทีหลังอย่าไปพูดแบบนี้กับใครเข้าล่ะ เกิดเขาไม่รู้จะคิดว่ามันเป็นเรื่องจริง พี่ได้เสียหายตายเลย”

“ไม่รู้ล่ะพี่นพต้องรับผิดชอบ เพราะนายนั่นเอาชื่อพี่มาอ้างบอกว่าถ้านาไม่กลับพี่นพจะไล่เขาออก” หลังจากเงียบไปครู่เจ้าตัวก็พึมพำต่อด้วยน้ำเสียงฟืดฟาด “ฮึ! เมื่อคืนไม่น่ารู้สึกผิดจนนอนไม่หลับเลย เสียดายเวลาชะมัด!”

“อะไร...นี่ถึงขนาดคิดเรื่องนายกอบจนนอนไม่หลับเชียว”

นาวิตาทำหน้าไม่ถูกเมื่อรู้ตัวว่าเผลอหลุดปาก แต่ไม่นานเจ้าตัวก็เบะปากแล้วบอกอย่างไม่แยแส

“ทำไงได้ล่ะคะ นาเป็นคนจิตใจดีมีน้ำใจกับสรรพสัตว์ เห็นว่าอาจต้องเดือดร้อนจนถึงขั้นตกงาน แล้วอย่างนี้จะไม่ให้รู้สึกรู้สาไม่ให้คิดมาก คงเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ”

หญิงสาวเริ่มยิ้มออก เมื่อเห็นญาติผู้พี่ทำตาปริบ ๆ

“ก็ดี สรุปว่าจะกลับมาทำงานสินะ งั้นรีบไปทำงานเลย อย่ามัวมานั่งอู้นี่มันเลยเวลามาเกือบชั่วโมงแล้ว ถ้าถูกว่าใช้อภิสิทธิ์ของเด็กเส้นอีกคราวนี้อย่าวิ่งมาฟ้องละกัน ไม่อยากเป็นกรรมการตัดสินเรื่องทะเลาะกันของเด็ก”

“พี่นพ!”

นาวิตายิ่งหน้างอเมื่อนพรุจนอกจากไม่หวั่นไหวกับน้ำเสียงเข้ม ๆ ของเธอ เขายังเอาแต่หัวเราะเสียงดังจนเธอทนไม่ไหวต้องเป็นฝ่ายเดินกระฟัดกระเฟียดออกมาจากห้อง


แน่นอนว่าคนที่ดีใจจนออกนอกหน้ากับการที่นาวิตายอมกลับมาทำงานอีกครั้ง ก็คือวุฒิชัย

ชายหนุ่มคอยเอาใจใส่และชวนหญิงสาวคุยเกือบทุกห้านาที จนชายหนุ่มอีกคนซึ่งถูกทำเหมือนไม่มีตัวตนเริ่มไม่สบอารมณ์

“ถ้ามีเรื่องจะคุยกันมากนักก็ออกไปคุยกันที่อื่น ที่ห้องนี้มีคนต้องการสมาธิในการทำงาน”

ทั้งวุฒิชัยและนาวิตาต่างชะงักกันทั้งคู่ แต่ไม่นานฝ่ายชายก็หันไปทางเพื่อนร่วมงานอีกสองคนแล้วพูดเสียงดังราวกับจงใจจะให้ใครบางคนได้ยินชัด ๆ

“เฮ้ย! ไอ้กรไอ้ต่อ ถ้าพวกเอ็งไม่มีสมาธิจะทำงาน ข้าอนุญาตให้ออกไปทำงานนอกห้องได้นะ ไม่ต้องเกรงใจ”

ทั้งนิกรและต่อศักดิ์ต่างอมยิ้ม ก่อนพยักหน้าให้สัญญาณกันแล้วลุกจากที่นั่ง จากนั้นจึงพากันเดินออกไปจากห้องราวกับไม่อยากอยู่ร่วมในสงครามเขย่าประสาท

“น้องหนูนาครับ กลางวันนี้ให้เกียรติไปกินข้าวกับพี่นะ พี่อยากจะเลี้ยงฉลองต้อนรับการกลับมาทำงานร่วมกัน”

หญิงสาวยังไม่ทันพูด คนที่ถูกกันให้เป็นคนนอกมาตลอดก็ชิงแทรกเหมือนหมดความอดทน

“ไม่ได้!”

หากนั่นทำให้วุฒิชัยยอมให้ความสนใจเพื่อนรักเป็นครั้งแรก เมื่อตั้งคำถาม

“ทำไมวะ”

กอบบุญนิ่งไปครู่ หากเมื่อเห็นนาวิตามองมาที่เขา คำตอบก็ราวกับพร่างพรายขึ้นมา

“เพราะพี่นพให้เด็กนี่มาเป็นผู้ช่วยของข้า ดังนั้นห้ามไปไหนถ้าข้าไม่อนุญาต และไม่ว่าใครหน้าไหนก็ห้ามมายุ่ง!”

“แต่คุณไม่ได้เป็นผู้ปกครองของฉัน ถ้าฉันจะไปไหนกับใครก็ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตกับคุณ!”

นาวิตาก็คงหมดความอดทนแล้วเช่นกันเมื่อดูจากการโต้กลับเสียงขุ่นด้วยสีหน้าบึ้งตึง

“นั่นสิ แกไม่ได้เป็นพ่อ...” วุฒิชัยกลั้นเสียงหัวเราะไว้ในลำคอเมื่อเพื่อนรักส่งสายตาขุ่นเขียวมาให้ทันควัน “โทษทีพูดผิด แกไม่ได้เป็นผู้ปกครองน้องหนูนาสักหน่อย แต่ถึงจะเป็นก็เถอะไม่มีผู้ปกครองที่ไหนเผด็จการแบบนี้หรอก ขนาดพี่นพเองเป็นญาติกันแท้ ๆ ยังไม่เห็นมีคำสั่งห้ามไม่ให้ใครมายุ่งกับน้องหนูนาเลย”

“แต่นี่เป็นคำสั่งในฐานะหัวหน้า” กอบบุญสวนกลับก่อนปรายตามองนาวิตาที่ยังคงมองเขาอย่างเอาเรื่อง “แต่ถ้าใครไม่พอใจจะวิ่งโร่ไปฟ้องพี่นพอีกก็ตามใจ เพราะถึงยังไงนี่ก็เป็นวิธีที่พวกคุณหนูเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อเขาชอบใช้กันอยู่แล้ว”

นาวิตาแทบอยากปรี่เข้าไปซัดปากคนนิสัยไม่ดี โทษฐานแกล้งกุเรื่องไล่ออกมาหลอกเธอยังไม่ได้ชำระความ แล้วนี่ยังไม่สำนึกตัวอีก

“คุณ!”

ต้องนับหนึ่งถึงสิบในใจเมื่อกอบบุญยังทำเหมือนจงใจยียวนด้วยการมองเธอพลางเลิกคิ้วข้างหนึ่ง

“แล้วคนที่หลอกคนอื่นโดยโกหกว่าตัวเองจะถูกไล่ออกถ้าฉันไม่ยอมกลับมาทำงานล่ะ คนแบบนี้เขาเรียกว่าอะไร”

“เขาเรียกว่าพวกชอบปั้นน้ำเป็นตัวครับ น้องหนูนา”

วุฒิชัยรีบบอก แววตาวาววับขึ้นทันทีเมื่อรู้ในสิ่งที่เพื่อนรักทำ

“ใช่ค่ะพี่วุฒิ พวกชอบปั้นน้ำเป็นตัว กุเรื่องได้สารพัดเพื่อให้ตัวเองได้สิ่งที่ต้องการโดยไม่สนใจว่าจะทำให้ใครต้องเดือดร้อน”

“ใช่ครับ คนแบบนี้นิสัยแย่มาก ถ้าเป็นเพื่อนพี่นะได้ถูกตัดหางปล่อยวัดแน่”

“ไอ้วุฒิ!”

คนถูกเรียกด้วยน้ำเสียงเข้มจัดต้องฝืนปั้นหน้าเฉยทั้งที่อยากหัวเราะเต็มที

ตอนแรกคิดว่านพรุจคงไปขอร้องให้กลับมา ที่ไหนได้ไอ้เพื่อนตัวดีนี่เองที่ใช้แผนสูง หลงคิดว่าไม่สนใจแต่ดูท่าคงไม่ใช่แล้ว

วุฒิชัยนึกอย่างครึ้มใจขณะลอบมองกอบบุญกับนาวิตา

แต่ก็ไม่น่าแปลกใจหรอก ขนาดเขาเองเวลาอยู่ใกล้สาวน้อยหน้าใสดวงตาแป๋วแหววคนนี้ ใจคอก็ยังไม่ค่อยจะดี กอบบุญเองก็ใช่เป็นพระอิฐพระปูนมาจากไหน

ชายหนุ่มถอนหายใจเมื่อให้ข้อสรุปกับตัวเองด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ

สงสัยคงต้องปักป้ายไว้...คนนี้เพื่อนจอง!

“ยิ้มอะไรไอ้วุฒิ”

กอบบุญตั้งคำถามเมื่อเหลือบมาเห็นท่าทางของเพื่อนรัก

“ข้ากำลังสงสัยน่ะ ว่าเร็ว ๆ นี้อาจโชคดีได้เป็นเพื่อนเจ้าบ่าว”

ไม่เพียงกอบบุญจะอึ้งงันกับคำตอบของเพื่อนที่ไม่ได้เข้ากันกับเรื่องที่พูดกันอยู่ นาวิตาเองก็มีทีท่าไม่ต่างกัน

“เอาเถอะ อย่าสนใจข้าเลย มาว่ากันเรื่องของเอ็งดีกว่า ทำไมถึงต้องไปโกหกน้องหนูนาเขาด้วยวะ”

ถูกตั้งคำถามแบบนั้นกอบบุญก็ทำเหมือนพูดไม่ออก ยิ่งเห็นนาวิตาทำท่ารอฟังก็ยิ่งพานทำอะไรไม่ถูก

“ก็เอ็งนั่นล่ะไอ้วุฒิ เอาแต่บ่นข้าทุกวันว่าเป็นต้นเหตุทำให้เด็กของเอ็งต้องลาออก ข้ารำคาญก็เลยต้องไปขอให้เขากลับมานี่ไง ทำไม...มีปัญหาอะไร หรือยังไม่พอใจอีก!”

กอบบุญกระแทกเสียงใส่ในตอนท้ายเมื่อเห็นเพื่อนรักมองมาด้วยแววตาราวกับรู้เท่าทันบางอย่าง

“พูดให้ดีหน่อยเว้ย มาบอกว่าน้องหนูนาเป็นเด็กของข้าได้ไงต้องบอกว่าเป็นเด็กของเอ็งสิ ก็เขาเป็นผู้ช่วยของเอ็งไม่ใช่หรือ”

วุฒิชัยพูดโดยทำเป็นไม่เห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของนาวิตา แต่เมื่อเห็นกอบบุญทำหน้าอิหลักอิเหลื่อ เจ้าตัวก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่จนทำให้ถูกตั้งคำถามอีกครั้ง

“หัวเราะอะไร”

“เอ๊า! ยิ้มก็ไม่ได้ หัวเราะก็ไม่ได้ ดูท่าตอนนี้ไม่ว่าข้าจะทำอะไรก็คงขวางหูขวางตาเอ็งไปหมดสินะ”

วุฒิชัยยังคงหัวเราะได้อีกถึงแม้รู้สึกว่าเริ่มจะเห็นแสงสีเขียวเรืองรองในดวงตาของกอบบุญ ก่อนจะยักไหล่แล้วพูดต่อหน้าเฉย

“งั้นข้าไม่อยู่เป็นก้าง ขัดคอขัดใจเอ็งแล้วก็ได้”

ไม่ปล่อยให้ใครทักท้วง เจ้าตัวก็เดินผิวปากออกไปจากห้อง



หลังจากเวลาผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมงซึ่งเป็นช่วงแห่งความสงบสุข เพราะกอบบุญและนาวิตาต่างพร้อมใจกันทำงานในหน้าที่ของแต่ละคนไปเงียบ ๆ คนที่มีตำแหน่งหัวหน้าก็พูดขึ้นหลังจากเงยหน้าขึ้นมาเห็นเวลาบนนาฬิกาที่ติดไว้ข้างผนัง

“เที่ยงกว่าแล้ว ไปกินข้าวได้”

นาวิตาหน้าตึงเล็กน้อยกับคำบอกที่ฟังแล้วเหมือนเป็นคำสั่ง อคติที่ติดอยู่ในใจทำให้ไม่พูดไม่จาเมื่อลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วฉวยกระเป๋าขึ้นสะพายบ่า แต่เดินไปได้เพียงสามก้าวคำถามก็ดังมาจากทางด้านหลัง

“จะไปไหน”

“ก็กินข้าวไง”

หญิงสาวตอบโดยไม่ชะลอฝีเท้า ดังนั้นเมื่อถูกรั้งไว้เจ้าตัวจึงเซนิด ๆ

“ปล่อย!”

เมื่อทรงตัวได้นาวิตาก็สั่งด้วยท่าทางเอาเรื่อง แต่กอบบุญยังคงดึงแขนเอาไว้ราวกับไม่ได้ยิน

“ลืมไปแล้วหรือ ผมเคยบอกไว้ว่ายังไง”

เมื่อเห็นนาวิตานิ่วหน้า กอบบุญก็เข้าใจว่านั่นคือคำตอบ จึงเป็นที่มาของคำบอกต่อมา

“คุณจะไปไหนได้ก็ต่อเมื่อผมอนุญาต”

“บ้าไปแล้ว! ฉันมาฝึกงานนะไม่ได้มาฝึกการเป็นทาส”

“แต่พื้นฐานของการฝึกงาน เริ่มต้นจากการเชื่อฟังผู้บังคับบัญชา ถ้าแค่นี้ยังไม่ผ่านก็อย่าหวังเลยว่าจะไปทำอย่างอื่นได้ หรือเคยชินเสียแล้วกับการเป็นเจ้าคนนายคน ชินกับการชี้นิ้วสั่งการคนอื่นจนรับฟังคำสั่งของใครไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นอย่ามาฝึกงานให้เสียเวลาเลย กลับไปเป็นคุณหนูนั่งกระดิกเท้าอยู่แต่ในบ้านเถอะ”

ฟังแล้วนาวิตาโกรธวูบ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่เข้าใจ

“ถ้าคุณอยากให้ฉันเป็นคุณหนูอยู่แต่ในบ้าน แล้วทำไมคุณถึงยังไปขอให้ฉันกลับมาทำงานอีกล่ะ”

หลังคำถามที่ไม่ได้รับคำตอบ หญิงสาวก็แค่นยิ้มก่อนพูดต่อจากความนึกคิดของตน

“หรือว่าที่คุณทำลงไปก็เพื่อจะเอาตัวฉันกลับมาแกล้งเล่นให้หายแค้น ทำไมคะ ทั้งที่ฉันก็ขอโทษแล้วสำหรับเรื่องเข้าใจผิดครั้งนั้น ทำไมคุณยังไม่พอใจอีก”

เมื่อเห็นว่ากอบบุญเอาแต่ยืนนิ่งเหมือนไม่รู้สึกรู้สา ปรอทความโกรธในใจก็ยิ่งพุ่งสูงจนส่งผลให้เสียงที่เปล่งออกไปเริ่มสั่น

“หรือต้องให้ฉันคุกเข่าก้มลงกราบ คุณถึงจะพอใจ”

วินาทีนั้น ความอัดอั้นในใจกดดันความรู้สึกจนทนอีกต่อไปไม่ไหว โดยเฉพาะเมื่อเห็นชายหนุ่มยังเอาแต่ยืนเฉย

“ก็ได้ค่ะ ฉันจะยอมกราบขอโทษคุณ หลังจากนี้เราสองคนจะได้ไม่ต้องมีอะไรติดค้างต่อกันอีก”

นาวิตายังไม่ทันทำตามที่ลั่นปากก็ถูกกอบบุญกระชากตัวแล้วจับเขย่าจนหัวสั่นหัวคลอน

“บ้าไปแล้วหรือไง! ยังมีสติอยู่หรือเปล่าถึงได้คิดจะทำอะไรบ้า ๆ”

นาวิตาอาจไม่รู้ตัวว่าตอนนี้เธอกำลังน้ำตาไหล แต่เพราะกอบบุญเห็นเต็มสองตาชายหนุ่มจึงทั้งตกใจและทำอะไรไม่ถูก กระทั่งมือที่จับต้นแขนของหญิงสาวก็พลอยร่วงผล็อยราวกับหมดแรง

“ก็นี่ไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการหรือไง ให้ฉันกราบขอโทษสำหรับความผิดร้ายแรงที่เคยทำไว้กับคุณ”

กอบบุญกัดฟันแน่นอย่างนึกโมโหเมื่อคนเจ้าน้ำตายังไม่วายทำปากดี กระนั้นก็ใจไม่แข็งพอเพราะภาพของหยดน้ำบนแก้มใสยังคงทิ่มแทงตาชวนให้ใจแกว่ง

“ผมไม่ต้องการ แล้วทีหลังอย่าพูดเรื่องนั้นอีก ผมลืมมันไปหมดแล้ว”

“จริงหรือ คุณลืมไปแล้วจริง ๆ นะ”

ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าสดใสของคนพูดทำให้กอบบุญต้องเขม้นมองอย่างไม่แน่ใจ

เมื่อกี้ยังน้ำตาไหลอยู่แท้ ๆ ตอนนี้กลับทำหน้าทำเสียงเหมือนเด็ก ๆ ผู้หญิงบ้าอะไรก็ไม่รู้

นึกค่อนขอดในใจแล้ว ชายหนุ่มก็ทำหน้าขรึมยามตอบรับสั้น ๆ

“อืม”

เท่านั้นเอง หัวใจหนุ่มก็แกว่งไกวราวกับชิงช้าที่ถูกโล้ยามสายตาปะทะเข้ากับรอยยิ้มกว้างของหญิงสาว ทั้งจับตาและจับใจหากขณะเดียวกันก็ชวนหมั่นไส้นิด ๆ อย่างไม่มีสาเหตุ

“เลิกยิ้มแบบนี้ได้แล้ว น่าเกลียด”

หลังคำวิจารณ์แบบไม่ไว้หน้า รอยยิ้มสดใสก็เลือนหายราวกับไม่เคยเกิด ทำให้กอบบุญนึกเสียดายหน่อย ๆ

“ถ้าอย่างนั้น กลางวันนี้ขอฉันเลี้ยงข้าวคุณนะ ถือว่าแทนคำขอบคุณที่คุณไม่โกรธฉันแล้ว”

นาวิตายังคงยิ้มได้ถึงแม้ไม่เต็มที่นักอาจเพราะความเชื่อมั่นในตัวเองที่ถูกลดทอนจากการพูดขวานผ่าซากเมื่อครู่ของกอบบุญ กระนั้นในแววตาก็ฉายประกายสดใสเต็มเปี่ยมยามยื่นข้อเสนอด้วยท่าทีกระตือรือร้น

กอบบุญรู้ตัวดีว่ายากยิ่งที่จะฝ่าด่านความสดใสนี้ไปได้ โดยเฉพาะเมื่อนาวิตามีทีท่าจริงใจและเป็นมิตร กระนั้นก็ยังไม่วายทำเสียงดุเข้าข่มเมื่อยื่นข้อต่อรองกลับ

“ได้ยังไง ให้ผู้หญิงเลี้ยงข้าว ใครรู้ได้อายเขาตาย เอาเป็นว่าผมเลี้ยงเอง ถือซะว่าหัวหน้าเลี้ยงต้อนรับลูกน้องก็แล้วกัน”

ดูเหมือนว่านาวิตาจะไม่มีปัญหาเมื่อมองจากรอยยิ้มที่ขยายกว้างราวกับไม่เกรงจะถูกวิจารณ์เป็นรอบสอง ในขณะที่กอบบุญก็เผลอยิ้มตอบ หากเพียงครู่เพราะทันทีที่รู้ตัวใบหน้าคมสันก็กลับมาเรียบเฉยจนติดบึ้ง ก่อนรีบสาวเท้าเดินนำตรงไปที่ประตูด้วยฝีเท้าค่อนข้างเร็วไม่ต่างจากจังหวะหัวใจที่กำลังเต้นอยู่ในตอนนี้


*****************************************************************


อัพตอนใหม่ส่งท้ายอาทิตย์นี้ค่ะ


ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ


คุณ Zephyr - ชอบเหตุผลที่เชียร์พี่กอบจัง...ปู้จายถูกเสมอ 555 หวังว่าทีหลังจะไม่เปลี่ยนใจ ไม่เปลี่ยนข้าง นะคะ ^^


คุณปลาวาฬสีน้ำเงิน - ขอบคุณสำหรับรูปรอยยิ้มที่มอบให้ย้อนหลังค่ะ ^^




ปิยะณัฏฐ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 ก.พ. 2559, 09:00:52 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 ก.พ. 2559, 09:00:52 น.

จำนวนการเข้าชม : 953





<< บทที่ 5   บทที่ 7 >>
Zephyr 28 ก.พ. 2559, 11:45:08 น.
ฮะๆๆๆ ไม่เป็นไรค่ะ เพราะพอเป็นปู้จายของเราจะทำยังไงกะเค้าก็ได้ แฮ่
ตอนนี้ หมั่นไส้หนูนา แบบไม่มีเหตุผลค่ะ จบนะ ชิ


ปลาวาฬสีน้ำเงิน 28 ก.พ. 2559, 23:06:00 น.
อ่านไป แล้วก็ยิ้มไป ค่ะ สนุก น่าติดตาม


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account