มนต์อักษรอ้อนรัก
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ 8
บทที่ 8
“เมื่อวานแกออกไปไหนมาวะไอ้ขวัญ ถึงได้กลับมาซะเกือบสามทุ่ม ทำเอาแม่ฉันเป็นห่วง”
คำถามนั้นทำให้ครองขวัญต้องละมือจากแป้นพิมพ์แล้วหันไปมอง แล้วก็ยิ้มอย่างอดไม่อยู่เมื่อเห็นญาติผู้พี่อยู่ในเครื่องแต่งกายแบบเสื้อยืดและกางเกงผ้าขาสั้นที่แสดงว่าอีกฝ่ายเพิ่งตื่นนอนได้ไม่นาน
แต่ก็เป็นเรื่องปกติแล้วสำหรับวันหยุดที่กว่ากอบบุญจะออกมาจากห้องนอนก็มักเกือบเที่ยง หรือช้าสุดก็ราวบ่าย
ครองขวัญลอบถอนหายใจเมื่อนึกถึงคำถามของอีกฝ่าย เดาว่านี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้กอบบุญดั้นด้นเดินตามหาจนมาถึงศาลาไม้ที่เธอมักย้ายตัวเองออกมาจากห้องนอนเพื่อเปลี่ยนสถานที่ในการคิดพล็อตหรือแต่งนิยายตอนต่อไป
คงเป็นเพราะเมื่อคืนเธอกลับบ้านค่อนข้างดึก ป้าบุษรัตน์จึงทั้งห่วงและอยากรู้ แต่ไม่กล้าถามเลยให้กอบบุญมาเลียบ ๆ เคียง ๆ แทน เพราะรู้ว่ากอบบุญต้องคาดคั้นจนกว่าจะได้รับคำตอบ
“ขวัญก็ไปเดินเล่น หาแรงบันดาลใจนอกสถานที่บ้างไง”
หญิงสาวให้คำตอบอย่างที่เคยอ่านเจอว่านักเขียนนิยายคนอื่นมักชอบบอกเวลาเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศหรือต่างจังหวัด
“แล้วไอ้แรงบันดาลใจที่ว่ามันต้องใช้เวลาถึงสามทุ่มเลยหรือ เป็นผู้หญิงกลับบ้านมืด ๆ ค่ำ ๆ มันอันตรายแค่ไหนแกก็รู้ ทุกวันนี้ก็มีข่าวให้เห็นแทบทุกวันไม่ใช่หรือ เดินอยู่ดี ๆ ก็มีคนมากระชากกระเป๋า ขนาดยืนอยู่ป้ายรถเมล์ยังมีคนมาฉุดไปข่มขืน จะทำอะไรหรือไปไหนมาไหนหัดนึกถึงใจคนที่รออยู่บ้านบ้างว่าเขาจะเป็นห่วงมากแค่ไหน”
ครองขวัญหน้าจ๋อยกับคำสอนที่แฝงติติง รู้ดีว่ากอบบุญกำลังบอกให้เธอนึกถึงใจของมารดาเขาที่ทั้งรักและเป็นห่วงเธอ
เพราะเมื่อคืนกว่านินนาทจะขับรถฝ่าการจราจรที่แสนติดขัดก็ใช้เวลาไปเกือบสองชั่วโมง ทำให้มาถึงบ้านช้ากว่าที่คาดเอาไว้
“ขอโทษค่ะ ขวัญไม่คิดว่าเมื่อคืนรถมันจะติดมากขนาดนั้นก็เลยกะเวลาผิด เอาไว้ต่อไปถ้ามีเรื่องแบบนี้ขวัญจะโทร. มาบอก ลุงกับป้าจะได้ไม่เป็นห่วง”
แต่เหมือนกอบบุญยังไม่พอใจเมื่อดูจากสีหน้าครุ่นคิด
“พักหลังนี่แกออกไปไหน เมื่อก่อนฉันไม่เห็นแกจะชอบออกไปนอกบ้านด้วยซ้ำ ขนาดชวนไปซื้อของในห้างฯ แกยังไม่อยากจะไป แล้วเดี๋ยวนี้ทำไมถึงชอบออกจากบ้านบ่อยนัก แล้วไปไหนไปกับใคร”
ดูท่า ตอนนี้กอบบุญคงถูกจิตวิญญาณพ่อคนที่สองเข้าสิงสู่แล้ว
หญิงสาวนึกอย่างอ่อนใจ
“ขวัญก็...อยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง ไม่อยากเอาแต่อุดอู้อยู่แต่ในบ้าน ก็พี่กอบเองไม่ใช่หรือที่พูดบ่อย ๆ ว่าขวัญควรออกไปเปิดหูเปิดตานอกบ้านบ้าง ขวัญก็ทำตามแล้วไง”
เห็นกอบบุญกระพริบตาปริบ ๆ ครองขวัญก็เดาว่าอีกฝ่ายคงไม่คิดว่าจะถูกโต้กลับด้วยคำพูดที่เคยออกปากไว้
“แล้วไปไหน ไปกับใคร”
แต่ชายหนุ่มก็ไม่ลืมว่ายังได้คำตอบไม่ครบ
ครองขวัญเกือบลืมตัวถอนหายใจดัง ๆ ก่อนจะยอมตอบคำถามแต่โดยดี
“ขวัญไปคนเดียว แล้วก็แค่ออกไปเดินห้างฯ ไปเดินดูหนังสือ ดูเสื้อผ้าสวย ๆ บ้าง ก็แค่นั้น”
ตอบไปแล้ว ครองขวัญคิดว่าคงจบได้เสียที แต่วินาทีต่อมาจึงรู้ว่าเข้าใจผิด
“ต่อไป ถ้าจะกลับบ้านช้าแกต้องโทร. บอกฉันทุกครั้ง เพราะบางทีโทร. เข้าบ้านพ่อกับแม่อาจไม่อยู่ หรือบางทีอาจเข้านอนไปแล้ว เพราะงั้นโทร. หาฉันดีกว่า”
ถ้าโทร. หากอบบุญ คงเป็นเรื่องยาว
หญิงสาวคิด ก่อนบอกเสียงเบาพลางทำท่าเกรงอกเกรงใจ
“แต่ขวัญไม่อยากกวนพี่กอบ”
“ไม่กวน ฉันเต็มใจ”
ครองขวัญแทบจะถอนหายใจเมื่อรู้ว่าคงหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกแล้ว
“ค่ะ ต่อไปขวัญจะโทร. บอกพี่กอบ”
“ดีมาก”
คราวนี้กอบบุญคงพอใจหรือไม่ก็คิดว่าปฏิบัติภารกิจลุล่วงแล้วจึงยอมผละไปแต่โดยดี และครั้งนี้ครองขวัญก็สามารถถอนหายใจออกมาได้อย่างเต็มที่
เช้าวันอาทิตย์
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกอบบุญคิดเอาเองว่าช่วงหลังเขาละเลยน้องสาวหรือไร ราวเที่ยงหลังจากตื่นนอนได้ไม่นานชายหนุ่มจึงออกปากชวนครองขวัญไปเดินห้างสรรพสินค้า
“ขวัญไม่อยากไป อยากอยู่แต่งนิยายต่อ หัวกำลังแล่นเลย”
“ไปเป็นเพื่อนฉันหน่อย จะซื้อของขวัญให้เพื่อนแต่ไม่รู้ว่าพวกผู้หญิงเขาชอบอะไรกัน”
ครองขวัญหูผึ่งทันทีกับคำบอกตอนท้าย
“พี่กอบจะซื้อของให้ผู้หญิงหรือ ใคร...ขวัญรู้จักหรือเปล่า”
กอบบุญนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนบอกเสียงห้วนด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“แกไม่ต้องรู้ แค่ไปเป็นเพื่อนช่วยฉันเลือกของก็พอ”
แวบแรกครองขวัญเกือบปฏิเสธเพราะเริ่มไม่ชอบใจที่อีกฝ่ายขึ้นเสียงใส่ แต่ฉุกใจคิดทันว่าขืนทำแบบนั้นเธอคงไม่แคล้วถูกเขาลากตัวออกไปแน่ เติบโตมาด้วยกันทำไมจะไม่รู้ว่ากอบบุญเป็นคนไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ ยิ่งถ้าลองต้องการอะไรแล้วเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มา
เพราะงั้นสู้ไปแต่โดยดี ยังดีกว่าถูกเขาจับลากตัวออกไป
“ก็ได้ งั้นขอขวัญไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ”
เห็นกอบบุญมองปราดทั่วตัวเธอแวบหนึ่ง ก่อนที่เขาจะบอก
“ไปชุดนี้ก็ได้นี่”
ครองขวัญส่ายหน้าหวือ
ให้ไปเดินห้างฯ ในชุดเสื้อยืดตัวหลวมโคร่งกับกางเกงยีนส์ขาสั้นชายลุ่ยแบบนี่นะหรือ ไม่มีทาง!
“พี่กอบไปสตาร์ทรถรอไว้เลยก็ได้ ขวัญไปเปลี่ยนชุดแป๊ปเดียว”
ไม่ให้โอกาสกอบบุญได้ทักท้วงเป็นรอบสอง ครองขวัญก็รีบวิ่งตัวปลิวออกไปทันที
ณ ห้างสรรพสินค้าย่านใจกลางเมือง
หลังจากเดินเลือกดูสินค้าตามชั้นต่าง ๆ มาเกือบชั่วโมง ครองขวัญก็ขอตัวมาเข้าห้องน้ำในขณะที่กอบบุญบอกว่าจะเตร็ดเตร่ดูสินค้าอยู่แถว ๆ นั้น
ขณะกำลังเปิดก๊อกน้ำล้างมือ หญิงสาวก็ได้ยินเสียงร้องเรียก
“พี่ขวัญ”
ครองขวัญเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนเรียกเธอ
“หนูนา”
หญิงสาวยิ้มให้เมื่อนาวิตาเดินเข้ามาใกล้แล้วฉวยมือเธอไปกุมพลางจับเขย่าด้วยท่าทางตื่นเต้นยินดี
“ดีใจจังที่เจอพี่ขวัญ มาทำอะไรที่นี่คะ”
“มาเป็นเพื่อนพี่ชายน่ะ แล้วหนูนาล่ะ”
“นาก็มากับพี่ชายค่ะ อยากมาหาอะไรกินนอกบ้านบ้าง” ครองขวัญเห็นนาวิตาเงียบไปนิดเหมือนคิดบางอย่างก่อนจะยิ้มให้เธอทั้งปากทั้งตา “เดี๋ยวพี่ขวัญไปกับนานะคะ นาจะแนะนำให้รู้จักพี่ชายของนา”
เห็นท่าทางกระตือรือร้นของอีกฝ่าย หญิงสาวจึงไม่อยากขัด
“ก็ได้จ้ะ”
ทว่า เมื่อเดินเคียงกันกับนาวิตาจากห้องน้ำมาตามทางเดินจนถึงบริเวณหน้าร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดัง ครองขวัญก็รู้สึกสะดุดตากับผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังยืนหันหลังให้บริเวณหน้าร้านอาหาร จวบจนกระทั่งได้ยินนาวิตาร้องเรียกแล้วชายหนุ่มคนนั้นหันกลับมามอง
วินาทีนั้น ครองขวัญชาวาบไปทั้งตัว
นินนาทตกใจจริง ๆ ที่หันมาเห็นนาวิตาเดินมาพร้อมกับครองขวัญ
ชายหนุ่มมองน้องสาวแวบหนึ่ง เห็นอีกฝ่ายทำหน้าซื่อตาใสอย่างที่เขารู้ดีว่านาวิตามักทำหน้าแบบนี้เสมอเวลาคิดเรื่องสนุกขึ้นมาได้
แต่ส่วนมาก เรื่องสนุกนั้นมักสนุกสำหรับนาวิตาเพียงคนเดียว
“พี่นินคะ นี่พี่ขวัญ นักเขียนขวัญใจของคุณแม่ค่ะ”
นินนาทมองครองขวัญซึ่งยังมีทีท่าตกตะลึงเหมือนตั้งตัวไม่ติด ก่อนบอกกับนาวิตาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“พี่รู้จักกับครองขวัญแล้ว”
“อ้าว! เอ๊ะ! ไปรู้จักกันตอนไหน แล้วตั้งแต่เมื่อไรคะ”
ครั้งนี้ชายหนุ่มไม่ตอบคำถามของน้องสาว เพราะความสนใจจดจ่ออยู่กับนักเขียนสาว หัวใจแกว่งไปวูบหนึ่งเพราะเชื่อว่ามองไม่ผิด ในดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นกำลังฉายแววตัดพ้อผิดหวังและไม่เข้าใจ
วินาทีนั้น นินนาทนึกอยากพาครองขวัญไปพูดคุยกันตามลำพัง แต่จังหวะนั้นเสียงร้องเรียกหญิงสาวก็ดังขึ้น
“ขวัญ”
ผู้ชายร่างสูงพอกันกับเขา กำลังเดินตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว สีหน้าสีตาของอีกฝ่ายที่นินนาทเห็นนั้นดูราวกับพร้อมมีเรื่องได้เสมอ
“ ไหนบอกจะไปห้องน้ำไง”
สายตาเอาเรื่องของชายหนุ่มอีกคนที่ยังไม่คลาดไปจากเขาทั้งที่ปากตั้งคำถามกับครองขวัญ ทำให้นินนาทต้องมอบตอบเช่นกัน แต่ด้วยความสนใจไม่ใช้อยากจะหาเรื่องอย่างที่อีกฝ่ายกำลังแสดงออก
“ขวัญไปห้องน้ำมาแล้ว แต่บังเอิญเจอคนรู้จัก”
คำชี้แจงของครองขวัญดึงความสนใจของกอบบุญได้แวบหนึ่ง แต่นั่นทำให้เหลือบไปเห็นหญิงสาวอีกคนเข้าพอดี หลังจากมีท่าทางชะงักไปนิด ทุกคนก็ได้ยินคำถาม
“นาวิตา มาทำอะไรที่นี่”
คนถูกถามทำหน้ามุ่ยแต่ยังไม่ทันตอบ คนตั้งคำถามก็พูดต่อหลังจากตวัดตามองชายหนุ่มอีกคน
“หรือมีนัดกับไอ้หมอนี่”
“พูดจาให้มันดีหน่อย ไอ้หมอนี่ที่คุณเรียกน่ะ เขาเป็นพี่ชายของฉันนะ”
สุ้มเสียงของนาวิตาบอกชัดว่าเจ้าตัวกำลังไม่พอใจ
กอบบุญนิ่งไปครู่ ก่อนที่ทุกคนจะเห็นว่าสีหน้าสีตาเอาเรื่องนั้นเริ่มผ่อนคลายลงยามหันไปมองนินนาท
“ขอโทษ” น้ำเสียงที่พูดนั้นมีความเป็นมิตรขึ้นไม่ต่างจากแววตา “ผมชื่อกอบบุญ ทำงานที่เดียวกับนาวิตา”
คำบอกตอนท้ายไม่เพียงทำให้ครองขวัญแปลกใจ แต่ยังดึงความสนใจของนินนาทด้วย
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมชื่อนินนาท” หลังจากปรายตามองน้องสาวแวบหนึ่ง ชายหนุ่มจึงพูดต่อ “เพิ่งรู้ว่าน้องสาวผมชอบทำงานที่อื่นมากกว่าจะช่วยงานผมที่บริษัท”
ทั้งคำพูดของนินนาทและสีหน้าจืดเจื่อนของนาวิตาทำให้ทั้งกอบบุญและครองขวัญได้ข้อสรุปตรงกันว่านาวิตาคงไม่ได้บอกเรื่องทำงานกับพี่ชายของตัวเอง
“จริง ๆ จะว่าทำงานก็ไม่ถูก น่าจะเรียกว่ามาฝึกงานมากกว่า เพราะเห็นว่าเป็นญาติกับพี่นพ...นพรุจน่ะครับ”
“อ๋อ! พี่นพนี่เอง” นินนาทยิ้มนิด ๆ “เข้าใจล่ะ เพราะพี่นพค่อนข้างเอ็นดูหนูนาเป็นพิเศษ แต่ไหนแต่ไรเวลาหนูนาไปขอร้องอะไร พี่นพไม่เคยขัดใจสักครั้ง ไม่เหมือนผม บ่อยครั้งที่ทำอะไรขัดใจเขา เขาเลยไม่อยากจะทำงานด้วย”
คงเพราะนาวิตาเข้าใจว่านินนาทอาจโกรธหรือไม่พอใจ เจ้าตัวจึงรีบอธิบายด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะพี่นิน ที่นาไม่อยากทำงานในบริษัทของเราก็เพราะนากลัวว่าจะทำให้คนอื่นอึดอัดแล้วนาเองก็อาจไม่ได้ทำงานจริง ๆ จัง ๆ ก็เลยคิดว่าไปทำงานที่อื่นน่าจะดีกว่า”
นินนาทเพียงแต่ยิ้ม ก่อนพูดกับกอบบุญแต่สายตาจับจ้องอยู่ที่ครองขวัญ
“ถ้าพวกคุณไม่รีบไปไหน ผมขอเชิญทานอาหารด้วยกันนะครับ ผมกับหนูนาตั้งใจจะเปลี่ยนบรรยากาศมากินข้าวนอกบ้าน ถ้าได้ทานด้วยกันหลายคนก็คงดี”
ยังไม่ทันที่กอบบุญจะตอบ ครองขวัญซึ่งยืนเงียบมานานก็ชิงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่ผิดจากสีหน้า
“ต้องขอโทษด้วยค่ะ เราสองคนยังมีของต้องซื้ออีกหลายอย่าง ขอตัวก่อนนะคะ”
ในขณะที่กอบบุญมีทีท่างุนงง ครองขวัญก็หันไปทางนาวิตา
“หนูนา พี่ไปก่อนนะ”
ทันทีที่พูดจบ หญิงสาวก็ฉวยมือญาติหนุ่มแล้วดึงให้ก้าวตามกันออกมา
“แกกับผู้ชายคนนั้นรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า”
ครองขวัญแทบสะดุ้งกับคำถามของกอบบุญ หลังจากทั้งคู่เดินห่างมาจากสองพี่น้องแล้ว
“ทำไมถามขวัญแบบนี้ล่ะ”
“ก็ฉันเห็นเขามองแกแปลก ๆ แบบไม่น่าใช่คนที่เพิ่งรู้จักกัน แต่น่าจะรู้จักกันดีมากกว่า”
เธอลืมไปได้ยังไงนะ กอบบุญเหมือนมีเครื่องสแกนติดลูกตามาแต่ไหนแต่ไร
“ขวัญไม่เคยรู้จักพี่ชายของหนูนา”
ครองขวัญมั่นใจ ครั้งนี้เธอไม่ได้โกหกกอบบุญ
ก็ที่ผ่านมา เธอรู้จักเขาในฐานะที่เป็นแฟนหนังสือแต่ไม่เคยรู้เลยว่าเขาเป็นพี่ชายของนาวิตา
ทำไมเขาไม่บอกเธอ
นั่นคือคำถามที่หญิงสาวตั้งกับตัวเองพร้อมกับกำแพงแห่งความผิดหวังและไม่เข้าใจที่เริ่มก่อตัว
ขณะเดียวกันคนที่เป็นต้นเหตุแห่งความไม่เข้าใจของครองขวัญก็ตั้งคำถามกับน้องสาวทันทีที่อยู่กันเพียงสองคน
“ทำไมถึงพาครองขวัญมาหาพี่”
“ก็นาอยากจะรู้นี่ว่าเรื่องระหว่างพี่นินกับพี่ขวัญไปถึงไหนแล้ว นาถามกี่ครั้งพี่นินก็ไม่ยอมพูด ทั้งที่ตอนแรกนาเป็นคนเริ่มต้นให้พวกพี่สองคนรู้จักกันแท้ ๆ”
นินนาทเงียบ หากในใจครุ่นคิด
จริงอยู่ คนที่ติดต่อกับครองขวัญในตอนแรกคือนาวิตา ตั้งแต่เริ่มต้นแนะนำตัวจนถึงการขอนัดเจอกับหญิงสาว ซึ่งกว่าเขาจะรู้ว่านาวิตาติดต่อนัดครองขวัญไว้ให้กับเขาก็ตรงกับช่วงที่เขาต้องเดินทางไปต่างประเทศ ทำให้จำเป็นต้องเลื่อนนัด และหลังกลับจากต่างประเทศด้วยความที่มัวแต่วุ่นกับงานในบริษัททำให้หลงลืมไปว่าน้องสาวนัดนักเขียนสาวไว้ให้เขาที่งานหนังสือ ซึ่งก็ได้นาวิตาอีกนั่นล่ะที่ช่วยเตือนความจำให้แต่ก็ยังพลาดอยู่ดีเพราะวันนั้นเขามีนัดกับคู่ค้าทางธุรกิจ แต่เพราะถูกนาวิตาขอร้องให้ขับรถไปส่งและแวะไปหาครองขวัญทำให้เขาจำใจต้องไป แต่สุดท้ายก็ยังคลาดกันอยู่ดี จนนำไปสู่การนัดหมายครั้งที่สามซึ่งเป็นการเจอกันครั้งแรก
เมื่อนึกถึงตอนที่เขาแนะนำตัวกับครองขวัญในครั้งนั้น นินนาทก็ยิ้ม
‘คุณ...ชื่อรักคุณ ไม่ใช่ชื่อแรคคูนหรอกหรือคะ’
ตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งรู้ว่าถูกนาวิตาจงใจทำให้เข้าใจผิดเรื่องชื่อ ยิ่งเมื่อกลับมาบ้านแล้วไปต่อว่าน้องสาว เจ้าตัวกลับบอกหน้าซื่อตาใสว่าลืม
แต่ก็นั่นล่ะ จะโทษนาวิตาคนเดียวก็ไม่ถูก เขาเองก็พลาดที่มัวแต่คิดว่าอยากทำให้มันจบเรื่อง จะได้ไม่ถือว่าผิดคำสัญญาจึงไม่ทันฉุกใจคิด
ทว่า จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจ จากที่เคยคิดว่าจะทำให้มันจบเรื่อง แต่ทำไมหลังจากนั้นเขายังอยากเจอเธออีก มิหนำซ้ำนัดครั้งต่อมาหลังจากวันนั้นก็มาจากตัวเขาเองไม่ใช่นาวิตา
“พี่นิน เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมเงียบไปคะ”
คำถามของน้องสาวดึงชายหนุ่มออกจากภวังค์ แล้วนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
บางครั้ง นาวิกาก็ดื้อดึงชอบเอาแต่ใจ จนทำให้หลายหนมักลืมนึกถึงใจคนรอบข้าง เหมือนอย่างครั้งนี้ถ้าเขาเข้าใจไม่ผิดคงเป็นเพราะน้องสาวของเขาไม่ชอบใจจากการที่เขาไม่ยอมเล่าให้ฟังถึงความคืบหน้าระหว่างเขากับครองขวัญ จนทำให้เจ้าตัวตัดสินใจทำแบบนี้โดยลืมนึกถึงผลเสียที่จะตามมา
“หนูนาก็รู้ไม่ใช่หรือว่าพี่ยังไม่ได้บอกครองขวัญว่าเราเป็นน้องสาวของพี่”
พูดไปแล้ว ชายหนุ่มก็ลอบสังเกตไปด้วย จึงเห็นว่าน้องสาวของเขาพยักหน้ารับแทบจะทันทีโดยไม่มีทีท่าผิดปกติ
“คิดว่าครองขวัญจะคิดหรือรู้สึกยังไง ที่จู่ ๆ ก็รู้ความจริง”
ใช่ว่าเขาจงใจปกปิดเรื่องนี้ เพียงแต่เขาไม่คิดว่าตัวเองจะสานสัมพันธ์กับครองขวัญมาจนถึงตอนนี้ จึงคิดว่าไม่จำเป็นต้องบอกเพราะคงไม่ได้เจอกับเธออีก แม้เมื่อทุกอย่างไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด เขาก็ยังไม่อยากบอกด้วยเกรงว่าจะนำไปสู่การเปิดเผยความจริงที่เขายังไม่พร้อม ได้แต่ตั้งใจว่าจะรอจนกว่าถึงเวลาแล้วค่อยบอกความจริงกับเธอ
แต่นึกไม่ถึงว่านาวิตาจะทำให้เรื่องมันยุ่งยากขึ้น
ดูจากท่าทางนิ่งงันไปชั่วขณะของนาวิตาก่อนที่เจ้าตัวจะทำหน้าเหยเก นินนาทก็เดาได้ว่าน้องสาวของเขารู้ตัวแล้วว่าทำอะไรพลาดลงไป
“พี่นิน หนูนาขอโทษ”
ชายหนุ่มยิ้มนิด ๆ อย่างจะปลอบใจ ไม่ได้โทษว่าเป็นความผิดของนาวิตาฝ่ายเดียวเพราะเขาเองก็มีส่วนผิด
“พี่ขวัญจะโกรธพวกเราหรือเปล่าคะ”
นินนาทนิ่งไปครู่ เมื่อนึกถึงสีหน้าแววตาของครองขวัญก่อนหน้านี้
“คงไม่ อาจจะแค่...ไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ไม่บอก”
“แล้วถ้า...พี่ขวัญไม่อยากพบไม่อยากติดต่อพวกเราอีก จะทำยังไงกันดีล่ะคะ”
จากน้ำเสียงร้อนรนของนาวิตา นินนาทก็รู้ว่าน้องสาวกำลังไม่สบายใจ ไม่ใช่เพราะครองขวัญเป็นนักเขียนคนโปรดของมารดา หรือเป็นคนที่นาวิตารักเสมอเหมือนพี่สาว แต่ครองขวัญมีค่ามากกว่านั้นสำหรับครอบครัวของเขา
ถึงเพิ่งรู้จักได้ไม่นาน แต่เขาก็ไม่อยากปล่อยมือจากเธอ
ความรู้สึกหนักอึ้งในอกทำให้อดถอนหายใจไม่ได้ เมื่อตัดสินใจ
คงถึงเวลาต้องบอกความจริง
***********************************************************
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ
คุณ Zephyr - คิดว่าอย่างพี่กอบเนี่ย ต้องใส่สลอดแน่ค่ะ ส่วนแบบแรกคงไม่ต้อง 555 แล้วก็ขอปรบมือให้รัว ๆ ค่ะ กับการคาดเดาก่อนหน้านั้นที่ตรงเผงเลยเรื่องนาวิตากับนินนาท ^^
“เมื่อวานแกออกไปไหนมาวะไอ้ขวัญ ถึงได้กลับมาซะเกือบสามทุ่ม ทำเอาแม่ฉันเป็นห่วง”
คำถามนั้นทำให้ครองขวัญต้องละมือจากแป้นพิมพ์แล้วหันไปมอง แล้วก็ยิ้มอย่างอดไม่อยู่เมื่อเห็นญาติผู้พี่อยู่ในเครื่องแต่งกายแบบเสื้อยืดและกางเกงผ้าขาสั้นที่แสดงว่าอีกฝ่ายเพิ่งตื่นนอนได้ไม่นาน
แต่ก็เป็นเรื่องปกติแล้วสำหรับวันหยุดที่กว่ากอบบุญจะออกมาจากห้องนอนก็มักเกือบเที่ยง หรือช้าสุดก็ราวบ่าย
ครองขวัญลอบถอนหายใจเมื่อนึกถึงคำถามของอีกฝ่าย เดาว่านี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้กอบบุญดั้นด้นเดินตามหาจนมาถึงศาลาไม้ที่เธอมักย้ายตัวเองออกมาจากห้องนอนเพื่อเปลี่ยนสถานที่ในการคิดพล็อตหรือแต่งนิยายตอนต่อไป
คงเป็นเพราะเมื่อคืนเธอกลับบ้านค่อนข้างดึก ป้าบุษรัตน์จึงทั้งห่วงและอยากรู้ แต่ไม่กล้าถามเลยให้กอบบุญมาเลียบ ๆ เคียง ๆ แทน เพราะรู้ว่ากอบบุญต้องคาดคั้นจนกว่าจะได้รับคำตอบ
“ขวัญก็ไปเดินเล่น หาแรงบันดาลใจนอกสถานที่บ้างไง”
หญิงสาวให้คำตอบอย่างที่เคยอ่านเจอว่านักเขียนนิยายคนอื่นมักชอบบอกเวลาเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศหรือต่างจังหวัด
“แล้วไอ้แรงบันดาลใจที่ว่ามันต้องใช้เวลาถึงสามทุ่มเลยหรือ เป็นผู้หญิงกลับบ้านมืด ๆ ค่ำ ๆ มันอันตรายแค่ไหนแกก็รู้ ทุกวันนี้ก็มีข่าวให้เห็นแทบทุกวันไม่ใช่หรือ เดินอยู่ดี ๆ ก็มีคนมากระชากกระเป๋า ขนาดยืนอยู่ป้ายรถเมล์ยังมีคนมาฉุดไปข่มขืน จะทำอะไรหรือไปไหนมาไหนหัดนึกถึงใจคนที่รออยู่บ้านบ้างว่าเขาจะเป็นห่วงมากแค่ไหน”
ครองขวัญหน้าจ๋อยกับคำสอนที่แฝงติติง รู้ดีว่ากอบบุญกำลังบอกให้เธอนึกถึงใจของมารดาเขาที่ทั้งรักและเป็นห่วงเธอ
เพราะเมื่อคืนกว่านินนาทจะขับรถฝ่าการจราจรที่แสนติดขัดก็ใช้เวลาไปเกือบสองชั่วโมง ทำให้มาถึงบ้านช้ากว่าที่คาดเอาไว้
“ขอโทษค่ะ ขวัญไม่คิดว่าเมื่อคืนรถมันจะติดมากขนาดนั้นก็เลยกะเวลาผิด เอาไว้ต่อไปถ้ามีเรื่องแบบนี้ขวัญจะโทร. มาบอก ลุงกับป้าจะได้ไม่เป็นห่วง”
แต่เหมือนกอบบุญยังไม่พอใจเมื่อดูจากสีหน้าครุ่นคิด
“พักหลังนี่แกออกไปไหน เมื่อก่อนฉันไม่เห็นแกจะชอบออกไปนอกบ้านด้วยซ้ำ ขนาดชวนไปซื้อของในห้างฯ แกยังไม่อยากจะไป แล้วเดี๋ยวนี้ทำไมถึงชอบออกจากบ้านบ่อยนัก แล้วไปไหนไปกับใคร”
ดูท่า ตอนนี้กอบบุญคงถูกจิตวิญญาณพ่อคนที่สองเข้าสิงสู่แล้ว
หญิงสาวนึกอย่างอ่อนใจ
“ขวัญก็...อยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง ไม่อยากเอาแต่อุดอู้อยู่แต่ในบ้าน ก็พี่กอบเองไม่ใช่หรือที่พูดบ่อย ๆ ว่าขวัญควรออกไปเปิดหูเปิดตานอกบ้านบ้าง ขวัญก็ทำตามแล้วไง”
เห็นกอบบุญกระพริบตาปริบ ๆ ครองขวัญก็เดาว่าอีกฝ่ายคงไม่คิดว่าจะถูกโต้กลับด้วยคำพูดที่เคยออกปากไว้
“แล้วไปไหน ไปกับใคร”
แต่ชายหนุ่มก็ไม่ลืมว่ายังได้คำตอบไม่ครบ
ครองขวัญเกือบลืมตัวถอนหายใจดัง ๆ ก่อนจะยอมตอบคำถามแต่โดยดี
“ขวัญไปคนเดียว แล้วก็แค่ออกไปเดินห้างฯ ไปเดินดูหนังสือ ดูเสื้อผ้าสวย ๆ บ้าง ก็แค่นั้น”
ตอบไปแล้ว ครองขวัญคิดว่าคงจบได้เสียที แต่วินาทีต่อมาจึงรู้ว่าเข้าใจผิด
“ต่อไป ถ้าจะกลับบ้านช้าแกต้องโทร. บอกฉันทุกครั้ง เพราะบางทีโทร. เข้าบ้านพ่อกับแม่อาจไม่อยู่ หรือบางทีอาจเข้านอนไปแล้ว เพราะงั้นโทร. หาฉันดีกว่า”
ถ้าโทร. หากอบบุญ คงเป็นเรื่องยาว
หญิงสาวคิด ก่อนบอกเสียงเบาพลางทำท่าเกรงอกเกรงใจ
“แต่ขวัญไม่อยากกวนพี่กอบ”
“ไม่กวน ฉันเต็มใจ”
ครองขวัญแทบจะถอนหายใจเมื่อรู้ว่าคงหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกแล้ว
“ค่ะ ต่อไปขวัญจะโทร. บอกพี่กอบ”
“ดีมาก”
คราวนี้กอบบุญคงพอใจหรือไม่ก็คิดว่าปฏิบัติภารกิจลุล่วงแล้วจึงยอมผละไปแต่โดยดี และครั้งนี้ครองขวัญก็สามารถถอนหายใจออกมาได้อย่างเต็มที่
เช้าวันอาทิตย์
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกอบบุญคิดเอาเองว่าช่วงหลังเขาละเลยน้องสาวหรือไร ราวเที่ยงหลังจากตื่นนอนได้ไม่นานชายหนุ่มจึงออกปากชวนครองขวัญไปเดินห้างสรรพสินค้า
“ขวัญไม่อยากไป อยากอยู่แต่งนิยายต่อ หัวกำลังแล่นเลย”
“ไปเป็นเพื่อนฉันหน่อย จะซื้อของขวัญให้เพื่อนแต่ไม่รู้ว่าพวกผู้หญิงเขาชอบอะไรกัน”
ครองขวัญหูผึ่งทันทีกับคำบอกตอนท้าย
“พี่กอบจะซื้อของให้ผู้หญิงหรือ ใคร...ขวัญรู้จักหรือเปล่า”
กอบบุญนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนบอกเสียงห้วนด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“แกไม่ต้องรู้ แค่ไปเป็นเพื่อนช่วยฉันเลือกของก็พอ”
แวบแรกครองขวัญเกือบปฏิเสธเพราะเริ่มไม่ชอบใจที่อีกฝ่ายขึ้นเสียงใส่ แต่ฉุกใจคิดทันว่าขืนทำแบบนั้นเธอคงไม่แคล้วถูกเขาลากตัวออกไปแน่ เติบโตมาด้วยกันทำไมจะไม่รู้ว่ากอบบุญเป็นคนไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ ยิ่งถ้าลองต้องการอะไรแล้วเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มา
เพราะงั้นสู้ไปแต่โดยดี ยังดีกว่าถูกเขาจับลากตัวออกไป
“ก็ได้ งั้นขอขวัญไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ”
เห็นกอบบุญมองปราดทั่วตัวเธอแวบหนึ่ง ก่อนที่เขาจะบอก
“ไปชุดนี้ก็ได้นี่”
ครองขวัญส่ายหน้าหวือ
ให้ไปเดินห้างฯ ในชุดเสื้อยืดตัวหลวมโคร่งกับกางเกงยีนส์ขาสั้นชายลุ่ยแบบนี่นะหรือ ไม่มีทาง!
“พี่กอบไปสตาร์ทรถรอไว้เลยก็ได้ ขวัญไปเปลี่ยนชุดแป๊ปเดียว”
ไม่ให้โอกาสกอบบุญได้ทักท้วงเป็นรอบสอง ครองขวัญก็รีบวิ่งตัวปลิวออกไปทันที
ณ ห้างสรรพสินค้าย่านใจกลางเมือง
หลังจากเดินเลือกดูสินค้าตามชั้นต่าง ๆ มาเกือบชั่วโมง ครองขวัญก็ขอตัวมาเข้าห้องน้ำในขณะที่กอบบุญบอกว่าจะเตร็ดเตร่ดูสินค้าอยู่แถว ๆ นั้น
ขณะกำลังเปิดก๊อกน้ำล้างมือ หญิงสาวก็ได้ยินเสียงร้องเรียก
“พี่ขวัญ”
ครองขวัญเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนเรียกเธอ
“หนูนา”
หญิงสาวยิ้มให้เมื่อนาวิตาเดินเข้ามาใกล้แล้วฉวยมือเธอไปกุมพลางจับเขย่าด้วยท่าทางตื่นเต้นยินดี
“ดีใจจังที่เจอพี่ขวัญ มาทำอะไรที่นี่คะ”
“มาเป็นเพื่อนพี่ชายน่ะ แล้วหนูนาล่ะ”
“นาก็มากับพี่ชายค่ะ อยากมาหาอะไรกินนอกบ้านบ้าง” ครองขวัญเห็นนาวิตาเงียบไปนิดเหมือนคิดบางอย่างก่อนจะยิ้มให้เธอทั้งปากทั้งตา “เดี๋ยวพี่ขวัญไปกับนานะคะ นาจะแนะนำให้รู้จักพี่ชายของนา”
เห็นท่าทางกระตือรือร้นของอีกฝ่าย หญิงสาวจึงไม่อยากขัด
“ก็ได้จ้ะ”
ทว่า เมื่อเดินเคียงกันกับนาวิตาจากห้องน้ำมาตามทางเดินจนถึงบริเวณหน้าร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดัง ครองขวัญก็รู้สึกสะดุดตากับผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังยืนหันหลังให้บริเวณหน้าร้านอาหาร จวบจนกระทั่งได้ยินนาวิตาร้องเรียกแล้วชายหนุ่มคนนั้นหันกลับมามอง
วินาทีนั้น ครองขวัญชาวาบไปทั้งตัว
นินนาทตกใจจริง ๆ ที่หันมาเห็นนาวิตาเดินมาพร้อมกับครองขวัญ
ชายหนุ่มมองน้องสาวแวบหนึ่ง เห็นอีกฝ่ายทำหน้าซื่อตาใสอย่างที่เขารู้ดีว่านาวิตามักทำหน้าแบบนี้เสมอเวลาคิดเรื่องสนุกขึ้นมาได้
แต่ส่วนมาก เรื่องสนุกนั้นมักสนุกสำหรับนาวิตาเพียงคนเดียว
“พี่นินคะ นี่พี่ขวัญ นักเขียนขวัญใจของคุณแม่ค่ะ”
นินนาทมองครองขวัญซึ่งยังมีทีท่าตกตะลึงเหมือนตั้งตัวไม่ติด ก่อนบอกกับนาวิตาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“พี่รู้จักกับครองขวัญแล้ว”
“อ้าว! เอ๊ะ! ไปรู้จักกันตอนไหน แล้วตั้งแต่เมื่อไรคะ”
ครั้งนี้ชายหนุ่มไม่ตอบคำถามของน้องสาว เพราะความสนใจจดจ่ออยู่กับนักเขียนสาว หัวใจแกว่งไปวูบหนึ่งเพราะเชื่อว่ามองไม่ผิด ในดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้นกำลังฉายแววตัดพ้อผิดหวังและไม่เข้าใจ
วินาทีนั้น นินนาทนึกอยากพาครองขวัญไปพูดคุยกันตามลำพัง แต่จังหวะนั้นเสียงร้องเรียกหญิงสาวก็ดังขึ้น
“ขวัญ”
ผู้ชายร่างสูงพอกันกับเขา กำลังเดินตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว สีหน้าสีตาของอีกฝ่ายที่นินนาทเห็นนั้นดูราวกับพร้อมมีเรื่องได้เสมอ
“ ไหนบอกจะไปห้องน้ำไง”
สายตาเอาเรื่องของชายหนุ่มอีกคนที่ยังไม่คลาดไปจากเขาทั้งที่ปากตั้งคำถามกับครองขวัญ ทำให้นินนาทต้องมอบตอบเช่นกัน แต่ด้วยความสนใจไม่ใช้อยากจะหาเรื่องอย่างที่อีกฝ่ายกำลังแสดงออก
“ขวัญไปห้องน้ำมาแล้ว แต่บังเอิญเจอคนรู้จัก”
คำชี้แจงของครองขวัญดึงความสนใจของกอบบุญได้แวบหนึ่ง แต่นั่นทำให้เหลือบไปเห็นหญิงสาวอีกคนเข้าพอดี หลังจากมีท่าทางชะงักไปนิด ทุกคนก็ได้ยินคำถาม
“นาวิตา มาทำอะไรที่นี่”
คนถูกถามทำหน้ามุ่ยแต่ยังไม่ทันตอบ คนตั้งคำถามก็พูดต่อหลังจากตวัดตามองชายหนุ่มอีกคน
“หรือมีนัดกับไอ้หมอนี่”
“พูดจาให้มันดีหน่อย ไอ้หมอนี่ที่คุณเรียกน่ะ เขาเป็นพี่ชายของฉันนะ”
สุ้มเสียงของนาวิตาบอกชัดว่าเจ้าตัวกำลังไม่พอใจ
กอบบุญนิ่งไปครู่ ก่อนที่ทุกคนจะเห็นว่าสีหน้าสีตาเอาเรื่องนั้นเริ่มผ่อนคลายลงยามหันไปมองนินนาท
“ขอโทษ” น้ำเสียงที่พูดนั้นมีความเป็นมิตรขึ้นไม่ต่างจากแววตา “ผมชื่อกอบบุญ ทำงานที่เดียวกับนาวิตา”
คำบอกตอนท้ายไม่เพียงทำให้ครองขวัญแปลกใจ แต่ยังดึงความสนใจของนินนาทด้วย
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมชื่อนินนาท” หลังจากปรายตามองน้องสาวแวบหนึ่ง ชายหนุ่มจึงพูดต่อ “เพิ่งรู้ว่าน้องสาวผมชอบทำงานที่อื่นมากกว่าจะช่วยงานผมที่บริษัท”
ทั้งคำพูดของนินนาทและสีหน้าจืดเจื่อนของนาวิตาทำให้ทั้งกอบบุญและครองขวัญได้ข้อสรุปตรงกันว่านาวิตาคงไม่ได้บอกเรื่องทำงานกับพี่ชายของตัวเอง
“จริง ๆ จะว่าทำงานก็ไม่ถูก น่าจะเรียกว่ามาฝึกงานมากกว่า เพราะเห็นว่าเป็นญาติกับพี่นพ...นพรุจน่ะครับ”
“อ๋อ! พี่นพนี่เอง” นินนาทยิ้มนิด ๆ “เข้าใจล่ะ เพราะพี่นพค่อนข้างเอ็นดูหนูนาเป็นพิเศษ แต่ไหนแต่ไรเวลาหนูนาไปขอร้องอะไร พี่นพไม่เคยขัดใจสักครั้ง ไม่เหมือนผม บ่อยครั้งที่ทำอะไรขัดใจเขา เขาเลยไม่อยากจะทำงานด้วย”
คงเพราะนาวิตาเข้าใจว่านินนาทอาจโกรธหรือไม่พอใจ เจ้าตัวจึงรีบอธิบายด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะพี่นิน ที่นาไม่อยากทำงานในบริษัทของเราก็เพราะนากลัวว่าจะทำให้คนอื่นอึดอัดแล้วนาเองก็อาจไม่ได้ทำงานจริง ๆ จัง ๆ ก็เลยคิดว่าไปทำงานที่อื่นน่าจะดีกว่า”
นินนาทเพียงแต่ยิ้ม ก่อนพูดกับกอบบุญแต่สายตาจับจ้องอยู่ที่ครองขวัญ
“ถ้าพวกคุณไม่รีบไปไหน ผมขอเชิญทานอาหารด้วยกันนะครับ ผมกับหนูนาตั้งใจจะเปลี่ยนบรรยากาศมากินข้าวนอกบ้าน ถ้าได้ทานด้วยกันหลายคนก็คงดี”
ยังไม่ทันที่กอบบุญจะตอบ ครองขวัญซึ่งยืนเงียบมานานก็ชิงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่ผิดจากสีหน้า
“ต้องขอโทษด้วยค่ะ เราสองคนยังมีของต้องซื้ออีกหลายอย่าง ขอตัวก่อนนะคะ”
ในขณะที่กอบบุญมีทีท่างุนงง ครองขวัญก็หันไปทางนาวิตา
“หนูนา พี่ไปก่อนนะ”
ทันทีที่พูดจบ หญิงสาวก็ฉวยมือญาติหนุ่มแล้วดึงให้ก้าวตามกันออกมา
“แกกับผู้ชายคนนั้นรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า”
ครองขวัญแทบสะดุ้งกับคำถามของกอบบุญ หลังจากทั้งคู่เดินห่างมาจากสองพี่น้องแล้ว
“ทำไมถามขวัญแบบนี้ล่ะ”
“ก็ฉันเห็นเขามองแกแปลก ๆ แบบไม่น่าใช่คนที่เพิ่งรู้จักกัน แต่น่าจะรู้จักกันดีมากกว่า”
เธอลืมไปได้ยังไงนะ กอบบุญเหมือนมีเครื่องสแกนติดลูกตามาแต่ไหนแต่ไร
“ขวัญไม่เคยรู้จักพี่ชายของหนูนา”
ครองขวัญมั่นใจ ครั้งนี้เธอไม่ได้โกหกกอบบุญ
ก็ที่ผ่านมา เธอรู้จักเขาในฐานะที่เป็นแฟนหนังสือแต่ไม่เคยรู้เลยว่าเขาเป็นพี่ชายของนาวิตา
ทำไมเขาไม่บอกเธอ
นั่นคือคำถามที่หญิงสาวตั้งกับตัวเองพร้อมกับกำแพงแห่งความผิดหวังและไม่เข้าใจที่เริ่มก่อตัว
ขณะเดียวกันคนที่เป็นต้นเหตุแห่งความไม่เข้าใจของครองขวัญก็ตั้งคำถามกับน้องสาวทันทีที่อยู่กันเพียงสองคน
“ทำไมถึงพาครองขวัญมาหาพี่”
“ก็นาอยากจะรู้นี่ว่าเรื่องระหว่างพี่นินกับพี่ขวัญไปถึงไหนแล้ว นาถามกี่ครั้งพี่นินก็ไม่ยอมพูด ทั้งที่ตอนแรกนาเป็นคนเริ่มต้นให้พวกพี่สองคนรู้จักกันแท้ ๆ”
นินนาทเงียบ หากในใจครุ่นคิด
จริงอยู่ คนที่ติดต่อกับครองขวัญในตอนแรกคือนาวิตา ตั้งแต่เริ่มต้นแนะนำตัวจนถึงการขอนัดเจอกับหญิงสาว ซึ่งกว่าเขาจะรู้ว่านาวิตาติดต่อนัดครองขวัญไว้ให้กับเขาก็ตรงกับช่วงที่เขาต้องเดินทางไปต่างประเทศ ทำให้จำเป็นต้องเลื่อนนัด และหลังกลับจากต่างประเทศด้วยความที่มัวแต่วุ่นกับงานในบริษัททำให้หลงลืมไปว่าน้องสาวนัดนักเขียนสาวไว้ให้เขาที่งานหนังสือ ซึ่งก็ได้นาวิตาอีกนั่นล่ะที่ช่วยเตือนความจำให้แต่ก็ยังพลาดอยู่ดีเพราะวันนั้นเขามีนัดกับคู่ค้าทางธุรกิจ แต่เพราะถูกนาวิตาขอร้องให้ขับรถไปส่งและแวะไปหาครองขวัญทำให้เขาจำใจต้องไป แต่สุดท้ายก็ยังคลาดกันอยู่ดี จนนำไปสู่การนัดหมายครั้งที่สามซึ่งเป็นการเจอกันครั้งแรก
เมื่อนึกถึงตอนที่เขาแนะนำตัวกับครองขวัญในครั้งนั้น นินนาทก็ยิ้ม
‘คุณ...ชื่อรักคุณ ไม่ใช่ชื่อแรคคูนหรอกหรือคะ’
ตอนนั้นเองที่เขาเพิ่งรู้ว่าถูกนาวิตาจงใจทำให้เข้าใจผิดเรื่องชื่อ ยิ่งเมื่อกลับมาบ้านแล้วไปต่อว่าน้องสาว เจ้าตัวกลับบอกหน้าซื่อตาใสว่าลืม
แต่ก็นั่นล่ะ จะโทษนาวิตาคนเดียวก็ไม่ถูก เขาเองก็พลาดที่มัวแต่คิดว่าอยากทำให้มันจบเรื่อง จะได้ไม่ถือว่าผิดคำสัญญาจึงไม่ทันฉุกใจคิด
ทว่า จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจ จากที่เคยคิดว่าจะทำให้มันจบเรื่อง แต่ทำไมหลังจากนั้นเขายังอยากเจอเธออีก มิหนำซ้ำนัดครั้งต่อมาหลังจากวันนั้นก็มาจากตัวเขาเองไม่ใช่นาวิตา
“พี่นิน เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมเงียบไปคะ”
คำถามของน้องสาวดึงชายหนุ่มออกจากภวังค์ แล้วนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
บางครั้ง นาวิกาก็ดื้อดึงชอบเอาแต่ใจ จนทำให้หลายหนมักลืมนึกถึงใจคนรอบข้าง เหมือนอย่างครั้งนี้ถ้าเขาเข้าใจไม่ผิดคงเป็นเพราะน้องสาวของเขาไม่ชอบใจจากการที่เขาไม่ยอมเล่าให้ฟังถึงความคืบหน้าระหว่างเขากับครองขวัญ จนทำให้เจ้าตัวตัดสินใจทำแบบนี้โดยลืมนึกถึงผลเสียที่จะตามมา
“หนูนาก็รู้ไม่ใช่หรือว่าพี่ยังไม่ได้บอกครองขวัญว่าเราเป็นน้องสาวของพี่”
พูดไปแล้ว ชายหนุ่มก็ลอบสังเกตไปด้วย จึงเห็นว่าน้องสาวของเขาพยักหน้ารับแทบจะทันทีโดยไม่มีทีท่าผิดปกติ
“คิดว่าครองขวัญจะคิดหรือรู้สึกยังไง ที่จู่ ๆ ก็รู้ความจริง”
ใช่ว่าเขาจงใจปกปิดเรื่องนี้ เพียงแต่เขาไม่คิดว่าตัวเองจะสานสัมพันธ์กับครองขวัญมาจนถึงตอนนี้ จึงคิดว่าไม่จำเป็นต้องบอกเพราะคงไม่ได้เจอกับเธออีก แม้เมื่อทุกอย่างไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด เขาก็ยังไม่อยากบอกด้วยเกรงว่าจะนำไปสู่การเปิดเผยความจริงที่เขายังไม่พร้อม ได้แต่ตั้งใจว่าจะรอจนกว่าถึงเวลาแล้วค่อยบอกความจริงกับเธอ
แต่นึกไม่ถึงว่านาวิตาจะทำให้เรื่องมันยุ่งยากขึ้น
ดูจากท่าทางนิ่งงันไปชั่วขณะของนาวิตาก่อนที่เจ้าตัวจะทำหน้าเหยเก นินนาทก็เดาได้ว่าน้องสาวของเขารู้ตัวแล้วว่าทำอะไรพลาดลงไป
“พี่นิน หนูนาขอโทษ”
ชายหนุ่มยิ้มนิด ๆ อย่างจะปลอบใจ ไม่ได้โทษว่าเป็นความผิดของนาวิตาฝ่ายเดียวเพราะเขาเองก็มีส่วนผิด
“พี่ขวัญจะโกรธพวกเราหรือเปล่าคะ”
นินนาทนิ่งไปครู่ เมื่อนึกถึงสีหน้าแววตาของครองขวัญก่อนหน้านี้
“คงไม่ อาจจะแค่...ไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ไม่บอก”
“แล้วถ้า...พี่ขวัญไม่อยากพบไม่อยากติดต่อพวกเราอีก จะทำยังไงกันดีล่ะคะ”
จากน้ำเสียงร้อนรนของนาวิตา นินนาทก็รู้ว่าน้องสาวกำลังไม่สบายใจ ไม่ใช่เพราะครองขวัญเป็นนักเขียนคนโปรดของมารดา หรือเป็นคนที่นาวิตารักเสมอเหมือนพี่สาว แต่ครองขวัญมีค่ามากกว่านั้นสำหรับครอบครัวของเขา
ถึงเพิ่งรู้จักได้ไม่นาน แต่เขาก็ไม่อยากปล่อยมือจากเธอ
ความรู้สึกหนักอึ้งในอกทำให้อดถอนหายใจไม่ได้ เมื่อตัดสินใจ
คงถึงเวลาต้องบอกความจริง
***********************************************************
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ
คุณ Zephyr - คิดว่าอย่างพี่กอบเนี่ย ต้องใส่สลอดแน่ค่ะ ส่วนแบบแรกคงไม่ต้อง 555 แล้วก็ขอปรบมือให้รัว ๆ ค่ะ กับการคาดเดาก่อนหน้านั้นที่ตรงเผงเลยเรื่องนาวิตากับนินนาท ^^
ปิยะณัฏฐ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 มี.ค. 2559, 09:55:59 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 มี.ค. 2559, 09:55:59 น.
จำนวนการเข้าชม : 1045
<< บทที่ 7 | บทที่ 9 >> |
Zephyr 6 มี.ค. 2559, 20:29:29 น.
น่ะ โกรธแล้ว
ง้อด้วย
ถ้าลงเอยกันหมด สี่คน สองคู่
จะเรียกกันยังไงละเนี่ย
ใครพี่เขย น้องเขย น้องสะใภ้ พี่สามี น้องเมีย 5555
ขำๆๆๆๆ
น่ะ โกรธแล้ว
ง้อด้วย
ถ้าลงเอยกันหมด สี่คน สองคู่
จะเรียกกันยังไงละเนี่ย
ใครพี่เขย น้องเขย น้องสะใภ้ พี่สามี น้องเมีย 5555
ขำๆๆๆๆ