มนต์อักษรอ้อนรัก
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ 11
บทที่ 11
“โทรศัพท์มีแต่ไม่รู้จักเปิด อย่างนี้ไม่รู้จะมีไว้ทำไม!”
“บางทีแบตฯ ยายขวัญอาจหมดก็ได้”
กนกบอกลูกชาย รู้ดีว่าสาเหตุที่กอบบุญกำลังหัวฟัดหัวเหวี่ยงทั้งที่ตอนนี้ใกล้ห้าทุ่มนั่นก็เพราะความเป็นห่วงครองขวัญ หลังจากพยายามโทรศัพท์หาตั้งแต่สี่ทุ่มแต่ยังติดต่อไม่ได้
“เราไปแจ้งความดีไหมคะคุณ”
บุษรัตน์เสนอด้วยสีหน้าวิตก ที่ผ่านมาครองขวัญไม่เคยกลับบ้านผิดเวลาขนาดนี้ ยิ่งกอบบุญเพียรโทรศัพท์หาเกือบชั่วโมงแต่ยังติดต่อไม่ได้ก็ร้อนใจจนอยากจะออกไปตามหา แต่จนปัญญาไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหน
“อย่าเพิ่งเลย ยายขวัญแค่กลับบ้านช้ากว่าปกติ ตำรวจเขายังไม่รับแจ้งความหรอก”
กนกแย้งเสียงเรียบทั้งที่นึกห่วง ถึงไม่ใช่หลานแท้ ๆ แต่เขาก็รักและเอ็นดูหญิงสาวเหมือนลูกเหมือนหลาน
“แล้วนี่เราจะทำยังไงกันดีละคะ”
กอบบุญมองสีหน้าเดือดเนื้อร้อนใจของมารดาแล้วก็ฮึ่มฮั่มอยู่ในอก ทั้งที่เคยบอกครองขวัญไปแล้วว่าจะไปไหนให้โทร. บอก แต่นอกจากไม่ทำแล้วยังไม่คิดจะติดต่อกลับมา จนเขาทั้งโมโหร้อนใจและเป็นห่วงจนไม่รู้ว่าตอนนี้ความรู้สึกแบบไหนกันแน่ที่มากกว่า
“พ่อกับแม่ไปนอนเถอะครับ ผมจะอยู่รอไอ้ขวัญเอง”
ชายหนุ่มบอกอย่างเป็นห่วงบิดามารดาซึ่งสูงวัยแล้ว ไม่ควรต้องมาอดตาหลับขับตานอนเพียงเพราะหลานสาวตัวดีที่ไม่รู้จักนึกถึงจิตใจของคนอื่น
“ถึงยังไงแม่ก็คงนอนไม่หลับอยู่ดี”
บุษรัตน์บอกพลางชะเง้อชะแง้ไปทางประตูหน้าบ้านด้วยความหวัง
“แต่ถึงนั่งรออยู่อย่างนี้ก็ไม่ช่วยอะไร ทำตามที่เจ้ากอบบอกเถอะ อย่าลืมว่าหมอสั่งนักสั่งหนาห้ามคุณนอนดึกให้พักผ่อนมาก ๆ”
คำพูดตอนท้ายของสามีทำให้บุษรัตน์ต้องถอนหายใจ เพราะสุขภาพที่ถูกรุมเร้าด้วยสารพัดโรค ทั้งความดันเบาหวานจนต้องหมั่นไปพบแพทย์และถูกกะเกณฑ์เวลาเข้านอนไม่ต่างจากเด็กตัวเล็ก
คล้อยหลังพ่อกับแม่ กอบบุญก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่เพื่อระบายความกดดันที่เกิดจากการเฝ้ารอ
เพราะไม่อยากแสดงความเป็นห่วงให้พ่อกับแม่เห็นด้วยเกรงจะทำให้ทั้งสองยิ่งวิตก เขาจึงกลบเกลื่อนด้วยการแสดงความโมโหแทน ยิ่งเวลาผ่านไปแต่ละวินาทีความเป็นห่วงและกังวลก็ยิ่งรุมเร้าจนสุดท้ายต้องระเบิดออกมาเป็นเสียงคำรามอย่างอัดอั้นตันใจ
“ไอ้ขวัญนะไอ้ขวัญ ถ้ากลับมาเมื่อไรฉันจะขังแกไว้ในบ้านไม่ให้ออกไปไหนอีกเลย!”
ขณะเดียวกัน คนที่ทำให้ครอบครัว ‘น้ำใจงาม’ ไม่เป็นอันหลับอันนอน ก็ไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ในสถานการณ์ที่กำลังเผชิญ
“ป่านนี้คุณลุงคุณป้ากับพี่กอบคงเป็นห่วงฉันแย่”
ครองขวัญเปรยอย่างรู้สึกผิด เดาได้ว่าทั้งลุงและป้ารวมถึงกอบบุญคงไม่มีใครหลับลง ยิ่งนึกถึงโทรศัพท์มือถือที่ถูกพวกโจรยึดเอาไว้ก็อดไม่ได้ต้องถอนหายใจ
“ถ้าเราออกไปจากที่นี่ได้เมื่อไร ผมจะไปอธิบายกับคุณลุงคุณป้าของคุณเอง”
คำบอกของนินนาทยิ่งทำให้ครองขวัญนึกอยากทอดถอนใจอีกรอบ
ถ้าออกไปจากที่นี่ได้
ครองขวัญรำพึงในใจ ก่อนนึกต่อ
จนป่านนี้พวกนั้นยังไม่ยอมบอกจุดประสงค์ที่จับตัวนินนาทกับเธอมากักขัง ถึงเบาใจที่พวกนั้นยังมีน้ำใจเพราะไม่เพียงมียาลดไข้แต่ยังมีอาหารกับน้ำดื่ม แต่ถึงอย่างไรนั่นก็ไม่ได้เป็นการรับประกันว่าชีวิตของเธอกับเขาจะปลอดภัย
แล้วถ้า...เธอกับเขาไม่สามารถมีชีวิตรอดออกไปได้ล่ะ
คำถามที่ผุดขึ้นนั้นส่งผลให้ใจหายจนครองขวัญอดไม่ได้ต้องมองนินนาทซึ่งนั่งอยู่ไม่ห่าง แต่ต้องรีบหลบตาเมื่อพบว่าชายหนุ่มกำลังมองมา
“คุณคงเกลียดผมมากสินะครองขวัญ”
คำถามนั้นทำให้หญิงสาวต้องมองอย่างสงสัย
“ทำไมถึงพูดแบบนี้ละคะ”
“เพราะ...” นินนาทถอนหายใจ “ตั้งแต่แรกผมทำเหมือนหลอกลวงคุณถึงไม่ได้ตั้งใจแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ แล้วตอนนี้ยังทำให้คุณพลอยลำบากมาเสี่ยงชีวิตไปด้วย ถ้าคุณจะโกรธเกลียดผมก็สมควรแล้ว”
ไม่ใช่แค่น้ำเสียงที่ราวสิ้นหวัง หากสีหน้าและท่าทางของชายหนุ่มก็ดูท้อแท้จนครองขวัญเห็นแล้วใจอ่อน จะว่าไปเธอไม่ได้นึกโกรธเขาอีกแล้ว ยิ่งเขาต้องมาเจ็บตัวเพราะปกป้องเธอ เธอก็รู้สึกว่าเรื่องที่ผ่านมานั้นไม่สำคัญเลยสักนิด
เพราะเรื่องที่สำคัญกว่านั้นคือเธอกับเขาจะมีชีวิตรอดออกไปจากที่นี่ได้หรือเปล่า
“ฉันไม่เคยเกลียดคุณค่ะ”
ดวงตาสีนิลเหมือนจะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งเมื่อผู้เป็นเจ้าของไม่ได้มีทีท่าหม่นซึมเหมือนอย่างเมื่อครู่
“จริงหรือครองขวัญ คุณไม่ได้เกลียดผมหรือ”
“ค่ะ” ครองขวัญยิ้มตอบอย่างอดไม่อยู่เมื่อนินนาทส่งยิ้มสว่างไสวมาให้ “ฉันไม่เคยเกลียดคุณเลยจริง ๆ”
ตรงกันข้ามเลยมากกว่า
หญิงสาวต่อประโยคนั้นในใจอย่างหม่นหมอง เมื่อคิดว่าเขาคงแค่รู้สึกผิดแต่ไม่ได้คิดอะไรมากกว่านั้น ไม่เหมือนกับเธอ
ความรู้สึกในใจผลักดันครองขวัญให้ขยับเข้าไปใกล้แล้วแตะเบา ๆ ตรงบาดแผลของนินนาท
“ยังเจ็บหรือเปล่าคะ”
นินนาทไม่ตอบคำถามนั้นแต่ยื่นมือไปกุมมือของครองขวัญ แล้วบอกเสียงอ่อนโยนไม่ต่างจากแววตา
“ขอบคุณ”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ แค่ทำแผลให้เท่านี้เองไม่ใช่เรื่องใหญ่โตสักหน่อย”
ครองขวัญบอกอย่างขัดเขิน หวนนึกถึงตอนที่ลงมือทำความสะอาดและใส่ยาให้ ตอนนั้นนินนาทก็เอาแต่มองหน้าเธอเงียบ ๆ อย่างตอนนี้
“ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้ แต่หมายถึงทุกเรื่องตั้งแต่วันแรกที่เรารู้จักกัน”
แวบแรกหญิงสาวนิ่งงันเพราะยังสับสน แต่วินาทีต่อมาหัวใจก็เต้นระรัวเมื่อนินนาทยกมือเธอขึ้นแนบริมฝีปาก จากนั้นก็นำไปวางชิดอกด้านซ้ายจนเธอสัมผัสได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจ
“ขอบคุณที่เข้ามาในชีวิตของผม”
ณ ตอนนั้น ด้วยนิสัยช่างฝันและใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในโลกของจินตนาการ ครองขวัญเกือบคิดเข้าข้างตัวเองว่านั่นคือการบอกรักทางอ้อม ยิ่งมองเข้าไปในดวงตาสีนิลแล้วเห็นถึงความอ่อนโยนอ่อนหวาน หัวใจก็เหมือนถูกหลอมละลายจากความอบอุ่น ทว่าไม่กี่วินาทีต่อมาสำนึกแห่งความเป็นจริงก็กระแทกเข้ามาในใจไม่ต่างจากมือยักษ์ที่กระชากเธอออกมาจากห้วงฝัน
หยุดเพ้อได้แล้วครองขวัญ นี่มันชีวิตจริงนะไม่ใช่นิยายที่แต่งขึ้นมาเอง
หญิงสาวปรามตัวเอง ก่อนตอกหมุดย้ำเข้าไปในหัวใจเมื่อเปรียบเทียบสถานะระหว่างเขากับเธอ
เขาไม่คิดอะไรกับลูกเป็ดขี้เหร่อย่างเธอหรอก
ครองขวัญไม่ได้ดูถูกตัวเองแต่เธอรู้ดีว่าไม่ใช่คนสวยเลิศเลอ ส่วนนินนาท...ที่ผ่านมาคงเจอกับสาวสวยมากหน้าหลายตา
แล้วอย่างนี้ เธอยังกล้าหวังได้อีกหรือว่าเขาจะสนใจ
“อย่าพูดแบบนี้เลยค่ะ”
ความน้อยใจและท้อแท้ทำให้ครองขวัญดึงมือออกจนเกือบเป็นกระชาก ไม่ทันเห็นถึงท่าทีชะงักงันของนินนาทและดวงตาสีนิลที่หม่นแสงลงฉับพลัน
ความเงียบที่ตามมาหลังจากนั้นน่าอึดอัด ยิ่งนินนาทเอาแต่เฝ้ามองเธอราวกับจะค้นหาความจริงของหัวใจ ครองขวัญจึงตัดสินใจจะเบี่ยงเบน และวินาทีนั้นเรื่องที่แวบเข้ามาในสมองมีเพียงเรื่องเดียว
“บอกฉันได้ไหมคะ ระหว่างคุณกับป้าไร เอ่อ...ฉันหมายถึงแม่ของคุณน่ะค่ะ มีปัญหาอะไรกันคะ”
“แม่ของผมไม่เคยเล่าหรือพูดเรื่องของผมบ้างเลยหรือ เพราะเท่าที่ฟังจากหนูนา คุณกับแม่ผมสนิทกันมาก ถึงขนาดว่าแม่ของผมอยากได้คุณมาเป็นลูกสาวอีกคน”
ครองขวัญเริ่มอึดอัด แน่ใจว่าไม่ได้ถูกนินนาทพูดประชดแต่ก็ไม่แน่ใจว่าชายหนุ่มกำลังรู้สึกอย่างไรแน่
โกรธ น้อยใจ หรือว่าไม่พอใจ
หญิงสาวปัดความคิดวุ่นวายทิ้งพลางนึกทบทวนเรื่องในอดีต ก่อนเริ่มต้นพูด
“ใช่ค่ะ ป้าไรเคยพูดเรื่องของคุณให้ฉันฟังบ้างแต่ไม่มากนัก เพราะทุกครั้งที่พูดถึงลูกชายที่ไม่ยอมติดต่อมาหาไม่ยอมกลับมาเยี่ยมท่านเลยสักครั้ง ถึงแม้ป้าไรจะดูมีความสุขแต่ขณะเดียวกันก็เหมือนคนที่มีเรื่องเจ็บปวดในใจ สีหน้าของป้าไรเวลาพูดถึงลูกชาย แทบทุกครั้งดูแฝงไว้ด้วยความรู้สึกผิด จนทำให้ฉันนึกสงสัยบ่อย ๆ ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น”
เมื่อเห็นนินนาทมีทีท่าราวกับเหม่อลอย ครองขวัญก็คิดว่าเขาคงไม่ได้สนใจฟังแล้วคงไม่ยอมเล่าอะไรแน่ เนิ่นนาน...กระทั่งได้ยินเสียงถอนหายใจของเขา ทำให้ต้องหันไปมองแล้วจึงพบว่าชายหนุ่มเอาแต่จับจ้องไปเบื้องหน้าด้วยแววตาว่างเปล่าราวกับกำลังปล่อยใจไปกับเรื่องราวในอดีต
“ตอนผมแปดขวบ หนูนาเพิ่งเกิดได้ไม่นาน พ่อของผมก็เสียชีวิตเพราะหัวใจวายกะทันหัน ตอนนั้นถึงยังเด็กแต่ผมจำได้ว่าทุกอย่างรอบตัววุ่นวายไปหมด โดยเฉพาะแม่เพราะหลังจากนั้นผมแทบไม่ได้เห็นหน้า จนวันหนึ่งผมไม่สบาย สำหรับเด็กตัวเล็ก ๆ คุณคงเข้าใจนะว่าเวลาไม่สบายก็อยากให้พ่อแม่คอยดูแลอยู่ใกล้ ๆ ผมเองก็ไม่ต่างกัน ถึงจ้างคนมาคอยดูแลแต่ยังไงก็ไม่เหมือนพ่อแม่”
เงียบไปครู่เมื่อชายหนุ่มหลับตาลงเหมือนต้องการข่มความรู้สึกที่พวยพุ่งขึ้นมาจากการนึกถึงอดีต ก่อนลืมตาขึ้นมาแล้วเล่าต่อด้วยแววตาเลื่อนลอยราวกับถูกสะกดไว้ด้วยเงาของความหลัง
“ผมยังจำได้ดี เช้าวันนั้นคุณแม่เข้ามาดูอาการผมในห้อง ผมพยายามอ้อนวอนขอให้ท่านอยู่เป็นเพื่อน อย่าทิ้งผม แต่...ถูกปฏิเสธ”
น้ำเสียงแหบแห้งในตอนท้ายนั้นทำให้ครองขวัญนึกสงสารเด็กชายนินนาทในอดีต พอเดาได้ว่าในความรู้สึกของเด็กตัวเล็กที่กำลังป่วยไข้คงไม่เข้าใจและเจ็บปวด
ก็คงไม่ต่างกับเธอในตอนที่เสียพ่อแม่ไปเมื่ออายุห้าขวบ
เมื่อนึกเปรียบเทียบกับตัวเอง ครองขวัญก็ยิ่งเห็นใจนินนาท
“ตอนนั้นผมถามแม่ ทำไมถึงจะทิ้งผมไม่รักผมแล้วหรือ ตั้งแต่พ่อตายแม่แทบไม่มีเวลาให้เลย แม้แต่หนูนาก็ต้องให้พี่เลี้ยงคอยดูแล คุณแม่เงียบไปพักใหญ่ก่อนบอกว่ายังรักผมและน้องเหมือนเดิมแต่ท่านมีความจำเป็นต้องรับผิดชอบชีวิตคนนับพันในบริษัท ท่านไม่อาจเห็นแก่ตัวเลือกอยู่กับผมในขณะที่บริษัทกำลังเดือดร้อน ท่านว่าคนนับพันที่ฝากชีวิตไว้กับบริษัทก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าครอบครัว จากนั้นท่านก็ทิ้งผมไป วินาทีนั้นผมจึงเข้าใจ ระหว่างบริษัทกับผมซึ่งเป็นลูก แม่...เลือกบริษัทมากกว่า”
“คุณนิน”
ถึงตอนนี้น้ำตาครองขวัญก็เอ่อคลอ รู้สึกราวกับความเจ็บปวดในหัวใจของนินนาทกำลังถ่ายเทมาสู่หัวใจของเธอ
“ผมโกรธ...และเสียใจมาก นับจากวันนั้นผมกับแม่ก็เหมือนเป็นเส้นขนาน กระทั่งมาถึงจุดแตกหักในตอนที่ผมอายุสิบห้าเมื่อแม่บอกว่าจะส่งผมไปเรียนต่างประเทศเพื่อให้กลับมารับช่วงบริหารบริษัทต่อจากท่าน”
ตอนนี้เองที่ครองขวัญเห็นว่าดวงตาของนินนาทค่อนข้างแดงก่ำ เสี้ยวหน้าด้านข้างซึ่งขึ้นสันนั้นบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังขบฟันแน่นเหมือนพยายามข่มความรู้สึกร้าวลึกในหัวใจ
“อะไร ๆ ก็บริษัท ดูเหมือนทุกลมหายใจของแม่มีแต่บริษัท ไม่เคยถามหรือนึกถึงความรู้สึกของผมเลยว่าอยากไปไหม ถึงตอนอยู่บ้านแม่ไม่ค่อยมีเวลาให้แต่ยังไงก็ไม่เหมือนตอนถูกสั่งไปให้เมืองนอก มันเหมือน...ถูกเสือกไส ไม่เป็นที่ต้องการ ถูกทำเหมือนเป็นเครื่องจักรเป็นแค่หุ่นยนต์ที่มีหน้าที่ทำตามคำสั่ง ไม่ใช่คนที่มีชีวิตจิตใจ...ไม่ใช่ลูก”
“คุณนิน...”
ครองขวัญไม่อาจห้ามใจได้อีกแล้วจนต้องทำตามปรารถนาเมื่อยื่นมือไปเกาะกุมมือของชายหนุ่มไว้
นี่เองสินะที่ทำให้อุไรทิพย์มักมีสีหน้ารู้สึกผิดเสมอ แม้มีความสุขยามได้พูดถึงลูกชายคนโตแต่กระนั้นก็สุขได้ไม่เต็มที่
แต่นินนาททำเหมือนสัมผัสไม่ได้ถึงความรู้สึกที่ครองขวัญกำลังถ่ายทอด เมื่อยังคงเอาแต่จมอยู่กับภาพแห่งอดีต
“วันนั้นผมกับแม่ทะเลาะกันรุนแรงมาก ถึงขนาดผมพูดว่า...ผมเกลียดแม่และจะไม่กลับมาเหยียบบ้านอีก วันนั้นผมเห็นแม่ร้องไห้เป็นครั้งแรก ทั้งที่ในวันที่พ่อตาย...ผมยังไม่เคยเห็นน้ำตาของแม่ด้วยซ้ำ”
หัวใจของครองขวัญเหมือนถูกบีบเมื่อจับได้ถึงกระแสเสียงสั่นพร่าของนินนาท แม้ใจหนึ่งเริ่มไม่อยากฟังเพราะไม่อยากเห็นความเจ็บปวดของเขา กระนั้นเธอก็ยังคงนิ่งฟังชายหนุ่มระบายความในใจต่อ
“แต่ไม่ว่ายังไงแม่ก็ไม่เปลี่ยนใจ และผมก็โกรธและแค้นใจเกินกว่าจะอ่อนข้อ ผมเดินทางไปต่างประเทศทันทีที่ทุกอย่างพร้อม และทำตามที่พูดไว้คือไม่กลับมาหาแม่เลยสักครั้ง ทั้งที่จริง ๆ แล้วบินกลับมาบ่อย ๆ แต่แค่มาพบกับหนูนา”
เมื่อนินนาทหันมามองเธอ ครองขวัญก็ใจหายยามเห็นดวงตาสีนิลไร้ประกายเหมือนอย่างเคย ยิ่งเขายิ้มเหมือนกับฝืนเค้น เธอก็แปลบปลาบในใจราวกับถูกใครเอาเข็มมาทิ่มแทง
“คุณคงนึกเกลียดผมขึ้นมาแล้วสินะที่ใจร้ายกับแม่ตัวเองได้ถึงขนาดนี้”
คำถามนั้นถูกเปล่งออกมาด้วยน้ำเสียงแห้งแล้งราวกับคนหมดสิ้นความหวังจนครองขวัญเผลอกระชับมือที่เกาะกุมนินนาทไว้ราวกับจะใช้เป็นตัวช่วยยืนยันคำพูดต่อจากนี้
“ไม่ค่ะ คุณไม่ได้ใจร้ายและฉันก็ไม่ใช่คนที่เกลียดใครง่าย ๆ ฉันเชื่อว่าทุกคนมีเหตุผลในการตัดสินใจทำอะไรลงไป แล้วฉันก็เชื่อว่าที่ผ่านมาคุณก็คงใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุขนัก เพราะจริง ๆ แล้วคุณไม่ได้เกลียดแม่ของคุณ แต่เพราะทิฐิทำให้คุณฝืนใจทำในสิ่งที่ไม่ต้องการ ทั้งที่ใจจริง...คุณคงอยากกลับมาหาแม่ของคุณ อยากกลับมาบอกท่านว่า...คุณรักท่านมากแค่ไหน”
ครองขวัญไม่ได้พูดเพื่อปลอบใจนินนาท แต่เพราะเชื่อมั่นว่าเขาต้องคิดและรู้สึกอย่างนั้น ถ้าเขาเกลียดแม่ของเขาจริงก็คงจะไม่รีบกลับมาเพื่อให้ทันดูใจอุไรทิพย์ในวาระสุดท้ายของชีวิต
เงียบไปครู่หนึ่ง ราวกับหญิงสาวจะให้ชายหนุ่มได้มีเวลาซึมซับคำพูดที่เธอคิดจะบอกต่อจากนี้
“แล้วฉันก็เชื่อค่ะ ว่าไม่เคยมีเวลาไหนที่ป้าไรไม่นึกถึงคุณ แต่ไม่ใช่เพราะความรู้สึกผิดกับเรื่องในอดีตที่ทำให้คุณเจ็บปวด แต่เป็นเพราะ...ท่านรักคุณ รักไม่น้อยไปกว่าหนูนา และไม่แน่ว่าอาจจะรักคุณ...มากกว่าทุกคนบนโลกใบนี้”
ครองขวัญจบคำพูดสุดท้ายพร้อมกับเม็ดน้ำตาที่พร่างพรูจากความสะเทือนใจ ทั้งสงสารและเห็นใจอุไรทิพย์กับนินนาทที่ทั้งคู่ต้องเสียเวลาไปหลายปีโดยเปล่าประโยชน์
ถ้าเข้าใจไม่ผิด เธอเชื่อว่าสาเหตุที่อุไรทิพย์ไม่คิดจะแก้ไขหรือปรับความเข้าใจกับนินนาท ยอมปล่อยให้เวลาผ่านไปท่ามกลางความเจ็บแค้นของลูกชาย คงเป็นเพราะความรู้สึกผิดที่เคยทิ้งเขาไปเพื่อเลือกบริษัท
เพราะมัวแต่คิดวุ่นวาย ครองขวัญจึงไม่ทันเตรียมรับกับปฏิกิริยาของนินนาท
อ้อมกอดอบอุ่นที่กำลังห้อมล้อมเธอเอาไว้ไม่ทำให้ครองขวัญตกตะลึงได้เท่ากับการรับรู้ถึงอาการสั่นสะท้านของนินนาท น้ำตาที่กักเก็บไว้พลันร่วงรินยามได้ยินเขาบอกกับเธอด้วยน้ำเสียงพร่าสั่นแต่ชัดเจนในความรู้สึก
“ขอบคุณนะครองขวัญ ขอบคุณที่เข้าใจ ขอบคุณที่...เข้ามาเป็นแสงสว่างให้กับชีวิตของผม”
ณ เวลานั้น คงมีเพียงนินนาทที่เชื่อว่าเขาได้ยินเสียงของหัวใจพร่ำบอกบางอย่าง
***************************************************************
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและมอบ LIKE ให้เป็นกำลังใจกันค่ะ
“โทรศัพท์มีแต่ไม่รู้จักเปิด อย่างนี้ไม่รู้จะมีไว้ทำไม!”
“บางทีแบตฯ ยายขวัญอาจหมดก็ได้”
กนกบอกลูกชาย รู้ดีว่าสาเหตุที่กอบบุญกำลังหัวฟัดหัวเหวี่ยงทั้งที่ตอนนี้ใกล้ห้าทุ่มนั่นก็เพราะความเป็นห่วงครองขวัญ หลังจากพยายามโทรศัพท์หาตั้งแต่สี่ทุ่มแต่ยังติดต่อไม่ได้
“เราไปแจ้งความดีไหมคะคุณ”
บุษรัตน์เสนอด้วยสีหน้าวิตก ที่ผ่านมาครองขวัญไม่เคยกลับบ้านผิดเวลาขนาดนี้ ยิ่งกอบบุญเพียรโทรศัพท์หาเกือบชั่วโมงแต่ยังติดต่อไม่ได้ก็ร้อนใจจนอยากจะออกไปตามหา แต่จนปัญญาไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหน
“อย่าเพิ่งเลย ยายขวัญแค่กลับบ้านช้ากว่าปกติ ตำรวจเขายังไม่รับแจ้งความหรอก”
กนกแย้งเสียงเรียบทั้งที่นึกห่วง ถึงไม่ใช่หลานแท้ ๆ แต่เขาก็รักและเอ็นดูหญิงสาวเหมือนลูกเหมือนหลาน
“แล้วนี่เราจะทำยังไงกันดีละคะ”
กอบบุญมองสีหน้าเดือดเนื้อร้อนใจของมารดาแล้วก็ฮึ่มฮั่มอยู่ในอก ทั้งที่เคยบอกครองขวัญไปแล้วว่าจะไปไหนให้โทร. บอก แต่นอกจากไม่ทำแล้วยังไม่คิดจะติดต่อกลับมา จนเขาทั้งโมโหร้อนใจและเป็นห่วงจนไม่รู้ว่าตอนนี้ความรู้สึกแบบไหนกันแน่ที่มากกว่า
“พ่อกับแม่ไปนอนเถอะครับ ผมจะอยู่รอไอ้ขวัญเอง”
ชายหนุ่มบอกอย่างเป็นห่วงบิดามารดาซึ่งสูงวัยแล้ว ไม่ควรต้องมาอดตาหลับขับตานอนเพียงเพราะหลานสาวตัวดีที่ไม่รู้จักนึกถึงจิตใจของคนอื่น
“ถึงยังไงแม่ก็คงนอนไม่หลับอยู่ดี”
บุษรัตน์บอกพลางชะเง้อชะแง้ไปทางประตูหน้าบ้านด้วยความหวัง
“แต่ถึงนั่งรออยู่อย่างนี้ก็ไม่ช่วยอะไร ทำตามที่เจ้ากอบบอกเถอะ อย่าลืมว่าหมอสั่งนักสั่งหนาห้ามคุณนอนดึกให้พักผ่อนมาก ๆ”
คำพูดตอนท้ายของสามีทำให้บุษรัตน์ต้องถอนหายใจ เพราะสุขภาพที่ถูกรุมเร้าด้วยสารพัดโรค ทั้งความดันเบาหวานจนต้องหมั่นไปพบแพทย์และถูกกะเกณฑ์เวลาเข้านอนไม่ต่างจากเด็กตัวเล็ก
คล้อยหลังพ่อกับแม่ กอบบุญก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่เพื่อระบายความกดดันที่เกิดจากการเฝ้ารอ
เพราะไม่อยากแสดงความเป็นห่วงให้พ่อกับแม่เห็นด้วยเกรงจะทำให้ทั้งสองยิ่งวิตก เขาจึงกลบเกลื่อนด้วยการแสดงความโมโหแทน ยิ่งเวลาผ่านไปแต่ละวินาทีความเป็นห่วงและกังวลก็ยิ่งรุมเร้าจนสุดท้ายต้องระเบิดออกมาเป็นเสียงคำรามอย่างอัดอั้นตันใจ
“ไอ้ขวัญนะไอ้ขวัญ ถ้ากลับมาเมื่อไรฉันจะขังแกไว้ในบ้านไม่ให้ออกไปไหนอีกเลย!”
ขณะเดียวกัน คนที่ทำให้ครอบครัว ‘น้ำใจงาม’ ไม่เป็นอันหลับอันนอน ก็ไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ในสถานการณ์ที่กำลังเผชิญ
“ป่านนี้คุณลุงคุณป้ากับพี่กอบคงเป็นห่วงฉันแย่”
ครองขวัญเปรยอย่างรู้สึกผิด เดาได้ว่าทั้งลุงและป้ารวมถึงกอบบุญคงไม่มีใครหลับลง ยิ่งนึกถึงโทรศัพท์มือถือที่ถูกพวกโจรยึดเอาไว้ก็อดไม่ได้ต้องถอนหายใจ
“ถ้าเราออกไปจากที่นี่ได้เมื่อไร ผมจะไปอธิบายกับคุณลุงคุณป้าของคุณเอง”
คำบอกของนินนาทยิ่งทำให้ครองขวัญนึกอยากทอดถอนใจอีกรอบ
ถ้าออกไปจากที่นี่ได้
ครองขวัญรำพึงในใจ ก่อนนึกต่อ
จนป่านนี้พวกนั้นยังไม่ยอมบอกจุดประสงค์ที่จับตัวนินนาทกับเธอมากักขัง ถึงเบาใจที่พวกนั้นยังมีน้ำใจเพราะไม่เพียงมียาลดไข้แต่ยังมีอาหารกับน้ำดื่ม แต่ถึงอย่างไรนั่นก็ไม่ได้เป็นการรับประกันว่าชีวิตของเธอกับเขาจะปลอดภัย
แล้วถ้า...เธอกับเขาไม่สามารถมีชีวิตรอดออกไปได้ล่ะ
คำถามที่ผุดขึ้นนั้นส่งผลให้ใจหายจนครองขวัญอดไม่ได้ต้องมองนินนาทซึ่งนั่งอยู่ไม่ห่าง แต่ต้องรีบหลบตาเมื่อพบว่าชายหนุ่มกำลังมองมา
“คุณคงเกลียดผมมากสินะครองขวัญ”
คำถามนั้นทำให้หญิงสาวต้องมองอย่างสงสัย
“ทำไมถึงพูดแบบนี้ละคะ”
“เพราะ...” นินนาทถอนหายใจ “ตั้งแต่แรกผมทำเหมือนหลอกลวงคุณถึงไม่ได้ตั้งใจแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ แล้วตอนนี้ยังทำให้คุณพลอยลำบากมาเสี่ยงชีวิตไปด้วย ถ้าคุณจะโกรธเกลียดผมก็สมควรแล้ว”
ไม่ใช่แค่น้ำเสียงที่ราวสิ้นหวัง หากสีหน้าและท่าทางของชายหนุ่มก็ดูท้อแท้จนครองขวัญเห็นแล้วใจอ่อน จะว่าไปเธอไม่ได้นึกโกรธเขาอีกแล้ว ยิ่งเขาต้องมาเจ็บตัวเพราะปกป้องเธอ เธอก็รู้สึกว่าเรื่องที่ผ่านมานั้นไม่สำคัญเลยสักนิด
เพราะเรื่องที่สำคัญกว่านั้นคือเธอกับเขาจะมีชีวิตรอดออกไปจากที่นี่ได้หรือเปล่า
“ฉันไม่เคยเกลียดคุณค่ะ”
ดวงตาสีนิลเหมือนจะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งเมื่อผู้เป็นเจ้าของไม่ได้มีทีท่าหม่นซึมเหมือนอย่างเมื่อครู่
“จริงหรือครองขวัญ คุณไม่ได้เกลียดผมหรือ”
“ค่ะ” ครองขวัญยิ้มตอบอย่างอดไม่อยู่เมื่อนินนาทส่งยิ้มสว่างไสวมาให้ “ฉันไม่เคยเกลียดคุณเลยจริง ๆ”
ตรงกันข้ามเลยมากกว่า
หญิงสาวต่อประโยคนั้นในใจอย่างหม่นหมอง เมื่อคิดว่าเขาคงแค่รู้สึกผิดแต่ไม่ได้คิดอะไรมากกว่านั้น ไม่เหมือนกับเธอ
ความรู้สึกในใจผลักดันครองขวัญให้ขยับเข้าไปใกล้แล้วแตะเบา ๆ ตรงบาดแผลของนินนาท
“ยังเจ็บหรือเปล่าคะ”
นินนาทไม่ตอบคำถามนั้นแต่ยื่นมือไปกุมมือของครองขวัญ แล้วบอกเสียงอ่อนโยนไม่ต่างจากแววตา
“ขอบคุณ”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ แค่ทำแผลให้เท่านี้เองไม่ใช่เรื่องใหญ่โตสักหน่อย”
ครองขวัญบอกอย่างขัดเขิน หวนนึกถึงตอนที่ลงมือทำความสะอาดและใส่ยาให้ ตอนนั้นนินนาทก็เอาแต่มองหน้าเธอเงียบ ๆ อย่างตอนนี้
“ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้ แต่หมายถึงทุกเรื่องตั้งแต่วันแรกที่เรารู้จักกัน”
แวบแรกหญิงสาวนิ่งงันเพราะยังสับสน แต่วินาทีต่อมาหัวใจก็เต้นระรัวเมื่อนินนาทยกมือเธอขึ้นแนบริมฝีปาก จากนั้นก็นำไปวางชิดอกด้านซ้ายจนเธอสัมผัสได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจ
“ขอบคุณที่เข้ามาในชีวิตของผม”
ณ ตอนนั้น ด้วยนิสัยช่างฝันและใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในโลกของจินตนาการ ครองขวัญเกือบคิดเข้าข้างตัวเองว่านั่นคือการบอกรักทางอ้อม ยิ่งมองเข้าไปในดวงตาสีนิลแล้วเห็นถึงความอ่อนโยนอ่อนหวาน หัวใจก็เหมือนถูกหลอมละลายจากความอบอุ่น ทว่าไม่กี่วินาทีต่อมาสำนึกแห่งความเป็นจริงก็กระแทกเข้ามาในใจไม่ต่างจากมือยักษ์ที่กระชากเธอออกมาจากห้วงฝัน
หยุดเพ้อได้แล้วครองขวัญ นี่มันชีวิตจริงนะไม่ใช่นิยายที่แต่งขึ้นมาเอง
หญิงสาวปรามตัวเอง ก่อนตอกหมุดย้ำเข้าไปในหัวใจเมื่อเปรียบเทียบสถานะระหว่างเขากับเธอ
เขาไม่คิดอะไรกับลูกเป็ดขี้เหร่อย่างเธอหรอก
ครองขวัญไม่ได้ดูถูกตัวเองแต่เธอรู้ดีว่าไม่ใช่คนสวยเลิศเลอ ส่วนนินนาท...ที่ผ่านมาคงเจอกับสาวสวยมากหน้าหลายตา
แล้วอย่างนี้ เธอยังกล้าหวังได้อีกหรือว่าเขาจะสนใจ
“อย่าพูดแบบนี้เลยค่ะ”
ความน้อยใจและท้อแท้ทำให้ครองขวัญดึงมือออกจนเกือบเป็นกระชาก ไม่ทันเห็นถึงท่าทีชะงักงันของนินนาทและดวงตาสีนิลที่หม่นแสงลงฉับพลัน
ความเงียบที่ตามมาหลังจากนั้นน่าอึดอัด ยิ่งนินนาทเอาแต่เฝ้ามองเธอราวกับจะค้นหาความจริงของหัวใจ ครองขวัญจึงตัดสินใจจะเบี่ยงเบน และวินาทีนั้นเรื่องที่แวบเข้ามาในสมองมีเพียงเรื่องเดียว
“บอกฉันได้ไหมคะ ระหว่างคุณกับป้าไร เอ่อ...ฉันหมายถึงแม่ของคุณน่ะค่ะ มีปัญหาอะไรกันคะ”
“แม่ของผมไม่เคยเล่าหรือพูดเรื่องของผมบ้างเลยหรือ เพราะเท่าที่ฟังจากหนูนา คุณกับแม่ผมสนิทกันมาก ถึงขนาดว่าแม่ของผมอยากได้คุณมาเป็นลูกสาวอีกคน”
ครองขวัญเริ่มอึดอัด แน่ใจว่าไม่ได้ถูกนินนาทพูดประชดแต่ก็ไม่แน่ใจว่าชายหนุ่มกำลังรู้สึกอย่างไรแน่
โกรธ น้อยใจ หรือว่าไม่พอใจ
หญิงสาวปัดความคิดวุ่นวายทิ้งพลางนึกทบทวนเรื่องในอดีต ก่อนเริ่มต้นพูด
“ใช่ค่ะ ป้าไรเคยพูดเรื่องของคุณให้ฉันฟังบ้างแต่ไม่มากนัก เพราะทุกครั้งที่พูดถึงลูกชายที่ไม่ยอมติดต่อมาหาไม่ยอมกลับมาเยี่ยมท่านเลยสักครั้ง ถึงแม้ป้าไรจะดูมีความสุขแต่ขณะเดียวกันก็เหมือนคนที่มีเรื่องเจ็บปวดในใจ สีหน้าของป้าไรเวลาพูดถึงลูกชาย แทบทุกครั้งดูแฝงไว้ด้วยความรู้สึกผิด จนทำให้ฉันนึกสงสัยบ่อย ๆ ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น”
เมื่อเห็นนินนาทมีทีท่าราวกับเหม่อลอย ครองขวัญก็คิดว่าเขาคงไม่ได้สนใจฟังแล้วคงไม่ยอมเล่าอะไรแน่ เนิ่นนาน...กระทั่งได้ยินเสียงถอนหายใจของเขา ทำให้ต้องหันไปมองแล้วจึงพบว่าชายหนุ่มเอาแต่จับจ้องไปเบื้องหน้าด้วยแววตาว่างเปล่าราวกับกำลังปล่อยใจไปกับเรื่องราวในอดีต
“ตอนผมแปดขวบ หนูนาเพิ่งเกิดได้ไม่นาน พ่อของผมก็เสียชีวิตเพราะหัวใจวายกะทันหัน ตอนนั้นถึงยังเด็กแต่ผมจำได้ว่าทุกอย่างรอบตัววุ่นวายไปหมด โดยเฉพาะแม่เพราะหลังจากนั้นผมแทบไม่ได้เห็นหน้า จนวันหนึ่งผมไม่สบาย สำหรับเด็กตัวเล็ก ๆ คุณคงเข้าใจนะว่าเวลาไม่สบายก็อยากให้พ่อแม่คอยดูแลอยู่ใกล้ ๆ ผมเองก็ไม่ต่างกัน ถึงจ้างคนมาคอยดูแลแต่ยังไงก็ไม่เหมือนพ่อแม่”
เงียบไปครู่เมื่อชายหนุ่มหลับตาลงเหมือนต้องการข่มความรู้สึกที่พวยพุ่งขึ้นมาจากการนึกถึงอดีต ก่อนลืมตาขึ้นมาแล้วเล่าต่อด้วยแววตาเลื่อนลอยราวกับถูกสะกดไว้ด้วยเงาของความหลัง
“ผมยังจำได้ดี เช้าวันนั้นคุณแม่เข้ามาดูอาการผมในห้อง ผมพยายามอ้อนวอนขอให้ท่านอยู่เป็นเพื่อน อย่าทิ้งผม แต่...ถูกปฏิเสธ”
น้ำเสียงแหบแห้งในตอนท้ายนั้นทำให้ครองขวัญนึกสงสารเด็กชายนินนาทในอดีต พอเดาได้ว่าในความรู้สึกของเด็กตัวเล็กที่กำลังป่วยไข้คงไม่เข้าใจและเจ็บปวด
ก็คงไม่ต่างกับเธอในตอนที่เสียพ่อแม่ไปเมื่ออายุห้าขวบ
เมื่อนึกเปรียบเทียบกับตัวเอง ครองขวัญก็ยิ่งเห็นใจนินนาท
“ตอนนั้นผมถามแม่ ทำไมถึงจะทิ้งผมไม่รักผมแล้วหรือ ตั้งแต่พ่อตายแม่แทบไม่มีเวลาให้เลย แม้แต่หนูนาก็ต้องให้พี่เลี้ยงคอยดูแล คุณแม่เงียบไปพักใหญ่ก่อนบอกว่ายังรักผมและน้องเหมือนเดิมแต่ท่านมีความจำเป็นต้องรับผิดชอบชีวิตคนนับพันในบริษัท ท่านไม่อาจเห็นแก่ตัวเลือกอยู่กับผมในขณะที่บริษัทกำลังเดือดร้อน ท่านว่าคนนับพันที่ฝากชีวิตไว้กับบริษัทก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าครอบครัว จากนั้นท่านก็ทิ้งผมไป วินาทีนั้นผมจึงเข้าใจ ระหว่างบริษัทกับผมซึ่งเป็นลูก แม่...เลือกบริษัทมากกว่า”
“คุณนิน”
ถึงตอนนี้น้ำตาครองขวัญก็เอ่อคลอ รู้สึกราวกับความเจ็บปวดในหัวใจของนินนาทกำลังถ่ายเทมาสู่หัวใจของเธอ
“ผมโกรธ...และเสียใจมาก นับจากวันนั้นผมกับแม่ก็เหมือนเป็นเส้นขนาน กระทั่งมาถึงจุดแตกหักในตอนที่ผมอายุสิบห้าเมื่อแม่บอกว่าจะส่งผมไปเรียนต่างประเทศเพื่อให้กลับมารับช่วงบริหารบริษัทต่อจากท่าน”
ตอนนี้เองที่ครองขวัญเห็นว่าดวงตาของนินนาทค่อนข้างแดงก่ำ เสี้ยวหน้าด้านข้างซึ่งขึ้นสันนั้นบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังขบฟันแน่นเหมือนพยายามข่มความรู้สึกร้าวลึกในหัวใจ
“อะไร ๆ ก็บริษัท ดูเหมือนทุกลมหายใจของแม่มีแต่บริษัท ไม่เคยถามหรือนึกถึงความรู้สึกของผมเลยว่าอยากไปไหม ถึงตอนอยู่บ้านแม่ไม่ค่อยมีเวลาให้แต่ยังไงก็ไม่เหมือนตอนถูกสั่งไปให้เมืองนอก มันเหมือน...ถูกเสือกไส ไม่เป็นที่ต้องการ ถูกทำเหมือนเป็นเครื่องจักรเป็นแค่หุ่นยนต์ที่มีหน้าที่ทำตามคำสั่ง ไม่ใช่คนที่มีชีวิตจิตใจ...ไม่ใช่ลูก”
“คุณนิน...”
ครองขวัญไม่อาจห้ามใจได้อีกแล้วจนต้องทำตามปรารถนาเมื่อยื่นมือไปเกาะกุมมือของชายหนุ่มไว้
นี่เองสินะที่ทำให้อุไรทิพย์มักมีสีหน้ารู้สึกผิดเสมอ แม้มีความสุขยามได้พูดถึงลูกชายคนโตแต่กระนั้นก็สุขได้ไม่เต็มที่
แต่นินนาททำเหมือนสัมผัสไม่ได้ถึงความรู้สึกที่ครองขวัญกำลังถ่ายทอด เมื่อยังคงเอาแต่จมอยู่กับภาพแห่งอดีต
“วันนั้นผมกับแม่ทะเลาะกันรุนแรงมาก ถึงขนาดผมพูดว่า...ผมเกลียดแม่และจะไม่กลับมาเหยียบบ้านอีก วันนั้นผมเห็นแม่ร้องไห้เป็นครั้งแรก ทั้งที่ในวันที่พ่อตาย...ผมยังไม่เคยเห็นน้ำตาของแม่ด้วยซ้ำ”
หัวใจของครองขวัญเหมือนถูกบีบเมื่อจับได้ถึงกระแสเสียงสั่นพร่าของนินนาท แม้ใจหนึ่งเริ่มไม่อยากฟังเพราะไม่อยากเห็นความเจ็บปวดของเขา กระนั้นเธอก็ยังคงนิ่งฟังชายหนุ่มระบายความในใจต่อ
“แต่ไม่ว่ายังไงแม่ก็ไม่เปลี่ยนใจ และผมก็โกรธและแค้นใจเกินกว่าจะอ่อนข้อ ผมเดินทางไปต่างประเทศทันทีที่ทุกอย่างพร้อม และทำตามที่พูดไว้คือไม่กลับมาหาแม่เลยสักครั้ง ทั้งที่จริง ๆ แล้วบินกลับมาบ่อย ๆ แต่แค่มาพบกับหนูนา”
เมื่อนินนาทหันมามองเธอ ครองขวัญก็ใจหายยามเห็นดวงตาสีนิลไร้ประกายเหมือนอย่างเคย ยิ่งเขายิ้มเหมือนกับฝืนเค้น เธอก็แปลบปลาบในใจราวกับถูกใครเอาเข็มมาทิ่มแทง
“คุณคงนึกเกลียดผมขึ้นมาแล้วสินะที่ใจร้ายกับแม่ตัวเองได้ถึงขนาดนี้”
คำถามนั้นถูกเปล่งออกมาด้วยน้ำเสียงแห้งแล้งราวกับคนหมดสิ้นความหวังจนครองขวัญเผลอกระชับมือที่เกาะกุมนินนาทไว้ราวกับจะใช้เป็นตัวช่วยยืนยันคำพูดต่อจากนี้
“ไม่ค่ะ คุณไม่ได้ใจร้ายและฉันก็ไม่ใช่คนที่เกลียดใครง่าย ๆ ฉันเชื่อว่าทุกคนมีเหตุผลในการตัดสินใจทำอะไรลงไป แล้วฉันก็เชื่อว่าที่ผ่านมาคุณก็คงใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุขนัก เพราะจริง ๆ แล้วคุณไม่ได้เกลียดแม่ของคุณ แต่เพราะทิฐิทำให้คุณฝืนใจทำในสิ่งที่ไม่ต้องการ ทั้งที่ใจจริง...คุณคงอยากกลับมาหาแม่ของคุณ อยากกลับมาบอกท่านว่า...คุณรักท่านมากแค่ไหน”
ครองขวัญไม่ได้พูดเพื่อปลอบใจนินนาท แต่เพราะเชื่อมั่นว่าเขาต้องคิดและรู้สึกอย่างนั้น ถ้าเขาเกลียดแม่ของเขาจริงก็คงจะไม่รีบกลับมาเพื่อให้ทันดูใจอุไรทิพย์ในวาระสุดท้ายของชีวิต
เงียบไปครู่หนึ่ง ราวกับหญิงสาวจะให้ชายหนุ่มได้มีเวลาซึมซับคำพูดที่เธอคิดจะบอกต่อจากนี้
“แล้วฉันก็เชื่อค่ะ ว่าไม่เคยมีเวลาไหนที่ป้าไรไม่นึกถึงคุณ แต่ไม่ใช่เพราะความรู้สึกผิดกับเรื่องในอดีตที่ทำให้คุณเจ็บปวด แต่เป็นเพราะ...ท่านรักคุณ รักไม่น้อยไปกว่าหนูนา และไม่แน่ว่าอาจจะรักคุณ...มากกว่าทุกคนบนโลกใบนี้”
ครองขวัญจบคำพูดสุดท้ายพร้อมกับเม็ดน้ำตาที่พร่างพรูจากความสะเทือนใจ ทั้งสงสารและเห็นใจอุไรทิพย์กับนินนาทที่ทั้งคู่ต้องเสียเวลาไปหลายปีโดยเปล่าประโยชน์
ถ้าเข้าใจไม่ผิด เธอเชื่อว่าสาเหตุที่อุไรทิพย์ไม่คิดจะแก้ไขหรือปรับความเข้าใจกับนินนาท ยอมปล่อยให้เวลาผ่านไปท่ามกลางความเจ็บแค้นของลูกชาย คงเป็นเพราะความรู้สึกผิดที่เคยทิ้งเขาไปเพื่อเลือกบริษัท
เพราะมัวแต่คิดวุ่นวาย ครองขวัญจึงไม่ทันเตรียมรับกับปฏิกิริยาของนินนาท
อ้อมกอดอบอุ่นที่กำลังห้อมล้อมเธอเอาไว้ไม่ทำให้ครองขวัญตกตะลึงได้เท่ากับการรับรู้ถึงอาการสั่นสะท้านของนินนาท น้ำตาที่กักเก็บไว้พลันร่วงรินยามได้ยินเขาบอกกับเธอด้วยน้ำเสียงพร่าสั่นแต่ชัดเจนในความรู้สึก
“ขอบคุณนะครองขวัญ ขอบคุณที่เข้าใจ ขอบคุณที่...เข้ามาเป็นแสงสว่างให้กับชีวิตของผม”
ณ เวลานั้น คงมีเพียงนินนาทที่เชื่อว่าเขาได้ยินเสียงของหัวใจพร่ำบอกบางอย่าง
***************************************************************
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและมอบ LIKE ให้เป็นกำลังใจกันค่ะ
ปิยะณัฏฐ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 มี.ค. 2559, 20:25:40 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 มี.ค. 2559, 20:25:40 น.
จำนวนการเข้าชม : 972
<< บทที่ 10 | บทที่ 12 >> |