มนต์อักษรอ้อนรัก
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ 9
บทที่ 9
ครองขวัญปิดโทรศัพท์พร้อมกับเสียงถอนหายใจ เมื่อนึกถึงเรื่องที่นาวิตาโทร. มาคุยกับเธอเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน
‘ที่ผ่านมาคุณแม่เคยพูดกับนาไว้หลายครั้งว่าอยากให้พี่สองคนได้เจอกัน แล้วก่อนที่ท่านจะเสียก็เคยขอให้พี่นินรับปากว่าจะมาพบพี่ขวัญสักครั้ง แต่หลังจากงานศพพี่นินก็มีงานยุ่งตลอด นาก็เลยอยากช่วย’
ครองขวัญถอนหายใจอีกครั้งเมื่อนึกถึงการช่วยของนาวิตา
เริ่มจากการเข้ามาทำความรู้จักในชื่อ rakkun และขอนัดเจอในช่วงแรก ทั้งหมดนั้นล้วนมาจากนาวิตา มิน่าเล่าเธอจึงรู้สึกว่า rakkun ที่รู้จักในช่วงแรกแตกต่างจากตอนที่พบกับนินนาทโดยสิ้นเชิง
นั่นก็เพราะเขาไม่ใช่ rakkun
และ...ไม่ใช่ความต้องการของเขาที่อยากพบเธอ
ความคิดนั้นก่อให้เกิดความแปลบปลาบในอกด้านซ้ายจนครองขวัญรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก
ยิ่งนึกถึงการที่นินนาทไม่ปริปากบอกความจริงเรื่องที่เป็นลูกชายของอุไรทิพย์ และการที่เขาเงียบหายไม่มีการติดต่อมาเหมือนอย่างนาวิตา ครองขวัญก็ทั้งน้อยใจและเสียใจ
เธอยังจะหวังอะไร ในเมื่อที่ผ่านมาเขาแค่ต้องทำตามสัญญา ใช่ว่าอยากทำด้วยความเต็มใจ
แม้ปลุกปลอบตัวเองจนความน้อยใจเบาบาง แต่ความเศร้าหมองก็ยังเกาะติดในใจกับความคิดต่อมา
ในเมื่อทำตามสัญญาแล้ว เขาก็คงไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องพบกันอีก
เย็นวันจันทร์ หลังจากเลิกงาน กอบบุญก็แปลกใจเมื่อได้ยินคำบอกของผู้ช่วยส่วนตัว
“จะไปบ้านผม”
กระนั้น ชายหนุ่มยังคงพูดทวนอย่างจะให้แน่ใจ
“ใช่ ฉันคิดถึงอยากไปเจอพี่ขวัญ”
ก็เพิ่งเจอกันเมื่อวานไม่ใช่หรือ
ชายหนุ่มนิ่วหน้า สีหน้าท่าทางคงทำให้คนมองเข้าใจผิดจนรีบบอก
“นะ...ขอฉันไปหาพี่ขวัญเถอะ รับรองว่าฉันจะไม่ทำตัววุ่นวายไม่ทำให้คนที่บ้านของคุณเดือดร้อน”
กอบบุญยิ่งขมวดคิ้ว แต่ขยับปากไม่ทันคนที่รีบขยับตัวลุกจากที่นั่ง
“ไปกันเถอะ ขืนชักช้าได้ถึงบ้านคุณมืดค่ำพอดี”
พูดจบ เจ้าตัวก็เดินฉับ ๆ นำออกไป ปล่อยให้คนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังส่ายหน้ากับตัวเองอย่างอ่อนใจ
เมื่อกอบบุญเข้ามาบอกว่ามีคนอยากพบ ครองขวัญยังนึกอะไรไม่ออกจนกระทั่งเมื่ออีกฝ่ายพูดต่อ
“นาวิตาเขาตามฉันมา บอกว่าคิดถึงอยากเจอแก”
แวบแรกครองขวัญเกือบปฏิเสธ แต่ฉุกใจคิดทัน
ขืนทำแบบนั้น กอบบุญคงสงสัยและซักถามแน่
“แล้วตอนนี้หนูนาอยู่ไหนคะ”
“เขาบอกว่ามีเรื่องอยากคุยกับแก ฉันก็เลยพาไปรอในศาลาไม้หลังบ้าน”
กอบบุญบอกแล้วก็ผละไปจากตรงหน้าประตู ในขณะที่ครองขวัญถอนหายใจก่อนปิดคอมพิวเตอร์แล้วเดินออกไปจากห้อง
“นาขอโทษนะคะที่มารบกวนพี่ขวัญ”
ทันทีที่เจอหน้า นาวิตาก็ชิงพูดขึ้นก่อนด้วยสีหน้าแววตาหม่นหมอง
“ไม่รบกวนหรอกค่ะ”
ครองขวัญบอกยิ้ม ๆ นึกเดาได้ถึงสาเหตุที่นาวิตามาถึงที่นี่
“นาไม่สบายใจ อยากมาพูดให้พี่ขวัญเข้าใจ”
“เมื่อวานหนูนาก็อธิบายให้พี่ฟังแล้วนี่คะ”
“แต่...นายังไม่สบายใจอยู่ดี พี่นินเองก็เหมือนกัน”
ความเงียบของครองขวัญคงยิ่งกดดันความรู้สึกของนาวิตาจนต้องพูดต่อ
“พี่ขวัญอย่าโกรธเลยนะคะ ทั้งหมดที่นาทำลงไปก็เพราะนาคิดเหมือนกับคุณแม่ว่าอยากให้พวกพี่ทั้งสองคนได้เจอกันสักครั้ง”
“พี่ไม่โกรธหนูนาหรอกค่ะแค่ไม่เข้าใจ ทำไมป้าไรถึงอยากให้พี่ได้เจอกับคุณนิน”
“เพราะ...” อาจด้วยทนต่อแรงกดดันทางสายตาไม่ไหว นาวิตาจึงยอมแพ้ “คุณแม่อยากได้พี่ขวัญ...เป็นลูกสะใภ้ค่ะ”
หัวใจครองขวัญกระตุก ความรู้สึกบางอย่างเริ่มก่อตัว
“แล้ว...คุณนินนาทรู้เรื่องนี้ด้วยหรือเปล่าคะ”
เมื่อเห็นนาวิตาหลบตา คำตอบก็ผุดขึ้นในสมองของครองขวัญก่อนทันได้ยินคำยืนยันด้วยซ้ำ
“รู้ค่ะ”
ถึงตอนนี้ความรู้สึกนานาประการก็ตีกันยุ่งจนครองขวัญพูดไม่ออก
เพราะอย่างนี้ใช่ไหม เขาจึงไม่เต็มใจพบกับเธอจนนาวิตาต้องยื่นมือเข้ามาจัดการ
ครองขวัญบอกกับตัวเอง รู้สึกขมในปากจนเหมือนจะแทรกซึมเข้าไปในหัวใจอีกด้วย
“เอ่อ...แล้ว พี่นินก็ฝากให้นาบอกพี่ขวัญด้วยค่ะ ว่าเขาขอโทษแล้วก็เสียใจ”
คำบอกของนาวิตาทำให้เกิดรอยยิ้มที่เหมือนจะเยาะขึ้นบนใบหน้าของครองขวัญ
“ค่ะ เอาเป็นว่าพี่เข้าใจทุกอย่างดีแล้ว”
นาวิตาเม้มปากนิด ๆ เมื่อเห็นท่าทีเฉยชาของครองขวัญ หลังจากเงียบไปครู่เจ้าตัวจึงบอก
“ถ้าพี่ขวัญไม่ว่าอะไร นาขออนุญาตโทร. บอกพี่นินให้มาที่นี่นะคะ เชื่อว่าพี่นินเองก็มีเรื่องอยากพูดกับพี่ขวัญเหมือนกัน”
“อย่าเลยค่ะ พี่เข้าใจทุกอย่างดีแล้ว ที่สำคัญ...พี่กับเขาไม่มีความจำเป็นต้องเจอกันอีก”
นาวิตาทำหน้าเหยเก หลายครั้งขยับปากเหมือนจะพูดแต่ก็ไม่มีเสียงหลุดรอดออกมาเสียที จนครองขวัญชวนทานอาหารเย็น เจ้าตัวจึงรับคำด้วยสีหน้าซึม ๆ
ทั้งสองคนต้องได้ปรับความเข้าใจกัน
หญิงสาวมุ่งมั่นอยู่ในใจขณะเดินตามนักเขียนสาวเข้าไปในตัวบ้าน
ต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว!
“2-3 วันมานี้ ดูคุณมีเรื่องติดต่อกับพี่นพบ่อยจังนะ ทั้งเช้ากลางวันเย็นเป็นต้องเข้าไปคุยกับพี่นพในห้องอยู่เรื่อย”
“ก็แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณด้วยล่ะ”
นาวิตาเงยหน้าขึ้นมาจากเอกสารบนโต๊ะแล้วตั้งคำถามอย่างสงสัย จะว่าไปเธอก็สังเกตเห็นว่าหลายวันมานี้กอบบุญดูอารมณ์ไม่ดี เห็นอะไรก็เหมือนขวางหูขวางตาไปหมด จนวุฒิชัยก็คงทนไม่ไหวต้องขอไปดูงานนอกสถานที่ ส่วนนิกรก็มีนัดกับลูกค้าในขณะที่ช่วงนี้ต่อศักดิ์ต้องไปประจำที่ไซด์งานเพื่อควบคุมดูแลงานก่อสร้าง
เหลือแต่เธอที่โชคร้ายต้องอยู่เผชิญกับพายุฟ้าฝนที่มีชื่อว่ากอบบุญ
“ต้องเกี่ยวสิในเมื่อคุณเป็นลูกน้องของผม แล้วช่วงนี้ผมก็ไม่มีงานอะไรให้คุณไปคุยกับพี่นพสักหน่อย แต่เห็นคุณขยันไปกวนเขาบ่อย ๆ ถ้าเกิดพี่นพมาว่าผมภายหลังว่าดูแลลูกน้องยังไงปล่อยให้ไปรบกวนเขา ผมก็เดือดร้อนแย่สิ”
“อ๋อ! ที่แท้ก็กลัวเดือดร้อน”
“ใช่สิ หรือคุณคิดว่ายังมีเรื่องอื่น”
นาวิตาทำหน้ามุ่ยเมื่อกอบบุญปรายตามองมาพลางเลิกคิ้ว สำหรับคนอื่นเธอไม่รู้หรอกว่ารู้สึกกันยังไง แต่สำหรับเธอแล้วเวลาเห็นทีไรมันทำให้หงุดหงิดใจทุกทีเพราะเหมือนถูกเขาเยาะเย้ย
“ไม่ต้องกลัวว่าจะเดือดร้อนหรอก ที่ฉันไปคุยกับพี่นพมันไม่เกี่ยวกับเรื่องงานแต่เป็นเรื่องส่วนตัว”
“เรื่องส่วนตัว?”
กอบบุญนิ่วหน้า ในใจเริ่มขุ่นมัวเหมือนถูกบดบังด้วยหมอก ร่ำ ๆ อยากถามแต่ก็ยั้งไว้ได้ทัน แต่เมื่อเห็นนาวิตาหยิบกระเป๋าขึ้นมาแล้วทำท่าจะเดินออกไป คำถามก็หลุดจากปาก
“จะไปไหน”
“กินข้าวนะสิ” เห็นกอบบุญมีทีท่าแปลก ๆ นาวิตาจึงพูดต่อตามความเข้าใจของตัวเอง “ถ้าคุณมีงานอะไรจะให้ทำก็วางไว้บนโต๊ะเดี๋ยวฉันกลับมาแล้วจะรีบทำให้ แต่ตอนนี้คงไม่ได้เพราะเลยเที่ยงมาเกือบสิบนาทีแล้วเดี๋ยวพี่นพจะรอนาน”
“อะไรนะ! จะออกไปกินข้าวกับพี่นพหรือ”
“ใช่ ไปก่อนนะ”
นาวิตาตอบพลางสาวเท้าตรงไปประตูห้องโดยไม่ได้หันกลับไปมอง ดังนั้นจึงไม่เห็นว่าคนที่ถูกทิ้งให้ยืนอยู่คนเดียวในห้องกำลังทำท่าขบเคี้ยวเขี้ยวฟันอย่างไม่สบอารมณ์
หนึ่งอาทิตย์ต่อมา ในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง
เมื่อเห็นหน้าคนที่เพิ่งเปิดประตูร้านเข้ามา ครองขวัญก็เชื่อว่าตัวเองคงถูกนาวิตาหลอกเข้าให้แล้ว
ยังไม่ทันคิดอะไรต่อจากนั้น คนที่ทำให้เธอนึกถึงมาตลอดหนึ่งสัปดาห์ก็เดินมาถึงโต๊ะ
“สวัสดีครับ ครองขวัญ”
น่าแปลกที่ครั้งนี้ครองขวัญไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นในหัวใจเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
“สวัสดีค่ะ”
ดูเหมือนนินนาทจะสัมผัสได้ถึงความเฉยชาจนส่งผลให้นิ่งไปครู่ ก่อนออกปาก
“ขอผมนั่งด้วยได้ไหม”
“เชิญค่ะ”
มีความเงียบเกิดขึ้นครู่หนึ่งภายหลังชายหนุ่มนั่งลงประจันหน้า ในขณะที่หญิงสาวเอาแต่หรุบตาลงมองโต๊ะ
หลังจากถอนหายใจ นินนาทจึงเริ่มต้นพูด
“ผมขอโทษถ้าทำให้คุณรู้สึกไม่ดีที่ไม่ได้บอกความจริงตั้งแต่แรก”
เมื่อครองขวัญยังไม่ยอมพูด นินนาทก็เริ่มไม่สบายใจเมื่อหวนนึกถึงคำบอกของนาวิตา
‘แย่แล้วพี่นิน ดูท่าพี่ขวัญจะโกรธจริง ๆ เพราะถึงกับบอกว่าพี่กับเขาไม่จำเป็นต้องเจอกันอีกแล้ว’
เพราะความกังวลใจของนาวิตา จึงเป็นที่มาของนัดครั้งนี้ที่น้องสาวของเขาบอกว่าจะออกหน้าเป็นคนขอนัดกับครองขวัญเพื่อให้เขากับหญิงสาวได้ปรับความเข้าใจกัน
แต่ดูแล้ว เหมือนครองขวัญจะยิ่งโกรธมากขึ้นจากการที่ถูกนาวิตาหลอกให้มาเจอกับเขาที่นี่
“ถ้าคุณโกรธหนูนาที่นัดให้มาเจอกับผม ก็ขอให้โกรธผมเถอะ เพราะผมเองก็อยากพบคุณมากจนยอมร่วมมือกับน้อง”
ประโยคท้ายส่งผลให้คนฟังใจอ่อนลงนิดหนึ่ง กระนั้นก็ยังอดไม่ได้ต้องแย้ง
“คุณก็นัดเองได้นี่คะ ไม่เห็นจะต้องใช้วิธีหลอกกันแบบนี้” เงียบไปครู่ ครองขวัญก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงขมขื่นจากความรู้สึกในใจ “หรือเคยชินกับการหลอกคนอื่นแล้วเลยเห็นเป็นเรื่องธรรมดา คงสนุกมากสินะคะ แต่รู้ไหม...ความรู้สึกระหว่างคนหลอกกับคนถูกหลอก มันแตกต่างกันมาก”
“ครองขวัญ ผมไม่ได้ตั้งใจจะหลอกคุณนะ”
ถึงตอนนี้ ครองขวัญก็รู้สึกไม่อาจทนอยู่ตรงนั้นได้อีกด้วยเกรงจะหลุดความอ่อนแอออกมาให้ใครต่อใครเห็น
"ค่ะ เอาเป็นว่าฉันทราบแล้ว ถ้าไม่มีอะไรอีกฉันคงต้องขอตัว”
ยังไม่ทันขยับตัวลุก หญิงสาวก็ชะงักงันเมื่อชายหนุ่มยื่นมือมากุมทับมือของเธอเอาไว้
“อย่าทำแบบนี้เลยครองขวัญ”
ความอบอุ่นที่ถ่ายทอดผ่านอุ้งมือส่งผลให้ครองขวัญน้ำตาเอ่อ วูบนั้นนึกชังตัวเองที่อยากสะบัดมือออกแต่ใจไม่แข็งพอ
“เลิกทำร้ายตัวเอง” เงียบไปครู่ก่อนที่นินนาทจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงทอดอ่อน “เลิกทำร้ายเราสองคน ผมกับคุณต่างก็ไม่มีใครมีความสุขไม่ใช่หรือ ช่วยเปิดใจรับฟังคำอธิบายของผมสักนิด ได้ไหม”
เพราะหัวใจไม่ได้เข้มแข็งอยู่แล้ว เมื่อถูกอ้อนวอนทั้งจากน้ำคำและแววตาของนินนาท ครองขวัญจึงไม่อาจต้านทาน
ชายหนุ่มยิ้มนิด ๆ เมื่อเห็นหญิงสาวพยักหน้าถึงแม้ยังคงไม่ยอมพูด
“คุณจะขัดข้องไหมถ้าผมอยากขอเปลี่ยนที่คุยเป็นที่อื่น”
เมื่อครองขวัญไม่ตอบ นินนาทก็ถอนหายใจก่อนพูดต่อ
“ถ้าคุณไม่ไว้ใจก็ไม่เป็นไร ผมแค่คิดว่าอยากหาที่เงียบ ๆ คุยเท่านั้นเอง”
“ไปคุยที่อื่นก็ได้ค่ะ”
ถึงหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาจะพร่ำบอกตัวเองให้เลิกเพ้อฝัน หากในวินาทีที่เผชิญกับรอยยิ้มอบอุ่นของนินนาทอีกครั้ง ครองขวัญก็อดคิดไม่ได้ว่าเธอคงเป็นพวกเจ็บแล้วไม่จำ
พอได้แล้ว ผู้ชายอย่างเขาไม่มีทางคิดอะไรกับผู้หญิงเฉิ่ม ๆ ที่วัน ๆ เอาแต่นั่งเพ้อฝันแบบเธอหรอก
หญิงสาวปรามตัวเองทั้งที่ปวดใจ ก่อนจะเดินตามชายหนุ่มออกไปจากร้าน
สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง คือสถานที่ที่นินนาทตัดสินใจเลือกใช้ในการปรับความเข้าใจกับครองขวัญ
หลังจากเดินเคียงกันไปตามทางเดินทอดยาวโดยต่างฝ่ายยังไม่มีใครเริ่มต้นพูด นินนาทก็จูงมือครองขวัญแล้วพาเดินไปนั่งบนม้านั่งหินอ่อนที่อยู่ท่ามกลางแปลงไม้ดอก แต่ค่อนข้างห่างไกลจากสายตาผู้คน
“ขอบคุณนะครับที่ไว้ใจและให้โอกาสผมได้อธิบาย”
เพียงแค่นินนาทเริ่มต้นด้วยน้ำเสียงและแววตาอ่อนโยน ครองขวัญก็รู้ตัวว่าเธอพ่ายแพ้ให้แก่เขาเสียแล้ว
ทั้งที่เพิ่งเจอกันไม่นานแต่เธอกลับรู้สึกผูกพันกับเขาถึงเพียงนี้ และทั้งที่เขาทำให้เสียใจแต่เธอก็ยังโกรธเขาไม่ลง
“ผมรู้ เราสองคนเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน เรียกได้ว่ายังรู้จักกันไม่มากด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้ทำไม...ความรู้สึกของคุณถึงได้มีผลกับผมนัก แค่คิดว่าคุณกำลังเสียใจเพราะผม ผมก็แทบคิดอะไรไม่ออก นึกกลัวนึกกังวลแต่ก็ไม่กล้าที่จะโทร. หา จนสุดท้ายต้องยอมร่วมมือกับหนูนา ทั้งที่คิดอยู่เหมือนกันว่าอาจทำให้คุณยิ่งโกรธ”
ครองขวัญใจเต้นยามมองตอบดวงตาสีดำที่กำลังมองเธออย่างค้นคว้า ราวกับจะค้นหาบางอย่างที่ตัวเขาเองก็ยังไม่เข้าใจ
“หนูนาคงเล่าให้คุณฟังแล้วใช่ไหม เรื่องคำขอสุดท้ายของแม่ผมก่อนที่ท่านจะเสีย”
คำบอกนั้นให้ความรู้สึกเหมือนมีใครสาดน้ำเย็นจัดเข้าใส่ ทำให้ครองขวัญสำนึกถึงความเป็นจริงขึ้นมาได้อีกครั้ง พร้อมกับอาการเต้นของหัวใจที่เหมือนจะช้าลงทุกวินาที
พอซะที จำไว้สิครองขวัญ เขาไม่ได้คิดอะไรกับเธอ ทุกอย่างก่อนหน้านั้นมันก็แค่...คำสัญญาที่จำใจต้องทำ!
เพราะจับตามองอยู่ จึงดูออกว่าครองขวัญมีทีท่าเหมือนจะต่อต้าน แต่นินนาทก็ไม่อาจเลี่ยงได้ในเมื่อนี่คือต้นตอของปัญหา
“จากที่หนูนาเล่าให้ฟัง คุณแม่ท่านรักและเอ็นดูคุณมาก...มากจนกระทั่งอยากให้คุณเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของเรา”
นินนาทยิ้มอย่างนึกเอ็นดูเมื่อเห็นสีชมพูระเรื่อบนใบหน้าของครองขวัญ
“แต่...เพราะผมกับคุณแม่ไม่สนิทกันนัก แล้วยังมีปัญหาที่ทำให้ผมไม่ยอมกลับมาบ้านอีกเลยนับตั้งแต่ไปเรียนต่อต่างประเทศ” ชายหนุ่มเงียบไปนิดเมื่อเห็นว่าหญิงสาวมีทีท่าสนอกสนใจขึ้นมาทันที ”ดังนั้น ตอนที่ท่านขอร้องเรื่องของคุณ ผมจึงไม่เข้าใจ ยอมรับว่าไม่พอใจนัก ทั้งที่ผมรีบเดินทางกลับมาทันทีที่รู้ข่าวจากหนูนา แต่ดูเหมือน...สิ่งสำคัญสำหรับคุณแม่ในตอนนั้นก็คือ คำสัญญาว่าผมจะยอมมาพบกับคุณสักครั้ง”
ความรู้สึกในใจถูกถ่ายทอดผ่านทางน้ำเสียงโดยที่ชายหนุ่มไม่รู้ตัว แต่หญิงสาวกลับสัมผัสได้และเริ่มเข้าใจบางอย่างมากขึ้น
“เพราะอย่างนี้เองวันแรกที่เราเจอกันคุณถึงมีท่าทางแปลก ๆ” เมื่อนินนาทไม่ได้แย้ง ครองขวัญก็แค่นยิ้ม “ต้องไปเจอใครก็ไม่รู้ที่ไม่รู้จัก แล้วก็...ไม่ได้อยากจะพบเลยสักนิด แต่ก็ต้องไปพบเพราะถูกบังคับ คุณคงรู้สึกแย่สินะคะ”
“ครองขวัญ”
หญิงสาวฝืนยิ้มทั้งที่รู้สึกเหมือนหัวใจกำลังแสบไหม้ เมื่อเห็นความอึดอัดชัดเจนบนสีหน้าของชายหนุ่ม
“ฉันเข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะที่กรุณาบอกความจริง ส่วนเรื่องความหวังของป้าไร ฉันเข้าใจดีค่ะว่าเป็นเพราะท่านรักและเอ็นดูฉันเหมือนลูกหลาน แต่คุณสบายใจได้ค่ะ” ถึงตอนนี้ครองขวัญก็รู้สึกเหมือนมีก้อนแข็ง ๆ ขวางกลางลำคอจนต้องเงียบไปครู่ เมื่อพูดต่อน้ำเสียงก็สั่นอย่างคุมไม่ได้ “ฉันไม่มีความคิดจะเอาเรื่องนั้นมาฉกฉวยประโยชน์เข้าตัวเอง ขอให้คุณโชคดีนะคะ ต่อไป...เราคงไม่ได้เจอกันอีก”
“ครองขวัญ!”
ครองขวัญฝืนยิ้มอีกครั้งทั้งที่อยากร้องไห้ นึกอยากมองชายหนุ่มต่ออีกครู่แต่กลัวใจตัวเองว่าจะแสดงความอ่อนแอออกมาให้เขาเห็น แม้ปวดใจแต่เธอก็บังคับตัวเองให้ลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วเตรียมจะเดินหนี ทว่า...
“อยู่เฉย ๆ อย่าขัดขืน!”
*******************************************************
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ ขอบคุณเป็นพิเศษสำหรับ LIKE ที่มอบให้กันค่ะ
คุณ Zephyr - 555 นั่นสิคะ ยอมรับว่าไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้เลย ว่าถ้าลงเอยกันแล้วจะเรียงลำดับนับญาติกันยังไง ^^
ครองขวัญปิดโทรศัพท์พร้อมกับเสียงถอนหายใจ เมื่อนึกถึงเรื่องที่นาวิตาโทร. มาคุยกับเธอเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อน
‘ที่ผ่านมาคุณแม่เคยพูดกับนาไว้หลายครั้งว่าอยากให้พี่สองคนได้เจอกัน แล้วก่อนที่ท่านจะเสียก็เคยขอให้พี่นินรับปากว่าจะมาพบพี่ขวัญสักครั้ง แต่หลังจากงานศพพี่นินก็มีงานยุ่งตลอด นาก็เลยอยากช่วย’
ครองขวัญถอนหายใจอีกครั้งเมื่อนึกถึงการช่วยของนาวิตา
เริ่มจากการเข้ามาทำความรู้จักในชื่อ rakkun และขอนัดเจอในช่วงแรก ทั้งหมดนั้นล้วนมาจากนาวิตา มิน่าเล่าเธอจึงรู้สึกว่า rakkun ที่รู้จักในช่วงแรกแตกต่างจากตอนที่พบกับนินนาทโดยสิ้นเชิง
นั่นก็เพราะเขาไม่ใช่ rakkun
และ...ไม่ใช่ความต้องการของเขาที่อยากพบเธอ
ความคิดนั้นก่อให้เกิดความแปลบปลาบในอกด้านซ้ายจนครองขวัญรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก
ยิ่งนึกถึงการที่นินนาทไม่ปริปากบอกความจริงเรื่องที่เป็นลูกชายของอุไรทิพย์ และการที่เขาเงียบหายไม่มีการติดต่อมาเหมือนอย่างนาวิตา ครองขวัญก็ทั้งน้อยใจและเสียใจ
เธอยังจะหวังอะไร ในเมื่อที่ผ่านมาเขาแค่ต้องทำตามสัญญา ใช่ว่าอยากทำด้วยความเต็มใจ
แม้ปลุกปลอบตัวเองจนความน้อยใจเบาบาง แต่ความเศร้าหมองก็ยังเกาะติดในใจกับความคิดต่อมา
ในเมื่อทำตามสัญญาแล้ว เขาก็คงไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องพบกันอีก
เย็นวันจันทร์ หลังจากเลิกงาน กอบบุญก็แปลกใจเมื่อได้ยินคำบอกของผู้ช่วยส่วนตัว
“จะไปบ้านผม”
กระนั้น ชายหนุ่มยังคงพูดทวนอย่างจะให้แน่ใจ
“ใช่ ฉันคิดถึงอยากไปเจอพี่ขวัญ”
ก็เพิ่งเจอกันเมื่อวานไม่ใช่หรือ
ชายหนุ่มนิ่วหน้า สีหน้าท่าทางคงทำให้คนมองเข้าใจผิดจนรีบบอก
“นะ...ขอฉันไปหาพี่ขวัญเถอะ รับรองว่าฉันจะไม่ทำตัววุ่นวายไม่ทำให้คนที่บ้านของคุณเดือดร้อน”
กอบบุญยิ่งขมวดคิ้ว แต่ขยับปากไม่ทันคนที่รีบขยับตัวลุกจากที่นั่ง
“ไปกันเถอะ ขืนชักช้าได้ถึงบ้านคุณมืดค่ำพอดี”
พูดจบ เจ้าตัวก็เดินฉับ ๆ นำออกไป ปล่อยให้คนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังส่ายหน้ากับตัวเองอย่างอ่อนใจ
เมื่อกอบบุญเข้ามาบอกว่ามีคนอยากพบ ครองขวัญยังนึกอะไรไม่ออกจนกระทั่งเมื่ออีกฝ่ายพูดต่อ
“นาวิตาเขาตามฉันมา บอกว่าคิดถึงอยากเจอแก”
แวบแรกครองขวัญเกือบปฏิเสธ แต่ฉุกใจคิดทัน
ขืนทำแบบนั้น กอบบุญคงสงสัยและซักถามแน่
“แล้วตอนนี้หนูนาอยู่ไหนคะ”
“เขาบอกว่ามีเรื่องอยากคุยกับแก ฉันก็เลยพาไปรอในศาลาไม้หลังบ้าน”
กอบบุญบอกแล้วก็ผละไปจากตรงหน้าประตู ในขณะที่ครองขวัญถอนหายใจก่อนปิดคอมพิวเตอร์แล้วเดินออกไปจากห้อง
“นาขอโทษนะคะที่มารบกวนพี่ขวัญ”
ทันทีที่เจอหน้า นาวิตาก็ชิงพูดขึ้นก่อนด้วยสีหน้าแววตาหม่นหมอง
“ไม่รบกวนหรอกค่ะ”
ครองขวัญบอกยิ้ม ๆ นึกเดาได้ถึงสาเหตุที่นาวิตามาถึงที่นี่
“นาไม่สบายใจ อยากมาพูดให้พี่ขวัญเข้าใจ”
“เมื่อวานหนูนาก็อธิบายให้พี่ฟังแล้วนี่คะ”
“แต่...นายังไม่สบายใจอยู่ดี พี่นินเองก็เหมือนกัน”
ความเงียบของครองขวัญคงยิ่งกดดันความรู้สึกของนาวิตาจนต้องพูดต่อ
“พี่ขวัญอย่าโกรธเลยนะคะ ทั้งหมดที่นาทำลงไปก็เพราะนาคิดเหมือนกับคุณแม่ว่าอยากให้พวกพี่ทั้งสองคนได้เจอกันสักครั้ง”
“พี่ไม่โกรธหนูนาหรอกค่ะแค่ไม่เข้าใจ ทำไมป้าไรถึงอยากให้พี่ได้เจอกับคุณนิน”
“เพราะ...” อาจด้วยทนต่อแรงกดดันทางสายตาไม่ไหว นาวิตาจึงยอมแพ้ “คุณแม่อยากได้พี่ขวัญ...เป็นลูกสะใภ้ค่ะ”
หัวใจครองขวัญกระตุก ความรู้สึกบางอย่างเริ่มก่อตัว
“แล้ว...คุณนินนาทรู้เรื่องนี้ด้วยหรือเปล่าคะ”
เมื่อเห็นนาวิตาหลบตา คำตอบก็ผุดขึ้นในสมองของครองขวัญก่อนทันได้ยินคำยืนยันด้วยซ้ำ
“รู้ค่ะ”
ถึงตอนนี้ความรู้สึกนานาประการก็ตีกันยุ่งจนครองขวัญพูดไม่ออก
เพราะอย่างนี้ใช่ไหม เขาจึงไม่เต็มใจพบกับเธอจนนาวิตาต้องยื่นมือเข้ามาจัดการ
ครองขวัญบอกกับตัวเอง รู้สึกขมในปากจนเหมือนจะแทรกซึมเข้าไปในหัวใจอีกด้วย
“เอ่อ...แล้ว พี่นินก็ฝากให้นาบอกพี่ขวัญด้วยค่ะ ว่าเขาขอโทษแล้วก็เสียใจ”
คำบอกของนาวิตาทำให้เกิดรอยยิ้มที่เหมือนจะเยาะขึ้นบนใบหน้าของครองขวัญ
“ค่ะ เอาเป็นว่าพี่เข้าใจทุกอย่างดีแล้ว”
นาวิตาเม้มปากนิด ๆ เมื่อเห็นท่าทีเฉยชาของครองขวัญ หลังจากเงียบไปครู่เจ้าตัวจึงบอก
“ถ้าพี่ขวัญไม่ว่าอะไร นาขออนุญาตโทร. บอกพี่นินให้มาที่นี่นะคะ เชื่อว่าพี่นินเองก็มีเรื่องอยากพูดกับพี่ขวัญเหมือนกัน”
“อย่าเลยค่ะ พี่เข้าใจทุกอย่างดีแล้ว ที่สำคัญ...พี่กับเขาไม่มีความจำเป็นต้องเจอกันอีก”
นาวิตาทำหน้าเหยเก หลายครั้งขยับปากเหมือนจะพูดแต่ก็ไม่มีเสียงหลุดรอดออกมาเสียที จนครองขวัญชวนทานอาหารเย็น เจ้าตัวจึงรับคำด้วยสีหน้าซึม ๆ
ทั้งสองคนต้องได้ปรับความเข้าใจกัน
หญิงสาวมุ่งมั่นอยู่ในใจขณะเดินตามนักเขียนสาวเข้าไปในตัวบ้าน
ต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว!
“2-3 วันมานี้ ดูคุณมีเรื่องติดต่อกับพี่นพบ่อยจังนะ ทั้งเช้ากลางวันเย็นเป็นต้องเข้าไปคุยกับพี่นพในห้องอยู่เรื่อย”
“ก็แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณด้วยล่ะ”
นาวิตาเงยหน้าขึ้นมาจากเอกสารบนโต๊ะแล้วตั้งคำถามอย่างสงสัย จะว่าไปเธอก็สังเกตเห็นว่าหลายวันมานี้กอบบุญดูอารมณ์ไม่ดี เห็นอะไรก็เหมือนขวางหูขวางตาไปหมด จนวุฒิชัยก็คงทนไม่ไหวต้องขอไปดูงานนอกสถานที่ ส่วนนิกรก็มีนัดกับลูกค้าในขณะที่ช่วงนี้ต่อศักดิ์ต้องไปประจำที่ไซด์งานเพื่อควบคุมดูแลงานก่อสร้าง
เหลือแต่เธอที่โชคร้ายต้องอยู่เผชิญกับพายุฟ้าฝนที่มีชื่อว่ากอบบุญ
“ต้องเกี่ยวสิในเมื่อคุณเป็นลูกน้องของผม แล้วช่วงนี้ผมก็ไม่มีงานอะไรให้คุณไปคุยกับพี่นพสักหน่อย แต่เห็นคุณขยันไปกวนเขาบ่อย ๆ ถ้าเกิดพี่นพมาว่าผมภายหลังว่าดูแลลูกน้องยังไงปล่อยให้ไปรบกวนเขา ผมก็เดือดร้อนแย่สิ”
“อ๋อ! ที่แท้ก็กลัวเดือดร้อน”
“ใช่สิ หรือคุณคิดว่ายังมีเรื่องอื่น”
นาวิตาทำหน้ามุ่ยเมื่อกอบบุญปรายตามองมาพลางเลิกคิ้ว สำหรับคนอื่นเธอไม่รู้หรอกว่ารู้สึกกันยังไง แต่สำหรับเธอแล้วเวลาเห็นทีไรมันทำให้หงุดหงิดใจทุกทีเพราะเหมือนถูกเขาเยาะเย้ย
“ไม่ต้องกลัวว่าจะเดือดร้อนหรอก ที่ฉันไปคุยกับพี่นพมันไม่เกี่ยวกับเรื่องงานแต่เป็นเรื่องส่วนตัว”
“เรื่องส่วนตัว?”
กอบบุญนิ่วหน้า ในใจเริ่มขุ่นมัวเหมือนถูกบดบังด้วยหมอก ร่ำ ๆ อยากถามแต่ก็ยั้งไว้ได้ทัน แต่เมื่อเห็นนาวิตาหยิบกระเป๋าขึ้นมาแล้วทำท่าจะเดินออกไป คำถามก็หลุดจากปาก
“จะไปไหน”
“กินข้าวนะสิ” เห็นกอบบุญมีทีท่าแปลก ๆ นาวิตาจึงพูดต่อตามความเข้าใจของตัวเอง “ถ้าคุณมีงานอะไรจะให้ทำก็วางไว้บนโต๊ะเดี๋ยวฉันกลับมาแล้วจะรีบทำให้ แต่ตอนนี้คงไม่ได้เพราะเลยเที่ยงมาเกือบสิบนาทีแล้วเดี๋ยวพี่นพจะรอนาน”
“อะไรนะ! จะออกไปกินข้าวกับพี่นพหรือ”
“ใช่ ไปก่อนนะ”
นาวิตาตอบพลางสาวเท้าตรงไปประตูห้องโดยไม่ได้หันกลับไปมอง ดังนั้นจึงไม่เห็นว่าคนที่ถูกทิ้งให้ยืนอยู่คนเดียวในห้องกำลังทำท่าขบเคี้ยวเขี้ยวฟันอย่างไม่สบอารมณ์
หนึ่งอาทิตย์ต่อมา ในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง
เมื่อเห็นหน้าคนที่เพิ่งเปิดประตูร้านเข้ามา ครองขวัญก็เชื่อว่าตัวเองคงถูกนาวิตาหลอกเข้าให้แล้ว
ยังไม่ทันคิดอะไรต่อจากนั้น คนที่ทำให้เธอนึกถึงมาตลอดหนึ่งสัปดาห์ก็เดินมาถึงโต๊ะ
“สวัสดีครับ ครองขวัญ”
น่าแปลกที่ครั้งนี้ครองขวัญไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นในหัวใจเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
“สวัสดีค่ะ”
ดูเหมือนนินนาทจะสัมผัสได้ถึงความเฉยชาจนส่งผลให้นิ่งไปครู่ ก่อนออกปาก
“ขอผมนั่งด้วยได้ไหม”
“เชิญค่ะ”
มีความเงียบเกิดขึ้นครู่หนึ่งภายหลังชายหนุ่มนั่งลงประจันหน้า ในขณะที่หญิงสาวเอาแต่หรุบตาลงมองโต๊ะ
หลังจากถอนหายใจ นินนาทจึงเริ่มต้นพูด
“ผมขอโทษถ้าทำให้คุณรู้สึกไม่ดีที่ไม่ได้บอกความจริงตั้งแต่แรก”
เมื่อครองขวัญยังไม่ยอมพูด นินนาทก็เริ่มไม่สบายใจเมื่อหวนนึกถึงคำบอกของนาวิตา
‘แย่แล้วพี่นิน ดูท่าพี่ขวัญจะโกรธจริง ๆ เพราะถึงกับบอกว่าพี่กับเขาไม่จำเป็นต้องเจอกันอีกแล้ว’
เพราะความกังวลใจของนาวิตา จึงเป็นที่มาของนัดครั้งนี้ที่น้องสาวของเขาบอกว่าจะออกหน้าเป็นคนขอนัดกับครองขวัญเพื่อให้เขากับหญิงสาวได้ปรับความเข้าใจกัน
แต่ดูแล้ว เหมือนครองขวัญจะยิ่งโกรธมากขึ้นจากการที่ถูกนาวิตาหลอกให้มาเจอกับเขาที่นี่
“ถ้าคุณโกรธหนูนาที่นัดให้มาเจอกับผม ก็ขอให้โกรธผมเถอะ เพราะผมเองก็อยากพบคุณมากจนยอมร่วมมือกับน้อง”
ประโยคท้ายส่งผลให้คนฟังใจอ่อนลงนิดหนึ่ง กระนั้นก็ยังอดไม่ได้ต้องแย้ง
“คุณก็นัดเองได้นี่คะ ไม่เห็นจะต้องใช้วิธีหลอกกันแบบนี้” เงียบไปครู่ ครองขวัญก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงขมขื่นจากความรู้สึกในใจ “หรือเคยชินกับการหลอกคนอื่นแล้วเลยเห็นเป็นเรื่องธรรมดา คงสนุกมากสินะคะ แต่รู้ไหม...ความรู้สึกระหว่างคนหลอกกับคนถูกหลอก มันแตกต่างกันมาก”
“ครองขวัญ ผมไม่ได้ตั้งใจจะหลอกคุณนะ”
ถึงตอนนี้ ครองขวัญก็รู้สึกไม่อาจทนอยู่ตรงนั้นได้อีกด้วยเกรงจะหลุดความอ่อนแอออกมาให้ใครต่อใครเห็น
"ค่ะ เอาเป็นว่าฉันทราบแล้ว ถ้าไม่มีอะไรอีกฉันคงต้องขอตัว”
ยังไม่ทันขยับตัวลุก หญิงสาวก็ชะงักงันเมื่อชายหนุ่มยื่นมือมากุมทับมือของเธอเอาไว้
“อย่าทำแบบนี้เลยครองขวัญ”
ความอบอุ่นที่ถ่ายทอดผ่านอุ้งมือส่งผลให้ครองขวัญน้ำตาเอ่อ วูบนั้นนึกชังตัวเองที่อยากสะบัดมือออกแต่ใจไม่แข็งพอ
“เลิกทำร้ายตัวเอง” เงียบไปครู่ก่อนที่นินนาทจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงทอดอ่อน “เลิกทำร้ายเราสองคน ผมกับคุณต่างก็ไม่มีใครมีความสุขไม่ใช่หรือ ช่วยเปิดใจรับฟังคำอธิบายของผมสักนิด ได้ไหม”
เพราะหัวใจไม่ได้เข้มแข็งอยู่แล้ว เมื่อถูกอ้อนวอนทั้งจากน้ำคำและแววตาของนินนาท ครองขวัญจึงไม่อาจต้านทาน
ชายหนุ่มยิ้มนิด ๆ เมื่อเห็นหญิงสาวพยักหน้าถึงแม้ยังคงไม่ยอมพูด
“คุณจะขัดข้องไหมถ้าผมอยากขอเปลี่ยนที่คุยเป็นที่อื่น”
เมื่อครองขวัญไม่ตอบ นินนาทก็ถอนหายใจก่อนพูดต่อ
“ถ้าคุณไม่ไว้ใจก็ไม่เป็นไร ผมแค่คิดว่าอยากหาที่เงียบ ๆ คุยเท่านั้นเอง”
“ไปคุยที่อื่นก็ได้ค่ะ”
ถึงหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาจะพร่ำบอกตัวเองให้เลิกเพ้อฝัน หากในวินาทีที่เผชิญกับรอยยิ้มอบอุ่นของนินนาทอีกครั้ง ครองขวัญก็อดคิดไม่ได้ว่าเธอคงเป็นพวกเจ็บแล้วไม่จำ
พอได้แล้ว ผู้ชายอย่างเขาไม่มีทางคิดอะไรกับผู้หญิงเฉิ่ม ๆ ที่วัน ๆ เอาแต่นั่งเพ้อฝันแบบเธอหรอก
หญิงสาวปรามตัวเองทั้งที่ปวดใจ ก่อนจะเดินตามชายหนุ่มออกไปจากร้าน
สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง คือสถานที่ที่นินนาทตัดสินใจเลือกใช้ในการปรับความเข้าใจกับครองขวัญ
หลังจากเดินเคียงกันไปตามทางเดินทอดยาวโดยต่างฝ่ายยังไม่มีใครเริ่มต้นพูด นินนาทก็จูงมือครองขวัญแล้วพาเดินไปนั่งบนม้านั่งหินอ่อนที่อยู่ท่ามกลางแปลงไม้ดอก แต่ค่อนข้างห่างไกลจากสายตาผู้คน
“ขอบคุณนะครับที่ไว้ใจและให้โอกาสผมได้อธิบาย”
เพียงแค่นินนาทเริ่มต้นด้วยน้ำเสียงและแววตาอ่อนโยน ครองขวัญก็รู้ตัวว่าเธอพ่ายแพ้ให้แก่เขาเสียแล้ว
ทั้งที่เพิ่งเจอกันไม่นานแต่เธอกลับรู้สึกผูกพันกับเขาถึงเพียงนี้ และทั้งที่เขาทำให้เสียใจแต่เธอก็ยังโกรธเขาไม่ลง
“ผมรู้ เราสองคนเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน เรียกได้ว่ายังรู้จักกันไม่มากด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้ทำไม...ความรู้สึกของคุณถึงได้มีผลกับผมนัก แค่คิดว่าคุณกำลังเสียใจเพราะผม ผมก็แทบคิดอะไรไม่ออก นึกกลัวนึกกังวลแต่ก็ไม่กล้าที่จะโทร. หา จนสุดท้ายต้องยอมร่วมมือกับหนูนา ทั้งที่คิดอยู่เหมือนกันว่าอาจทำให้คุณยิ่งโกรธ”
ครองขวัญใจเต้นยามมองตอบดวงตาสีดำที่กำลังมองเธออย่างค้นคว้า ราวกับจะค้นหาบางอย่างที่ตัวเขาเองก็ยังไม่เข้าใจ
“หนูนาคงเล่าให้คุณฟังแล้วใช่ไหม เรื่องคำขอสุดท้ายของแม่ผมก่อนที่ท่านจะเสีย”
คำบอกนั้นให้ความรู้สึกเหมือนมีใครสาดน้ำเย็นจัดเข้าใส่ ทำให้ครองขวัญสำนึกถึงความเป็นจริงขึ้นมาได้อีกครั้ง พร้อมกับอาการเต้นของหัวใจที่เหมือนจะช้าลงทุกวินาที
พอซะที จำไว้สิครองขวัญ เขาไม่ได้คิดอะไรกับเธอ ทุกอย่างก่อนหน้านั้นมันก็แค่...คำสัญญาที่จำใจต้องทำ!
เพราะจับตามองอยู่ จึงดูออกว่าครองขวัญมีทีท่าเหมือนจะต่อต้าน แต่นินนาทก็ไม่อาจเลี่ยงได้ในเมื่อนี่คือต้นตอของปัญหา
“จากที่หนูนาเล่าให้ฟัง คุณแม่ท่านรักและเอ็นดูคุณมาก...มากจนกระทั่งอยากให้คุณเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของเรา”
นินนาทยิ้มอย่างนึกเอ็นดูเมื่อเห็นสีชมพูระเรื่อบนใบหน้าของครองขวัญ
“แต่...เพราะผมกับคุณแม่ไม่สนิทกันนัก แล้วยังมีปัญหาที่ทำให้ผมไม่ยอมกลับมาบ้านอีกเลยนับตั้งแต่ไปเรียนต่อต่างประเทศ” ชายหนุ่มเงียบไปนิดเมื่อเห็นว่าหญิงสาวมีทีท่าสนอกสนใจขึ้นมาทันที ”ดังนั้น ตอนที่ท่านขอร้องเรื่องของคุณ ผมจึงไม่เข้าใจ ยอมรับว่าไม่พอใจนัก ทั้งที่ผมรีบเดินทางกลับมาทันทีที่รู้ข่าวจากหนูนา แต่ดูเหมือน...สิ่งสำคัญสำหรับคุณแม่ในตอนนั้นก็คือ คำสัญญาว่าผมจะยอมมาพบกับคุณสักครั้ง”
ความรู้สึกในใจถูกถ่ายทอดผ่านทางน้ำเสียงโดยที่ชายหนุ่มไม่รู้ตัว แต่หญิงสาวกลับสัมผัสได้และเริ่มเข้าใจบางอย่างมากขึ้น
“เพราะอย่างนี้เองวันแรกที่เราเจอกันคุณถึงมีท่าทางแปลก ๆ” เมื่อนินนาทไม่ได้แย้ง ครองขวัญก็แค่นยิ้ม “ต้องไปเจอใครก็ไม่รู้ที่ไม่รู้จัก แล้วก็...ไม่ได้อยากจะพบเลยสักนิด แต่ก็ต้องไปพบเพราะถูกบังคับ คุณคงรู้สึกแย่สินะคะ”
“ครองขวัญ”
หญิงสาวฝืนยิ้มทั้งที่รู้สึกเหมือนหัวใจกำลังแสบไหม้ เมื่อเห็นความอึดอัดชัดเจนบนสีหน้าของชายหนุ่ม
“ฉันเข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะที่กรุณาบอกความจริง ส่วนเรื่องความหวังของป้าไร ฉันเข้าใจดีค่ะว่าเป็นเพราะท่านรักและเอ็นดูฉันเหมือนลูกหลาน แต่คุณสบายใจได้ค่ะ” ถึงตอนนี้ครองขวัญก็รู้สึกเหมือนมีก้อนแข็ง ๆ ขวางกลางลำคอจนต้องเงียบไปครู่ เมื่อพูดต่อน้ำเสียงก็สั่นอย่างคุมไม่ได้ “ฉันไม่มีความคิดจะเอาเรื่องนั้นมาฉกฉวยประโยชน์เข้าตัวเอง ขอให้คุณโชคดีนะคะ ต่อไป...เราคงไม่ได้เจอกันอีก”
“ครองขวัญ!”
ครองขวัญฝืนยิ้มอีกครั้งทั้งที่อยากร้องไห้ นึกอยากมองชายหนุ่มต่ออีกครู่แต่กลัวใจตัวเองว่าจะแสดงความอ่อนแอออกมาให้เขาเห็น แม้ปวดใจแต่เธอก็บังคับตัวเองให้ลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วเตรียมจะเดินหนี ทว่า...
“อยู่เฉย ๆ อย่าขัดขืน!”
*******************************************************
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ ขอบคุณเป็นพิเศษสำหรับ LIKE ที่มอบให้กันค่ะ
คุณ Zephyr - 555 นั่นสิคะ ยอมรับว่าไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้เลย ว่าถ้าลงเอยกันแล้วจะเรียงลำดับนับญาติกันยังไง ^^
ปิยะณัฏฐ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 มี.ค. 2559, 21:31:03 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 มี.ค. 2559, 21:57:20 น.
จำนวนการเข้าชม : 957
<< บทที่ 8 | บทที่ 10 >> |
Zephyr 21 มี.ค. 2559, 23:59:28 น.
เอิ่ม ขี้สั่งจังน้า
เอิ่ม ขี้สั่งจังน้า