ดั่งบุหลันดั้นเมฆ
แพทย์หญิงสิตางศุ์จะตัดสินใจเช่นไรเมื่อในปัจจุบันเธอกำลังเผชิญมรสุมเลวร้ายของชีวิตสมรสอย่างหนักกับนักธุรกิจจอมเจ้าชู้ชื่อเมฆินทร์ แล้วจู่ๆ ก็มีโอกาสพบเรื่องมหัศจรรย์ เธอถูกพาย้อนอดีตไปอยู่ในร่างพราวบุหลันดาราสาวสวย ได้พบภากร...ผู้ชายแสนดีซึ่งเธอไม่เคยคิดว่าจะมีในโลก ทั้งสองร่วมกันฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย เธอเองก็แก้ไขเรื่องร้ายที่เกิดในอนาคตได้หลายเรื่องรวมทั้งการช่วยชีวิตภากรไว้ด้วย ความรักงดงามเบ่งบานกลางใจ ทว่าเธอสมควรเลือกเส้นทางใดกันแน่...เป็นสิตางศุ์ แพทย์สาวในปี ๒๕๕๘ ซึ่งทำประโยชน์ให้คนส่วนรวมได้มากมาย หรือเป็นดาราสาวชื่อพราวบุหลัน ใช้ชีวิตกับชายหนุ่มที่รักเธอสุดหัวใจ ในปี ๒๕๒๙ ตลอดไป


Tags: ข้ามเวลา แพทย์หญิง รักหวานซึ้ง

ตอน: บทที่ ๔



บทที่ ๔


วันรุ่งขึ้นเป็นวันที่พราวบุหลันต้องกังวลอย่างหนักเมื่อชำนาญผู้เป็นบิดาจะมารับเธอและแม่กลับบ้านในกรุงเทพฯ เธอคงต้องปรับตัวให้เข้ากับการเป็นลูกของข้าราชการซึ่งตำแหน่งหน้าที่การงานสูง มีคนนับหน้าถือตามากมาย...ในขณะที่สิตางศุ์ไม่เคยเห็นหน้าพ่อของตัวเองด้วยซ้ำ แม่บอกว่าพ่อตายไปตั้งแต่เธออยู่ในท้อง

“มาให้พ่อกอดหน่อยสิพราว ดีใจจริงๆ ที่ลูกฟื้นขึ้นมาราวปาฏิหาริย์ โชคดีว่าพ่อยอมให้แม่ทำตามหมอดูบอก ทั้งที่ปกติพ่อไม่เชื่อเลยนะ” น้ำเสียงที่พูดกลั้วหัวเราะ เปี่ยมล้นไปด้วยความยินดี ชายสูงวัยร่างสันทัดกำลังอ้าแขนรอเธออยู่ตรงระเบียงหน้าบ้าน

พราวบุหลันเดินเข้าสู่อ้อมกอดของผู้เป็นบิดา วินาทีนั้นปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสิตางศุ์ในร่างเธอรู้สึกว่าเป็นช่วงเวลาพิเศษสุด กอดจากพ่อให้ความอบอุ่นกับลูกสาวอย่างนี้เอง

“คุณพ่อเหนื่อยมั้ยคะ เดินทางไกลมารับหนูถึงนี่” เธอพยายามหาหัวข้อชวนคุย ไม่ให้ดูผิดปกติเกินไป

“ไม่เลย พ่อละอยากมาเสียตั้งแต่เมื่อวานแล้ว อยากกอดลูกให้ชื่นใจไง ทีนี้ก็หายทุกข์หายโศกกันละนะ พรุ่งนี้พ่อจะพาเรากลับบ้าน จัดข้าวของเตรียมกลับหรือยังล่ะคุณจันทร์” ประโยคหลังชำนาญหันไปถามภรรยา

“เรียบร้อยแล้วค่ะคุณ นี่คุณกรก็เพิ่งกลับไปเมื่อเช้า เห็นว่ามีงานต้องไปสะสาง พูดถึงคุณกร ฉันซาบซึ้งกับสิ่งที่เขาทำมากเลยนะคุณ ไม่น่าเชื่อว่าคู่หมั้นที่เกิดจากพ่อแม่เห็นดีเห็นงามจะดีต่อกันขนาดนี้ เขาเทียวไปเทียวมาแถมพาหมอมาดูอาการยายพราวตั้งหลายรอบ” จันทราเล่าพร้อมยกมือขึ้นลูบผมดัดสั้นของตนที่คอยจะยุ่งเหยิงเพราะแรงลมทะเล

“ผมดูคนไม่ผิดหรอก ลูกชายเจ้าภิรมย์เพื่อนผมก็ต้องดีเหมือนพ่อนั่นแหละ ที่สำคัญ แต่งงานแล้วแน่ใจได้ว่าครอบครัวเราจะสบาย”
พราวบุหลันได้แต่ยืนฟัง ทั้งที่รู้สึกตงิดๆ กับประโยคหลังสุดอยู่ไม่น้อยแต่เธอก็ไม่เอ่ยอะไร เกรงว่าหากพูดหรือออกความเห็นผิดๆ ไปจะเป็นที่สงสัยเสียเปล่าๆ สู้นิ่งเงียบแบบนี้ปลอดภัยดี

“เออแน่ะ ลูกสาวพ่อกลายเป็นคนเรียบร้อยไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ยืนนิ่งเชียว ปกติหนูต้องคุยจ้อแล้วนะลูก”

ชำนาญจับศีรษะลูกสาวโยกเบาๆ อย่างเอ็นดู แล้วพากันเดินเข้าไปในตัวบ้าน

“สมองลูกยังไม่เข้าที่เข้าทางค่ะคุณชำนาญ ยังจำอะไรไม่ค่อยได้เลย เห็นหมอว่ารออีกสักหน่อยจะดีขึ้นเอง ให้เวลาลูกนิดนึง”

“พ่อดีใจที่หนูได้กลับบ้านแบบรู้สึกตัว แค่นี้ก็พอใจแล้ว ที่ผ่านมาไม่ไหวเลย หัวใจพ่อสลายตอนเห็นลูกนอนนิ่งเป็นผัก ทรมานใจมาก”

“เดี๋ยวไปกินข้าวเย็นในร้านอาหารทะเลอร่อยๆ กันดีกว่านะคะคุณ เลี้ยงฉลองที่ลูกฟื้นแล้ว”
สีหน้าของจันทราเปี่ยมไปด้วยความปีติยินดีที่ลูกสาวฟื้นขึ้นมาราวปาฏิหาริย์

“ได้เลยจ้ะ เต็มที่เลยมื้อนี้”

พราวบุหลันได้แต่ยิ้ม ไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำใด ตอนนี้คนที่เธออยากเจอที่สุดคือภากร หวังว่าเมื่อกลับไปบ้านที่กรุงเทพฯ เขาจะมาหาเธอบ้าง ไม่ทิ้งไปเพราะคิดว่าเธอเพี้ยน พูดจาไร้สาระ มีแต่เรื่องเหนือจริงแบบยากที่จะเป็นไปได้

___________________________________________________________________________


สิ่งที่พราวบุหลันกังวลไม่ได้เกิดขึ้น เธอแทบกระโดดตัวลอยเมื่อกลับมาบ้านชานกรุงในหมู่บ้านจัดสรรมีระดับได้ไม่ถึงสองชั่วโมงภากรก็มาหา เขาส่งยิ้มแสนอบอุ่นมาให้ขณะเดินตามแต๋วเข้ามาในห้องรับแขกซึ่งพราวบุหลันนั่งเล่นอยู่ก่อนแล้ว

“คุณลุงชำนาญกับคุณป้าไม่อยู่หรือครับ” เขาเอ่ยถาม เสื้อยืดคอกลมสีขาวกับกางเกงยีนที่ภากรสวมอยู่ทำให้เขาดูทันสมัยแปลกตาขึ้นกว่าที่เคย

“เพิ่งออกไปข้างนอกเมื่อครู่นี้เองค่ะ เห็นบอกว่าจะไปทำธุระสำคัญที่ธนาคาร”

หญิงสาวเชิญให้เขานั่งบนโซฟาตรงข้ามกัน ตั้งแต่เข้ามาในบ้านของชำนาญกับจันทรา สิตางศุ์ในร่างพราวบุหลันรู้สึกถึงการตื่นตัวของสมองกับสิ่งรอบกายที่ได้เห็น ทุกอย่างแม้จะดูใหม่ แต่ก็ล้าสมัย...ออกจะดูเป็นคำพูดที่แปลกๆ สักหน่อย หากก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ... ใหม่ในสมัยนี้ แต่ก็ยังเก่ามากเมื่อเทียบกับอีกยี่สิบเก้าปีข้างหน้า ดูอย่างโทรทัศน์จอใหญ่ที่ตั้งอยู่บนเคาน์เตอร์นั่น ทั้งขนาดและความหนาทำเอาน่าตกใจ อดคิดเล่นๆ ไม่ได้ว่าหากขโมยมาเห็นเข้าต้องร้องไห้แน่ๆ น่าจะเป็นอย่างสุดท้ายที่คิดจะขนไป

“คุณยิ้มอะไรจ๊ะพราว หน้าตาผมตลกมากเหรอจ๊ะ”

“อุ๊ย! ไม่ใช่ค่ะ คือฉันกำลังตื่นตาตื่นใจกับทุกอย่างรอบตัว ไม่อยากเชื่อเลยว่าอีกเกือบสามสิบปีข้างหน้า ความเปลี่ยนแปลงจะมหาศาลขนาดนี้ อย่างทีวีเนี่ย ต่อไปจะใช้จอแบนบางเฉียบเลยนะคะ เอาแขวนผนังได้เลยละ”

“ขนาดนั้นเชียวหรือ”

“จริงนะคะ ทีวีเครื่องนี้เลยดูใหญ่ยักษ์จนฉันอดขำไม่ได้ พอดีฉันคงว่างมากไปหน่อย ไม่รู้จะทำอะไรก็ออกสำรวจรอบบ้านแล้วก็มาจบที่ห้องรับแขกนี่”

“งั้นผมก็มาถูกเวลาละสิ จะได้เป็นเพื่อนคุยกับคุณ”

ท่าทางสบายๆ และรอยยิ้มกว้างอันเป็นเอกลักษณ์ของภากรนั้นทำให้พราวบุหลันสบายใจได้ทุกครั้ง หลังจากไม่เคยเชื่อว่าผู้ชายอ่อนโยนจะมีอยู่จริง บัดนี้เธอเริ่มเอนเอียงไปบ้างแล้ว

“ดีที่สุดเลยค่ะ ที่คุณมา ฉันอึดอัดมาก ไม่ค่อยกล้าคุยกับใคร บอกตามตรงนะ ถ้าเลือกได้ฉันอยากให้คุณอยู่ด้วยตลอดเวลาเลย”

“จะทำแบบนั้นได้ไง คุณก็”

ภากรมีท่าทีขัดเขิน ทำเอาพราวบุหลันต้องหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่น่าเชื่อว่าต่อไปในอนาคตที่เธอเพิ่งจากมาจะแทบหาผู้ชายแท้ที่มีลักษณะเช่นนี้ไม่ได้ นับวันมีแต่จะแข็งกร้าวเอาตัวเองเป็นใหญ่และบ้าบิ่นขึ้นไปทุกที

“จริงสิ โทษที ฉันลืมไป ก็ตอนนี้คุณเป็นเพื่อนคนเดียวที่ฉันคุยได้ทุกอย่างนี่นา ฉันก็เลยอยากมีคุณอยู่ใกล้ๆ”

“แล้วคุณคิดจะทำยังไงต่อไป ...ถ้าคุณคือแพทย์หญิงสิตางศุ์จริงๆ น่ะนะ” เขาเริ่มชวนคุย สายตาที่ทอดมองมายังคงจับสังเกตเธอทุกอิริยาบถ

“คุณจำชื่อฉันได้ด้วย”

เธอหลิ่วตาแล้วส่งยิ้มให้เขา ยิ่งได้สังเกตใกล้ๆ ยิ่งรู้สึกว่าภากรช่างมีส่วนคล้ายธันว์จนเธอเผลอคิดว่าเป็นเขา จึงให้ความสนิทสนมรวดเร็วโดยไม่ตะขิดตะขวงใจ จะว่าไปก็น่าแปลกจริงๆ ที่นอกจากหน้าเหมือนแล้ว อาชีพของทั้งคู่ยังเหมือนกันอีก...ทำไมจึงเป็นเช่นนี้

“ต้องจำได้สิ คู่หมั้นเล่นบอกว่าตัวเองมีผู้หญิงคนอื่นอยู่ในร่าง เป็นใครก็คงจำไว้บ้างละว่าผู้หญิงคนนั้นชื่ออะไร”

“ฉัน...เอ่อ หมายถึงสิตางศุ์น่ะมีชื่อเล่นด้วยนะ ชื่อ ตอง”

“แต่ผมว่าถ้าจะให้ดี คุณลืมๆ ชื่อเก่าของตัวเองไปเลย มันอาจทำให้คุณสับสน แล้วคนอื่นก็จะเหมาเอาว่าคุณเพี้ยน”

“แล้วคุณคิดว่าฉันเพี้ยนมั้ย” เธอหยั่งเชิง เพราะความอยากรู้ว่าลึกๆ แล้วเขาคิดอย่างไรกันแน่

“ผมยังสรุปไม่ได้ ขอดูๆ คุณไปก่อน”

เสียงกริ่งของโทรศัพท์บ้านเครื่องใหญ่ที่ตั้งตรงมุมห้องดังขึ้น เด็กรับใช้ร่างผอมคนเดิมวิ่งไปยกหูรับ แล้ววิ่งกลับมารายงาน

“คุณภากรคะ คุณสุคนธ์โทร. มาค่ะ บอกว่ามีเรื่องด่วนมาก น้ำเสียงไม่ดีเลยค่ะ ท่านร้องไห้ด้วย”

ชายหนุ่มถลาไปยังโทรศัพท์แล้วถามขึ้นทันที

“มีอะไรครับคุณแม่”

เมื่อฟังข้อความจากปลายสายจบภากรก็บอก

“ผมจะรีบไปเดี่ยวนี้”

วางสายแล้วชายหนุ่มจึงเดินมาหาเธออย่างร้อนรน เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก

“พ่อผมเข้าโรงพยาบาล อาการไม่ดีเลย แม่บอกว่าพบท่านนอนสิ้นสติบนเตียง แม่ตกใจมาก ไม่รู้ทำไงเลยเรียกรถพยาบาลมารับไปแล้ว ผมต้องรีบตามไปแล้วละ”

“ฉันขอไปด้วยค่ะ” พราวบุหลันอาสาขณะถลาตามเขาไปจนอีกฝ่ายรีบหันมาบอก

“อย่าดีกว่า”

“อยู่โรงพยาบาลอะไรคะ” หญิงสาวยังดึงดัน เธอมั่นใจว่าจะควบคุมอารมณ์ได้ดีกว่าคนทั่วไปในสถานการณ์เช่นนี้
เมื่อภากรบอกชื่อโรงพยาบาลแล้วเธอก็ยืนยันเสียงแข็ง

“ถ้างั้นฉันยิ่งต้องไปด้วยค่ะ นั่นเป็นโรงพยาบาลที่ฉันทำงานอยู่” ... ในอีกยี่สิบเก้าปีข้างหน้า ... สิตางศุ์ในร่างพราวบุหลันต่อท้ายในใจ

“ก็ได้ครับ แต่ผมไม่แน่ใจนะ ว่าคุณพ่อคุณแม่ของคุณจะว่ายังไง คุณเองก็เพิ่งฟื้น” เขาบอกขณะสาวเท้าออกไปทางประตูหน้าบ้าน พราวบุหลันยังก้าวตามไปติดๆ

“ฉันรู้สึกสบายดีแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ฉันไปได้แน่ เดี๋ยวจะสั่งเด็กไว้ มีอะไรก็โทร. ตามฉันได้นี่นา”

“ไม่ได้หรอก โทร. ตามยาก คุณไปโรงพยาบาลนะ”

“จริงด้วย ยังไม่มีใครมีมือถือเลยใช่มั้ย” หญิงสาวนิ่วหน้าเพิ่งนึกขึ้นได้

“ถ้าคุณหมายถึงโทรศัพท์มือถือละก็ มันไม่ใช่ของที่ใครๆ ก็มีนะ แล้วขนาดก็ใหญ่เทอะทะด้วย แทบไม่มีใครเขาใช้กันหรอก” ภากรอธิบาย จูงมือเธอเดินเร็วๆ ไปยังโรงรถ แสดงว่าเขายินยอมให้เธอไปด้วย

“อ้อ...เหรอคะ”

นี่ถ้าไม่ใช่กำลังอยู่ในภาวะหน้าสิ่วหน้าขวาน รับรองว่าพราวบุหลันต้องอธิบายต่อท้ายว่าอีกไม่กี่สิบปีต่อไป โทรศัพท์มือถือคือสิ่งจำเป็นอันดับต้นๆ ในชีวิตที่แทบทุกคนต้องมี จะอยู่ไหนก็ติดต่อกันได้ทั้งนั้น แถมคนส่วนใหญ่ในสังคมยังก้มมองหน้าจอโทรศัพท์กันแทบตลอดเวลาอีกต่างหาก

หญิงสาวร้องบอกเด็กรับใช้ที่เช็ดถูอยู่บริเวณโรงรถว่าเธอกำลังจะไปโรงพยาบาลกับภากร เสร็จแล้วจึงเข้าไปนั่งบนเบาะข้างๆ คนขับ รถบีเอ็มดับบลิวสีดำคันนี้แม้จะเป็นรุ่นเก่าแก่สำหรับคนสมัยอนาคตอย่างเธอ แต่สภาพใหม่เอี่ยมน่านั่ง ป้ายแดงอีกต่างหาก แสดงว่าคงเป็นรุ่นใหม่ล่าสุดในยุคนี้

ภากรบึ่งรถไปบนถนนมุ่งสู่โรงพยาบาลซึ่งสิตางศุ์ในร่างพราวบุหลันคุ้นเคยดี แต่สภาพรถราในท้องถนนยามบ่ายนั้นโล่งปลอดโปร่งผิดหูผิดตา ถึงรถจะติดบ้าง แต่ก็ไม่สาหัสเท่าอนาคต ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าบางทีความเจริญก็ไม่ได้นำมาซึ่งความสุขสะดวกสบายเสมอไป

หญิงสาวหันไปมองใบหน้าด้านข้างของคู่หมั้นแล้วก็ใจหาย สีหน้าภากรหมองเศร้าเต็มไปด้วยความวิตกกังวลจนเธอเริ่มใจคอไม่ดีไปด้วย

“คุณพ่อคุณมีโรคประจำตัวอะไรมั้ยคะ” เธอชวนคุยเพื่อลดความรู้สึกอึดอัด

“ท่านความดันสูงมาก หลังๆ รู้สึกว่าท่านค่อนข้างเครียด แต่เพราะเป็นคนไม่ค่อยพูด ไม่เล่าเรื่องที่จะทำให้คนในครอบครัวไม่สบายใจ ท่านก็เลยชอบเก็บความทุกข์ไว้คนเดียว”

“อย่ากังวลไปก่อนเลยนะคะ ท่านอาจจะไม่ได้เป็นอะไรมากก็ได้”

“แต่แม่บอกว่าเข้าไปพบพ่อในห้องนอน ท่านหมดสติอยู่บนเตียง คงสาหัสพอดู”

เมื่อรถแล่นเข้ามาในเขตโรงพยาบาล พราวบุหลันจึงรีบบอก

“ถึงแล้ว ถ้าจะให้เร็วคุณจอดชั่วคราวตรงฉุกเฉินด้านหน้าแล้วลงไปก่อนเลยค่ะ เดี๋ยวฉันขับรถไปจอดให้ แถวนี้ฉันคุ้นเคยดี”

“แต่คุณขับรถไม่เป็นนะ” เขาท้วง

“อ้าว! นี่พราวบุหลันขับไม่ได้เหรอคะ แต่ฉันขับเป็นนี่นา เชื่อมือเถอะค่ะ”

สิตางศุ์ในร่างพราวบุหลันตัดสินใจดันหลังเขาให้ลงไปจากรถ ชายหนุ่มทำตามเพราะใจเป็นห่วงผู้เป็นมารดาซึ่งคงกำลังเงอะงะทำอะไรไม่ถูก แล้วหญิงสาวก็ย้ายไปนั่งหลังพวงมาลัยแทน

“ไม่ต้องห่วงน่า รถน้อยออกจะตาย” เธอยังไม่วายเปิดกระจกร้องบอกภากรเพราะสีหน้าอันแสนวิตกกังวลของเขาเมื่อปล่อยให้เธอขับรถ

“นี่น้อยเหรอ ผมว่าเยอะนะ ขับระวังด้วย”

“อีกหน่อยมันจะเยอะกว่านี้ร้อยเท่าเลยค่ะ คุณรีบไปเถอะ ถามหาคนไข้กับเคาน์เตอร์แถวนั้นได้เลย แล้วยังไงค่อยโทร. ถามกันว่าอยู่ไหนนะคะ อุ๊ย! ไม่ได้สิ ลืมไป เราสองคนไม่มีมือถือ เอ...ทำไงดี”

“เอาเป็นว่าพอเจอคุณแม่แล้วผมจะกลับมาหาคุณแถวนี้ดีมั้ย มารับคุณไปอีกที”

“ได้ค่ะ”

เพิ่งรู้ว่าโทรศัพท์มือถือทำให้ชีวิตสะดวกขึ้นมากโขอยู่เหมือนกัน หญิงสาวถึงขั้นอึดอัดทีเดียวเมื่อขาดมัน พราวบุหลันขับรถไปที่ลานจอดกว้างด้านข้างโรงพยาบาล แม้จะมีรถจอดอยู่แล้วประปราย แต่เธอมั่นใจว่าต้องหาที่ได้แน่ ดูจากปริมาณรถอันน้อยนิดหากเทียบกับอนาคต

จอดรถเสร็จพราวบุหลันก็มานั่งรออยู่แถวๆ แผนกฉุกเฉิน หญิงสาวฆ่าเวลาด้วยการสังเกตพนักงานในโรงพยาบาล หวังว่าจะพบบางคนซึ่งเธอพอคุ้นหน้า ...แล้วก็เจอจริงๆ หลายคนเสียด้วย เหลือเชื่อว่าบางคนเมื่อเวลาผ่านไปยี่สิบเก้าปีก็แก่งั่ก ในขณะที่บางคนแทบจะคล้ายตอนวัยหนุ่มสาวขณะนี้เลย

“รอนานมั้ย”

เสียงทักถามดังมาจากทางเดินแคบๆ สีหน้าของคนพูดเหนื่อยอ่อนจนน่าสงสาร ภากรก้าวเท้าตรงมาหา ส่งสายตาอ่อนล้า เต็มไปด้วยความวิตกกังวล แม้จะยังรู้จักเขาได้แค่ไม่กี่วันแต่หญิงสาวก็เกิดความรู้สึกเข้าใจ เห็นใจเขาอย่างมาก เธอแตะมือลงบนท่อนแขนเขา

“คุณพ่อคุณเป็นไงบ้างคะ”

“หมอบอกว่าท่านสิ้นใจตั้งแต่ที่บ้านแล้วครับ” เสียงทุ้มสั่นเครือ “ไม่นึกเลยว่าจะจากไปเร็วขนาดนี้”

พราวบุหลันลูบมือเรียวลงบนแผ่นหลังชายหนุ่มเบาๆ เป็นเชิงปลอบ

“ฉันเสียใจด้วยนะคะ แล้วคุณหมอบอกหรือเปล่าว่าเสียชีวิตเพราะอะไร”

“ยังไม่ทราบสาเหตุครับ เห็นทางโรงพยาบาลยืนยันว่าต้องเอาศพไปชันสูตรด้วย ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำทำไม ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าคุณพ่อมีโรคประจำตัว คุณแม่ก็บอกว่าน่าจะเป็นเส้นเลือดในสมองแตกนั่นแหละ แต่ทางนี้ก็ยืนกรานว่าต้องชันสูตร นี่ก็ยังคุยตกลงกันอยู่” ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นลูบใบหน้าตัวเองแรงๆ ราวกับว่าทำอย่างนั้นแล้วจะช่วยลดความเครียดได้

“เอาเป็นว่าฉันจะช่วยดูให้ แต่บอกก่อนว่าโอกาสที่จะต้องชันสูตรมีสูงมาก ตามหลักแล้วคนไข้ที่เสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ เราต้องส่งชันสูตรทุกราย”

“เพื่ออะไร”

“มันเป็นกฎไงคะ เขาจะระบุไว้เลย ว่าคนไข้ประเภทไหนที่ต้องส่งชันสูตร คุณไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ไม่มีผลอะไรกับศพหรอก อย่างถ้าเป็นสโตรค...เอ่อ...เส้นเลือดในสมองแตก เขาก็จะผ่าเข้าไปดูในสมองว่าแตกจริงหรือเปล่า อะไรประมาณนี้”

หญิงสาวพยายามอธิบายให้สั้นและดูไม่น่ากลัวเกินไป

“คุณแม่ถึงได้ไม่อยากให้ทำไง กลัวพ่อเจ็บ”

“คุณก็รู้ว่าท่านไม่เจ็บแล้ว จะดีกว่าไหมถ้าทุกอย่างโปร่งใส รู้สาเหตุการตายให้แจ่มชัดไปเลย” เธอเตือนสติเขา

“เท่าที่คุยกับคุณแม่ ผมว่าลึกๆ แล้วเหมือนท่านก็อยากให้หาสาเหตุเหมือนกัน เพราะดูเหมือนตอนพ่อสิ้นลมท่านนอนสงบบนเตียง ซึ่งปกติคุณพ่อไม่ใช่คนนอนกลางวัน และถ้าเส้นเลือดในสมองแตกก็น่าจะมีการล้ม หรือเกิดขณะทำโน่นทำนี่อยู่”

“ถ้าสงสัยก็ชันสูตรสักหน่อยก็ดีค่ะ แล้วตอนนี้ศพ เอ่อ คุณพ่อคุณอยู่ที่ไหนคะ เดี๋ยวฉันตามเรื่องให้”

“อยู่ที่ห้องชันสูตรนั่นแหละครับ ไปกับผมหน่อยก็ดี ตอนนี้ผมมึนไปหมด ทำอะไรไม่ถูกเลย คุณแม่ยิ่งแล้วใหญ่ ท่านเอาแต่ร้องไห้โฮๆ น่าสงสารมาก”

ภากรเดินนำไปหน้าห้องชันสูตรซึ่งสิตางศุ์ในร่างพราวบุหลันมาบ่อยจนคุ้นเคย เมื่อพบหน้าสุคนธ์ พราวบุหลันก็ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นหน้าตาของคุณแม่ภากร ใบหน้าท่านยังคงสวยคมผุดผาดแม้ผ่านมาถึงวัยกลางคนแล้ว ดูจากน้ำเสียงที่ทักทายตอบและแววตาของสุคนธ์ก็พอจะเดาได้ว่าเป็นผู้ใหญ่ใจดีคนหนึ่งทีเดียว หญิงสาวตัดสินใจบอกท่านอย่างจริงจัง

“อย่าหาว่าหนูละลาบละล้วงเลยนะคะ หนูค่อนข้างเห็นด้วยกับการให้ชันสูตรค่ะ เราทำตามกฎ ทุกอย่างก็ง่าย จะได้รับศพไปวัดได้เร็วขึ้น”
แม้สุคนธ์จะทำท่างงๆ ว่าทำไมพราวบุหลันถึงรู้ดีนัก แต่ก็ยังถาม

“แล้วแผลชันสูตรน่ะ จะกว้างมั้ยจ๊ะ”

“ก็แล้วแต่กรณีค่ะ อย่างถ้าคิดว่าเส้นเลือดในสมองแตกก็เปิดดูที่สมองนิดนึง จะเห็นเลยว่ามีการแตกจริงหรือไม่ แต่ถ้าสงสัยว่าเกิดจากอย่างอื่น เช่นกินยาเกินขนาดหรืออะไรประมาณนั้นก็ไม่ยากค่ะ เพิ่งเสียชีวิตแบบนี้ก็จะเก็บเลือดไปส่งตรวจหายาหรือสารต่างๆ ในเลือด สักพักก็รู้ผลเลยค่ะ เอาเป็นว่าเดี๋ยวหนูดูให้นะคะ” หญิงสาวเห็นสีหน้าตกตะลึงของสุคนธ์เมื่อได้ยินเธออธิบายเรื่องทางการแพทย์ได้เป็นฉากๆ จึงรีบอ้างไปส่งๆ “คือ...หนูถามเพื่อนที่เป็นหมอน่ะค่ะ ก็เลยรู้ลึก”

พราวบุหลันรีบผละไปยืนดูตารางแพทย์เวรแล้วก็ต้องอมยิ้ม เมื่อเห็นว่าเป็นชื่อของอาจารย์แพทย์หญิงดวงสมรซึ่งสนิทกับสิตางศุ์มาก หญิงสาวจึงผลักบานประตูเข้าไปในห้อง เพิ่งนึกได้ว่าตอนนี้อาจารย์ยังไม่รู้จักเธอ เพราะสิตางศุ์ยังไม่เกิดด้วยซ้ำ แล้วสำคัญกว่านั้นคือเธอเองก็อยู่ในร่างดาราสาวเสียด้วย ยืนคิดอยู่ครู่เดียวก็มีบุรุษพยาบาลคนหนึ่งสาวเท้าเข้ามาขวางไว้ ห้ามไม่ให้เธอเข้า

“เอ่อ...ดิฉันขอคุยกับอาจารย์ดวงสมรหน่อยได้ไหมคะ” พราวบุหลันชิงเอ่ยออกมาเสียก่อนที่จะโดนดุ

“ไม่ได้ครับ อาจารย์กำลังวุ่น วันนี้เคสเยอะ” เขาตอบห้วนๆ

“ขอแป๊บเดียวค่ะ ฉันรู้จักกับอาจารย์นะคะ เป็นลูกศิษย์ท่าน ลุง เอ่อ...พี่ดำเองก็คงคุ้นหน้าหนูใช่มั้ย”

อาศัยช่วงที่บุรุษพยาบาลงงๆ ที่เธอรู้จักชื่อเขา แถมอ้างว่ารู้จักอาจารย์ดวงสมรอีก เขาจึงปล่อยให้เธอเดินเข้าไปหาอาจารย์ในห้อง ลุงดำเป็นคนหนึ่งที่พูดได้เลยว่าแก่ช้า ในอนาคตเขาก็คล้ายเดิมจนไม่ต้องเสียเวลาเดาให้ยากว่าเป็นใคร

“สวัสดีค่ะ อาจารย์” หญิงสาวกระพุ่มมือไหว้อย่างนอบน้อม อีกฝ่ายไม่รับไหว้แต่รีบพูดสวนทันควัน

“ไม่อนุญาตให้ญาติคนไข้เข้ามาเกะกะนะ ออกไปรอข้างนอก”

ยังดุเหมือนเดิม เสมอต้นเสมอปลายตั้งแต่สาวๆ เลยหรือนี่ ทรงผมก็ซอยสั้นทรงเดิมเป๊ะ สิตางศุ์ในร่างพราวบุหลันแอบค่อนขำๆ เธอจะเริ่มอย่างไรดีนะ จะบอกว่าเป็นลูกศิษย์ท่านในอนาคตหรือ มีหวังโดนไล่ตะเพิดแน่

“คือ...หนูเข้ามาคุยเรื่องการชันสูตรคนไข้ที่ชื่อภิรมย์ค่ะอาจารย์ เคสนั้นค่ะ ตกลงญาติคนไข้ยอมให้ชันสูตรแล้วนะคะ”

เธอชี้นิ้วไปยังเตียงของคุณพ่อภากร อาจารย์ดวงสมรมองหน้าเธอลอดแว่นพร้อมขมวดคิ้ว

“เธอเป็นใครเนี่ย”

“หนู เอ่อ...หนูเคยเรียนกับอาจารย์ หนูเป็นนักศึกษาคณะอื่นน่ะค่ะ” พราวบุหลันตอบ เธอรู้ว่าท่านไปเป็นอาจารย์พิเศษสอนให้กับนักศึกษาต่างคณะด้วยจึงอ้างส่งๆ ไปก่อน อีกอย่างหนึ่งการที่พราวบุหลันเป็นดาราดังนี่ก็ช่วยได้เยอะเหมือนกัน เชื่อเถอะว่าใครๆ ก็ดูจะรู้สึกคุ้นหน้าเธอไปหมด

“อ้อ เหรอ ตกลงเคสนั้นญาติเธองั้นสิ แล้วมีข้อมูลอะไรเพิ่มมั้ย”

หญิงสาวรู้มาแล้วว่าการชันสูตรจะได้ผลแม่นยำขึ้นหากมีข้อมูลประกอบมากๆ จึงอธิบายเต็มที่

“เขามีโรคประจำตัวเป็นความดันสูงค่ะ แต่น่าแปลกที่ว่าตอนเกิดเหตุ พบศพนอนบนเตียง เหมือนไม่ใช่เกิดสโตรคแบบกะทันหัน”

“อืม เธอสงสัยอะไร ฆ่าตัวตายงั้นเหรอ ดูมีเหตุชักนำมั้ย”

“เห็นลูกชายเขาบอกว่าผู้ตายเป็นคนไม่ค่อยพูด ชอบเก็บความทุกข์ไว้คนเดียวค่ะ ช่วงหลังนี้ดูซึมเศร้าค่ะ”

“ถึงคิวพอดี เดี๋ยวฉันดูให้ เธอออกไปรอข้างนอก” อาจารย์หมอโบกมือไล่

“ค่ะ ขอบพระคุณค่ะ อาจารย์”

เมื่อพราวบุหลันเดินออกมาจากห้อง ภากรกับสุคนธ์ก็ตรงดิ่งเข้ามาหา

“คุณหมอว่าไงบ้างจ๊ะ หนูพราว”

“ท่านกำลังดูให้อย่างละเอียดเลยค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะ”

“ที่จริงแม่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรหรอกนะ ที่ยอมเพราะอยากให้โปร่งใส ว่าทำไมคุณภิรมย์ถึงจากไปกะทันหันขนาดนี้”

ภากรพาผู้เป็นมารดาไปนั่งตรงเก้าอี้หน้าห้อง รออีกครึ่งชั่วโมงอาจารย์ดวงสมรก็ออกมาบอกผลด้วยตนเอง

“ตกลงไม่ใช่สโตรคนะ คาดว่าเป็นการได้รับยาเกินขนาด นี่ก็ส่งเลือดไปตรวจแล้ว ฉันเร่งให้ ไม่น่าเกินชั่วโมงก็รู้ผล” แจ้งแล้วอาจารย์ก็กลับเข้าไปในห้อง

เมื่อได้ยินเช่นนั้น สุคนธ์ก็เพิ่งนึกได้

“โอย! จริงสิ แม่มัวแต่ตื่นตกใจจนลืมไปเลย วันก่อนคุณพ่อของลูกใช้ให้คนขับรถไปซื้อยานอนหลับมากระปุกใหญ่เชียว แม่ยังถามว่าซื้อมาทำไมมากมายเขาก็อ้างว่าหลังๆ นี้นอนไม่ค่อยหลับ ที่แท้ก็เอามากินฆ่าตัวตายนี่เอง โธ่! ไม่น่าเลย” คนพูดเซน้อยๆ จนผู้เป็นลูกชายต้องตรงเข้าไปพยุง พาไปนั่งบนเก้าอี้หน้าห้อง

“คุณแม่แน่ใจหรือครับ ผมเองไม่อยากจะเชื่อว่าคุณพ่อจะคิดสั้น”

“ระยะหลังๆ นี้พ่อมาบ่นกับแม่บ่อยว่าไม่ค่อยสบายใจกับตัวเลขของบริษัท แม่เองก็เห็นเขามีคุณเอกสิทธิ์เป็นมือขวาคอยช่วยแล้ว ไม่อยากก้าวก่ายก็เลยปล่อยจนเลยเถิดขนาดนี้” ผู้เป็นแม่เล่าไปซับน้ำตาไป

“ผมก็แย่มากที่ไม่เคยช่วยคุณพ่อดูเรื่องทางธุรกิจ มัวรับผิดชอบแต่บริษัทลูกที่เกี่ยวกับการตกแต่ง น่าจะเชื่อคุณพ่อว่าอย่าทำแต่หน้าที่สถาปนิก ให้ดูแลรับผิดชอบเรื่องบัญชีบ้าง ผมก็ดื้อมาตลอด”

“ไม่เอาน่า อย่าโทษตัวเองสิ พ่อเขาเข้าใจหรอกว่ากรไม่ชอบตัวเลข ที่ลูกยอมมาช่วยเป็นสถาปนิกให้บริษัทแทนที่จะไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยพ่อเขาก็ชื่นใจแล้ว” ผู้เป็นแม่ยังอุตส่าห์ปลอบใจ ภากรตรงเข้ากอดท่านไว้เพื่อให้กำลังใจกันและกัน

“ยังไงผมก็เชื่อว่ามันต้องมีเหตุผลที่คุณพ่อฆ่าตัวตายอย่างนี้ ต้องมีเรื่องหนักหนาสาหัส ไม่งั้นคุณพ่อไม่มีทางตัดสินใจคิดสั้น” คนพูดจ้องไปยังประตูห้องชันสูตร

“นั่นสิ ตอนที่ลูกยอมหมั้นกับหนูพราว พ่ออาการดีขึ้นมาก ดูแข็งแรงขึ้นเยอะ แล้วทำไมถึงคิดฆ่าตัวตาย แม่ไม่เข้าใจเลยจริงๆ”

“ผมจะค้นหาสาเหตุให้เจอ คุณแม่ไม่ต้องห่วงนะครับ ถ้าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากล ผมไม่ปล่อยไว้แน่ๆ”



ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน ขอบคุณทุกคอมเมนต์ค่ะ ^___^


__________________________________________________________________________





ดาริยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 มี.ค. 2559, 08:20:22 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 มี.ค. 2559, 08:20:22 น.

จำนวนการเข้าชม : 938





<< บทที่ ๓   บทที่ ๕ >>
Zephyr 21 มี.ค. 2559, 21:24:49 น.
ไม่สงสัยกันบ้างเลยเหรอ หนูพราวดูรู้ไปหมด 555


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account