มนต์อักษรอ้อนรัก
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ 7
บทที่ 7
ร้านส้มตำที่อยู่ในซอยข้างบริษัทคือที่ที่กอบบุญพานาวิตามาเลี้ยงมื้อกลางวัน
“ผมก็ลืมถาม คุณกินอาหารพวกนี้เป็นหรือเปล่า”
แม้แปร่งหูกับน้ำเสียงเหมือนตีรวน แต่นาวิตาก็ไม่ใส่ใจเมื่อฉีกยิ้มกว้างก่อนตอบอย่างร่าเริง
“ได้สิ นี่เป็นหนึ่งในของโปรดของฉันเลยล่ะ”
เห็นกอบบุญเลิกคิ้วข้างหนึ่ง นาวิตาก็คิดว่าชายหนุ่มคงไม่เชื่อ
“จริง ๆ นะ โดยเฉพาะปีกไก่ย่างหนังกรอบ ของชอบของฉันเลย”
หญิงสาวเห็นวี่แววแปลกใจในดวงตาสีน้ำตาลเข้มจากนั้นจึงตามด้วยรอยยิ้มนิด ๆ ก่อนที่เขาจะเดินนำเธอเข้าไปจับจองโต๊ะที่อยู่ด้านในสุดของร้าน ซึ่งใกล้กันนั้นมีโต๊ะอีกตัวตั้งอยู่โดยเว้นระยะห่างเป็นทางเดินราวคนสองคนเดินสวนกัน
นาวิตายิ้มอย่างชอบใจกับลักษณะของโต๊ะอาหารซึ่งเป็นแบบไม้พับได้ตั้งวางทั้งสองฝั่ง แต่ละฝั่งมีโต๊ะทั้งหมดสามตัว แบบของโต๊ะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีเก้าอี้ยาวเป็นไม้พับได้เช่นกันตั้งขนาบทั้งสองด้าน แต่ละด้านสามารถนั่งได้ราวสามถึงสี่คน ตัวไม้ยังเป็นสีธรรมชาติที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและสบาย ยิ่งอยู่ภายใต้กันสาดที่ทอดยาวไปถึงหน้าร้านก็ช่วยปกป้องทั้งแสงแดดและกันฝนได้ในคราเดียว ส่วนหน้าร้านมีแม่ค้ายืนประจำที่หยิบนั่นใส่นี่ลงไปในครกแล้วโขลกเสียงดัง ใกล้กันนั้นมีพ่อค้ายืนย่างไก่และปลาอยู่หน้าเตา
อาจด้วยความหิวหรือไม่ก็กลิ่นไก่ย่างที่หอมยั่วยวนทำให้หญิงสาวเริ่มน้ำลายสอและเหมือนกอบบุญจะล่วงรู้เมื่อตั้งคำถาม
“คุณจะเอาอะไรบ้าง”
“ตำไทย ไก่ย่าง ลาบหมู แล้วก็ข้าวเหนียวค่ะ”
กอบบุญอึ้งไปครู่ราวกับนึกไม่ถึง ก่อนพูดยิ้ม ๆ
“แน่ใจนะว่ากินหมด”
“แน่ใจค่ะ ถ้าเป็นไปได้ขอไก่ย่างก่อนเลยนะคะ ฉันหิวจะแย่อยู่แล้ว”
ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ ก่อนลุกจากที่นั่งแล้วเดินตรงไปหาแม่ค้า ใช้เวลาครู่หนึ่งจึงเดินกลับมา
“ผมไปเร่งไก่ย่างให้แล้ว อีกเดี๋ยวคงได้กิน”
นาวิตายิ้ม รู้สึกดีเมื่อคิดว่ากอบบุญมีน้ำใจที่อุตส่าห์ไปพูดให้เธอ
“ขอบคุณค่ะ”
หญิงสาวเห็นชายหนุ่มขมวดคิ้ว ก่อนที่เขาจะตั้งคำถาม
“ขอบคุณทำไม”
“ก็ขอบคุณที่คุณช่วยไปเร่งพ่อค้าให้ฉันไงคะ”
นาวิตาบอกพลางยิ้ม ไม่ทันเห็นว่าชายหนุ่มมีทีท่าแปลก ๆ โดยเฉพาะเมื่อหลบสายตาลงมองโต๊ะราวกับต้องการซ่อนพิรุธบางอย่าง
“เข้าใจผิดแล้ว ที่ผมไปเร่งก็เพราะผมเองก็หิวจนตาจะลายแล้ว ไม่ใช่ทำเพื่อคุณหรอก อย่าหลงตัวเองหน่อยเลย”
ถ้าไม่มีประโยคสุดท้ายนาวิตาคงไม่รู้สึกอายมากเท่านี้ เป็นครั้งแรกที่นึกอยากมุดดินได้เพื่อจะหนีไปให้พ้น
“งั้นก็ขอโทษที่เข้าใจผิด”
หญิงสาวบอกเสียงเบาทั้งอายทั้งโมโหตัวเองที่ด่วนสรุป และเพราะมัวก้มหน้าจึงไม่รู้ว่าชายหนุ่มกำลังมองเธอด้วยสีหน้าแววตาบอกความว้าวุ่นใจ
จังหวะนั้นพ่อค้าก็นำปีกไก่ย่างเสียบไม้มาวางให้บนโต๊ะ แต่น่าแปลกที่นาวิตาหมดความรู้สึกอยากกินเสียแล้ว
“กินสิ ไหนว่าหิวไม่ใช่หรือ”
คงเพราะเห็นเธอนั่งนิ่งกอบบุญจึงออกปาก ทำให้นาวิตาต้องฝืนยิ้มให้โดยไม่เห็นทีท่าลอบถอนหายใจของอีกฝ่าย เพราะมัวแต่จมอยู่กับความนึกคิดของตัวเอง
ทั้งที่เป็นของโปรดแท้ ๆ แต่ไม่รู้ทำไมตอนนี้เธอไม่นึกอยากกินเอาเสียเลย
เย็นวันเดียวกัน ครองขวัญก็มีนัดกับนินนาท
ร้านอาหารริมแม่น้ำคือสถานที่ที่ชายหนุ่มนัดเลี้ยงอาหารเย็นนักเขียนสาว
ครองขวัญนึกชอบทันทีที่มาถึง ถึงแม้ร้านนี้เป็นบ้านไม้ที่น่าจะมีอายุเก่าแก่ แต่จากที่ดูคาดว่าคงได้รับการดูแลมาอย่างดี พื้นที่โดยรอบมีทั้งไม้ต้นและไม้ดอก ใกล้กับลานจอดรถยังมีสวนหย่อมขนาดเล็กสำหรับให้เดินเล่น รวมทั้งภายในร้านที่มีการใช้โคมไฟตกแต่งให้แสงละมุนละไม อีกทั้งยังมีวงดนตรีเล็ก ๆ คอยขับขานบทเพลงไพเราะ ทั้งหมดนั้นล้วนก่อให้เกิดความอบอุ่นและโรแมนติคในความคิดของคนช่างฝันอย่างเธอ
“ต้มยำปลาช่อนของร้านนี้ขึ้นชื่อมาก สนใจจะลองไหม”
ได้ยินนินนาทพูดแนะนำโดยที่ยังไม่ได้เปิดเมนู ครองขวัญก็นึกเดาได้ว่าเขาคงเคยมาร้านนี้แล้วอย่างแน่นอน
“ก็น่าสนใจนะคะ แต่...ขวัญไม่ค่อยชอบกินปลา”
“ทำไมล่ะ หรือว่าแพ้”
“เปล่าค่ะ เพียงแต่ขวัญรู้สึก...แบบว่าเวลาเห็นเนื้อปลาขาว ๆ แล้วมัน...”
หยึย นั่นคือความรู้สึกของเธอ แต่เกรงนินนาทจะไม่เข้าใจครองขวัญจึงพยายามคิดหาคำอื่นมาแทนแต่จนแล้วจนรอดก็คิดไม่ออกได้แต่อึก ๆ อัก ๆ กระนั้นก็เหมือนนินนาทพอเดาได้
“ถ้าไม่ชอบตรงที่มันเนื้อขาว ๆ นิ่ม ๆ จนรู้สึกว่ามันเละ งั้นลองเปลี่ยนเป็นปลากะพงทอดน้ำปลาดีไหม ร้านนี้เขาทอดกรอบแล้วก็ติดอันดับเมนูแนะนำเหมือนกัน”
“เอ่อ...” เพราะกลัวคนแนะนำจะเสียน้ำใจครองขวัญจึงจำใจตอบรับ “ก็ได้ค่ะ”
ชายหนุ่มทำสีหน้าพอใจ ก่อนรับหน้าที่สั่งอาหารเมื่อครองขวัญยกหน้านี้นั้นให้เขาแต่ผู้เดียว
“แล้วเครื่องดื่มล่ะ ที่นี่เขามีน้ำสมุนไพรด้วยนะอย่างน้ำตะไคร้ น้ำมะตูม น้ำอัญชัน คุณชอบอะไรล่ะครองขวัญ”
ครองขวัญยิ้ม รู้สึกเหมือนมีอะไรอุ่น ๆ ในหัวใจทุกครั้งยามได้ยินเขาเรียกชื่อ
“หรือว่า...อยากดื่มเบียร์เหมือนผม”
“ไม่ค่ะ ขวัญไม่ทานเบียร์”
รอยยิ้มอบอุ่นของนินนาทคือรางวัลที่ครองขวัญได้รับ
“งั้นเอาน้ำอัญชันละกัน สีสวยดี คุณน่าจะชอบ”
แม้เริ่มรู้สึกหน่อย ๆ ว่านินนาทดูเหมือนชอบบงการหรือออกคำสั่ง กระนั้นครองขวัญก็ไม่คัดค้านเพราะนิสัยที่ชอบเป็นผู้ตามและไม่ค่อยขัดใจใคร
เมื่อพนักงานของร้านเดินจากไปหลังรับออเดอร์แล้ว นินนาทก็เริ่มต้นตั้งคำถามราวกับยังค้างคาใจ
“ผมคิดว่าคุณน่าจะชอบกินปลาเสียอีกเพราะเนื้อปลาเป็นอาหารบำรุงสมองที่คนมักชอบกัน โดยเพราะนักเขียนที่ต้องใช้สมองและความคิด ก็น่าจะชอบกินปลากันไม่ใช่หรือ”
“ก็คงเป็นอย่างนั้นค่ะ” หญิงสาวแบ่งรับแบ่งสู้พลางยิ้มเจื่อน ๆ วินาทีนั้นอดนึกถึงญาติหนุ่มไม่ได้ “พี่กอบ...พี่ชายของฉันน่ะค่ะ ก็ชอบพูดบ่อย ๆ ว่าที่ฉันโง่ ไม่ทันคน ก็เพราะไม่ชอบกินปลานี่ล่ะ”
ครองขวัญเผลอย่นจมูกเมื่อหวนนึกถึงตอนถูกกอบบุญค่อนขอดเรื่องนี้
‘หัดกินปลาให้มันเยอะ ๆ สิไอ้ขวัญ แกจะได้ฉลาดขึ้น ไม่โง่ แล้วก็ทันคนมากกว่านี้’
“แต่ผมว่าคุณไม่ได้โง่หรอกนะ”
คำบอกของนินนาทดึงครองขวัญออกจากห้วงคำนึง ก่อนที่หัวใจจะกระตุกกับแววตาอ่อนโยนที่ทอดมองมา
“เพียงแต่ คุณยังขาดเล่ห์เหลี่ยมที่จะใช้ปกป้องตัวเอง”
ครองขวัญยิ้ม วูบนั้นนึกอยากให้กอบบุญอยู่ตรงนี้เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้ยินคำพูดของนินนาท หากวินาทีถัดมาก็เปลี่ยนใจ
ไม่ดีกว่า ขืนกอบบุญอยู่ที่นี่ เธอคงได้ถูกลากตัวกลับแล้วขังลืมไว้ในบ้าน ไม่ได้ออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันอีกแน่
“แต่ผมเพิ่งรู้ว่าคุณมีพี่ชาย คิดว่าเป็นลูกคนเดียวเสียอีก”
“พี่กอบเป็นลูกชายของป้าฉันค่ะ เราโตมาด้วยกันเพราะตั้งแต่พ่อกับแม่ฉันเสีย ป้าก็เป็นคนรับฉันมาดูแล”
“ผมเสียใจด้วยเรื่องพ่อแม่ของคุณ”
“ขอบคุณค่ะ ตอนที่พวกท่านจากไปฉันอายุแค่ห้าขวบเท่านั้น”
จริง ๆ แล้วเรื่องพ่อกับแม่ก็เลือนรางมากแล้วในความรู้สึกของครองขวัญ แต่ไม่รู้ทำไมยามสบกับแววห่วงใยในดวงตาสีนิล หญิงสาวกลับรู้สึกแน่นตื้อในอกจนไม่รู้ว่าน้ำตากำลังเอ่อกลบเบ้าตา กระทั่งเมื่อภาพตรงหน้าเริ่มพร่าเลือน
ความอบอุ่นตรงขอบตาก่อนระเรื่อยไปที่ข้างแก้มเหมือนจะช่วยให้ครองขวัญสามารถกลับมามองทุกอย่างได้ชัดเจน และนั่นก็มาพร้อมกับการรับรู้ว่าเมื่อครู่นินนาทช่วยซับน้ำตาให้เธอด้วยมือของเขา
อาการแน่นตื้อในอกจางหายเมื่อถูกแทนที่ด้วยอาการพองโตของหัวใจจนครองขวัญรู้สึกเหมือนกำลังจะเป็นไข้เมื่อเดาจากความรู้สึกร้อน ๆ ที่ผิวหน้า
“ขอบคุณค่ะ”
“ด้วยความยินดี”
หลังจากนั้นความเงียบก็เข้ามาปกคลุม แต่ครองขวัญกลับไม่รู้สึกอึดอัด ตรงกันข้ามยังรู้สึกได้ว่าบรรยากาศยามนี้ทั้งอบอุ่นและอ่อนโยนเหลือเกิน
***********************************************************
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ
คุณ Zephyr - ส่งหนูนามาให้หมั่นไส้ต่อค่ะ ^^
คุณ ปลาวาฬสีน้ำเงิน - คนแต่งก็ยิ้มค่ะ ยิ้มกว้างซะด้วย มีความสุขจังค่ะพอรู้ว่าคนอ่าน อ่านไป ยิ้มไป ^^
ร้านส้มตำที่อยู่ในซอยข้างบริษัทคือที่ที่กอบบุญพานาวิตามาเลี้ยงมื้อกลางวัน
“ผมก็ลืมถาม คุณกินอาหารพวกนี้เป็นหรือเปล่า”
แม้แปร่งหูกับน้ำเสียงเหมือนตีรวน แต่นาวิตาก็ไม่ใส่ใจเมื่อฉีกยิ้มกว้างก่อนตอบอย่างร่าเริง
“ได้สิ นี่เป็นหนึ่งในของโปรดของฉันเลยล่ะ”
เห็นกอบบุญเลิกคิ้วข้างหนึ่ง นาวิตาก็คิดว่าชายหนุ่มคงไม่เชื่อ
“จริง ๆ นะ โดยเฉพาะปีกไก่ย่างหนังกรอบ ของชอบของฉันเลย”
หญิงสาวเห็นวี่แววแปลกใจในดวงตาสีน้ำตาลเข้มจากนั้นจึงตามด้วยรอยยิ้มนิด ๆ ก่อนที่เขาจะเดินนำเธอเข้าไปจับจองโต๊ะที่อยู่ด้านในสุดของร้าน ซึ่งใกล้กันนั้นมีโต๊ะอีกตัวตั้งอยู่โดยเว้นระยะห่างเป็นทางเดินราวคนสองคนเดินสวนกัน
นาวิตายิ้มอย่างชอบใจกับลักษณะของโต๊ะอาหารซึ่งเป็นแบบไม้พับได้ตั้งวางทั้งสองฝั่ง แต่ละฝั่งมีโต๊ะทั้งหมดสามตัว แบบของโต๊ะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีเก้าอี้ยาวเป็นไม้พับได้เช่นกันตั้งขนาบทั้งสองด้าน แต่ละด้านสามารถนั่งได้ราวสามถึงสี่คน ตัวไม้ยังเป็นสีธรรมชาติที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและสบาย ยิ่งอยู่ภายใต้กันสาดที่ทอดยาวไปถึงหน้าร้านก็ช่วยปกป้องทั้งแสงแดดและกันฝนได้ในคราเดียว ส่วนหน้าร้านมีแม่ค้ายืนประจำที่หยิบนั่นใส่นี่ลงไปในครกแล้วโขลกเสียงดัง ใกล้กันนั้นมีพ่อค้ายืนย่างไก่และปลาอยู่หน้าเตา
อาจด้วยความหิวหรือไม่ก็กลิ่นไก่ย่างที่หอมยั่วยวนทำให้หญิงสาวเริ่มน้ำลายสอและเหมือนกอบบุญจะล่วงรู้เมื่อตั้งคำถาม
“คุณจะเอาอะไรบ้าง”
“ตำไทย ไก่ย่าง ลาบหมู แล้วก็ข้าวเหนียวค่ะ”
กอบบุญอึ้งไปครู่ราวกับนึกไม่ถึง ก่อนพูดยิ้ม ๆ
“แน่ใจนะว่ากินหมด”
“แน่ใจค่ะ ถ้าเป็นไปได้ขอไก่ย่างก่อนเลยนะคะ ฉันหิวจะแย่อยู่แล้ว”
ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ ก่อนลุกจากที่นั่งแล้วเดินตรงไปหาแม่ค้า ใช้เวลาครู่หนึ่งจึงเดินกลับมา
“ผมไปเร่งไก่ย่างให้แล้ว อีกเดี๋ยวคงได้กิน”
นาวิตายิ้ม รู้สึกดีเมื่อคิดว่ากอบบุญมีน้ำใจที่อุตส่าห์ไปพูดให้เธอ
“ขอบคุณค่ะ”
หญิงสาวเห็นชายหนุ่มขมวดคิ้ว ก่อนที่เขาจะตั้งคำถาม
“ขอบคุณทำไม”
“ก็ขอบคุณที่คุณช่วยไปเร่งพ่อค้าให้ฉันไงคะ”
นาวิตาบอกพลางยิ้ม ไม่ทันเห็นว่าชายหนุ่มมีทีท่าแปลก ๆ โดยเฉพาะเมื่อหลบสายตาลงมองโต๊ะราวกับต้องการซ่อนพิรุธบางอย่าง
“เข้าใจผิดแล้ว ที่ผมไปเร่งก็เพราะผมเองก็หิวจนตาจะลายแล้ว ไม่ใช่ทำเพื่อคุณหรอก อย่าหลงตัวเองหน่อยเลย”
ถ้าไม่มีประโยคสุดท้ายนาวิตาคงไม่รู้สึกอายมากเท่านี้ เป็นครั้งแรกที่นึกอยากมุดดินได้เพื่อจะหนีไปให้พ้น
“งั้นก็ขอโทษที่เข้าใจผิด”
หญิงสาวบอกเสียงเบาทั้งอายทั้งโมโหตัวเองที่ด่วนสรุป และเพราะมัวก้มหน้าจึงไม่รู้ว่าชายหนุ่มกำลังมองเธอด้วยสีหน้าแววตาบอกความว้าวุ่นใจ
จังหวะนั้นพ่อค้าก็นำปีกไก่ย่างเสียบไม้มาวางให้บนโต๊ะ แต่น่าแปลกที่นาวิตาหมดความรู้สึกอยากกินเสียแล้ว
“กินสิ ไหนว่าหิวไม่ใช่หรือ”
คงเพราะเห็นเธอนั่งนิ่งกอบบุญจึงออกปาก ทำให้นาวิตาต้องฝืนยิ้มให้โดยไม่เห็นทีท่าลอบถอนหายใจของอีกฝ่าย เพราะมัวแต่จมอยู่กับความนึกคิดของตัวเอง
ทั้งที่เป็นของโปรดแท้ ๆ แต่ไม่รู้ทำไมตอนนี้เธอไม่นึกอยากกินเอาเสียเลย
เย็นวันเดียวกัน ครองขวัญก็มีนัดกับนินนาท
ร้านอาหารริมแม่น้ำคือสถานที่ที่ชายหนุ่มนัดเลี้ยงอาหารเย็นนักเขียนสาว
ครองขวัญนึกชอบทันทีที่มาถึง ถึงแม้ร้านนี้เป็นบ้านไม้ที่น่าจะมีอายุเก่าแก่ แต่จากที่ดูคาดว่าคงได้รับการดูแลมาอย่างดี พื้นที่โดยรอบมีทั้งไม้ต้นและไม้ดอก ใกล้กับลานจอดรถยังมีสวนหย่อมขนาดเล็กสำหรับให้เดินเล่น รวมทั้งภายในร้านที่มีการใช้โคมไฟตกแต่งให้แสงละมุนละไม อีกทั้งยังมีวงดนตรีเล็ก ๆ คอยขับขานบทเพลงไพเราะ ทั้งหมดนั้นล้วนก่อให้เกิดความอบอุ่นและโรแมนติคในความคิดของคนช่างฝันอย่างเธอ
“ต้มยำปลาช่อนของร้านนี้ขึ้นชื่อมาก สนใจจะลองไหม”
ได้ยินนินนาทพูดแนะนำโดยที่ยังไม่ได้เปิดเมนู ครองขวัญก็นึกเดาได้ว่าเขาคงเคยมาร้านนี้แล้วอย่างแน่นอน
“ก็น่าสนใจนะคะ แต่...ขวัญไม่ค่อยชอบกินปลา”
“ทำไมล่ะ หรือว่าแพ้”
“เปล่าค่ะ เพียงแต่ขวัญรู้สึก...แบบว่าเวลาเห็นเนื้อปลาขาว ๆ แล้วมัน...”
หยึย นั่นคือความรู้สึกของเธอ แต่เกรงนินนาทจะไม่เข้าใจครองขวัญจึงพยายามคิดหาคำอื่นมาแทนแต่จนแล้วจนรอดก็คิดไม่ออกได้แต่อึก ๆ อัก ๆ กระนั้นก็เหมือนนินนาทพอเดาได้
“ถ้าไม่ชอบตรงที่มันเนื้อขาว ๆ นิ่ม ๆ จนรู้สึกว่ามันเละ งั้นลองเปลี่ยนเป็นปลากะพงทอดน้ำปลาดีไหม ร้านนี้เขาทอดกรอบแล้วก็ติดอันดับเมนูแนะนำเหมือนกัน”
“เอ่อ...” เพราะกลัวคนแนะนำจะเสียน้ำใจครองขวัญจึงจำใจตอบรับ “ก็ได้ค่ะ”
ชายหนุ่มทำสีหน้าพอใจ ก่อนรับหน้าที่สั่งอาหารเมื่อครองขวัญยกหน้านี้นั้นให้เขาแต่ผู้เดียว
“แล้วเครื่องดื่มล่ะ ที่นี่เขามีน้ำสมุนไพรด้วยนะอย่างน้ำตะไคร้ น้ำมะตูม น้ำอัญชัน คุณชอบอะไรล่ะครองขวัญ”
ครองขวัญยิ้ม รู้สึกเหมือนมีอะไรอุ่น ๆ ในหัวใจทุกครั้งยามได้ยินเขาเรียกชื่อ
“หรือว่า...อยากดื่มเบียร์เหมือนผม”
“ไม่ค่ะ ขวัญไม่ทานเบียร์”
รอยยิ้มอบอุ่นของนินนาทคือรางวัลที่ครองขวัญได้รับ
“งั้นเอาน้ำอัญชันละกัน สีสวยดี คุณน่าจะชอบ”
แม้เริ่มรู้สึกหน่อย ๆ ว่านินนาทดูเหมือนชอบบงการหรือออกคำสั่ง กระนั้นครองขวัญก็ไม่คัดค้านเพราะนิสัยที่ชอบเป็นผู้ตามและไม่ค่อยขัดใจใคร
เมื่อพนักงานของร้านเดินจากไปหลังรับออเดอร์แล้ว นินนาทก็เริ่มต้นตั้งคำถามราวกับยังค้างคาใจ
“ผมคิดว่าคุณน่าจะชอบกินปลาเสียอีกเพราะเนื้อปลาเป็นอาหารบำรุงสมองที่คนมักชอบกัน โดยเพราะนักเขียนที่ต้องใช้สมองและความคิด ก็น่าจะชอบกินปลากันไม่ใช่หรือ”
“ก็คงเป็นอย่างนั้นค่ะ” หญิงสาวแบ่งรับแบ่งสู้พลางยิ้มเจื่อน ๆ วินาทีนั้นอดนึกถึงญาติหนุ่มไม่ได้ “พี่กอบ...พี่ชายของฉันน่ะค่ะ ก็ชอบพูดบ่อย ๆ ว่าที่ฉันโง่ ไม่ทันคน ก็เพราะไม่ชอบกินปลานี่ล่ะ”
ครองขวัญเผลอย่นจมูกเมื่อหวนนึกถึงตอนถูกกอบบุญค่อนขอดเรื่องนี้
‘หัดกินปลาให้มันเยอะ ๆ สิไอ้ขวัญ แกจะได้ฉลาดขึ้น ไม่โง่ แล้วก็ทันคนมากกว่านี้’
“แต่ผมว่าคุณไม่ได้โง่หรอกนะ”
คำบอกของนินนาทดึงครองขวัญออกจากห้วงคำนึง ก่อนที่หัวใจจะกระตุกกับแววตาอ่อนโยนที่ทอดมองมา
“เพียงแต่ คุณยังขาดเล่ห์เหลี่ยมที่จะใช้ปกป้องตัวเอง”
ครองขวัญยิ้ม วูบนั้นนึกอยากให้กอบบุญอยู่ตรงนี้เพื่อที่อีกฝ่ายจะได้ยินคำพูดของนินนาท หากวินาทีถัดมาก็เปลี่ยนใจ
ไม่ดีกว่า ขืนกอบบุญอยู่ที่นี่ เธอคงได้ถูกลากตัวกลับแล้วขังลืมไว้ในบ้าน ไม่ได้ออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันอีกแน่
“แต่ผมเพิ่งรู้ว่าคุณมีพี่ชาย คิดว่าเป็นลูกคนเดียวเสียอีก”
“พี่กอบเป็นลูกชายของป้าฉันค่ะ เราโตมาด้วยกันเพราะตั้งแต่พ่อกับแม่ฉันเสีย ป้าก็เป็นคนรับฉันมาดูแล”
“ผมเสียใจด้วยเรื่องพ่อแม่ของคุณ”
“ขอบคุณค่ะ ตอนที่พวกท่านจากไปฉันอายุแค่ห้าขวบเท่านั้น”
จริง ๆ แล้วเรื่องพ่อกับแม่ก็เลือนรางมากแล้วในความรู้สึกของครองขวัญ แต่ไม่รู้ทำไมยามสบกับแววห่วงใยในดวงตาสีนิล หญิงสาวกลับรู้สึกแน่นตื้อในอกจนไม่รู้ว่าน้ำตากำลังเอ่อกลบเบ้าตา กระทั่งเมื่อภาพตรงหน้าเริ่มพร่าเลือน
ความอบอุ่นตรงขอบตาก่อนระเรื่อยไปที่ข้างแก้มเหมือนจะช่วยให้ครองขวัญสามารถกลับมามองทุกอย่างได้ชัดเจน และนั่นก็มาพร้อมกับการรับรู้ว่าเมื่อครู่นินนาทช่วยซับน้ำตาให้เธอด้วยมือของเขา
อาการแน่นตื้อในอกจางหายเมื่อถูกแทนที่ด้วยอาการพองโตของหัวใจจนครองขวัญรู้สึกเหมือนกำลังจะเป็นไข้เมื่อเดาจากความรู้สึกร้อน ๆ ที่ผิวหน้า
“ขอบคุณค่ะ”
“ด้วยความยินดี”
หลังจากนั้นความเงียบก็เข้ามาปกคลุม แต่ครองขวัญกลับไม่รู้สึกอึดอัด ตรงกันข้ามยังรู้สึกได้ว่าบรรยากาศยามนี้ทั้งอบอุ่นและอ่อนโยนเหลือเกิน
***********************************************************
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ
คุณ Zephyr - ส่งหนูนามาให้หมั่นไส้ต่อค่ะ ^^
คุณ ปลาวาฬสีน้ำเงิน - คนแต่งก็ยิ้มค่ะ ยิ้มกว้างซะด้วย มีความสุขจังค่ะพอรู้ว่าคนอ่าน อ่านไป ยิ้มไป ^^
ปิยะณัฏฐ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 มี.ค. 2559, 10:10:23 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 มี.ค. 2559, 12:25:42 น.
จำนวนการเข้าชม : 984
<< บทที่ 6 | บทที่ 8 >> |