ดั่งบุหลันดั้นเมฆ
แพทย์หญิงสิตางศุ์จะตัดสินใจเช่นไรเมื่อในปัจจุบันเธอกำลังเผชิญมรสุมเลวร้ายของชีวิตสมรสอย่างหนักกับนักธุรกิจจอมเจ้าชู้ชื่อเมฆินทร์ แล้วจู่ๆ ก็มีโอกาสพบเรื่องมหัศจรรย์ เธอถูกพาย้อนอดีตไปอยู่ในร่างพราวบุหลันดาราสาวสวย ได้พบภากร...ผู้ชายแสนดีซึ่งเธอไม่เคยคิดว่าจะมีในโลก ทั้งสองร่วมกันฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย เธอเองก็แก้ไขเรื่องร้ายที่เกิดในอนาคตได้หลายเรื่องรวมทั้งการช่วยชีวิตภากรไว้ด้วย ความรักงดงามเบ่งบานกลางใจ ทว่าเธอสมควรเลือกเส้นทางใดกันแน่...เป็นสิตางศุ์ แพทย์สาวในปี ๒๕๕๘ ซึ่งทำประโยชน์ให้คนส่วนรวมได้มากมาย หรือเป็นดาราสาวชื่อพราวบุหลัน ใช้ชีวิตกับชายหนุ่มที่รักเธอสุดหัวใจ ในปี ๒๕๒๙ ตลอดไป


Tags: ข้ามเวลา แพทย์หญิง รักหวานซึ้ง

ตอน: บทที่ ๓

สวัสดีค่ะ นักอ่านที่รักทุกท่าน

"ดั่งบุหลันดั้นเมฆ" เป็นนิยายทำมือที่ดาริยากำลังรับสั่งจองค่ะ หากท่านใดสนใจสามารถติดตามความเคลื่อนไหวได้จากเฟซบุ๊คแฟนเพจ "ดาริยา" นะคะ ขอบคุณมากค่ะ ^___^


____________________


บทที่ ๓


แม้จะนั่งรับประทานอาหารไปเงียบๆ แต่ภากรก็พยายามสังเกตหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้าแบบไม่วางตา

ยอมรับว่าพราวบุหลันหลังฟื้นขึ้นมาแตกต่างไปจากคนเดิมจนเขาต้องตกใจ แถมเธอยังพูดจาแปลกๆ อ้างว่ามีคุณหมอสาวสิงอยู่ในร่างของเธออีก ชายหนุ่มไม่รู้จริงๆ ว่าควรเชื่อ หรือต้องรีบปรึกษาแพทย์กันแน่

แต่ขั้นแรกเขาควรลองสังเกตด้วยตัวเองก่อน เพราะหมอวิฑูรย์บอกแล้วว่าสมองของพราวบุหลันถูกกระทบกระเทือนรุนแรงมาก แม้หนึ่งเดือนผ่านไปแผลภายนอกไม่หลงเหลือแล้ว แต่ใครจะรู้ว่าในสมองของเธออาจมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงเกิดขึ้นก็ได้

และถึงตอนนี้ภากรกล้าพูดได้ว่าสมองของพราวบุหลันคงแปรปรวนไปมากจริงๆ

เอาง่ายๆ ถ้าเป็นแต่ก่อน ไม่มีทางที่ดาราสาวอย่างเธอจะออกมานอกห้องด้วยใบหน้าไร้การแต่งแต้มจากเครื่องสำอาง เขาไม่เคยลืมว่าก่อนหน้านี้พราวบุหลันเป็นคนแต่งหน้าจัด เธอไม่ยอมให้ใครเห็นเธอในสภาพไร้เครื่องสำอางโดยเด็ดขาด

นอกจากนี้วิธีการพูดจาของเธอก็ต่างไปจากเดิม เป็นเรื่องน่าแปลกที่เธอดูนุ่มนวลขึ้น แม้จะมีดุๆ อยู่บ้าง แต่ก็ยังน้อยกว่าแต่ก่อน

ชายหนุ่มตั้งใจไว้ว่าจะต้องคอยสังเกตอาการและการเปลี่ยนแปลงโดยละเอียด เพื่อเก็บไว้รายงานให้หมอวิฑูรย์รับทราบ เผื่อจะต้องทำการรักษาหรือช่วยเหลือก่อนจะสาย

บางครั้งภากรก็อดถามตัวเองไม่ได้ว่าทำไมถึงต้องมาคอยดูแลเอาใจใส่ผู้หญิงคนหนึ่งขนาดนี้ ทั้งที่เธอเป็นคู่หมั้นซึ่งเกิดจากการคลุมถุงชน หมั้นเพราะผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายเห็นดีเห็นงาม ซึ่งเขาเองไม่อยากขัดใจพ่อแม่ อีกอย่างเขาก็ยังไม่มีใคร หากก็ไม่เคยนึกรักพราวบุหลันขึ้นมาเลยแม้จะหมั้นกันมาสามเดือนแล้วก็ตาม แต่เพราะเหตุการณ์ในคืนนั้นแท้ๆ ที่ทำให้ความรู้สึกของภากรต่อเธอค่อยๆ เปลี่ยนไป

เขาคงไม่ไปพบเหตุการณ์นั้นแน่ หากลูกค้าที่นัดคุยงานในโรงแรมหรูแห่งหนึ่งใจกลางกรุงไม่เผลอหยิบแบบร่างการตกแต่งภายในที่เป็นส่วนของสถาปนิกติดไปด้วย ภากรย้อนรถกลับไปเอา และเมื่อเข้าไปในล็อบบีก็สังเกตเห็นกิตติพัฒน์ ดาราหนุ่มผู้โด่งดังและเป็นข่าวว่ามีความสัมพันธ์เกินเพื่อนกับพราวบุหลัน...อันที่จริงไม่ใช่แค่ ‘ข่าว’ พราวบุหลันเองเคยสารภาพกับเขาก่อนจะหมั้นกันว่าขอแค่หมั้นเท่านั้น เธอจะไม่ยอมแต่งงานกับภากรเด็ดขาด เพราะเธอมีคนรักแล้ว ซึ่งก็คือดาราหนุ่มคนนี้

แต่ภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำเอาภากรตัวชา เห็นชัดๆ ว่ากิตติพัฒน์กับหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงโซฟาหลบมุมนั่นกำลัง ‘นัวเนีย’ กันอยู่ เขาไม่ได้ดูผิดแน่ ยิ่งเมื่อดาราหนุ่มยืนขึ้นเต็มความสูงก็ยิ่งชัดเจนว่าเป็นเขา ใบหน้าคมสันแบบลูกครึ่งและผิวขาวกระจ่างไม่ได้หาง่ายๆ ในชายไทยทั่วไป

กิตติพัฒน์ควงแขนหญิงสาวสวมกระโปรงสั้นจนเกือบเห็นแก้มก้น เคล้าเคลียกันแบบไม่เกรงสายตาใคร ดูท่าทางก็รู้ว่าต่างก็อยู่ในอาการเมามาย ทั้งคู่ประคองกันไปขึ้นลิฟต์สู่ห้องชั้นบนของโรงแรม ภากรทำกระทั่งแอบมองว่าลิฟต์ไปหยุดตรงชั้นห้า ซึ่งไม่ใช่ชั้นที่มีร้านอาหารหรือห้องประชุม แน่นอนว่ากิตติพัฒน์นอกใจพราวบุหลัน ทั้งที่เธอทั้งรักและบูชาเขา เคยเล่าอย่างเทิดทูนว่าดาราหนุ่มเป็นชายนิสัยดีไม่เจ้าชู้ เหล้ายาไม่แตะต้อง...นี่แหละหนา หญิงสาวที่ถูกเลี้ยงมาอย่างนกในกรงทอง ทำให้ไม่ทันผู้คนได้ขนาดนี้ และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมในระยะหลังๆ ภากรจึงลดอาการห่างเหินจากเธอลง จนกระทั่งพราวบุหลันประสบอุบัติเหตุถูกรถชนขณะข้ามถนนจนศีรษะน้อคพื้น หนำซ้ำดาราหนุ่มคู่รักที่ว่าดีนักดีหนากลับหายสาบสูญไปไร้ร่องรอย กิตติพัฒน์ไม่เคยมาเยี่ยมหญิงสาวผู้อ่อนต่อโลกเลยแม้แต่ครั้งเดียว เป็นเรื่องน่าเวทนานัก

แต่พราวบุหลันหลังฟื้นขึ้นมานั้น แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง แววตาของเธอดูเฉียบแหลม วิธีการพูดแบบสาวสมัยใหม่ ฉลาด ทันคนทำเอาภากรเกือบเชื่อว่าเธอมาจากอนาคต...นี่เขาก็เริ่มเชื่อเรื่องไร้สาระของเธอแล้วเช่นนั้นหรือ

“ฉันอยากไปเดินเล่นริมทะเล คุณภากรพาไปหน่อยได้ไหมคะ”

เสียงคู่หมั้นสาวปลุกเขาจากภวังค์ ใบหน้าสวยหวานแย้มยิ้ม แม้เป็นรอยยิ้มเดิม แต่แววตาไม่ใช่!

“แหม! เรียกเสียเต็มยศเลยนะพราว แต่ก่อนหนูเรียกแค่ ‘คุณกร’ ไม่ใช่เหรอ”

จันทราทักถึงความเปลี่ยนแปลงขึ้นมา เป็นใครก็ต้องสังเกตเห็นท่าทีแปลกไปของพราวบุหลันทั้งนั้น

“อ๋อ ค่ะ เอ่อ...คุณกรพาพราวไปหน่อยนะคะ ออกไปสูดอากาศชายทะเลคงสดชื่นขึ้น”

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนพูดมีเจตนาบางอย่าง ไม่เช่นนั้นคงไม่พยายามหาโอกาสอยู่ตามลำพังกับเขาแน่ ชายหนุ่มลุกขึ้นไปขยับเก้าอี้ให้พราวบุหลันแล้วพาเธอเดินออกไปยังชายหาดหน้าบ้านพัก ก้าวเท้าช้าๆ เลียบริมทะเลเคียงคู่กันไปเงียบๆ อีกพักใหญ่เธอก็หันมาบอกเสียงเรียบ

“ทะเลที่นี่เปลี่ยนแปลงน้อยมากเลยค่ะ ต่อไปอีกยี่สิบเก้าปีก็จะยังสะอาดสะอ้านแบบนี้ จะต่างไปก็แค่มีโรงแรมและบังกะโลเรียงรายตลอดชายหาด มีเพียงบ้านพักชั้นเดียวทรงโบราณนั่นเท่านั้นที่ยังหลงเหลืออยู่”

คนเล่าเหม่อมองออกไปยังท้องทะเลเวิ้งว้างตรงหน้า แววตาแสนเศร้าราวกับคนพลัดถิ่นแปลกที่ทำเอาภากรนึกสงสารขึ้นมา...นี่เขาค่อยๆ เชื่อในสิ่งที่พราวบุหลันพูดเช่นนั้นหรือ เป็นไปได้อย่างไร

“คุณลองเล่าให้ผมฟังซิ ว่าทำไมจู่ๆ คุณก็เข้ามาอยู่ในร่างของพราวบุหลัน”

“นี่คุณเชื่อฉันแล้วเหรอคะ! โอ! ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ”

หญิงสาวยกมือขึ้นไหว้อย่างนอบน้อม ซึ่งไม่ใช่กิริยาที่พราวบุหลันคนเดิมจะทำ

“งั้นฟังฉันหน่อยนะคะ ฉันชื่อสิตางศุ์ มาพักอยู่ที่บ้านโบราณริมทะเลนั่นชั่วคราว เป็นบ้านอาของเพื่อน คืนแรกก็ไม่มีอะไร แต่พอเย็นวันต่อมา ฉันไปเจอหอยสังข์หนามสีขาวสวยมากๆ เลยบนชายหาดตรงที่เรายืนกันอยู่นี่แหละค่ะ ฉันหลงใหลเปลือกหอยชนิดนี้มากก็เลยตัดสินใจหยิบติดมือกลับไปไว้ตรงโต๊ะหัวเตียง แล้วคืนนั้นพอฉันหลับ วิญญาณก็ถูกฉุดผ่านเปลือกหอย หมุนวนจนไปโผล่บนท้องฟ้า ล่องลอยฝ่าม่านเมฆแล้วก็มาอยู่ในร่างของพราวบุหลันนี่แหละค่ะ ฉันรู้ว่ามันดูไม่น่าเชื่อเลย แต่สาบานได้ว่าที่พูดมาทั้งหมดเป็นเรื่องจริง คุณต้องเชื่อฉันนะคะ” หญิงสาวอ้อนวอน ดวงตาสวยแม้จะเป็นคู่เดิมแต่แววตานั้นดูอย่างไรก็ต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง

“คุณก็รู้ว่ามันเหลือเชื่อเกินไป แล้วอีกอย่างคุณก็เพิ่งฟื้นจากการเป็นเจ้าหญิงนิทรามาถึงหนึ่งเดือน บางทีอาจมีอะไรผิดปกติในสมองก็ได้”

“ฉันเข้าใจค่ะว่าเรื่องมันดูเกินจริง แต่ก็เป็นความจริงนะคะ” เธอตอกย้ำอีกครั้ง เม้มริมฝีปากราวกับใช้ความคิด มุ่งมั่นเต็มที่ในการหาวิธีชี้แจงจนเขายอมคล้อยตามให้ได้

“เอาละ ผมจะพยายามเชื่อคุณนะ เดี๋ยวรอดูไปอีกสักระยะ อย่างที่บอก บางทีสมองของคุณอาจจะค่อยๆ กลับมาเป็นปกติก็ได้” ชายหนุ่มยังคงแบ่งรับแบ่งสู้

“ถ้างั้นเบื้องต้น เพื่อลดความอึดอัด คุณช่วยเล่าเรื่องของคุณกับฉันให้ฟังหน่อย ยังไงเราเป็นคู่หมั้นกัน ฉันควรจะรู้จักคุณไว้บ้าง อย่างน้อยก็เพื่อไม่ให้คนอื่นสงสัย ฉันตัดสินใจแล้วว่าคุณจะเป็นคนเดียวที่ฉันบอกเรื่องนี้ให้รู้ เพราะไปพูดกับคนอื่น เขาต้องว่าฉันบ้าแน่ๆ เผลอๆ อาจถูกจับไปรักษาในโรงพยาบาลประสาทก็เป็นได้”

ภากรจ้องใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้า เป็นภาพที่เขาไม่คุ้นตาเอาเสียเลย ต้องยอมรับว่าเขาชอบพราวบุหลันในลักษณะธรรมชาติแบบนี้มากกว่า เพิ่งรู้ว่าแม้ไม่แต่งหน้าเธอก็สวยงามน่ารักอ่อนเยาว์ในแบบของเธอจนเขาอดนึกเอ็นดูไม่ได้ และถึงกับต้องถามตัวเองในใจว่าเขาจะแก่เกินไปสำหรับเธอหรือเปล่า

“ฉันอายุเท่าไหร่คะ?”

ราวกับพราวบุหลันรู้ว่าเขาคิดถึงเรื่องนี้พอดี จู่ๆ เธอก็ถามขึ้นมาอย่างสนใจใคร่รู้ แต่คำถามนั้นดูจะประหลาด หากใครมาได้ยินเข้าคงหัวเราะขำ

“ปีนี้คุณอายุครบยี่สิบสองแล้ว”

“ยี่สิบสองเอง ฉัน เอ่อ...สิตางศุ์อายุยี่สิบแปดแล้วค่ะ”

“งั้นคุณคงต้องปรับตัวให้เด็กลงหน่อยละ” ภากรพูดกลั้วหัวเราะ แม้จะยังไม่ปักใจเชื่อเรื่องเหนือจริงของเธอ แต่การค้านหรือขัดคอกันไปทุกเรื่องจะทำให้เสียบรรยากาศการคุยไปเปล่าๆ

“แล้วคุณล่ะ อายุเท่าไร”

พราวบุหลันช้อนสายตาขึ้นมาถามอย่างเกรงใจปนขัดเขิน เป็นท่าทางในแบบที่เธอไม่เคยทำมาก่อน

“ผมยี่สิบเก้า”

“โอ้โห! คุณหมั้นกับสาวอายุน้อยกว่าตั้งเจ็ดปี อืม แต่ก็ไม่แปลกหรอก เพราะสามีฉันก็แก่กว่าฉันเจ็ดปีเหมือนกัน”

“คุณ...มีสามีแล้ว”

บอกตามตรงว่าบางทีภากรก็เริ่มรู้สึกกลัว พราวบุหลันพูดอะไรแปลกมากขึ้นไปทุกทีจนไม่อยากเชื่อว่านี่คือเธอคนเก่า เขาจะต้องค่อยๆ พิสูจน์ให้ได้ว่ามันเกิดจากอะไรกันแน่ ชายหนุ่มนิ่งฟังหญิงสาวเล่าต่อ...หากนี่เป็นการแสดงเพื่อหลอกล่อให้เขาคิดว่าเธอเพี้ยนเพื่อจะไม่ต้องแต่งงานกันก็ถือเป็นการตีบทแตก สมกับเป็นดาราสาวแถวหน้าจริงๆ

“ฉันรู้ว่ามันเป็นเรื่องเหลือเชื่อ แต่ที่ฉันพูดมาทั้งหมดและที่คุณจะค่อยๆ รู้ต่อไปเป็นเรื่องจริงนะคะคุณกร ฉันคือแพทย์หญิงสิตางศุ์ ที่มาจากอนาคตอีกยี่สิบเก้าปีข้างหน้า ฉันอยากมีอะไรที่พิสูจน์ได้ แต่เสียดายว่าไม่ได้เอาอะไรติดตัวมาสักอย่าง”

หญิงสาวละสายตาจากท้องทะเลมาจ้องตาเขา คงหวังจะถ่ายทอดความรู้สึกจริงใจผ่านมาทางดวงตา ซึ่งมันก็ได้ผล ภากรรู้สึกได้ว่าทุกอย่างที่เธอพูดนั้นออกจากใจ

“คุณคงไม่รู้หรอกว่าฉันหวาดกลัวแค่ไหนที่ต้องอยู่ในสภาพนี้ โดยไม่รู้เลยว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับร่างของฉันซึ่งนอนหลับไปในห้องนอนเดียวกันแต่คนละเวลา ไม่รู้ว่าสิตางศุ์ตายไปหรือยัง แล้วทำไมถึงเกิดเหตุการณ์ประหลาดแบบนี้ขึ้นมา แต่ที่แน่ๆ มันเกี่ยวข้องกับเปลือกหอยที่ฉันไปเก็บมาอย่างไม่ต้องสงสัย ตามที่ฉันเล่าไปแล้ว”

“เปลือกหอย? จริงสิ!”

จู่ๆ ภากรก็นึกขึ้นได้ ถึงคำพูดหนึ่งของจันทรา ในวันแรกเมื่อพาร่างไร้สติของพราวบุหลันขึ้นรถพยาบาลมาลงที่บ้านโบราณหลังนั้น

‘ป้าเองก็ยอมรับนะคะว่าอาจจะดูไร้สาระหน่อย แต่หมอดูเก่งที่สุดคนหนึ่งแนะนำมา ป้าก็อยากลองทำตาม คงไม่เสียหายหรอก ดีกว่าให้พราวนอนนิ่งไม่รับรู้อะไรบนเตียงที่บ้านในกรุงเทพฯ ก็แค่คิดเสียว่าพาเธอมาพักผ่อน’ เมื่อเห็นภากรนิ่งฟังโดยไม่คัดค้าน อีกฝ่ายจึงเล่าต่อ ‘หมอดูบอกป้าว่าสถานที่แห่งเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ลูกพราวฟื้นขึ้นมาได้ และหมอดูก็มองเห็นชัดเจนในนิมิตว่าเป็นบ้านโบราณชั้นเดียวสร้างสมัยรัชกาลที่เจ็ด บอกลักษณะโดยละเอียด แล้วเชื่อมั้ยคะ มันเหมือนบ้านโบราณริมทะเลของน้อยเพื่อนป้าเป๊ะเลย ตอนฟังก็ขนลุกซู่ แล้วก็รีบโทร. ติดต่อทันที โชคดีว่าเพื่อนป้าช่วงนี้ไปเที่ยวยุโรป ลูกเธอทำงานที่นั่น คงอยู่กับลูกต่ออีกหลายเดือน ก็เลยอนุญาตให้ป้าพาพราวมาพักตามสบาย เพราะจะว่าไปปกติน้อยกับครอบครัวก็ไม่ค่อยมาพักหรอกค่ะ เพราะเอ่อ...ว่ากันว่ามีวิญญาณหญิงสาวคนหนึ่งอยู่ในบ้าน คอยปรากฏกายให้เห็นเป็นประจำ ที่สำคัญวิญญาณนั่นออกมาจากเปลือกหอยสังข์หนามอันใหญ่ที่อยู่บนหิ้งตรงหัวเตียง ซึ่งห้ามเด็ดขาดไม่ให้ใครเคลื่อนย้าย เพื่อนป้าทำที่เก็บกรุกระจกไว้อย่างดีเลย ถึงจะไม่ได้ใส่กุญแจแต่ก็สั่งแล้วสั่งอีกว่าห้ามยุ่ง’

เพราะเคยได้ยินเรื่องเปลือกหอยปริศนามาบ้าง ภากรจึงไม่ถึงกับปฏิเสธที่จะฟังพราวบุหลันพูดถึง ‘ผู้หญิงที่อยู่ในร่างของเธอ’ ซึ่งเขาก็ไม่รู้หรอกว่าจริงหรือเท็จ แต่เพราะเป็นคนไม่เคยลบหลู่ในเรื่องลี้ลับ ชายหนุ่มจึงเปิดใจฟังต่อและพยายามเข้าใจ

“ใช่ค่ะ ฉันมั่นใจว่าต้องเกี่ยวกับเปลือกหอยอันนั้น อย่างที่บอกว่าหลับไปได้พักเดียวฉันก็รู้สึกเหมือนโดนแรงดึงดูดเข้าไปในเปลือกหอยนั่น ผ่านม่านเมฆมาอยู่ในร่างนี้”

“ถ้าเป็นแบบนั้นจริงคุณก็ค่อยๆ พิสูจน์แล้วกันนะ เอาเป็นว่าตอนนี้คุณคงต้องทำใจให้สบาย ใช้ชีวิตไปตามปกติ สักวันคุณคงหาทางกลับไปได้ อีกอย่างหนึ่งที่คุณควรรู้คือในบ้านพักโบราณที่นี่ก็มีเปลือกหอยสังข์หนามเหมือนกัน อยู่ในตู้กระจกเหนือหัวเตียง คุณอาจจะยังไม่ทันสังเกตเห็น เป็นเรื่องน่าแปลกทีเดียวว่าไปพ้องกับเรื่องเปลือกหอยที่คุณเล่า”

“จริงเหรอคะเนี่ย! ฉันไม่ทันสังเกต นี่แสดงว่าต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกันแน่ๆ และฉันก็หวังว่าตัวเองจะหาทางกลับบ้านได้ในไม่ช้า แต่ช่วงนี้ก็ต้องปรับตัวไปก่อน มันไม่มีทางเลือกนี่คะ ถึงได้พาคุณมาคุยตามลำพัง อย่างน้อยฉันควรรู้จักตัวเองคนใหม่ไว้ให้มากที่สุดเผื่อจะต้องอยู่ในร่างนี้อีกนาน...พราวบุหลันเรียนจบแล้วใช่ไหมคะ” เธอซักต่อ คงต้องการให้สวมบทบาทพราวบุหลันได้แนบเนียนที่สุด

“ใช่ครับ พอเธอจบจากคณะนิเทศศาสตร์ ก็เริ่มเข้าสู่วงการบันเทิงทันที เพราะจริงๆ มีแมวมองมาติดต่อไว้ตั้งแต่อยู่ปีหนึ่งแล้วด้วยซ้ำ แต่คุณป้าจันทราไม่อนุญาต ประวิงเวลาให้เรียนจบก่อน”

“แล้วคุณกับเธอหมั้นกันนานหรือยัง”

“เราหมั้นกันแค่สามเดือนคุณ...เอ่อ...พราวบุหลันก็โดนรถชนตอนข้ามถนน ศีรษะน้อคพื้นไม่รู้สึกตัวมานานหนึ่งเดือน จนกระทั่งมาฟื้นเอาเมื่อสายๆ วันนี้”

“แล้วเรารักกันหรือเปล่าคะ หมายถึงคุณกับพราวบุหลัน”

“ไม่ได้รักกันเลย แต่เป็นเพราะพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายเห็นดีเห็นงาม พ่อผมกับลุงชำนาญเป็นเพื่อนสนิทกันมากชนิดที่ว่าตายแทนกันได้ ระยะหลังพ่อผมป่วยกระเสาะกระแสะ เข้าโรงพยาบาลบ่อยๆ มีครั้งหนึ่งอาการทรุดหนักมากถึงขั้นเข้าห้องไอซียู ท่านเรียกผมไปพบ บอกว่าอยากให้เป็นฝั่งเป็นฝาเสียที ท่านขอร้องให้ผมแต่งงานกับคุณ”

“แล้วคุณก็ยอมเนี่ยนะ” พราวบุหลันเอ่ยเสียงดัง สีหน้าประหลาดใจเต็มที่

“คงเป็นเพราะผมยังไม่มีใคร อีกอย่างหนึ่งก็อยากให้พ่อมีความสุข หายป่วยไวๆ ก็เลยยอมไปก่อน แต่เราทั้งคู่ก็ตั้งเงื่อนไขกับผู้ใหญ่อยู่นะ ว่าขอเป็นหมั้นกันไว้ก่อน ดูๆ กันไปน่ะ พอเริ่มเตรียมงานหมั้นเท่านั้นแหละ พ่อผมก็หายป่วย ดูกระชุ่มกระชวยมีชีวิตชีวา ยิ่งหลังหมั้นกันแล้วพ่อก็แข็งแรงสดชื่นราวกับเป็นคนละคน ยังไงผมก็ดีใจนะ ที่ตัดสินใจไม่ผิด พ่อมีน้องสาวเป็นหญิงล้วนๆ หลายคน แถมไม่มีใครยอมออกเรือน ท่านก็เลยคิดอยากมีหลานไว้สืบสกุลมาก ท่านยังฝังใจกับการที่พี่ชายผมตายไปด้วยอุบัติเหตุ ท่านเสียขวัญ หวาดกลัวกับความไม่แน่ไม่นอน จึงอยากให้ตระกูลของเรามีผู้สืบสกุลหลายๆ รุ่น และภาระหนักก็ตกที่ลูกชายอย่างผม”

“คุณนามสกุลอะไรคะ” คนถามมีสีหน้าสนอกสนใจ ภากรจึงรีบตอบ

“นฤวงศ์ธนา”

“อ๋อ”

“คุณรู้จักด้วยเหรอ! อีกยี่สิบเก้าปีตระกูลผมเป็นยังไง”

เขาเผลอหลุดปากถามออกไปทั้งที่มาคิดดูแล้วเป็นคำถามที่ตลกสิ้นดี อีกฝ่ายยิ้มกว้าง รีบดักคอ

“นี่แสดงว่าคุณเชื่อเรื่องที่ฉันเล่าแล้วใช่ไหมคะ”

นั่นสินะ ชายหนุ่มอดถามตัวเองไม่ได้ว่าเขาเชื่อเธอตั้งแต่เมื่อไร ในเมื่อเรื่องที่เล่านั้นดูเกินจริง เหมือนเด็กเพ้อฝันคนหนึ่งแต่งเรื่องหลอกผู้ใหญ่ แต่คงเป็นเพราะสีหน้าและแววตาจริงจังในขณะพูด รวมทั้งกิริยาท่าทางของพราวบุหลันซึ่งเปลี่ยนไปจนน่าอัศจรรย์ทำให้เขาเกิดเอนเอียงที่จะเชื่อเธอขึ้นมา

“ก็ทำนองนั้น ผมจะพยายามเชื่อคุณดู”

“งั้นฟังนะคะ อีกยี่สิบเก้าปีข้างหน้าตระกูลของคุณจัดเป็นตระกูลใหญ่ทีเดียว มีอิทธิพลที่สุดในวงการอสังหาริมทรัพย์ มีบริษัทในเครือที่เน้นไปทางรวบรวมสถาปนิกชั้นนำไว้ด้วยกัน พูดได้ว่าเป็นหนึ่งในสามของบริษัทออกแบบสิ่งก่อสร้างชั้นเยี่ยมของเมืองไทยก็ว่าได้”

“แสดงว่าผมมาถูกทางแล้วสิ ดีนะที่เลือกเรียนสถาปัตย์จนจบแล้วยังต่อโททางนี้อีกเพราะความสนใจ”

“คุณจบปริญญาโทด้วยเหรอคะเนี่ย” หญิงสาวทำตาโต ท่าทางประหลาดใจมาก

“ใช่ครับผมไปเรียนต่อที่อังกฤษ”

“โอ้โห! ดีจัง ฉันได้ข่าวว่าที่นั่นมีสถาบันสอนด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์เก่าแก่ที่สุดของอังกฤษแห่งหนึ่ง ดังมากๆ ด้วย ถูกจัดอันดับว่าดีที่สุดของโลกด้วยซ้ำ ใครจบที่นั่นไม่มีวันตกงาน” เธอเอ่ยชื่อสถาบันออกมาด้วยน้ำเสียงชัดเจนมั่นอกมั่นใจ

“ใช่ครับ ผมจบจากสถาบันนั้น” ภากรบอกอย่างภูมิใจ อันที่จริงเรื่องนี้เขาไม่ค่อยเล่าให้ใครฟังมากนัก เกรงจะเป็นการโอ้อวด แต่ก็ต้องยอมรับว่าการที่คนไม่ได้อยู่ในแวดวงกลับรู้จักสถาบันที่เขาเรียนจบมาเป็นเรื่องน่าทึ่งไม่น้อย

“แสดงว่าคุณต้องเก่งมากเลย ฉันยินดีด้วยจริงๆ ค่ะ เพื่อนฉันคนหนึ่งมันใฝ่ฝันอยากเรียนที่นั่นมาก แต่ก็ไม่สำเร็จ”

“แปลกนะ คุณดูเหมือนรู้จักสถาบันในอังกฤษดีจัง”

“อีกเกือบสามสิบปีข้างหน้าถ้าคุณสนใจอะไรก็ค้นคว้าหาเอาจากอินเทอร์เน็ตได้ เป็นเรื่องง่ายมากๆ ฉันไม่ถึงกับรอบรู้อะไรหรอกค่ะ แค่ชอบท่องเน็ต”

ชายหนุ่มค่อนข้างงุนงงกับคำว่า ‘ท่องเน็ต’ อันเป็นภาษาแปลกๆ จากปากเธอ แต่ก็ยังชวนคุยต่อ

“นั่นสินะ ผมเชื่อว่าคุณพูดจริง เป็นไปได้ที่ในอนาคตคอมพิวเตอร์จะมีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันมาก แต่ขณะนี้ในเมืองไทยน่ะ หาคอมพิวเตอร์ให้เห็นยากมาก ยังไม่แพร่หลายเลย”

“พระอาทิตย์กำลังจะลับฟ้าแล้ว เราเดินกลับบ้านกันดีมั้ยคะ เดี๋ยวจะมืด ไฟส่องสว่างก็ยังค่อยไม่มีเสียด้วย” เธอตัดบท
ภากรรู้สึกได้ว่าหญิงสาวพยายามยั้งปากไว้ เธอคงอยากบอกว่าทั้งที่ในอนาคตข้างหน้าแถวนี้จะไม่ดูเปลี่ยวแบบนี้ จะมีการติดตั้งไฟตามแนวชายหาดเป็นระยะ

นี่เขาเผลอเชื่อเธอไปแล้วว่าเธอมาจากอนาคต! เชื่อมากขึ้นทุกทีเสียด้วย ทั้งที่มันดูเหนือจริงและไร้สาระเหลือเกิน แต่สิ่งที่พราวบุหลันค่อยๆ พูดออกมาและท่าทางอันเปลี่ยนไปมากของเธอทำให้ภากรต้องฉุกคิด เขาต้องเพิ่มการสังเกตมากขึ้นไปอีก คงทำให้รู้ความจริงในไม่ช้านี้ว่าเขาควรเลือก ‘ปักใจเชื่อ’ หรือพาเธอไปหาจิตแพทย์กันแน่
__________________________________________________________________________


ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน ขอบคุณทุกคอมเมนต์ค่ะ ^____^



ดาริยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 มี.ค. 2559, 17:39:00 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 มี.ค. 2559, 07:37:00 น.

จำนวนการเข้าชม : 1004





<< บทที่ ๒   บทที่ ๔ >>
Zephyr 17 มี.ค. 2559, 21:27:26 น.
แหม เกรงว่าเวลาผ่านไป คงไม่ต้องพาไปหาหมอไหนสิคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account