มนต์อักษรอ้อนรัก
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ 6
บทที่ 6
ทั้งที่เพิ่งรู้จักกันไม่นาน แต่เธอกลับเจอเขามากกว่านักอ่านที่รู้จักกันมาก่อนหน้านี้
ครองขวัญยิ้มกับความคิดนั้นยามมองปลาหลายตัวที่กำลังโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำเพื่อฮุบอาหารที่เธอเพิ่งโยนลงไป ซึ่งนี่เป็นหนึ่งในบริการของร้านอาหารแห่งนี้ที่มีไว้ให้กับลูกค้าหลังเสร็จสิ้นจากการทานอาหาร
“คุณดูชอบร้านนี้ ถ้าอย่างนั้นวันหลังเรามากันอีกนะ”
ครองขวัญใจเต้นแรงเมื่อรู้ว่าเขายังอยากพบเธออีก
“ตั้งแต่พบกับคุณครั้งที่แล้ว มีหลายครั้งที่คุณทำให้ผมนึกถึงเรื่องที่เราคุยกัน”
แววตาของเธอคงฟ้องถึงความสงสัยจนเขายิ้มให้ก่อนเฉลย
“ความสุขที่อยู่ใกล้แค่มือเอื้อม เพียงแค่เรายอมเปิดใจ”
“ขอโทษค่ะ ถ้าคำพูดของฉันทำให้คุณไม่สบายใจ”
“เปล่าเลย ตรงกันข้าม...คำพูดของคุณทำให้ผมเข้าใจเรื่องบางอย่างมากขึ้นต่างหาก”
“คะ?”
ขณะกำลังนึกสงสัย หัวใจครองขวัญก็เหมือนจะหยุดเต้นในวินาทีที่นินนาทขยับเข้ามาใกล้ เมื่อชายหนุ่มก้มหน้าลงมา ประกายระยิบระยับในดวงตาสีนิลคู่นั้นเหมือนมีมนต์สะกดให้เธอยืนนิ่งอยู่กับที่แต่หัวใจกลับเต้นแรง
“ขอบคุณที่ช่วยเปิดหัวใจให้ผม”
‘ขอบคุณที่ช่วยเปิดหัวใจให้ผม’
ทั้งที่ปกติเวลานี้เธอต้องนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อปั่นนิยาย แต่คืนนี้เธอกลับไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรเพราะสมาธิที่ถูกทำลายจนแตกสานซ่านเซ็นไปแล้วตั้งแต่เมื่อหัวค่ำ
ครองขวัญเผลอยิ้มเหมือนเช่นทุกครั้งยามหวนนึกถึงคำพูดของนินนาท
ตอนนั้นเธอก็รู้สึกร้อนไปทั้งหน้าเหมือนอย่างตอนนี้
เขาบอกว่าเธอช่วยเปิดหัวใจให้เขา แต่เขาจะรู้หรือเปล่าว่าเขาก็กำลังขโมยหัวใจของเธอ
หญิงสาวหน้าแดง นึกอายความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง สมแล้วที่กอบบุญเคยค่อนขอดเธอว่าเป็นพวกชอบเพ้อฝัน
แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่อตอนนี้เธอคิดว่าได้เจอกับเจ้าชายของตัวเองเข้าแล้ว
คืนนี้ ไม่ได้มีเพียงครองขวัญที่ไม่อาจข่มตาหลับ นาวิตาเองก็ไม่อาจข่มตาข่มใจให้หลับได้เสียที
‘ผมนี่ไง ถ้าคุณไม่กลับ ได้ออกจากงานแน่’
ถ้าเขาถูกไล่ออกงานก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องรับผิดชอบเสียหน่อย
เสียงหนึ่งในความคิดดังขึ้น แต่อีกเสียงหนึ่งก็แย้งออกมาทันที
แต่เธอจะทำให้คนคนหนึ่งต้องตกงานเชียวนะ
เมื่อคิดไม่ตก นาวิตาจึงลุกจากเตียงแล้วออกมายืนรับลมตรงระเบียงนอกห้อง แม้พยายามปล่อยใจไปกับการมองดวงดาวบนฟากฟ้าแต่จิตใจยังคงถูกรบกวนด้วยภาพของกอบบุญ จนส่งผลให้ต้องถอนหายใจก่อนตั้งคำถามกับตัวเอง
ถ้าเธอต้องรับผิดชอบเรื่องที่ทำให้คนคนหนึ่งต้องตกงาน แล้วการที่เธอนอนไม่หลับจนต้องลุกขึ้นมายืนดูดาวแบบนี้ล่ะ ใครจะรับผิดชอบ
เมื่อยามเช้ามาเยือน นาวิตาก็เดินทางไปพบญาติหนุ่มที่บริษัท หลังจากบอกการตัดสินใจพร้อมกับยื่นเงื่อนไขไม่ให้ไล่กอบบุญออก หญิงสาวก็อึ้งกับคำบอกของอีกฝ่าย
“ไม่ได้ไล่ออก”
กระนั้น นาวิตาก็ยังทวนซ้ำอย่างไม่อยากเชื่อ ในขณะที่นพรุจหัวเราะในลำคออย่างชอบอกชอบใจ
“พี่ว่าเราคงถูกนายกอบมันอำเข้าให้แล้ว”
ยิ่งถูกนพรุจพูดกระเซ้า นาวิตาก็หน้าหงิกหน้างอ
“แหม! ลูกน้องกับลูกพี่มาสำเภาเดียวกันเลยนะคะ เรื่องเจ้าเล่ห์ ปั้นน้ำเป็นตัวแบบนี้ พิมพ์เดียวกันชัด ๆ”
“อ้าว ๆ ยายหนูนา ไหงมาลงที่พี่ล่ะ พี่ไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยซะหน่อย แล้วทีหลังอย่าไปพูดแบบนี้กับใครเข้าล่ะ เกิดเขาไม่รู้จะคิดว่ามันเป็นเรื่องจริง พี่ได้เสียหายตายเลย”
“ไม่รู้ล่ะพี่นพต้องรับผิดชอบ เพราะนายนั่นเอาชื่อพี่มาอ้างบอกว่าถ้านาไม่กลับพี่นพจะไล่เขาออก” หลังจากเงียบไปครู่เจ้าตัวก็พึมพำต่อด้วยน้ำเสียงฟืดฟาด “ฮึ! เมื่อคืนไม่น่ารู้สึกผิดจนนอนไม่หลับเลย เสียดายเวลาชะมัด!”
“อะไร...นี่ถึงขนาดคิดเรื่องนายกอบจนนอนไม่หลับเชียว”
นาวิตาทำหน้าไม่ถูกเมื่อรู้ตัวว่าเผลอหลุดปาก แต่ไม่นานเจ้าตัวก็เบะปากแล้วบอกอย่างไม่แยแส
“ทำไงได้ล่ะคะ นาเป็นคนจิตใจดีมีน้ำใจกับสรรพสัตว์ เห็นว่าอาจต้องเดือดร้อนจนถึงขั้นตกงาน แล้วอย่างนี้จะไม่ให้รู้สึกรู้สาไม่ให้คิดมาก คงเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ”
หญิงสาวเริ่มยิ้มออก เมื่อเห็นญาติผู้พี่ทำตาปริบ ๆ
“ก็ดี สรุปว่าจะกลับมาทำงานสินะ งั้นรีบไปทำงานเลย อย่ามัวมานั่งอู้นี่มันเลยเวลามาเกือบชั่วโมงแล้ว ถ้าถูกว่าใช้อภิสิทธิ์ของเด็กเส้นอีกคราวนี้อย่าวิ่งมาฟ้องละกัน ไม่อยากเป็นกรรมการตัดสินเรื่องทะเลาะกันของเด็ก”
“พี่นพ!”
นาวิตายิ่งหน้างอเมื่อนพรุจนอกจากไม่หวั่นไหวกับน้ำเสียงเข้ม ๆ ของเธอ เขายังเอาแต่หัวเราะเสียงดังจนเธอทนไม่ไหวต้องเป็นฝ่ายเดินกระฟัดกระเฟียดออกมาจากห้อง
แน่นอนว่าคนที่ดีใจจนออกนอกหน้ากับการที่นาวิตายอมกลับมาทำงานอีกครั้ง ก็คือวุฒิชัย
ชายหนุ่มคอยเอาใจใส่และชวนหญิงสาวคุยเกือบทุกห้านาที จนชายหนุ่มอีกคนซึ่งถูกทำเหมือนไม่มีตัวตนเริ่มไม่สบอารมณ์
“ถ้ามีเรื่องจะคุยกันมากนักก็ออกไปคุยกันที่อื่น ที่ห้องนี้มีคนต้องการสมาธิในการทำงาน”
ทั้งวุฒิชัยและนาวิตาต่างชะงักกันทั้งคู่ แต่ไม่นานฝ่ายชายก็หันไปทางเพื่อนร่วมงานอีกสองคนแล้วพูดเสียงดังราวกับจงใจจะให้ใครบางคนได้ยินชัด ๆ
“เฮ้ย! ไอ้กรไอ้ต่อ ถ้าพวกเอ็งไม่มีสมาธิจะทำงาน ข้าอนุญาตให้ออกไปทำงานนอกห้องได้นะ ไม่ต้องเกรงใจ”
ทั้งนิกรและต่อศักดิ์ต่างอมยิ้ม ก่อนพยักหน้าให้สัญญาณกันแล้วลุกจากที่นั่ง จากนั้นจึงพากันเดินออกไปจากห้องราวกับไม่อยากอยู่ร่วมในสงครามเขย่าประสาท
“น้องหนูนาครับ กลางวันนี้ให้เกียรติไปกินข้าวกับพี่นะ พี่อยากจะเลี้ยงฉลองต้อนรับการกลับมาทำงานร่วมกัน”
หญิงสาวยังไม่ทันพูด คนที่ถูกกันให้เป็นคนนอกมาตลอดก็ชิงแทรกเหมือนหมดความอดทน
“ไม่ได้!”
หากนั่นทำให้วุฒิชัยยอมให้ความสนใจเพื่อนรักเป็นครั้งแรก เมื่อตั้งคำถาม
“ทำไมวะ”
กอบบุญนิ่งไปครู่ หากเมื่อเห็นนาวิตามองมาที่เขา คำตอบก็ราวกับพร่างพรายขึ้นมา
“เพราะพี่นพให้เด็กนี่มาเป็นผู้ช่วยของข้า ดังนั้นห้ามไปไหนถ้าข้าไม่อนุญาต และไม่ว่าใครหน้าไหนก็ห้ามมายุ่ง!”
“แต่คุณไม่ได้เป็นผู้ปกครองของฉัน ถ้าฉันจะไปไหนกับใครก็ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตกับคุณ!”
นาวิตาก็คงหมดความอดทนแล้วเช่นกันเมื่อดูจากการโต้กลับเสียงขุ่นด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“นั่นสิ แกไม่ได้เป็นพ่อ...” วุฒิชัยกลั้นเสียงหัวเราะไว้ในลำคอเมื่อเพื่อนรักส่งสายตาขุ่นเขียวมาให้ทันควัน “โทษทีพูดผิด แกไม่ได้เป็นผู้ปกครองน้องหนูนาสักหน่อย แต่ถึงจะเป็นก็เถอะไม่มีผู้ปกครองที่ไหนเผด็จการแบบนี้หรอก ขนาดพี่นพเองเป็นญาติกันแท้ ๆ ยังไม่เห็นมีคำสั่งห้ามไม่ให้ใครมายุ่งกับน้องหนูนาเลย”
“แต่นี่เป็นคำสั่งในฐานะหัวหน้า” กอบบุญสวนกลับก่อนปรายตามองนาวิตาที่ยังคงมองเขาอย่างเอาเรื่อง “แต่ถ้าใครไม่พอใจจะวิ่งโร่ไปฟ้องพี่นพอีกก็ตามใจ เพราะถึงยังไงนี่ก็เป็นวิธีที่พวกคุณหนูเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อเขาชอบใช้กันอยู่แล้ว”
นาวิตาแทบอยากปรี่เข้าไปซัดปากคนนิสัยไม่ดี โทษฐานแกล้งกุเรื่องไล่ออกมาหลอกเธอยังไม่ได้ชำระความ แล้วนี่ยังไม่สำนึกตัวอีก
“คุณ!”
ต้องนับหนึ่งถึงสิบในใจเมื่อกอบบุญยังทำเหมือนจงใจยียวนด้วยการมองเธอพลางเลิกคิ้วข้างหนึ่ง
“แล้วคนที่หลอกคนอื่นโดยโกหกว่าตัวเองจะถูกไล่ออกถ้าฉันไม่ยอมกลับมาทำงานล่ะ คนแบบนี้เขาเรียกว่าอะไร”
“เขาเรียกว่าพวกชอบปั้นน้ำเป็นตัวครับ น้องหนูนา”
วุฒิชัยรีบบอก แววตาวาววับขึ้นทันทีเมื่อรู้ในสิ่งที่เพื่อนรักทำ
“ใช่ค่ะพี่วุฒิ พวกชอบปั้นน้ำเป็นตัว กุเรื่องได้สารพัดเพื่อให้ตัวเองได้สิ่งที่ต้องการโดยไม่สนใจว่าจะทำให้ใครต้องเดือดร้อน”
“ใช่ครับ คนแบบนี้นิสัยแย่มาก ถ้าเป็นเพื่อนพี่นะได้ถูกตัดหางปล่อยวัดแน่”
“ไอ้วุฒิ!”
คนถูกเรียกด้วยน้ำเสียงเข้มจัดต้องฝืนปั้นหน้าเฉยทั้งที่อยากหัวเราะเต็มที
ตอนแรกคิดว่านพรุจคงไปขอร้องให้กลับมา ที่ไหนได้ไอ้เพื่อนตัวดีนี่เองที่ใช้แผนสูง หลงคิดว่าไม่สนใจแต่ดูท่าคงไม่ใช่แล้ว
วุฒิชัยนึกอย่างครึ้มใจขณะลอบมองกอบบุญกับนาวิตา
แต่ก็ไม่น่าแปลกใจหรอก ขนาดเขาเองเวลาอยู่ใกล้สาวน้อยหน้าใสดวงตาแป๋วแหววคนนี้ ใจคอก็ยังไม่ค่อยจะดี กอบบุญเองก็ใช่เป็นพระอิฐพระปูนมาจากไหน
ชายหนุ่มถอนหายใจเมื่อให้ข้อสรุปกับตัวเองด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ
สงสัยคงต้องปักป้ายไว้...คนนี้เพื่อนจอง!
“ยิ้มอะไรไอ้วุฒิ”
กอบบุญตั้งคำถามเมื่อเหลือบมาเห็นท่าทางของเพื่อนรัก
“ข้ากำลังสงสัยน่ะ ว่าเร็ว ๆ นี้อาจโชคดีได้เป็นเพื่อนเจ้าบ่าว”
ไม่เพียงกอบบุญจะอึ้งงันกับคำตอบของเพื่อนที่ไม่ได้เข้ากันกับเรื่องที่พูดกันอยู่ นาวิตาเองก็มีทีท่าไม่ต่างกัน
“เอาเถอะ อย่าสนใจข้าเลย มาว่ากันเรื่องของเอ็งดีกว่า ทำไมถึงต้องไปโกหกน้องหนูนาเขาด้วยวะ”
ถูกตั้งคำถามแบบนั้นกอบบุญก็ทำเหมือนพูดไม่ออก ยิ่งเห็นนาวิตาทำท่ารอฟังก็ยิ่งพานทำอะไรไม่ถูก
“ก็เอ็งนั่นล่ะไอ้วุฒิ เอาแต่บ่นข้าทุกวันว่าเป็นต้นเหตุทำให้เด็กของเอ็งต้องลาออก ข้ารำคาญก็เลยต้องไปขอให้เขากลับมานี่ไง ทำไม...มีปัญหาอะไร หรือยังไม่พอใจอีก!”
กอบบุญกระแทกเสียงใส่ในตอนท้ายเมื่อเห็นเพื่อนรักมองมาด้วยแววตาราวกับรู้เท่าทันบางอย่าง
“พูดให้ดีหน่อยเว้ย มาบอกว่าน้องหนูนาเป็นเด็กของข้าได้ไงต้องบอกว่าเป็นเด็กของเอ็งสิ ก็เขาเป็นผู้ช่วยของเอ็งไม่ใช่หรือ”
วุฒิชัยพูดโดยทำเป็นไม่เห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของนาวิตา แต่เมื่อเห็นกอบบุญทำหน้าอิหลักอิเหลื่อ เจ้าตัวก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่จนทำให้ถูกตั้งคำถามอีกครั้ง
“หัวเราะอะไร”
“เอ๊า! ยิ้มก็ไม่ได้ หัวเราะก็ไม่ได้ ดูท่าตอนนี้ไม่ว่าข้าจะทำอะไรก็คงขวางหูขวางตาเอ็งไปหมดสินะ”
วุฒิชัยยังคงหัวเราะได้อีกถึงแม้รู้สึกว่าเริ่มจะเห็นแสงสีเขียวเรืองรองในดวงตาของกอบบุญ ก่อนจะยักไหล่แล้วพูดต่อหน้าเฉย
“งั้นข้าไม่อยู่เป็นก้าง ขัดคอขัดใจเอ็งแล้วก็ได้”
ไม่ปล่อยให้ใครทักท้วง เจ้าตัวก็เดินผิวปากออกไปจากห้อง
หลังจากเวลาผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมงซึ่งเป็นช่วงแห่งความสงบสุข เพราะกอบบุญและนาวิตาต่างพร้อมใจกันทำงานในหน้าที่ของแต่ละคนไปเงียบ ๆ คนที่มีตำแหน่งหัวหน้าก็พูดขึ้นหลังจากเงยหน้าขึ้นมาเห็นเวลาบนนาฬิกาที่ติดไว้ข้างผนัง
“เที่ยงกว่าแล้ว ไปกินข้าวได้”
นาวิตาหน้าตึงเล็กน้อยกับคำบอกที่ฟังแล้วเหมือนเป็นคำสั่ง อคติที่ติดอยู่ในใจทำให้ไม่พูดไม่จาเมื่อลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วฉวยกระเป๋าขึ้นสะพายบ่า แต่เดินไปได้เพียงสามก้าวคำถามก็ดังมาจากทางด้านหลัง
“จะไปไหน”
“ก็กินข้าวไง”
หญิงสาวตอบโดยไม่ชะลอฝีเท้า ดังนั้นเมื่อถูกรั้งไว้เจ้าตัวจึงเซนิด ๆ
“ปล่อย!”
เมื่อทรงตัวได้นาวิตาก็สั่งด้วยท่าทางเอาเรื่อง แต่กอบบุญยังคงดึงแขนเอาไว้ราวกับไม่ได้ยิน
“ลืมไปแล้วหรือ ผมเคยบอกไว้ว่ายังไง”
เมื่อเห็นนาวิตานิ่วหน้า กอบบุญก็เข้าใจว่านั่นคือคำตอบ จึงเป็นที่มาของคำบอกต่อมา
“คุณจะไปไหนได้ก็ต่อเมื่อผมอนุญาต”
“บ้าไปแล้ว! ฉันมาฝึกงานนะไม่ได้มาฝึกการเป็นทาส”
“แต่พื้นฐานของการฝึกงาน เริ่มต้นจากการเชื่อฟังผู้บังคับบัญชา ถ้าแค่นี้ยังไม่ผ่านก็อย่าหวังเลยว่าจะไปทำอย่างอื่นได้ หรือเคยชินเสียแล้วกับการเป็นเจ้าคนนายคน ชินกับการชี้นิ้วสั่งการคนอื่นจนรับฟังคำสั่งของใครไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นอย่ามาฝึกงานให้เสียเวลาเลย กลับไปเป็นคุณหนูนั่งกระดิกเท้าอยู่แต่ในบ้านเถอะ”
ฟังแล้วนาวิตาโกรธวูบ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่เข้าใจ
“ถ้าคุณอยากให้ฉันเป็นคุณหนูอยู่แต่ในบ้าน แล้วทำไมคุณถึงยังไปขอให้ฉันกลับมาทำงานอีกล่ะ”
หลังคำถามที่ไม่ได้รับคำตอบ หญิงสาวก็แค่นยิ้มก่อนพูดต่อจากความนึกคิดของตน
“หรือว่าที่คุณทำลงไปก็เพื่อจะเอาตัวฉันกลับมาแกล้งเล่นให้หายแค้น ทำไมคะ ทั้งที่ฉันก็ขอโทษแล้วสำหรับเรื่องเข้าใจผิดครั้งนั้น ทำไมคุณยังไม่พอใจอีก”
เมื่อเห็นว่ากอบบุญเอาแต่ยืนนิ่งเหมือนไม่รู้สึกรู้สา ปรอทความโกรธในใจก็ยิ่งพุ่งสูงจนส่งผลให้เสียงที่เปล่งออกไปเริ่มสั่น
“หรือต้องให้ฉันคุกเข่าก้มลงกราบ คุณถึงจะพอใจ”
วินาทีนั้น ความอัดอั้นในใจกดดันความรู้สึกจนทนอีกต่อไปไม่ไหว โดยเฉพาะเมื่อเห็นชายหนุ่มยังเอาแต่ยืนเฉย
“ก็ได้ค่ะ ฉันจะยอมกราบขอโทษคุณ หลังจากนี้เราสองคนจะได้ไม่ต้องมีอะไรติดค้างต่อกันอีก”
นาวิตายังไม่ทันทำตามที่ลั่นปากก็ถูกกอบบุญกระชากตัวแล้วจับเขย่าจนหัวสั่นหัวคลอน
“บ้าไปแล้วหรือไง! ยังมีสติอยู่หรือเปล่าถึงได้คิดจะทำอะไรบ้า ๆ”
นาวิตาอาจไม่รู้ตัวว่าตอนนี้เธอกำลังน้ำตาไหล แต่เพราะกอบบุญเห็นเต็มสองตาชายหนุ่มจึงทั้งตกใจและทำอะไรไม่ถูก กระทั่งมือที่จับต้นแขนของหญิงสาวก็พลอยร่วงผล็อยราวกับหมดแรง
“ก็นี่ไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการหรือไง ให้ฉันกราบขอโทษสำหรับความผิดร้ายแรงที่เคยทำไว้กับคุณ”
กอบบุญกัดฟันแน่นอย่างนึกโมโหเมื่อคนเจ้าน้ำตายังไม่วายทำปากดี กระนั้นก็ใจไม่แข็งพอเพราะภาพของหยดน้ำบนแก้มใสยังคงทิ่มแทงตาชวนให้ใจแกว่ง
“ผมไม่ต้องการ แล้วทีหลังอย่าพูดเรื่องนั้นอีก ผมลืมมันไปหมดแล้ว”
“จริงหรือ คุณลืมไปแล้วจริง ๆ นะ”
ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าสดใสของคนพูดทำให้กอบบุญต้องเขม้นมองอย่างไม่แน่ใจ
เมื่อกี้ยังน้ำตาไหลอยู่แท้ ๆ ตอนนี้กลับทำหน้าทำเสียงเหมือนเด็ก ๆ ผู้หญิงบ้าอะไรก็ไม่รู้
นึกค่อนขอดในใจแล้ว ชายหนุ่มก็ทำหน้าขรึมยามตอบรับสั้น ๆ
“อืม”
เท่านั้นเอง หัวใจหนุ่มก็แกว่งไกวราวกับชิงช้าที่ถูกโล้ยามสายตาปะทะเข้ากับรอยยิ้มกว้างของหญิงสาว ทั้งจับตาและจับใจหากขณะเดียวกันก็ชวนหมั่นไส้นิด ๆ อย่างไม่มีสาเหตุ
“เลิกยิ้มแบบนี้ได้แล้ว น่าเกลียด”
หลังคำวิจารณ์แบบไม่ไว้หน้า รอยยิ้มสดใสก็เลือนหายราวกับไม่เคยเกิด ทำให้กอบบุญนึกเสียดายหน่อย ๆ
“ถ้าอย่างนั้น กลางวันนี้ขอฉันเลี้ยงข้าวคุณนะ ถือว่าแทนคำขอบคุณที่คุณไม่โกรธฉันแล้ว”
นาวิตายังคงยิ้มได้ถึงแม้ไม่เต็มที่นักอาจเพราะความเชื่อมั่นในตัวเองที่ถูกลดทอนจากการพูดขวานผ่าซากเมื่อครู่ของกอบบุญ กระนั้นในแววตาก็ฉายประกายสดใสเต็มเปี่ยมยามยื่นข้อเสนอด้วยท่าทีกระตือรือร้น
กอบบุญรู้ตัวดีว่ายากยิ่งที่จะฝ่าด่านความสดใสนี้ไปได้ โดยเฉพาะเมื่อนาวิตามีทีท่าจริงใจและเป็นมิตร กระนั้นก็ยังไม่วายทำเสียงดุเข้าข่มเมื่อยื่นข้อต่อรองกลับ
“ได้ยังไง ให้ผู้หญิงเลี้ยงข้าว ใครรู้ได้อายเขาตาย เอาเป็นว่าผมเลี้ยงเอง ถือซะว่าหัวหน้าเลี้ยงต้อนรับลูกน้องก็แล้วกัน”
ดูเหมือนว่านาวิตาจะไม่มีปัญหาเมื่อมองจากรอยยิ้มที่ขยายกว้างราวกับไม่เกรงจะถูกวิจารณ์เป็นรอบสอง ในขณะที่กอบบุญก็เผลอยิ้มตอบ หากเพียงครู่เพราะทันทีที่รู้ตัวใบหน้าคมสันก็กลับมาเรียบเฉยจนติดบึ้ง ก่อนรีบสาวเท้าเดินนำตรงไปที่ประตูด้วยฝีเท้าค่อนข้างเร็วไม่ต่างจากจังหวะหัวใจที่กำลังเต้นอยู่ในตอนนี้
*****************************************************************
อัพตอนใหม่ส่งท้ายอาทิตย์นี้ค่ะ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ
คุณ Zephyr - ชอบเหตุผลที่เชียร์พี่กอบจัง...ปู้จายถูกเสมอ 555 หวังว่าทีหลังจะไม่เปลี่ยนใจ ไม่เปลี่ยนข้าง นะคะ ^^
คุณปลาวาฬสีน้ำเงิน - ขอบคุณสำหรับรูปรอยยิ้มที่มอบให้ย้อนหลังค่ะ ^^
ทั้งที่เพิ่งรู้จักกันไม่นาน แต่เธอกลับเจอเขามากกว่านักอ่านที่รู้จักกันมาก่อนหน้านี้
ครองขวัญยิ้มกับความคิดนั้นยามมองปลาหลายตัวที่กำลังโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำเพื่อฮุบอาหารที่เธอเพิ่งโยนลงไป ซึ่งนี่เป็นหนึ่งในบริการของร้านอาหารแห่งนี้ที่มีไว้ให้กับลูกค้าหลังเสร็จสิ้นจากการทานอาหาร
“คุณดูชอบร้านนี้ ถ้าอย่างนั้นวันหลังเรามากันอีกนะ”
ครองขวัญใจเต้นแรงเมื่อรู้ว่าเขายังอยากพบเธออีก
“ตั้งแต่พบกับคุณครั้งที่แล้ว มีหลายครั้งที่คุณทำให้ผมนึกถึงเรื่องที่เราคุยกัน”
แววตาของเธอคงฟ้องถึงความสงสัยจนเขายิ้มให้ก่อนเฉลย
“ความสุขที่อยู่ใกล้แค่มือเอื้อม เพียงแค่เรายอมเปิดใจ”
“ขอโทษค่ะ ถ้าคำพูดของฉันทำให้คุณไม่สบายใจ”
“เปล่าเลย ตรงกันข้าม...คำพูดของคุณทำให้ผมเข้าใจเรื่องบางอย่างมากขึ้นต่างหาก”
“คะ?”
ขณะกำลังนึกสงสัย หัวใจครองขวัญก็เหมือนจะหยุดเต้นในวินาทีที่นินนาทขยับเข้ามาใกล้ เมื่อชายหนุ่มก้มหน้าลงมา ประกายระยิบระยับในดวงตาสีนิลคู่นั้นเหมือนมีมนต์สะกดให้เธอยืนนิ่งอยู่กับที่แต่หัวใจกลับเต้นแรง
“ขอบคุณที่ช่วยเปิดหัวใจให้ผม”
‘ขอบคุณที่ช่วยเปิดหัวใจให้ผม’
ทั้งที่ปกติเวลานี้เธอต้องนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อปั่นนิยาย แต่คืนนี้เธอกลับไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรเพราะสมาธิที่ถูกทำลายจนแตกสานซ่านเซ็นไปแล้วตั้งแต่เมื่อหัวค่ำ
ครองขวัญเผลอยิ้มเหมือนเช่นทุกครั้งยามหวนนึกถึงคำพูดของนินนาท
ตอนนั้นเธอก็รู้สึกร้อนไปทั้งหน้าเหมือนอย่างตอนนี้
เขาบอกว่าเธอช่วยเปิดหัวใจให้เขา แต่เขาจะรู้หรือเปล่าว่าเขาก็กำลังขโมยหัวใจของเธอ
หญิงสาวหน้าแดง นึกอายความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง สมแล้วที่กอบบุญเคยค่อนขอดเธอว่าเป็นพวกชอบเพ้อฝัน
แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ในเมื่อตอนนี้เธอคิดว่าได้เจอกับเจ้าชายของตัวเองเข้าแล้ว
คืนนี้ ไม่ได้มีเพียงครองขวัญที่ไม่อาจข่มตาหลับ นาวิตาเองก็ไม่อาจข่มตาข่มใจให้หลับได้เสียที
‘ผมนี่ไง ถ้าคุณไม่กลับ ได้ออกจากงานแน่’
ถ้าเขาถูกไล่ออกงานก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องรับผิดชอบเสียหน่อย
เสียงหนึ่งในความคิดดังขึ้น แต่อีกเสียงหนึ่งก็แย้งออกมาทันที
แต่เธอจะทำให้คนคนหนึ่งต้องตกงานเชียวนะ
เมื่อคิดไม่ตก นาวิตาจึงลุกจากเตียงแล้วออกมายืนรับลมตรงระเบียงนอกห้อง แม้พยายามปล่อยใจไปกับการมองดวงดาวบนฟากฟ้าแต่จิตใจยังคงถูกรบกวนด้วยภาพของกอบบุญ จนส่งผลให้ต้องถอนหายใจก่อนตั้งคำถามกับตัวเอง
ถ้าเธอต้องรับผิดชอบเรื่องที่ทำให้คนคนหนึ่งต้องตกงาน แล้วการที่เธอนอนไม่หลับจนต้องลุกขึ้นมายืนดูดาวแบบนี้ล่ะ ใครจะรับผิดชอบ
เมื่อยามเช้ามาเยือน นาวิตาก็เดินทางไปพบญาติหนุ่มที่บริษัท หลังจากบอกการตัดสินใจพร้อมกับยื่นเงื่อนไขไม่ให้ไล่กอบบุญออก หญิงสาวก็อึ้งกับคำบอกของอีกฝ่าย
“ไม่ได้ไล่ออก”
กระนั้น นาวิตาก็ยังทวนซ้ำอย่างไม่อยากเชื่อ ในขณะที่นพรุจหัวเราะในลำคออย่างชอบอกชอบใจ
“พี่ว่าเราคงถูกนายกอบมันอำเข้าให้แล้ว”
ยิ่งถูกนพรุจพูดกระเซ้า นาวิตาก็หน้าหงิกหน้างอ
“แหม! ลูกน้องกับลูกพี่มาสำเภาเดียวกันเลยนะคะ เรื่องเจ้าเล่ห์ ปั้นน้ำเป็นตัวแบบนี้ พิมพ์เดียวกันชัด ๆ”
“อ้าว ๆ ยายหนูนา ไหงมาลงที่พี่ล่ะ พี่ไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยซะหน่อย แล้วทีหลังอย่าไปพูดแบบนี้กับใครเข้าล่ะ เกิดเขาไม่รู้จะคิดว่ามันเป็นเรื่องจริง พี่ได้เสียหายตายเลย”
“ไม่รู้ล่ะพี่นพต้องรับผิดชอบ เพราะนายนั่นเอาชื่อพี่มาอ้างบอกว่าถ้านาไม่กลับพี่นพจะไล่เขาออก” หลังจากเงียบไปครู่เจ้าตัวก็พึมพำต่อด้วยน้ำเสียงฟืดฟาด “ฮึ! เมื่อคืนไม่น่ารู้สึกผิดจนนอนไม่หลับเลย เสียดายเวลาชะมัด!”
“อะไร...นี่ถึงขนาดคิดเรื่องนายกอบจนนอนไม่หลับเชียว”
นาวิตาทำหน้าไม่ถูกเมื่อรู้ตัวว่าเผลอหลุดปาก แต่ไม่นานเจ้าตัวก็เบะปากแล้วบอกอย่างไม่แยแส
“ทำไงได้ล่ะคะ นาเป็นคนจิตใจดีมีน้ำใจกับสรรพสัตว์ เห็นว่าอาจต้องเดือดร้อนจนถึงขั้นตกงาน แล้วอย่างนี้จะไม่ให้รู้สึกรู้สาไม่ให้คิดมาก คงเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ”
หญิงสาวเริ่มยิ้มออก เมื่อเห็นญาติผู้พี่ทำตาปริบ ๆ
“ก็ดี สรุปว่าจะกลับมาทำงานสินะ งั้นรีบไปทำงานเลย อย่ามัวมานั่งอู้นี่มันเลยเวลามาเกือบชั่วโมงแล้ว ถ้าถูกว่าใช้อภิสิทธิ์ของเด็กเส้นอีกคราวนี้อย่าวิ่งมาฟ้องละกัน ไม่อยากเป็นกรรมการตัดสินเรื่องทะเลาะกันของเด็ก”
“พี่นพ!”
นาวิตายิ่งหน้างอเมื่อนพรุจนอกจากไม่หวั่นไหวกับน้ำเสียงเข้ม ๆ ของเธอ เขายังเอาแต่หัวเราะเสียงดังจนเธอทนไม่ไหวต้องเป็นฝ่ายเดินกระฟัดกระเฟียดออกมาจากห้อง
แน่นอนว่าคนที่ดีใจจนออกนอกหน้ากับการที่นาวิตายอมกลับมาทำงานอีกครั้ง ก็คือวุฒิชัย
ชายหนุ่มคอยเอาใจใส่และชวนหญิงสาวคุยเกือบทุกห้านาที จนชายหนุ่มอีกคนซึ่งถูกทำเหมือนไม่มีตัวตนเริ่มไม่สบอารมณ์
“ถ้ามีเรื่องจะคุยกันมากนักก็ออกไปคุยกันที่อื่น ที่ห้องนี้มีคนต้องการสมาธิในการทำงาน”
ทั้งวุฒิชัยและนาวิตาต่างชะงักกันทั้งคู่ แต่ไม่นานฝ่ายชายก็หันไปทางเพื่อนร่วมงานอีกสองคนแล้วพูดเสียงดังราวกับจงใจจะให้ใครบางคนได้ยินชัด ๆ
“เฮ้ย! ไอ้กรไอ้ต่อ ถ้าพวกเอ็งไม่มีสมาธิจะทำงาน ข้าอนุญาตให้ออกไปทำงานนอกห้องได้นะ ไม่ต้องเกรงใจ”
ทั้งนิกรและต่อศักดิ์ต่างอมยิ้ม ก่อนพยักหน้าให้สัญญาณกันแล้วลุกจากที่นั่ง จากนั้นจึงพากันเดินออกไปจากห้องราวกับไม่อยากอยู่ร่วมในสงครามเขย่าประสาท
“น้องหนูนาครับ กลางวันนี้ให้เกียรติไปกินข้าวกับพี่นะ พี่อยากจะเลี้ยงฉลองต้อนรับการกลับมาทำงานร่วมกัน”
หญิงสาวยังไม่ทันพูด คนที่ถูกกันให้เป็นคนนอกมาตลอดก็ชิงแทรกเหมือนหมดความอดทน
“ไม่ได้!”
หากนั่นทำให้วุฒิชัยยอมให้ความสนใจเพื่อนรักเป็นครั้งแรก เมื่อตั้งคำถาม
“ทำไมวะ”
กอบบุญนิ่งไปครู่ หากเมื่อเห็นนาวิตามองมาที่เขา คำตอบก็ราวกับพร่างพรายขึ้นมา
“เพราะพี่นพให้เด็กนี่มาเป็นผู้ช่วยของข้า ดังนั้นห้ามไปไหนถ้าข้าไม่อนุญาต และไม่ว่าใครหน้าไหนก็ห้ามมายุ่ง!”
“แต่คุณไม่ได้เป็นผู้ปกครองของฉัน ถ้าฉันจะไปไหนกับใครก็ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตกับคุณ!”
นาวิตาก็คงหมดความอดทนแล้วเช่นกันเมื่อดูจากการโต้กลับเสียงขุ่นด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“นั่นสิ แกไม่ได้เป็นพ่อ...” วุฒิชัยกลั้นเสียงหัวเราะไว้ในลำคอเมื่อเพื่อนรักส่งสายตาขุ่นเขียวมาให้ทันควัน “โทษทีพูดผิด แกไม่ได้เป็นผู้ปกครองน้องหนูนาสักหน่อย แต่ถึงจะเป็นก็เถอะไม่มีผู้ปกครองที่ไหนเผด็จการแบบนี้หรอก ขนาดพี่นพเองเป็นญาติกันแท้ ๆ ยังไม่เห็นมีคำสั่งห้ามไม่ให้ใครมายุ่งกับน้องหนูนาเลย”
“แต่นี่เป็นคำสั่งในฐานะหัวหน้า” กอบบุญสวนกลับก่อนปรายตามองนาวิตาที่ยังคงมองเขาอย่างเอาเรื่อง “แต่ถ้าใครไม่พอใจจะวิ่งโร่ไปฟ้องพี่นพอีกก็ตามใจ เพราะถึงยังไงนี่ก็เป็นวิธีที่พวกคุณหนูเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อเขาชอบใช้กันอยู่แล้ว”
นาวิตาแทบอยากปรี่เข้าไปซัดปากคนนิสัยไม่ดี โทษฐานแกล้งกุเรื่องไล่ออกมาหลอกเธอยังไม่ได้ชำระความ แล้วนี่ยังไม่สำนึกตัวอีก
“คุณ!”
ต้องนับหนึ่งถึงสิบในใจเมื่อกอบบุญยังทำเหมือนจงใจยียวนด้วยการมองเธอพลางเลิกคิ้วข้างหนึ่ง
“แล้วคนที่หลอกคนอื่นโดยโกหกว่าตัวเองจะถูกไล่ออกถ้าฉันไม่ยอมกลับมาทำงานล่ะ คนแบบนี้เขาเรียกว่าอะไร”
“เขาเรียกว่าพวกชอบปั้นน้ำเป็นตัวครับ น้องหนูนา”
วุฒิชัยรีบบอก แววตาวาววับขึ้นทันทีเมื่อรู้ในสิ่งที่เพื่อนรักทำ
“ใช่ค่ะพี่วุฒิ พวกชอบปั้นน้ำเป็นตัว กุเรื่องได้สารพัดเพื่อให้ตัวเองได้สิ่งที่ต้องการโดยไม่สนใจว่าจะทำให้ใครต้องเดือดร้อน”
“ใช่ครับ คนแบบนี้นิสัยแย่มาก ถ้าเป็นเพื่อนพี่นะได้ถูกตัดหางปล่อยวัดแน่”
“ไอ้วุฒิ!”
คนถูกเรียกด้วยน้ำเสียงเข้มจัดต้องฝืนปั้นหน้าเฉยทั้งที่อยากหัวเราะเต็มที
ตอนแรกคิดว่านพรุจคงไปขอร้องให้กลับมา ที่ไหนได้ไอ้เพื่อนตัวดีนี่เองที่ใช้แผนสูง หลงคิดว่าไม่สนใจแต่ดูท่าคงไม่ใช่แล้ว
วุฒิชัยนึกอย่างครึ้มใจขณะลอบมองกอบบุญกับนาวิตา
แต่ก็ไม่น่าแปลกใจหรอก ขนาดเขาเองเวลาอยู่ใกล้สาวน้อยหน้าใสดวงตาแป๋วแหววคนนี้ ใจคอก็ยังไม่ค่อยจะดี กอบบุญเองก็ใช่เป็นพระอิฐพระปูนมาจากไหน
ชายหนุ่มถอนหายใจเมื่อให้ข้อสรุปกับตัวเองด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ
สงสัยคงต้องปักป้ายไว้...คนนี้เพื่อนจอง!
“ยิ้มอะไรไอ้วุฒิ”
กอบบุญตั้งคำถามเมื่อเหลือบมาเห็นท่าทางของเพื่อนรัก
“ข้ากำลังสงสัยน่ะ ว่าเร็ว ๆ นี้อาจโชคดีได้เป็นเพื่อนเจ้าบ่าว”
ไม่เพียงกอบบุญจะอึ้งงันกับคำตอบของเพื่อนที่ไม่ได้เข้ากันกับเรื่องที่พูดกันอยู่ นาวิตาเองก็มีทีท่าไม่ต่างกัน
“เอาเถอะ อย่าสนใจข้าเลย มาว่ากันเรื่องของเอ็งดีกว่า ทำไมถึงต้องไปโกหกน้องหนูนาเขาด้วยวะ”
ถูกตั้งคำถามแบบนั้นกอบบุญก็ทำเหมือนพูดไม่ออก ยิ่งเห็นนาวิตาทำท่ารอฟังก็ยิ่งพานทำอะไรไม่ถูก
“ก็เอ็งนั่นล่ะไอ้วุฒิ เอาแต่บ่นข้าทุกวันว่าเป็นต้นเหตุทำให้เด็กของเอ็งต้องลาออก ข้ารำคาญก็เลยต้องไปขอให้เขากลับมานี่ไง ทำไม...มีปัญหาอะไร หรือยังไม่พอใจอีก!”
กอบบุญกระแทกเสียงใส่ในตอนท้ายเมื่อเห็นเพื่อนรักมองมาด้วยแววตาราวกับรู้เท่าทันบางอย่าง
“พูดให้ดีหน่อยเว้ย มาบอกว่าน้องหนูนาเป็นเด็กของข้าได้ไงต้องบอกว่าเป็นเด็กของเอ็งสิ ก็เขาเป็นผู้ช่วยของเอ็งไม่ใช่หรือ”
วุฒิชัยพูดโดยทำเป็นไม่เห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของนาวิตา แต่เมื่อเห็นกอบบุญทำหน้าอิหลักอิเหลื่อ เจ้าตัวก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่จนทำให้ถูกตั้งคำถามอีกครั้ง
“หัวเราะอะไร”
“เอ๊า! ยิ้มก็ไม่ได้ หัวเราะก็ไม่ได้ ดูท่าตอนนี้ไม่ว่าข้าจะทำอะไรก็คงขวางหูขวางตาเอ็งไปหมดสินะ”
วุฒิชัยยังคงหัวเราะได้อีกถึงแม้รู้สึกว่าเริ่มจะเห็นแสงสีเขียวเรืองรองในดวงตาของกอบบุญ ก่อนจะยักไหล่แล้วพูดต่อหน้าเฉย
“งั้นข้าไม่อยู่เป็นก้าง ขัดคอขัดใจเอ็งแล้วก็ได้”
ไม่ปล่อยให้ใครทักท้วง เจ้าตัวก็เดินผิวปากออกไปจากห้อง
หลังจากเวลาผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมงซึ่งเป็นช่วงแห่งความสงบสุข เพราะกอบบุญและนาวิตาต่างพร้อมใจกันทำงานในหน้าที่ของแต่ละคนไปเงียบ ๆ คนที่มีตำแหน่งหัวหน้าก็พูดขึ้นหลังจากเงยหน้าขึ้นมาเห็นเวลาบนนาฬิกาที่ติดไว้ข้างผนัง
“เที่ยงกว่าแล้ว ไปกินข้าวได้”
นาวิตาหน้าตึงเล็กน้อยกับคำบอกที่ฟังแล้วเหมือนเป็นคำสั่ง อคติที่ติดอยู่ในใจทำให้ไม่พูดไม่จาเมื่อลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วฉวยกระเป๋าขึ้นสะพายบ่า แต่เดินไปได้เพียงสามก้าวคำถามก็ดังมาจากทางด้านหลัง
“จะไปไหน”
“ก็กินข้าวไง”
หญิงสาวตอบโดยไม่ชะลอฝีเท้า ดังนั้นเมื่อถูกรั้งไว้เจ้าตัวจึงเซนิด ๆ
“ปล่อย!”
เมื่อทรงตัวได้นาวิตาก็สั่งด้วยท่าทางเอาเรื่อง แต่กอบบุญยังคงดึงแขนเอาไว้ราวกับไม่ได้ยิน
“ลืมไปแล้วหรือ ผมเคยบอกไว้ว่ายังไง”
เมื่อเห็นนาวิตานิ่วหน้า กอบบุญก็เข้าใจว่านั่นคือคำตอบ จึงเป็นที่มาของคำบอกต่อมา
“คุณจะไปไหนได้ก็ต่อเมื่อผมอนุญาต”
“บ้าไปแล้ว! ฉันมาฝึกงานนะไม่ได้มาฝึกการเป็นทาส”
“แต่พื้นฐานของการฝึกงาน เริ่มต้นจากการเชื่อฟังผู้บังคับบัญชา ถ้าแค่นี้ยังไม่ผ่านก็อย่าหวังเลยว่าจะไปทำอย่างอื่นได้ หรือเคยชินเสียแล้วกับการเป็นเจ้าคนนายคน ชินกับการชี้นิ้วสั่งการคนอื่นจนรับฟังคำสั่งของใครไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นอย่ามาฝึกงานให้เสียเวลาเลย กลับไปเป็นคุณหนูนั่งกระดิกเท้าอยู่แต่ในบ้านเถอะ”
ฟังแล้วนาวิตาโกรธวูบ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่เข้าใจ
“ถ้าคุณอยากให้ฉันเป็นคุณหนูอยู่แต่ในบ้าน แล้วทำไมคุณถึงยังไปขอให้ฉันกลับมาทำงานอีกล่ะ”
หลังคำถามที่ไม่ได้รับคำตอบ หญิงสาวก็แค่นยิ้มก่อนพูดต่อจากความนึกคิดของตน
“หรือว่าที่คุณทำลงไปก็เพื่อจะเอาตัวฉันกลับมาแกล้งเล่นให้หายแค้น ทำไมคะ ทั้งที่ฉันก็ขอโทษแล้วสำหรับเรื่องเข้าใจผิดครั้งนั้น ทำไมคุณยังไม่พอใจอีก”
เมื่อเห็นว่ากอบบุญเอาแต่ยืนนิ่งเหมือนไม่รู้สึกรู้สา ปรอทความโกรธในใจก็ยิ่งพุ่งสูงจนส่งผลให้เสียงที่เปล่งออกไปเริ่มสั่น
“หรือต้องให้ฉันคุกเข่าก้มลงกราบ คุณถึงจะพอใจ”
วินาทีนั้น ความอัดอั้นในใจกดดันความรู้สึกจนทนอีกต่อไปไม่ไหว โดยเฉพาะเมื่อเห็นชายหนุ่มยังเอาแต่ยืนเฉย
“ก็ได้ค่ะ ฉันจะยอมกราบขอโทษคุณ หลังจากนี้เราสองคนจะได้ไม่ต้องมีอะไรติดค้างต่อกันอีก”
นาวิตายังไม่ทันทำตามที่ลั่นปากก็ถูกกอบบุญกระชากตัวแล้วจับเขย่าจนหัวสั่นหัวคลอน
“บ้าไปแล้วหรือไง! ยังมีสติอยู่หรือเปล่าถึงได้คิดจะทำอะไรบ้า ๆ”
นาวิตาอาจไม่รู้ตัวว่าตอนนี้เธอกำลังน้ำตาไหล แต่เพราะกอบบุญเห็นเต็มสองตาชายหนุ่มจึงทั้งตกใจและทำอะไรไม่ถูก กระทั่งมือที่จับต้นแขนของหญิงสาวก็พลอยร่วงผล็อยราวกับหมดแรง
“ก็นี่ไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการหรือไง ให้ฉันกราบขอโทษสำหรับความผิดร้ายแรงที่เคยทำไว้กับคุณ”
กอบบุญกัดฟันแน่นอย่างนึกโมโหเมื่อคนเจ้าน้ำตายังไม่วายทำปากดี กระนั้นก็ใจไม่แข็งพอเพราะภาพของหยดน้ำบนแก้มใสยังคงทิ่มแทงตาชวนให้ใจแกว่ง
“ผมไม่ต้องการ แล้วทีหลังอย่าพูดเรื่องนั้นอีก ผมลืมมันไปหมดแล้ว”
“จริงหรือ คุณลืมไปแล้วจริง ๆ นะ”
ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าสดใสของคนพูดทำให้กอบบุญต้องเขม้นมองอย่างไม่แน่ใจ
เมื่อกี้ยังน้ำตาไหลอยู่แท้ ๆ ตอนนี้กลับทำหน้าทำเสียงเหมือนเด็ก ๆ ผู้หญิงบ้าอะไรก็ไม่รู้
นึกค่อนขอดในใจแล้ว ชายหนุ่มก็ทำหน้าขรึมยามตอบรับสั้น ๆ
“อืม”
เท่านั้นเอง หัวใจหนุ่มก็แกว่งไกวราวกับชิงช้าที่ถูกโล้ยามสายตาปะทะเข้ากับรอยยิ้มกว้างของหญิงสาว ทั้งจับตาและจับใจหากขณะเดียวกันก็ชวนหมั่นไส้นิด ๆ อย่างไม่มีสาเหตุ
“เลิกยิ้มแบบนี้ได้แล้ว น่าเกลียด”
หลังคำวิจารณ์แบบไม่ไว้หน้า รอยยิ้มสดใสก็เลือนหายราวกับไม่เคยเกิด ทำให้กอบบุญนึกเสียดายหน่อย ๆ
“ถ้าอย่างนั้น กลางวันนี้ขอฉันเลี้ยงข้าวคุณนะ ถือว่าแทนคำขอบคุณที่คุณไม่โกรธฉันแล้ว”
นาวิตายังคงยิ้มได้ถึงแม้ไม่เต็มที่นักอาจเพราะความเชื่อมั่นในตัวเองที่ถูกลดทอนจากการพูดขวานผ่าซากเมื่อครู่ของกอบบุญ กระนั้นในแววตาก็ฉายประกายสดใสเต็มเปี่ยมยามยื่นข้อเสนอด้วยท่าทีกระตือรือร้น
กอบบุญรู้ตัวดีว่ายากยิ่งที่จะฝ่าด่านความสดใสนี้ไปได้ โดยเฉพาะเมื่อนาวิตามีทีท่าจริงใจและเป็นมิตร กระนั้นก็ยังไม่วายทำเสียงดุเข้าข่มเมื่อยื่นข้อต่อรองกลับ
“ได้ยังไง ให้ผู้หญิงเลี้ยงข้าว ใครรู้ได้อายเขาตาย เอาเป็นว่าผมเลี้ยงเอง ถือซะว่าหัวหน้าเลี้ยงต้อนรับลูกน้องก็แล้วกัน”
ดูเหมือนว่านาวิตาจะไม่มีปัญหาเมื่อมองจากรอยยิ้มที่ขยายกว้างราวกับไม่เกรงจะถูกวิจารณ์เป็นรอบสอง ในขณะที่กอบบุญก็เผลอยิ้มตอบ หากเพียงครู่เพราะทันทีที่รู้ตัวใบหน้าคมสันก็กลับมาเรียบเฉยจนติดบึ้ง ก่อนรีบสาวเท้าเดินนำตรงไปที่ประตูด้วยฝีเท้าค่อนข้างเร็วไม่ต่างจากจังหวะหัวใจที่กำลังเต้นอยู่ในตอนนี้
*****************************************************************
อัพตอนใหม่ส่งท้ายอาทิตย์นี้ค่ะ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ
คุณ Zephyr - ชอบเหตุผลที่เชียร์พี่กอบจัง...ปู้จายถูกเสมอ 555 หวังว่าทีหลังจะไม่เปลี่ยนใจ ไม่เปลี่ยนข้าง นะคะ ^^
คุณปลาวาฬสีน้ำเงิน - ขอบคุณสำหรับรูปรอยยิ้มที่มอบให้ย้อนหลังค่ะ ^^
ปิยะณัฏฐ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 ก.พ. 2559, 09:00:52 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 ก.พ. 2559, 09:00:52 น.
จำนวนการเข้าชม : 1002
<< บทที่ 5 | บทที่ 7 >> |
Zephyr 28 ก.พ. 2559, 11:45:08 น.
ฮะๆๆๆ ไม่เป็นไรค่ะ เพราะพอเป็นปู้จายของเราจะทำยังไงกะเค้าก็ได้ แฮ่
ตอนนี้ หมั่นไส้หนูนา แบบไม่มีเหตุผลค่ะ จบนะ ชิ
ฮะๆๆๆ ไม่เป็นไรค่ะ เพราะพอเป็นปู้จายของเราจะทำยังไงกะเค้าก็ได้ แฮ่
ตอนนี้ หมั่นไส้หนูนา แบบไม่มีเหตุผลค่ะ จบนะ ชิ
ปลาวาฬสีน้ำเงิน 28 ก.พ. 2559, 23:06:00 น.
อ่านไป แล้วก็ยิ้มไป ค่ะ สนุก น่าติดตาม
อ่านไป แล้วก็ยิ้มไป ค่ะ สนุก น่าติดตาม