จองจำดวงใจ
...ตราบใดที่หัวใจยังมีรักและชิงชัง ตราบนั้นความทรงจำอันแสนสุขและทุกข์เศร้าก็จะเป็นเสมือนเงาที่ติดตามเราไปทุกหนแห่งชั่วนิจนิรันดร์...

ด้วยสายใยแห่งรักและความผูกพันทำให้หัวใจศศิวิมลยืนยันกับตัวเองหนักแน่นว่า ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาในคฤหาสน์วิสุทธิ์สุนทร คือ เด็กหนุ่มคนเดียวกันกับที่เธอเฝ้ารอคอยการกลับมาถึงสิบปีเต็ม แม้ว่าเขาจะแตกต่างจากเดิมไปมากเพียงใด และเมื่อการแต่งงานกะทันหันตามคำสัญญาต้องดำเนินขึ้นศศิวิมลกลับค้นพบว่าชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีแม้จะแค่ในนามกลับเป็นนักธุรกิจหนุ่มไร้หัวใจ ทายาทมหาเศรษฐีสหรัฐที่สวมรอยเข้ามาและใช้เธอเป็นสะพานเพื่อฮุบกิจการทั้งหมดของอังคพิมาน

ทั้งที่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้พ้นเงื้อมือชั่วช้า ทว่าสัญชาตญาณในหัวใจยังเชื่อมั่นและสายสัมพันธ์ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นทีละเล็กละน้อยแต่งดงามที่เกิดขึ้นระหว่างกันกลับกลายเป็นพันธนาที่จองจำเธอไว้มิให้หลุดพ้นไปจากเขา จะทำอย่างไรหากต้องเลือกระหว่างทรยศครอบครัวกับทำร้ายชายผู้เป็นหัวใจ เธอจะเลือกอะไรหากรู้ว่าทุกทางเลือกนั้นต้องจบลงด้วยความเจ็บปวดเท่านั้น

" ต่อให้เป็นนักโทษถูกล่ามโซ่ไว้ในกรงขัง หรือเป็นคนธรรมดาที่ถูกกรอบของสังคมบีบบังคับ ขอเพียงหัวใจยังโบกโบยเป็นอิสระได้ การจองจำเพียงกายนั้นก็ไร้ความหมาย แต่เมื่อใดก็ตามที่หัวใจเราถูกพันธนาการเสียแล้ว ต่อให้ดิ้นรนกระเสือกกระสนอย่างไรก็หลุดพ้นจากการจองจำนี้ไปไม่ได้หรอก เหมือนกับหัวใจของเล็กที่ถูกความรัก ความผูกพัน และความทรงจำที่มีต่อเขามัดแน่น ทั้งที่รู้ดีเหลือเกินว่าควรหนี แต่เท้าทั้งสองข้างกลับก้าวไปไม่พ้นใจเสียที ”

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 3

--- แวะคุยกับคนอ่านเล็กน้อย ---

เรื่องนี้อย่างที่บอกค่อนข้างเศร้า ทุกตัวละครล้วนมีความทุกข์และมีเหตุผลในการกระทำของตัวเองทั้งสิ้นนะคะ
แต่ไม่ต้องกลัวว่าจะดราม่าอย่างเดียว หวานน่ารักก็มีนะคะ ยังไงก็ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
สำหรับบทนี้แนะนำเพลงนี้ให้ฟังประกอบนะคะ http://youtu.be/fJ62cb1-iCI มีอะไรแวะมาคุยกันได้ที่เฟสบุ๊กนะคะ ^_^

บทที่ 3

นภาในห้วงอันธการพร่างดาวโปรยปรายหิมะร่วงเป็นสายสู่แผ่นดินญี่ปุ่น อากาศหนาวเหน็บมีสายลมเย็นยะเยือกพัดมาเยือนเป็นระลอก กลางกรุงโตเกียวที่อาคารเต็มไปด้วยแสงสี มีนวัตกรรมทันสมัยฝูงชนเดินขวักไขว่ต่างสวมเครื่องต่างกายหนาให้ความอบอุ่น

หน้าอาคารพาณิชย์กลางเก่ากลางใหม่ซ่อนตัวหลังตึกสูงมีชายหัวโล้นสวมแว่นตาดำท่าทางเอาเรื่องยืนสูบบุหรี่เฝ้ายาม พลันร่างสูงใหญ่ใต้เสื้อโค้ทหนาสีดำก็ปรากฏตัวขึ้นเข้าประชิดตัวอย่างรวดเร็ว...ไม่ทันจะได้ชักปืนก็ถูกแรงหมัดอัดจนสลบเหมือด

กระเป๋าเดินทางที่สั่งผลิตขนาดใหญ่พิเศษกระทั่งจุมนุษย์ได้ถูกหิ้วลอยจากพื้นหายเข้าไปหลังบานประตู ท่ามกลางแสงสลัวจากหลอดไฟใกล้หมดอายุ ควันบุหรี่สีเทาพวยพุ่งจากเปลวแดงอวลทั่ว กลุ่มชายฉกรรจ์เหี้ยมเกรียมดังนักโทษแหกคุกตั้งโต๊ะมั่วสุมเล่นไพ่ลุกพรวดพราดทันทีที่เห็นผู้บุกรุกโยนบางอย่างกลิ้งมาหยุดใต้โต๊ะ เตรียมชักปืนยิง จู่ควันขาวก็ฟุ้งเต็มห้องตามด้วยเสียงต่อสู้ระคนเสียงปืนดังรัวเร็วก่อนควันจะจางเหลือเพียงร่างไร้สติจำนวนหนึ่งนอนกองกับพื้น

ประตูไม้บานใหญ่ถูกแรงมหาศาลถีบอย่างแรงจนหลุดกระเด็นจากกรอบ ชายหัวเกรียนมองตรงมายังผู้บุกรุกที่หิ้วกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ถัดไปด้านหลังมีชายอีกสองคนท่าทางหื่นกระหายตั้งกล้องถ่ายทำหญิงสาวญี่ปุ่นหน้าตาสะสวยที่ถูกมัดมือมัดเท้าน้ำตาไหลพราก เสื้อผ้าหลุดลุ่ยฉีกขาดจากการลวนลามข่มขู่

หนึ่งในคนที่กำลังปลุกปล้ำนั้น คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงหนึ่งของญี่ปุ่น...ยากูซ่าแก็งค์นี้มีอิทธิพลของรัฐมนตรีคนนี้คุ้มกะลาหัว รวมรับผลประโยชน์ใต้โต๊ะด้วยกัน

“ ฉันเอากรรมสิทธิ์โรงแรมกับเงินมาให้พวกแล้ว ปล่อยผู้หญิงคนนั้นซะ ”

ทันทีที่กระเป๋าถูกวางลงเสียงหัวเราะก็ดังคับห้อง...ชายหนุ่มผมยาวมีรอยบากตรงแก้มซ้ายก็ขยับจากเรือนร่างอรชรที่คร่อมทับอยู่ หยิบมีดพับสปริงออกมาเลียคมมีดอวดศักดาย่างสามขุมหาผู้มาเยือน

“ ไหนเขาลือกันว่า พวกครอมเวลมันไม่สนใจอะไรนอกจากผลประโยชน์ กับอีแค่ผู้หญิงคนเดียวถึงกับยอมเสียโรงแรมกับเงินมหาศาลเชียวหรือ ” ถ่มน้ำลายรดพื้น ใช้ปลายมีดไล้ตามไปข้างแก้มสากระคายจนถึงลำคออย่างคุกคาม

ทว่าอีกฝ่ายกลับนิ่งสงบเสียจนคนที่ถือตนว่ามีอำนาจเหนือกว่าใช้ขาเตะเข้าข้อพับอย่างแรงให้ร่างสูงใหญ่ล้มลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้น

“ ทำเป็นผยอง แกคงไม่รู้หรอกว่า เล่นอยู่กับใคร ”

แทนที่จะกลัว อินากาว่า เคน...หัวหน้าแก็งค์ยากูซ่าอินากาว่าที่ถูกเล่ห์ของตระกูลครอมเวลยึดเอากิจการโรงแรมหรูระดับห้าดาวในกรุงโตเกียวไปกลับเห็นชายผู้นี้มีรอยยิ้มปรากฏตรงมุมปากคล้ายสถานการณ์ด้อยกว่าเป็นเรื่องรื่นรมย์เสียอย่างนั้น

เท้าถีบลงตรงกลางหลังพร้อมกับเสียงกรีดร้องโหยหวนของหญิงสาวบนเตียงก็ดังระงม...รัฐมนตรีมิยาโมโตะกลับหัวเราะด้วยเห็นเป็นเรื่องสนุก กระชากผมยาวสลวยดึงร่างบนเตียงขึ้นมาให้ชายที่นั่งคุกเข่าได้เห็นแล้วใช้มือฟาดเข้าหน้าอย่างแรงจนแก้มแดงเถือก

“ ดูไปแล้วไอ้หนุ่มนี่ก็เหมือนลูกหมาเชื่องๆ แกเสียท่าลูกหมาแบบนี้ได้ยังไง เสียชื่อที่เป็นลูกน้องฉันหมด ” พิจารณาชายหนุ่มทายาทตระกูลมหาเศรษฐีสหรัฐแล้วตำหนิเสียงดัง

อินากาว่ากับยากูซ่าอีกคนรีบโค้งขอโทษในความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ก่อนจะประกาศก้องกลางห้องว่าจะสั่งสอนผู้ที่กล้ามาต่อกรกับตนและท่านรัฐมนตรีให้รู้สำนึก

“ นั่นสิ...ต้องสั่งสอนให้รู้สำนึก ” ชายหนุ่มทวนคำพยักหน้างึมงำอยู่ลำพังขณะก้มลงรูดซิปกระเป๋าเดินทางอย่างเชื่องช้า ยอมปล่อยนกกาให้ระรื่นในอำนาจชั่วครั่งชั่วคราวจะเป็นไร

แต่ทั้งห้องเป็นอันต้องหยุดหัวเราะ ผงะถอยอย่างคาดไม่ถึงเมื่อแขนล่ำเปิดฝากระเป๋าดึงเอาเด็กสาวชาวญี่ปุ่นสวมเครื่องแบบนักเรียนมัธยมปลายคนหนึ่งออกมา ท่าทางของเธอหวาดกลัวถึงขีดสุด เนื้อตัวฟกช้ำเปื้อนมอมแมม มือและเท้าถูกเชือกรัดแน่นบาดเป็นรอย ปากถูกเทปกาวปิดสนิทก่อนที่มีดสั้นคมกริบจะจ่อเส้นเลือดใหญ่ตรงคอหอยไว้

“ ยูกิ ” มิยาโมโตะครวญมือไม้สั่นกับสภาพลูกสาว

“ ลืมตาสิยูกิจัง พ่อผู้แสนดีที่เธอเล่าให้ฉันฟังตลอดทางบนรถ ใช่คนเดียวกันกับไอ้โรคจิตที่คิดรุมโทรมผู้หญิงแล้วถ่ายวิดีโอขายตรงนั้นหรือเปล่า ” ไล้ปลายมีดในทางเดียวกับที่ตนเองถูกกระทำก่อนหน้านี้ สุ้มเสียงราบเรียบแฝงแววเหี้ยมเกรียมขวัญผวา

เด็กสาวร้องอู้อี้เบิกตากว้างมองชายวัยกลางคนที่ทำมิดีมิร้ายหญิงสาวบนเตียง น้ำตารินอาบใบหน้าอย่างผิดหวังกับสิ่งที่รับรู้จนผู้เป็นพ่อแทบคลั่ง

“ ลูกสาวฉันไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ แกดึงคนไม่เกี่ยวข้องเข้ามาทำไม ”

“ แล้วหมาตัวไหนมันเริ่มเอาคนไม่เกี่ยวข้องเข้ามายุ่งก่อน ” แสยะยิ้มแล้วทอดสายตายังบางสิ่งในกระเป๋า “ เคนตะคุงตอนใกล้หมดอากาศหายใจช่างน่ารักจริงๆ ”

เพียงได้ยินชื่อที่เรียกขาน หัวหน้าแก็งค์ยากูซ่าก็ปรี่เข้ามาหมายจะดูให้เห็นกับตา ชายหนุ่มจึงอุ้มเด็กชายอายุเพียงสามขวบที่นอนหลับสนิทแสดงให้เห็นชัดเจนว่ามิใช่คำขู่

“ ถ้าไม่ส่งโรงพยาบาลในครึ่งชั่วโมง...เคนตะคงหลับแบบนี้ตลอดกาล ”

“ แก...แกกล้าดียังไงถึงทำกับลูกชายฉันแบบนี้ เขาอายุแค่สามขวบเองนะ แกมันไม่ใช่คน ” คนเป็นพ่อสบถดังสนั่นห้อง เส้นเลือดปูดโปนตรงขมับบอกให้รู้ว่าเครียดจัด

“ อยากเล่นเกมสกปรกมากไม่ใช่หรือ ฉันก็ร่วมเล่นด้วยเท่านั้นเอง ” ว่าพลางหัวเราะเบาฟังประหนึ่งเหมือนเสียงซาตานจากขุมนรก

รัฐมนตรีมิยาโมโตะกลืนน้ำลายถอยห่างจากร่างอรชรบนเตียง ยกมือเป็นสัญญาณว่ายอมแพ้

“ ฉันยอมแกแล้ว ฉันสัญญาว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก ขอแค่แกปล่อยลูกสาวฉันมาก็พอ ” พยายามต่อรอง หันไปตวาดลูกน้องอีกรอบ “ แกมันไม่เอาไหน แทนที่แพ้จะยอมรับกลับไปหาเรื่องคนอื่นเขาอีก ”

ท่าทีเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ขนาดอินากาว่าเองยังหน้าเซียวซีดคาดไม่ถึงว่าคู่ต่อสู้หนุ่มรูปงามจะตอบโต้ด้วยวิธีทารุณจิตใจเช่นนี้

หญิงสาวบนเตียงรวบรวมพละกำลังพาสังขารร้าวระบมเข้าไปหาชายหนุ่มผู้เป็นที่รักซบหน้าลงร่ำไห้กับลำแขนใหญ่ของเขารับเอาไออุ่น

“ ไม่ต้องกลัวหรอกไมจัง...ใครทำอะไรไว้ ฉันจะลงโทษให้สาสมเอง ” ปลอบขวัญส่งเด็กน้อยให้อุ้มแทนแล้วจึงดึงเด็กสาวให้หันกลับมาหาแล้วใช้มีดกรีดเสื้อนักเรียนจนขาดวิ่นเหลือเพียงชั้นใน

จังหวะนั้นอินากาว่าส่งสัญญาณให้ลูกน้องชักปืนรอก่อนตัวเองจะอ้อมไปด้านหลังหมายจะชิงความได้เปรียบเตรียมจู่โจมระยะประชิดกลับเป็นฝ่ายถูกศอกกระแทกตรงสันจมูกอย่างแรง ก่อนเสียงกระดูกจะลั่นแขกหักห้อยร่องแร่งร่วงลงไปนอนหมดสติบนพื้น

“ ชักปืนแล้วทำไมไม่ยิงล่ะ...เล็งดีๆแล้วกันนะ แต่ถ้าพลาด ก็อย่าหวังมีชีวิตต่อเหมือนกัน ” วาจา
ดุดันเตือนให้รู้ว่าพูดจริงทุกคำนั้นทำให้ลูกน้องหัวเกรียนปล่อยปืนลงพื้นวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนลงไปข้างล่างเพื่อพบกับคนในแก็งค์นอนสลบเหมือนตายเกลื่อนกลาด

สุดท้ายทุกอย่างก็ถูกควบคุมโดยผู้บุกรุกหนุ่มที่ถูกเปรียบเปรยจากรัฐมนตรีว่าเป็นเพียงลูกหมา...มิยาโมโตะตะลึงงันปากคอสั่นวิ่งเข้าไปดึงลูกสาวมากอดแน่นอย่างขวัญเสียเพราะกลัวลูกและตนเองจะเป็นอันตราย ไม่กล้ากระทั่งมองรองเท้าของชายหนุ่มที่กระทืบกล้องวิดีโอจนแหลกละเอียดอยู่ใกล้ๆ

“ ผมมีบันทึกความชั่วของท่านอยู่หลายไฟล์ ทั้งรีดไร รับสินบน สมคบคนชั่ว พัวพันยาเสพติด ท่านอยากให้ผมส่งไฟล์ให้ตำรวจ ศาล หรือนักข่าวก่อนดี ” ก้มลงมาในระดับสายตาแล้วเอ่ยถาม จับปกเสื้อโค้ดให้กล้องจิ๋วบันทึกหน้าค่าตาคู่กรณีโดยละเอียด ทว่าไม่มีเสียงใดตอบกลับมาสักคำ

เหลือบเห็นมีดพับสปริงตกอยู่ก็คว้ามาสำรวจดูด้ามมีดอันสวยงามนั้นจึงได้ยินอีกฝ่ายร้องขอชีวิต

“ ผมไม่ทำอะไรท่านหรอก ขอแค่หยุดทำเรื่องชั่ว แล้วยอมสวามิภักดิ์รับใช้ครอมเวลจนสิ้นอายุตำแหน่งของท่านก็จบเรื่องแล้ว ” หยุดเพื่อสำรวจทั่วห้องสักครู่จึงเอ่ยต่อ “พอท่านหายตกใจเมื่อไหร่ รบกวนท่านช่วยส่งอินากาว่ากับเคนตะคุงไปโรงพยาบาลแทนผมด้วยนะ ”

รัฐมนตรีพยักหน้ารับคำมองแผ่นหลังกว้างที่หมุนตัวไปหาหญิงสาวที่วางร่างเด็กน้อยลงนอนในกระเป๋าแล้วช้อนแขนอุ้มหล่อนไว้อย่างอ่อนโยนค่อยๆก้าวห่างออกไปแต่เพียงไม่กี่ก้าวกลับเห็นเขาหันกลับมาขว้างมีดปักลงตรงเกือบถึงระหว่างขาของมิยาโมโตะพอดิบพอดี

“ ถ้าคราวหน้าท่านคิดจะแก้แค้นครอมเวล...ขอให้คิดไตร่ตรองให้ดี เพราะผมคงไม่ปล่อยท่านลอยนวลในสังคมสบายๆเหมือนวันนี้หรอกนะ ”

ถ้อยคำทิ้งท้ายเรียบเย็นแต่ดวงหน้ากลับยังคงแย้มริมฝีปากกว้างสดใสที่ไม่ว่าใครได้เห็นก็มีแต่ขนลุก


...ระหว่างตึกร้างสองหลังมีตรอกมืดไร้แสงไฟส่งกลิ่นเหม็นชื้น เต็มไปด้วยซากขยะและสิ่งมีชีวิตสกปรก กลับก้องด้วยเสียงสะบัดเสื้อผ้า ในนาทีต่อมาหญิงสาวญี่ปุ่นสวมเดรสสั้นรัดรูปสีแดงเพลิงทับด้วยโค้ตยาวสีเดียวกันจะหลุดจากเงามืดออกมาคล้องแขนชายหนุ่มที่ยืนกอดอกพิงกำแพงอยู่ แก้มที่บวมช้ำข้างหนึ่งถูกสีสันแห่งเครื่องสำอางค์ที่แต้มแต่งทั้งใบหน้ากลบบังไว้

“ ฉันเสี่ยงตายแสดงเป็นคนรักให้คุณแนบเนียนขนาดนี้ ไม่คิดจะมีโบนัสให้กันบ้างหรือคะ ” เจ้าหล่อนไล้ปลายนิ้วลงบนริมฝีปากหยักบางเยี่ยงสตรีเจนจัดสังเวียนรัก

“ อยากได้อะไรเป็นโบนัสล่ะ ”

น้ำเสียงวาบหวามกระซิบถามข้างหู...หญิงสาวยกมือโอบรอบต้อคอให้โน้มมาแนบชิดเอ่ยความประสงค์เคลิ้มหวานทำเอาคนฟังหลุดหัวเราะเบา

“ ถ้าแค่นั้น ทำไมจะให้ไม่ได้ ” เขาตอบรับ รั้งเอวบางเข้าข้างลำตัวลาจากเส้นทางสายมืดสู่ถนนหนทางสว่างไสวด้วยแสงไฟหลากสีปะปนหายไปกับฝูงชนกลางกรุงโตเกียว
***************************************

สายน้ำไหลแรงจากฝักบัวราดรดบนร่างตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ความอุ่นของน้ำปะทะเข้ากับความหนาวเหน็บทำให้กระจกใสที่กั้นส่วนอาบน้ำไว้ขึ้นเป็นฝ้ามัว...หากมองผ่านหน้าต่างบานเล็กออกไปภายนอกจะเห็นภาพของมหานครนิวยอร์กที่ปกคลุมด้วยหิมะ

ก๊อกฝักบัวหมุนปิดพร้อมกับเสียงน้ำที่เงียบลง...มือใหญ่ดันบานประตูกระจกออกเผยให้เห็นชายร่างสูงใหญ่ที่มีมัดกล้ามแข็งแกร่ง ช่วงเอวของเขาสอบ สะโพกและช่วงขายาวสมส่วน ก้าวเท้าออกมาเหยียบพื้นกระเบื้องโมเสก สะบัดผมสีดำที่เปียกจนลีบลู่ติดใบหน้าไปมาก่อนจะคว้าผ้าเช็ดตัวที่วางพาดไว้บนราวมาเช็ดเนื้อตัวแล้วใช้มันพันกายท่อนล่าง

...เขาหยุดมองตัวเองในกระจกเหนืออ่างล้างหน้า เงาสะท้อนปรากฏใบหน้าเรียวที่มีองค์ประกอบสมบูรณ์แบบ ไล่ตั้งแต่คิ้วหนาสีน้ำตาลที่เรียงเส้นได้รูปทรง จมูกโด่งเป็นสันรับกับเรียวปากหยักบางที่เหยียดคล้ายแสยะมากกว่ายิ้ม นัยน์ตาสีดำดังนิลคมกล้าแลว่างเปล่าราวไร้ชีวิต

อากาศเย็นแล่นปะทะกายทันทีที่พ้นห้องน้ำ ทว่าคนตัวใหญ่ผิวคล้ำเข้มกับไม่รู้สึกรู้สา...เขากวาดสายตาไปในห้องชุดกว้างที่ฉาบผนังรวมถึงประตูเป็นสีดำทั้งหมด เฟอร์นิเจอร์ราคาแพงดีไซน์แปลกวางตั้งแบ่งสัดส่วนเป็นมุมใช้งานต่างๆอย่างเหมาะเจาะ เพียบพร้อมด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน ก่อนจะมองต่ำยังกระเป๋าเดินทางที่เก็บข้าวของสำคัญเตรียมไว้เรียบร้อยจึงค่อยหยิบกางเกงกับเสื้อแขนยาวสีดำจากในตู้เสื้อผ้ามาสวม

ชะโงกหน้าจ้องร่างชายหนุ่มผมทองที่นอนกอดก่ายกับหญิงสาวผมแดงเพลิงใต้ผ้าห่มหน้าบนโซฟา...เอื้อมมือไปจับแขนล่ำที่ห้อยตกระพื้นกระชากอย่างแรงจนคนที่นอนอยู่ร่วงกระแทกพื้นทั้งคู่

เสียงร้องโอดโอยตามมาด้วยอาการสะดุ้งตื่น...ดวงตาสีฟ้าของชายหนุ่มรูปงามลืมขึ้นมองรอบข้าง พอเห็นใบหน้าไร้อารมณ์ที่ก้มมองลงมาก็หลุดยิ้มแห้งออกมา

“ ไฮ้...พอล ” พูดได้เท่านั้นแขนก็ถูกลากอีก หญิงสาวผมแดงหวีดร้องสุดเสียงในวินาทีที่เห็นชายอีกคนหักแขนคู่นอนตัวเองดึงไปด้านหลังจนได้ยินเสียงลั่นของกระดูก ใช้เข่ากดลงน้ำหนักตัวใส่ร่างบนพื้นดังกับต้องการฝังให้จมหายไป

“ อย่าคิดว่าใช้นามสกุลเดียวกัน แล้วฉันจะไม่กล้าลงมือนะ ” เอ่ยทีละคำเนิบช้าหากแววน้ำเสียงเย็นเยียบเสียดเข้าถึงสันหลัง

“ รู้...แต่ใจเย็นก่อน ” คนเสียเปรียบกว่าร้องลั่น

“ อย่าทำเขานะ...ไม่งั้นฉันเรียก 911 จริงๆด้วย ” คู่นอนสาวขู่ หยิบโทรศัพท์มือถือจากในกระเป๋าเสื้อโค้ดที่พาดบนโซฟามาชูไว้ด้วยมืออันสั่นเทา

ผู้ร้ายหนุ่มเหลือบแลแม่สาวผมแดงที่มีผ้าห่มปกปิดร่างเปลือยเปล่า เนื้อตัวสะท้านไหวจากความกลัว ในวินาทีนั้นรอยยิ้มแสยะราวปีศาจก็บังเกิดบนใบหน้าหล่อเหลานั้น...ปล่อยมือจากเหยื่อที่เข้าจู่โจมเมื่อครู่แล้วเปลี่ยนเป้าหมายเข้าประชิดร่างระหงที่กอดผ้าห่มแน่น ยื่นหน้าเข้าไปคลอข้างแก้มนวลอย่างมีชั้นเชิงจนผู้ถูกสัมผัสรู้สึกร้อนผ่าว

“ กดสิ ” เสียงกระซิบท้าทาย มือแข็งปานคีมเหล็กจับคางเรียวให้หันมาเผชิญหน้า นัยน์ตาคมที่จ้องมาดูเลือดเย็นผิดน้ำเสียงชวนให้คนมองแทบหยุดหายใจ

“ อย่า...ถ้าคุณโทรเรียกตำรวจ ผมไม่รับประกันความปลอดภัยนะ ” คำเตือนหนักแน่นทำให้หญิงสาวละล้าละลังว่าจะทำอย่างไรดีเริ่มกลืนน้ำลายเฮือก

“ ฟังคนอื่นทำไม...ตัวคุณเอง คุณตัดสินใจเองได้ไม่ใช่เหรอว่าจะกด หรือจะกลับดี ”
สุดท้ายทางเลือกที่มอบให้ก็จบลงที่ประตูห้องปิดลงเหลือเพียงสองหนุ่มอยู่ด้วยกันตามลำพัง

“ ฉันห้ามนายพาใครมานอนที่นี่ด้วย จำไม่ได้เหรอ ” ถามพร้อมกับขว้างผ้าเช็ดตัวผืนหนึ่งให้เจ้าของเรือนผมสีทองสลวยนั้นปิดความเป็นชายไว้

ชายหนุ่มชาวตะวันตกขยับแขนที่ปวดร้าวถึงกระดูกยันตัวเองลุกขึ้นนั่งพิงโต๊ะรับแขก วางผ้าคลุมหน้าตักก่อนจะเงยหน้าไปยังชายหนุ่มชาวตะวันออกที่ยืนกอดอกถือแก้วตากิล่าพิงเสาอยู่ข้างๆชุดโฮมเธียเตอร์

“ คนเรามันต้องมีกันบ้าง...ทำเหมือนกับนายไม่เคยพาผู้หญิงที่ไหนมานอนด้วยงั้นแหละ ”

“ เคย...แต่ไม่ใช่พามาที่นี่ ฉันไม่ชอบให้คนแปลกหน้าเข้ามารุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวของฉัน นายเองก็เหมือนกัน หัดระวังตัวเองบ้าง อย่าเปิดเผยตัวตนกับคนแปลกหน้าเร็วเกินไป มันจะไม่ดีต่อตระกูลเราและตัวนายเอง ” เอ่ยเตือนด้วยท่าทางเรียบเฉยพลางยกตากิล่าขึ้นจิบ...คนเจ็บแทนที่จะสลดกับการกระทำของตนเอง กลับหลุดยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี

“ จะด่าก็หาคำให้ต่างจากปู่หน่อยสิ...เดี๋ยวฉันหรือใครได้ยินก็นึกว่านายเป็นร่างโคลนนิ่งของปู่สมัยหรอก ” เขาหยอกเย้าญาติหนุ่ม

ในฐานะทายาทคนหนึ่งของตระกูลครอมเวล หากไม่นับเรื่องชาติพันธุ์ที่แตกต่างกันระหว่างปู่กับคนตรงหน้าแล้ว โคลินยังไม่เคยพบใครในตระกูลที่ถอดแบบลักษณาการทุกอย่างกระทั่งแนวคิดของปู่ราวกับเป็นคนเดียวกันเท่าพอล ครอมเวลมาก่อน

คุณสมบัติที่เพียบพร้อมทั้งหน้าตา การศึกษา มีความคิดอ่านกว้างไกลและฉลาดทันคนเป็นสิ่งที่ทุกคนในครอมเวลได้รับถ่ายทอดจากปู่ ทว่า พอลกลับแตกต่างออกไป ด้วยความลึกลับซับซ้อนเกินจะคาดเดาความคิดภายใน อ่านสถานการณ์ที่กำลังเผชิญได้ทะลุปรุโปร่งแล้วนำมันมาใช้สร้างภาพลักษณ์ สร้างตัวตนใหม่ เพื่อลวงฝ่ายตรงข้ามอย่างแนบเนียน เลือกทำความรู้จักและใช้ประโยชน์จากคนอย่างคุ้มค่า กล้าเสี่ยงในสิ่งที่คนรอบข้างมองว่าบ้าบิ่น ขณะที่ก็รู้จักการรอคอยอย่างใจเย็น...เลือดเย็นพอที่จะยืนมองเหยื่อที่ตัวเองเชือดดิ้นกระเสือกกระสนจากความตาย

คอยด์ ครอมเวลใช้สิ่งเหล่านั้นสร้างความยิ่งใหญ่ให้ครอมเวลกลายเป็นตระกูลมหาเศรษฐีซึ่งถือครองกิจการด้านการท่องเที่ยวและโรงแรมรวมถึงการเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในธุรกิจสำคัญที่ให้ผลตอบแทบมหาศาลอีกทั่วโลก มีสายสัมพันธ์แน่นเฟ้นกับผู้มีชื่อเสียงในทุกวงการไม่เว้นกระทั่งผู้นำหลายประเทศ อีกทั้งยังใส่ใจในสิ่งแวดล้อมด้วยการเข้าไปมีส่วนร่วมสนับสนุนโครงการอนุรักษ์ต่างๆ มีน้ำใจอุทิศรายได้บริจาคแก่ผู้ยากไร้ ทำให้ครอมเวลกลายเป็นหนึ่งในตระกูลที่มีชื่อเสียงและทรงอิทธิพลตระกูลหนึ่งในโลก

“ นายมาลองเป็นคนฟังคุณปู่ด่านายทุกวันสิ แล้วจะรู้ว่าทำไมฉันถึงด่านายเหมือนปู่ ”

“ นายกับปู่จะเอาอะไรกับฉันนักหนา คนมันสันดานแบบนี้เสียแล้ว ถึงจะดูสบายๆ สำส่อนไปบ้างแต่ฉันก็ไม่เคยทำอะไรเสียหายต่อวงตระกูล ไม่งั้นคุณปู่จะยกหน้าที่ดูแลกิจการบันเทิงได้ยังไง ” เขายักไหล่...บุคลิกชายหนุ่มเจ้าสำราญ สนุกสนานกับชีวิตแม้จะเผชิญหน้ากับอะไรก็ตามแบบนี้ไม่ใช่หรือที่ปู่มอบหมายตำแหน่งงานสำคัญนั้นให้

“ ว่าแต่ทำไมนายกลับมาเร็วนัก ฉันนึกว่าจัดการยากูซ่าบ้าบออะไรนั้นเสร็จแล้ว นายจะอยู่เที่ยวญี่ปุ่นต่อซะอีก ได้ยินว่าสาวญี่ปุ่นคารมดีน่ารักอยู่ไม่ใช่เหรอ ”

“ คุณปู่มีงานใหม่ให้ทำ...เลยบินกลับมาก่อน ”

“ งานใหม่อีกแล้ว นี่คุณปู่ไม่คิดจะส่งคนอื่นไปทำงานบ้างหรือไง...มีอะไรก็ประเคนให้นายทำหมด พวกพี่น้องที่รองานจากปู่อยู่ที่บ้านคงโมโหน่าดู ” โคลินส่ายหน้า การที่พอลกลายเป็นคนที่คุณปู่ไว้วางใจกลายเป็นเงื่อนไขให้หลานอีกหลายคนนึกชิงชัง “ แล้วคุณปู่ส่งนายไปทำอะไรล่ะคราวนี้ ”

“ เสร็จงานเมื่อไหร่ก็รู้เมื่อนั้นแหละ ”

คนฟังถอนหายใจ...ทุกครั้งที่ได้รับมอบหมายงานสำหรับพอลแล้วเหมือนเป็นความลับระดับชาติ จะทราบกันอีกทีก็เมื่อถูกนำเสนอเป็นข่าวเรียบร้อยแล้ว

“ ปู่ส่งนายไปทำงานใหม่ที่ไหน เผื่อฉันอยากได้อะไรจากที่นั่นจะได้ฝากนายซื้อกลับมา ”

“ ฉันไปทำงาน...ไม่ได้ไปเที่ยว ” เสียงเรียบแต่เด็ดขาดประกาศให้อีกฝ่ายรู้ว่าควรปิดปาก...โคลินยกมือสองข้างแสดงให้เห็นว่าไม่ยุ่ง มีเพียงปู่กับพอลเท่านั้นที่เขายอมจำนนให้โดยดุษฎี

“ โอเค ฉันไม่พูดเล่นก็ได้ ถามจริงจังเลยแล้วกันว่าคราวนี้ไปไหน เผื่อฉันจะฝากให้นายไปทำธุระให้” ตัวตนน่าสะพรึงซึ่งแอบเร้นไว้ภายในของโคลินถ่ายทอดผ่านน้ำเสียงในคำพูดสุดท้าย

“ ไปเมืองไทย บินไฟท์พรุ่งนี้หกโมงเช้า ”

“ ไปเอเชียหรอกเหรอ...นึกว่าไปโซนยุโรปเสียอีก เสียดายจังแฮะ ” พ่นลมอุ่นออกจากริมฝีปากออกอาการเสียดายอย่างชัดแจ้งก่อนที่เขาจะย่นหน้าผากคล้ายกับมีบางอย่างลอยขึ้นมาในฉุกคิด “ พูดถึงเมืองไทย ฉันเลยนึกได้ว่า เมื่อหลายเดือนก่อนมีผู้หญิงเอเชียอายุราวสี่สิบกว่ามาหานาย เขาถามว่า นายรู้จักหรือมีเบอร์ติดต่อกับเจ้าของห้องนี้คนเก่าหรือเปล่า เขาจะฝากให้นายช่วยบอกหมอนั่นหน่อยว่า ตอนนี้พ่อเขาเสียแล้ว ส่วนแม่ก็กำลังป่วยหนักมาก อยากให้กลับเมืองไทยด่วน ”

ชายหนุ่มผู้ดื่มด่ำกับตากิล่าหยุดขอบแก้วจรดริมฝีปากไว้เช่นนั้นขณะรับฟังเรื่องเล่า

“ เขาฝากนามบัตรไว้ให้ด้วย อยู่ตรงกระดานงานนะ ถ้ายังไงรู้จักก็ช่วยสงเคราะห์เขาหน่อยแล้วกัน ”

พอลเงียบมิได้พูดจาอะไรเพียงแต่วางแก้วในมือลงบนลำโพง หันหลังเดินไปยังมุมทำงานที่อยู่ด้านในสุดของห้องสูทแห่งนี้ ผนังส่วนหนึ่งติดแผ่นสังกะสีใหญ่ไว้ใช้ติดข้อมูลต่างๆ ชุดโต๊ะเก้าอี้ทำงานขนาดใหญ่อยู่ถัดไปไม่ไกลเต็มไปด้วยคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ แล็ปท็อป แม้กระทั้งอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์ที่ควรจะอยู่ในหน่วยสืบสวนอาชญากรรมมากกว่าห้องนักธุรกิจ

นามบัตรสีเขียวอ่อนถูกดึงออกมา ก่อนจะสังเกตว่าเท้าที่ยืนอยู่มีมีกล่องพัสดุใบใหญ่ตั้งไว้

“ ของนี้ส่งมาเมื่อไหร่ ” ตะโกนถาม

“ คนดูแลเอาขึ้นมาให้เมื่อวาน เห็นจ่าหน้าไม่ใช่ชื่อนายเลยจะไม่เอาเข้ามาแล้ว แต่คนดูแลยืนยันว่าของนายแน่นอน ฉันก็เลยรับไว้ เผื่อนายซื้อของเถื่อนแล้วใช้ชื่อปลอม ถ้าถูกตีกลับเดี๋ยวฉันโดนนายหักแขนอีก ”

เจ้าของห้องฟังคำตอบก้มลงหยิบกล่องพัสดุที่เขียนจ่าหน้าเป็นภาษาอังกฤษอย่างบรรจงเป็นชื่อยาวเหยียดมาวางบนเก้าอี้ ตัดเชือก กรีดเทปใสที่ปิดไว้อย่างแน่นหนาเพื่อเปิดดูข้างใน...การ์ดวาดด้วยสีน้ำเป็นรูปเค้กปักเทียนวันเกิดวางเคียงกับจดหมายฉบับหนึ่ง ข้างใต้นั้นมีกล่องดนตรีไม้สีโอ๊คเข้มทับบนผ้าพันคอถักผืนใหญ่สีดำ

จดหมายความยาวหลายหน้ากระดาษเรียงร้อยตัวอักษรแปลกตาเป็นสิ่งแรกที่พอลหยิบออกจากกล่อง

“ เดี๋ยวนี้ใช้ชื่อปลอมหลอกสาวส่งของมาให้หรือไง ” โคลินสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยตามมาสมทบด้านหลังถามขณะชะโงกหน้าข้ามไหล่เห็นข้าวของทั้งหมด แต่ญาติหนุ่มกลับนิ่งเลยถือวิสาสะเอื้อมมือไปหยิบการ์ดออกมาดูกลับโดนสันมือแข็งฟาดอย่างแรงจนต้องสะบัดมือเร่าๆ

“ อย่าแตะ ” เค้นทีละคำชัดชั่วเวลานั้นในดวงตาฉายแววหวงจนอีกฝ่ายขมวดคิ้วประหลาดใจ

พอรู้สึกตัวว่าเผลอแสดงอารมณ์ใดออกไป พอลปรับสีหน้าคืนดังเคยเป็นมาเลี่ยงการถูกถามด้วยการเป็นฝ่ายตั้งคำถามก่อน

“ นี่แต่งตัวจะออกไปไหน ”

คนถูกถามกระพริบตาทั้งที่ยังค้างคาใจแต่ก็แกล้งทำไม่รู้เรื่อง

“ ว่าจะขับรถไปโรงพยาบาล ให้หมอตรวจว่ากระดูกหักจริงหรือเปล่า ” หยุดพูดเพื่อสวมแจ็กเก็ตหนังสีดำคลุมตัว “ แล้วจะแวะไปนอนห้องตัวเองบ้าง เห็นช่างโทรมาบอกว่าตกแต่งใหม่เสร็จแล้ว ”

พอลพยักหน้ารับรู้...โคลินยิ้มอ่อนพร้อมโบกมืออำลาถอยหลังตรงไปยังประตู จับลูกบิดตั้งท่าจะออกไปหากก็หยุดยืนนิ่งคล้ายกับมีตะกอนในใจให้ขบคิด เหลือบมาทางด้านหลังตนเองครั้งหนึ่งก็ตัดสินใจเปิดประตูกลับออกไปในที่สุด

เมื่ออยู่เพียงลำพัง เจ้าของห้องก็หลับตาฉีกซองจดหมายออกมาอ่านข้อความที่ใครคนหนึ่งเขียนมาหา เป็นเวลาหลายปีที่ห้องนี้มีของจากเมืองไทยส่งมาไม่เคยขาดกระทั่งอ่านจบทุกบรรทัดก็เก็บมันพับลงกล่องไว้ตามเดิมจากนั้นแสงไฟสว่างก็พลันดับมืดลงเหมือนทุกคราที่ชายหนุ่มต้องการใช้สมาธิ

เข็มนาฬิกาเดินทางไปข้างหน้าเกิดเป็นเสียงสะท้อนห้องที่เงียบเหงา แสงจากป้ายโฆษณาตรงตึกฝั่งตรงข้ามส่องลอดกระจกเข้ากระทบคนตัวสูงใหญ่ที่ยืนมองพระจันทร์ทรงกลดกลาง มหานครนิวยอร์กอย่างทอดอาลัย มือเรียวไล้สัมผัสรับเอาไออุ่นจากเนื้อไม้ของกล่องดนตรีก่อนจะถอดสลักเปิดกล่องขึ้น

กลิ่นดอกมะลิอ่อนหอมจรุงจมูก ลานที่ไขไว้ให้แต่แรกหมุนทวนกลับ กลไกภายในขยับเคลื่อนไหวให้เกิดเสียงดนตรีท่วงทำนองอ่อนหวาน...น่าแปลกที่เพลงนั้นทำให้ปลายนิ้วข้างหนึ่งของเขาขยับเคาะขอบหน้าต่างไปตามจังหวะราวกับคุ้นเคยเพลงนี้เป็นอย่างดี

...อดีตหนหลังยามหวนคิดถึงเลือนราง ทว่าสัมผัสหอมหวานถึงใครคนหนึ่งมิอาจจางหายได้

แม้นกาลเวลาจะผันผ่านนานเพียงไร

แม้นปรารถนาจะปลิดทิ้งสักเพียงใด

ก็มิอาจลบเลือนรอยเสน่หาที่จารลึกลงกลางดวงใจนี้ลงได้เสียที...



ปาณณิศา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 ก.ค. 2554, 19:46:35 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 ก.ค. 2554, 19:46:35 น.

จำนวนการเข้าชม : 2647





<< บทที่ 2   บทที่ 4 >>
เพชรทรียา 31 ก.ค. 2554, 20:47:43 น.
พอล ต้องคือ ภาค แน่เลย


ปูสีน้ำเงิน 31 ก.ค. 2554, 21:02:34 น.
:P


nako 1 ส.ค. 2554, 08:05:15 น.
มาอัพตอนต่อไปเร็วน้า


anOO 1 ส.ค. 2554, 10:33:21 น.
ถ้านายพอลคือภาค น้องเล็กของเราก็น่าสงสารแย่เลย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account