มนต์อักษรอ้อนรัก
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ 13 และ 14
บทที่ 13
ผ่านไปหลายวินาทีแล้วนับตั้งแต่นินนาทผละใบหน้าออกแล้วเฝ้าจับจ้องครองขวัญนิ่ง ๆ กระนั้นก็เหมือนหญิงสาวยังไม่หายจากมนต์สะกดที่เกิดจากจูบแผ่วเบานั้นเมื่อยังเอาแต่นิ่งงันราวกับถูกสาป
กระทั่งเมื่อชายหนุ่มไล้ปลายนิ้วเข้ากับกลีบปากของหญิงสาวอย่างห้ามใจไว้ไม่ได้ ตอนนั้นเองที่เขาเห็นเธอกระพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะมองตอบด้วยแววตาที่ราวกับมองคนแปลกหน้า
“โกรธผมหรือเปล่า”
ชายหนุ่มถามเสียงเบาไม่ต่างจากความรู้สึกเปราะบางยามนี้ ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมีวันที่เขาให้ความสำคัญกับความรู้สึกของใครคนหนึ่งถึงเพียงนี้ ในอกเหมือนมีบางอย่างกดทับเมื่อเห็นหญิงสาวเบือนหน้าหนีราวกับไม่อยากเห็นหน้า
“เกลียดผมจนไม่อยากมองเลยหรือ”
นินนาทเค้นเสียงถาม ประจักษ์ชัดในยามนั้นว่าครองขวัญมีความหมายเพียงใดต่อหัวใจ แต่...หากเขาบอกออกไปเธอคงไม่เชื่อ เหมือนอย่างเขาเองก็ยังแทบไม่อยากเชื่อเหมือนกัน
จากคนที่จำใจต้องมาเจอ ไป ๆ มา ๆ กลับเป็นคนที่เขาไม่อาจจะปล่อยมือ
ชายหนุ่มพยายามปลอบใจตัวเองว่าบางเรื่องคงต้องใช้เวลา แม้รู้สึกหนักใจอยู่บ้างเพราะไม่รู้ว่าเรื่องระหว่างเขากับเธอจะต้องใช้เวลานานแค่ไหน
“คุณอาจจะคิดว่าผมเป็นคนไม่ดีไม่จริงใจที่ไม่ยอมบอกความจริงตั้งแต่แรก แต่หลังจากเมื่อคืนที่เราสองคนได้พูดคุยกัน ผมก็หวังว่าคุณจะเข้าใจว่าเพราะอะไรผมจึงทำแบบนั้น ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ผมไม่มีอะไรจะแก้ตัว นอกจากจะบอกว่าผมไม่ได้ทำเล่น ๆ หรือคิดแค่จะฉวยโอกาสกับคุณ แต่ผมตั้งใจและจริงจังกับสิ่งที่ทำลงไป”
เมื่อเห็นว่าคราวนี้ครองขวัญยอมหันกลับมามองเขาแม้จะด้วยแววตาเหมือนตกใจระคนไม่อยากเชื่อ นินนาทก็ยิ้มได้ กำลังจะพูดต่อ จังหวะนั้นประตูห้องก็ถูกผลักเข้ามา
“พี่นิน!”
นินนาทมองชายหญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ก่อนหลุดคำเรียกขานพร้อมเพรียงกับครองขวัญ
“หนูนา!”
ราวเย็นวันนั้น เมื่อมารดาโทรศัพท์มาแจ้งว่าครองขวัญกลับมาบ้านแล้วกอบบุญก็รีบขับรถกลับบ้านทันที แม้ใจหนึ่งนึกโล่งอกแต่อีกใจก็โมโห และความรู้สึกนั้นก็ยังตามติดไปจนถึงบ้าน
เมื่อเข้ามาในบ้าน ชายหนุ่มก็พบว่าไม่ได้มีแค่พ่อแม่และครองขวัญหากยังมีนพรุจ นาวิตาและพี่ชายของหญิงสาวซึ่งเขาเคยเจอมาแล้วครั้งหนึ่ง
“พี่นพ ทำไมมาที่นี่ได้ละครับ”
ชายหนุ่มตั้งคำถามอย่างสงสัย แม้สมัยเรียนมหาวิทยาลัยนพรุจเคยมาเที่ยวเล่นบ้านของเขาแต่ก็ไม่บ่อยนัก ยิ่งตั้งแต่ทำงานแล้วอีกฝ่ายก็ไม่มีเวลาย่างกรายมาที่นี่อีกเลย
“ตานพเป็นคนพายายขวัญมาส่งน่ะ”
คำบอกของมารดาส่งผลให้กอบบุญหันไปมองคนที่เป็นทั้งเพื่อนรุ่นพี่และเจ้านายของตนอีกครั้งด้วยแววตาวาววับ และเหมือนนพรุจก็เข้าใจดีถึงสาเหตุของแสงจากดวงตาที่ผิดปกตินั้น
“เฮ้ย! อย่าเพิ่งมองเหมือนจะฆ่ากันแบบนี้สิวะกอบ พี่แค่ช่วยขับรถพามาส่งเท่านั้นเอง” เงียบไปครู่เมื่อนพรุจหันไปมองนาวิตาแวบหนึ่ง “หนูนาเขาได้รับการติดต่อจากคนที่จับตัวนายนินไปเรียกค่าไถ่ก็เลยมาขอร้องให้พี่ไปเป็นเพื่อน พอพวกเราไปถึงที่ที่พวกนั้นบอกหลังจากจ่ายเงินให้ไปแล้ว พวกเราถึงรู้ว่าโจรพวกนั้นไม่ได้จับแค่นายนินไปแต่ยังมีน้องสาวของนายติดไปด้วย”
แม้รู้สึกแปร่งหูอีกทั้งเขาก็ทันเห็นว่านาวิตามีท่าทางแปลก ๆ เหมือนไม่กล้ามองหน้าและเอาแต่หลบตาเขาราวกับคนมีชนักในใจ หากสิ่งสำคัญและสะดุดความรู้สึกของกอบบุญยิ่งกว่านั้นก็คือ
“ทำไมยายขวัญถึงไปอยู่กับคุณได้”
นินนาทไม่ได้หลบตา ตรงกันข้ามยังมองตอบกอบบุญตรง ๆ ตอนที่ถูกตั้งคำถามด้วยสีหน้าแววตาเอาเรื่อง
“เพราะผมกับครองขวัญมีนัดเจอกัน แต่ตอนที่เธอกำลังจะกลับก็เจอกับโจรพวกนั้นเข้าพอดี”
กอบบุญนิ่วหน้าทันที ก่อนหันไปไล่เบี้ยกับคนที่เป็นต้นเหตุทำให้เขาต้องใช้เวลาครึ่งค่อนวันไปกับการขับรถตระเวนตามหา
“ไหนแกบอกว่าไม่เคยรู้จักกับเขาไง แล้วทำไมถึงไปนัดเจอกันได้”
ครองขวัญฟังคำถามก็สูดหายใจเข้าลึก ดูจากท่าทางของกอบบุญแล้วก็พอรู้ว่าคงต้องเล่าเรื่องราวตั้งแต่แรกเริ่ม เชื่อว่ากอบบุญต้องยิ่งโมโหกว่าเดิมแน่หากรู้ว่าแท้จริงแล้วนินนาทก็คือ Rakkun โดยเฉพาะถ้ารู้ว่าเธอเคยไปพบกับชายหนุ่มมาแล้วแต่ปกปิดเรื่องนี้เอาไว้
หลังจากถอนหายใจ หญิงสาวก็เริ่มต้นเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้น โดยมีกอบบุญนั่งฟังเงียบ ๆ ไม่ต่างจากพ่อกับแม่ของเขา แต่ต่างกันตรงที่กนกกับบุษรัตน์นั้นรับฟังด้วยท่าทีสงบ ส่วนลูกชายของทั้งสองมีอาการขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเป็นระยะ
“อ้อ! ที่แท้ก็แฟนหนังสือของแกที่ชอบขอนัดเจอน่ะเอง”
หลังฟังครองขวัญเล่าเรื่องราวจบลง กอบบุญก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงต่ำ ๆ ขณะปรายตามองนินนาทด้วยสีหน้าที่ใครก็มองออกว่าไม่พอใจ
“คือ...จริง ๆ แล้วคนที่ขอนัดเจอตอนแรกเป็นฉันเองค่ะ”
อาจด้วยเห็นท่าทางของกอบบุญที่ดูว่าจะเขม่นพี่ชายของเธอไม่น้อย ทำให้นาวิตาซึ่งนั่งเงียบมานานอดไม่ได้ต้องพูดขึ้นอย่างหวังจะช่วยลดความไม่พอใจ แต่เหมือนให้ผลตรงกันข้าม
“สรุปว่า คุณเป็นคนวางแผนให้พี่ชายของคุณกับยายขวัญได้เจอกันสินะ” เห็นนาวิตานิ่งไปเหมือนยอมรับ กอบบุญก็รุกต่อ “ทำไมต้องทำแบบนั้น”
คราวนี้ กอบบุญเห็นนาวิตามีทีท่าอึกอัก กำลังคิดจะคาดคั้นก็ถูกนินนาทชิงแทรก
“เรื่องนี้ ผมขอเป็นคนพูดเอง”
“ไม่มีอะไรมากหรอกพี่กอบ หนูนาแค่อยากให้ขวัญได้รู้จักพี่ชายของเขาเท่านั้นเอง”
ครองขวัญรีบพูดขัด รู้จากความร้อนบนผิวหน้าว่าตอนนี้ใบหน้าของเธอคงกำลังฟ้องความรู้สึกในใจ หากให้กอบบุญรู้ถึงความตั้งใจของอุไรทิพย์ ดีไม่ดีอาจยิ่งโมโห
“แต่ฉันว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่านั้นนะ”
แต่กอบบุญคงรู้ทันว่าน้องสาวจงใจปกปิดบางอย่าง เมื่อพูดพลางหรี่ตามองเหมือนจะค้นหาความลับที่ซุกซ่อน
“เอาน่ะเจ้ากอบ ยายขวัญบอกแล้วว่าไม่มีอะไรก็ไม่มีอะไรสิ แทนที่จะดีใจที่น้องกลับมาบ้านอย่างปลอดภัย กลับเอาแต่ซักไซ้เหมือนจะจับผิดอะไรอยู่ได้”
กนกพูดขึ้นเหมือนเริ่มอดรนทนไม่ไหว ทั้งที่ลูกชายตัวดีอายุมากกว่าครองขวัญแค่ห้าปีแต่มักชอบทำตัวเหมือนเป็นผู้ปกครองของหญิงสาว จนบางครั้งก็เหมือนจะเป็นพ่อคนหนึ่งก็ไม่ปาน
“ผมก็ดีใจที่ขวัญกลับมาอย่างปลอดภัยนะพ่อ แต่ผมก็อยากให้มันรู้ว่าผลของการทำอะไรไม่นึกถึงใจของคนอื่นมันทำให้คนที่บ้านเดือดร้อนแค่ไหน ไม่มีใครสักคนที่ได้หลับได้นอน”
ไม่เพียงครองขวัญที่รู้สึกผิด นาวิตาก็เป็นอีกคนที่ได้รับผลกระทบจากคำพูดนั้นเมื่อนึกถึงการคิดแผนการขึ้นมาโดยไม่ได้นึกถึงคนอื่น โดยเฉพาะคนที่บ้านของครองขวัญ
“ขวัญขอโทษ”
แม้ใจอ่อนลงกับท่าทางสำนึกผิดของน้องสาว กระนั้นความหงุดหงิดก็ยังคงตกค้างในใจจนกอบบุญยังไม่วายบ่น
“เป็นสาวเป็นนางหายไปกับผู้ชายทั้งคืน ถ้าใครรู้เข้าแกจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนวะไอ้ขวัญ”
ทว่า คำบ่นอย่างหัวเสียระคนห่วงใยของกอบบุญไม่ต่างจากการปาก้อนหินลงในน้ำจนเกิดผลสะท้อนกระจายออกเป็นวงกว้าง
นาวิตามีสีหน้าเดือดเนื้อร้อนใจขึ้นมาทันทีก่อนหันไปมองนพรุจราวกับจะขอความช่วยเหลือ ในขณะที่ฝ่ายชายได้แต่ส่ายหน้าช้า ๆ เหมือนบอกเป็นนัยว่าเขาเองก็จนใจ
ส่วนลุงกับป้าของครองขวัญ หลังได้ยินคำปรารภของลูกชายต่างก็หันมามองหน้ากันและกันด้วยสีหน้าแววตาบอกความวิตก และไม่พ้นจากสายตาจับจ้องของนินนาทซึ่งแม้นิ่งฟังเงียบ ๆ หากก็ครุ่นคิดไปด้วย
หลังจากหันไปมองหญิงสาวผู้ถูกตั้งคำถามก่อนหน้านั้นว่า ‘จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน’ นินนาทก็หันกลับไปบอกกับกนกและบุษรัตน์ ด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แววตาสงบนิ่งบอกถึงการตัดสินใจแน่วแน่
“ถ้าคุณลุงกับคุณป้าไม่ขัดข้อง ผมยินดีรับผิดชอบด้วยการแต่งงานกับครองขวัญครับ”
บทที่ 14
หัวใจของครองขวัญดิ่งวูบในวินาทีที่ได้ยินคำพูดของนินนาท
ไม่!
เสียงของหัวใจตะโกนก้อง แต่ปากกลับหนักอึ้งจนง้างไม่ออก
“ไม่ต้อง! ผมดูแลน้องสาวได้ไม่จำเป็นต้องให้ใครมารับผิดชอบ”
กอบบุญพูดเสียงกร้าว ราวกับจะเป็นกระบอกเสียงแทนครองขวัญที่เอาแต่นิ่งงัน
“เงียบเถอะเจ้ากอบ!” คราใดที่กนกใช้น้ำเสียงเข้มงวดแบบนี้ นั่นแสดงว่าเขากำลังจริงจังและไม่ต้องการให้ลูกชายฝ่าฝืน ซึ่งที่ผ่านมาได้ผลทุกครั้งเหมือนอย่างครั้งนี้ที่กอบบุญสงบปากสงบคำทันควัน
“คุณ...” ชายสูงวัยนิ่งไปนิดเมื่อทบทวน “ชื่อนินนาทใช่ไหม ขอโทษเถอะนะอย่าหาว่าละลาบละล้วงเลย ก่อนอื่นผมอยากรู้ว่าคุณทำงานทำการอะไร แล้ว...มีคนรักหรือคนที่กำลังคบหากันอยู่หรือเปล่า”
นินนาทฟังแล้วยิ้ม เข้าใจดีว่าทำไมกนกจึงถามแบบนี้ ก่อนจะเริ่มต้นพูดถึงตัวเองคร่าว ๆ เท่าที่คิดว่าน่าจะทำให้อีกฝ่ายพอใจ กระทั่งมาถึงเรื่องสุดท้าย
“ส่วนเรื่องคนที่กำลังคบหากัน” นินนาทยิ้มอย่างนึกเอ็นดูเมื่อเห็นครองขวัญรีบหันหน้าหนีเหมือนขัดเขินเพราะถูกจับได้ว่ากำลังนิ่งฟังเขาอย่างสนอกสนใจ “ผมยังไม่มีใครครับ”
คงมีเพียงครองขวัญเท่านั้นที่เพิ่งรู้ว่าตัวเผลอกลั้นลมหายใจเอาไว้ตลอดเวลาที่รอฟังคำตอบของนินนาท
กนกฟังแล้วก็พยักหน้ายิ้ม ๆ เหมือนพอใจ ก่อนตั้งคำถามใหม่ด้วยน้ำเสียงเนิบช้า
“แล้วคุณคิดว่าการแต่งงานที่เกิดจากความรับผิดชอบนี้จะยืนยาวแค่ไหน”
ดูเหมือนคำถามนั้นจะส่งผลให้เกิดความเงียบที่น่าอึดอัด ก่อนที่นินนาทจะให้คำตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแต่แฝงความระมัดระวัง
“ผมคงให้คำตอบนี้กับคุณลุงไม่ได้อย่างชัดเจนเพราะผมเองไม่รู้อนาคตล่วงหน้า และทุกอย่างบนโลกนี้ก็ไม่มีอะไรแน่นอน ผมคงพูดหรือให้หลักประกันไม่ได้ว่าผมจะดูแลครองขวัญไปตลอดชีวิต แต่ผมสามารถยืนยันได้ในเวลานี้ว่าผมจะดูแลครองขวัญให้ดีที่สุดตราบเท่าที่ผมยังมีชีวิตอยู่”
ครั้งนี้ กนกนิ่งไปนานจนทุกคนต่างพากันจับจ้องเป็นตาเดียวเหมือนกำลังรอลุ้น แต่หลังจากหันไปมองภรรยาครู่หนึ่ง เสียงถอนหายใจจากบางคนจึงหลุดรอดออกมาราวกับโล่งอกเมื่อในที่สุดชายสูงวัยก็ยอมปริปาก
“เอาเป็นว่า ลุงกับป้าจะไม่ยุ่งเรื่องนี้ ยกให้เป็นการตัดสินใจระหว่างคุณกับยายขวัญก็แล้วกัน”
จบคำบอกนั้น ชายสูงวัยก็ประคับประคองคู่ชีวิตแล้วพากันเดินจากไปราวกับจะยืนยันการตัดสินใจเมื่อครู่
“ไอ้ขวัญ! ไม่ต้องกลัว ต่อให้แกขึ้นคานตลอดชีวิต พ่อกับแม่แล้วก็ฉันมีปัญญาเลี้ยงแกไม่ให้อดตายโดยที่แกไม่จำเป็นต้องแต่งงาน”
แค่คล้อยหลังพ่อแม่ กอบบุญก็พูดเสียงเข้มอย่างไม่สนใจสีหน้าอิหลักอิเหลื่อของน้องสาว ไม่ทันสังเกตเห็นแววตาครุ่นคิดของนินนาทและดวงตาวาววับราวกับแม่เสือสาวของนาวิตา
“ถึงบ้านเราไม่ได้ร่ำรวยล้นฟ้า แต่เราก็ไม่ได้ยากจนถึงขนาดต้องเอาชีวิตไปให้ใครกดขี่ข่มเหง”
ยังพูดไม่ทันจบดี กอบบุญก็นิ่วหน้าเมื่อเห็นนาวิตาเดินเข้ามายืนประจันหน้ากับเขาด้วยสีหน้าแววตาบึ้งตึง
“มีอะไร”
เรียกว่าพอกอบบุญตั้งคำถาม นาวิตาก็สนองตอบด้วยการคว้าหมับเข้าที่แขนแล้วบอกเสียงขุ่น
“คุณมากับฉันหน่อย มีอะไรจะพูดด้วย”
ด้วยความงุนงงและตั้งตัวไม่ติด กอบบุญจึงไม่ขัดขืนเมื่อก้าวไปตามแรงดึงของคนตัวเล็กกว่า
นพรุจส่ายหน้าขณะมองตามญาติสาวกับลูกน้องของตนเดินไปอีกทาง หากเมื่อกลับมามองนินนาทกับครองขวัญก็พบว่าญาติผู้น้องกำลังจับจ้องหญิงสาวแบบตาไม่กระพริบ
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวกลับก่อนนะนิน”
นพรุจบอกยิ้ม ๆ เมื่อเห็นนินนาทยังเอาแต่จับจ้องครองขวัญไม่ลดละ หลังจากนิ่งมองอีกครู่จึงผละไป
หลังจากต่างฝ่ายต่างนิ่งไปพักใหญ่ นินนาทก็พูดขึ้นก่อนราวกับคิดว่าให้เวลาครองขวัญใคร่ครวญพอสมควรแล้ว
“แต่งงานกับผมนะครองขวัญ”
“คุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้หรอกค่ะ”
หญิงสาวบอกพลางขยับตัวจะลุกแต่เท้าเหมือนถูกตรึงเมื่อชายหนุ่มเอื้อมมือมาแตะหลังมือเธอ
“คุณคงไม่อยากให้ผมมาเสียสละแต่งงานเพราะความรับผิดชอบสินะ แล้ว...ถ้าผมบอกว่าไม่ได้เสียสละหรือฝืนใจ แต่กำลังทำเพื่อตัวเองล่ะครองขวัญ คุณจะว่ายังไง”
เมื่อเห็นครองขวัญมีทีท่างุนงง นินนาทก็ยิ้มกว้างจนดวงตาสีนิลเป็นประกายพร่างก่อนพูดต่อด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มนวล ราวกับจะปลอบประโลมคนฟังที่กำลังเบิกตากว้างเหมือนได้รับรู้เรื่องไม่คาดฝัน
“ที่ผมอยากแต่งงานกับคุณ ไม่ได้เป็นเพราะจะทำตัวเป็นคนดีหรือเสียสละ แต่ผมกำลังทำเพื่อตัวเองต่างหาก”
ในขณะที่ครองขวัญเหมือนถูกสาปไปแล้ว ทางด้านกอบบุญซึ่งก่อนหน้านั้นเดินตามนาวิตามาต้อย ๆ ก็เหมือนเพิ่งหายจากการต้องมนต์เมื่อหยุดเดินกะทันหันแล้วดึงร่างเล็กให้หันกลับมาเผชิญหน้า
“มีอะไรจะพูดก็ว่ามา”
นาวิตาหันมองรอบตัวที่มีแต่ต้นไม้ใหญ่ตั้งตระหง่านแล้วถอนหายใจ อดคิดไม่ได้ว่าเหมือนเธอกำลังอยู่ท่ามกลางป่าดงอย่างไรชอบกล ในขณะที่ผู้ชายตรงหน้าก็ดูกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมเหลือเกิน
“ว่าไง คุณมีอะไรจะพูดกับผม”
หญิงสาวเม้มริมฝีปากนิด ๆ อย่างอึดอัดเมื่อถูกคาดคั้น ตอนดึงตัวชายหนุ่มแยกจากมาก็คิดเพียงไม่อยากให้อยู่ขัดคอพี่ชายของเธอเท่านั้น
กอบบุญมองอากัปกิริยาของนาวิตาอย่างเผลอไผลเมื่อสายตาถูกดึงดูดด้วยกลีบปากเล็ก ๆ ที่ตอนนี้ถูกผู้เป็นเจ้าของขบไว้อย่างไม่ทะนุถนอม ก่อนถอนหายใจกับคำตอบที่ได้
“ฉันลืมไปแล้ว”
สีหน้ายิ้มกึ่งทะเล้นยามเจ้าตัวมองมาด้วยแววตาสุกใสนั้น ทำให้หัวใจของกอบบุญเต้นผิดจังหวะไปวูบ แต่เจ้าตัวก็รีบขับไล่อาการแปลก ๆ ออกไปแล้วตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงเอาเรื่อง
“คุณเป็นปลาทองกลับชาติมาเกิดหรือไง ความจำถึงได้สั้นซะขนาดนี้”
คนถูกค่อนว่าเป็นปลาทองกลับชาติทำหน้าคว่ำปากยื่น ในขณะที่ฝ่ายค่อนขอดเกือบยิ้มเพราะนึกขำก่อนเปลี่ยนเป็นนิ่วหน้า
กอบบุญเริ่มหงุดหงิดและไม่ชอบใจหลังรู้ตัวว่าเมื่อครู่ถึงกับคิดบ้า ๆ ไปว่านาวิตาน่ารัก ก่อนจับจ้องหญิงสาวอย่างจริง ๆ จัง ๆ กระทั่งเกิดคำถามจากคนที่ถูกจ้องเอา ๆ
“มองอะไร”
กอบบุญยักไหล่ ก่อนให้คำตอบที่บอกกับตัวเองมากกว่า
“ไม่เห็นน่ารักตรงไหน”
เท่านั้นเอง นาวิตาก็ตาลุกวาว อาจด้วยรู้สึกเหมือนถูกสบประมาทซึ่งหน้าทำให้โต้กลับเสียงเขียว
“คุณเองก็ไม่เห็นหล่อตรงไหนเหมือนกัน”
คนถูกบอกว่าไม่หล่อชักสีหน้าบึ้งตึง ก่อนสวนกลับ
“ถึงผมไม่หล่อก็ไม่ใช่เรื่องอะไรของคุณ”
“งั้นถ้าฉันไม่น่ารัก ก็ไม่ใช่เรื่องที่คุณมีสิทธิ์มาว่าเหมือนกัน”
เจอการโต้กลับทันควันของนาวิตาก่อนเจ้าตัวสะบัดหน้าหนีอย่างไม่กลัวคอเคล็ด กอบบุญก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโมโหแกมหมั่นไส้ ก่อนตัดสินใจจะผละไปแต่เดินไปได้แค่สองก้าวคนตัวเล็กกว่าก็ปราดมาดักหน้า
“จะไปไหน”
“ผมก็จะกลับไปดูยายขวัญมันนะสิ ปล่อยให้อยู่กับพี่ชายของคุณแบบนั้น ผมไม่ไว้ใจ”
นาวิตาคอแข็งกับคำพูดไม่ไว้หน้าของกอบบุญ ก่อนสวนกลับ
“พี่ชายของฉันเป็นสุภาพบุรุษพอไว้ใจได้ ถ้าเทียบกันแล้วเขายังน่าไว้ใจมากกว่าคุณด้วยซ้ำ”
ชายหนุ่มตาลุก คำพูดของหญิงสาวไม่ต่างจากการดูถูก
“อ้อ! ขนาดพี่ชายของคุณพาน้องสาวผมไปค้างอ้างแรมด้วยกันสองต่อสอง คุณยังบอกว่าเป็นสุภาพบุรุษ ส่วนผม...คงเป็นพวกคนป่าเถื่อน ไม่มีสมบัติผู้ดีในสายตาของคุณเลยสินะ”
แม้นึกเสียใจกับการพลั้งปาก แต่เมื่อถูกท้าทายทั้งจากน้ำเสียงและแววตาที่ราวเยาะหยันของชายหนุ่ม หญิงสาวก็ปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล
“ใช่! คนอย่างคุณมันเทียบไม่ได้เลยกับพี่ชายของฉัน ฉันจะไม่แปลกใจเลยถ้าพี่ขวัญตอบตกลงแต่งงานกับพี่นิน ไม่ว่าใครถ้าต้องให้เลือกระหว่างผู้ชายพูดจาดีกับผู้ชายที่พูดไม่รู้เรื่องแล้วยังทำชอบทำตัวป่าเถื่อน ไร้อารยธรรม เป็นใครก็ต้องเลือกแบบแรกกันทั้งนั้น”
“นาวิตา!”
ทั้งน้ำเสียงกราดเกรี้ยวและแววตาที่ทอประกายโชติช่วงราวกับเปลวไฟนั้นส่งผลให้ลมหายใจของคนถูกเรียกสะดุดค้าง ยิ่งถูกกระชากตัวเข้าไปใกล้จนร่างกายแทบจะแนบชิดกันทุกสัดส่วน หญิงสาวก็ตัวสั่นด้วยความตกใจกลัว
“สุภาพบุรุษงั้นเหรอ”
นาวิตาหนาวไปทั้งใจ เมื่อเห็นกอบบุญมองไปรอบ ๆ ที่มีเพียงต้นไม้ใหญ่ปกคลุมไปทั่ว ก่อนหันมามองเธอด้วยแววตาเป็นประกายแปลกที่ทำให้ใจคอไม่ดี จากนั้นก็ทำให้หัวใจเธอสั่นระรัวด้วยการยิ้มให้อย่างเย็นชา
“แล้ว...ถ้าคนป่าเถื่อนคนนี้มันปลุกปล้ำคุณซะที่นี่ จากนั้นก็ไปบอกพี่ชายของคุณว่าจะรับผิดชอบด้วยการแต่งงานล่ะ แบบนี้จะทำให้ผมกลายเป็นสุภาพบุรุษขึ้นมาได้เหมือนกับพี่ชายของคุณหรือเปล่า”
ท่ามกลางความตกตะลึงจนอึ้งงันของนาวิตา กอบบุญก็ยิ้มออกมาอีกครั้งแต่ไม่ต่างจากรอยยิ้มของเจ้าชายหิมะที่ยิ่งทำให้คนมองรู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางภูเขาน้ำแข็ง ระหว่างความเงียบงันที่เหมือนไร้สรรพเสียงชายหนุ่มก็ค่อย ๆ ก้มหน้าลงไปอย่างเชื่องช้าราวกับจะใช้ช่วงเวลานั้นกัดกร่อนจิตใจของหญิงสาว
********************************************************
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและมอบ LIKE เป็นกำลังใจให้กันค่ะ
ผ่านไปหลายวินาทีแล้วนับตั้งแต่นินนาทผละใบหน้าออกแล้วเฝ้าจับจ้องครองขวัญนิ่ง ๆ กระนั้นก็เหมือนหญิงสาวยังไม่หายจากมนต์สะกดที่เกิดจากจูบแผ่วเบานั้นเมื่อยังเอาแต่นิ่งงันราวกับถูกสาป
กระทั่งเมื่อชายหนุ่มไล้ปลายนิ้วเข้ากับกลีบปากของหญิงสาวอย่างห้ามใจไว้ไม่ได้ ตอนนั้นเองที่เขาเห็นเธอกระพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะมองตอบด้วยแววตาที่ราวกับมองคนแปลกหน้า
“โกรธผมหรือเปล่า”
ชายหนุ่มถามเสียงเบาไม่ต่างจากความรู้สึกเปราะบางยามนี้ ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมีวันที่เขาให้ความสำคัญกับความรู้สึกของใครคนหนึ่งถึงเพียงนี้ ในอกเหมือนมีบางอย่างกดทับเมื่อเห็นหญิงสาวเบือนหน้าหนีราวกับไม่อยากเห็นหน้า
“เกลียดผมจนไม่อยากมองเลยหรือ”
นินนาทเค้นเสียงถาม ประจักษ์ชัดในยามนั้นว่าครองขวัญมีความหมายเพียงใดต่อหัวใจ แต่...หากเขาบอกออกไปเธอคงไม่เชื่อ เหมือนอย่างเขาเองก็ยังแทบไม่อยากเชื่อเหมือนกัน
จากคนที่จำใจต้องมาเจอ ไป ๆ มา ๆ กลับเป็นคนที่เขาไม่อาจจะปล่อยมือ
ชายหนุ่มพยายามปลอบใจตัวเองว่าบางเรื่องคงต้องใช้เวลา แม้รู้สึกหนักใจอยู่บ้างเพราะไม่รู้ว่าเรื่องระหว่างเขากับเธอจะต้องใช้เวลานานแค่ไหน
“คุณอาจจะคิดว่าผมเป็นคนไม่ดีไม่จริงใจที่ไม่ยอมบอกความจริงตั้งแต่แรก แต่หลังจากเมื่อคืนที่เราสองคนได้พูดคุยกัน ผมก็หวังว่าคุณจะเข้าใจว่าเพราะอะไรผมจึงทำแบบนั้น ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ผมไม่มีอะไรจะแก้ตัว นอกจากจะบอกว่าผมไม่ได้ทำเล่น ๆ หรือคิดแค่จะฉวยโอกาสกับคุณ แต่ผมตั้งใจและจริงจังกับสิ่งที่ทำลงไป”
เมื่อเห็นว่าคราวนี้ครองขวัญยอมหันกลับมามองเขาแม้จะด้วยแววตาเหมือนตกใจระคนไม่อยากเชื่อ นินนาทก็ยิ้มได้ กำลังจะพูดต่อ จังหวะนั้นประตูห้องก็ถูกผลักเข้ามา
“พี่นิน!”
นินนาทมองชายหญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ก่อนหลุดคำเรียกขานพร้อมเพรียงกับครองขวัญ
“หนูนา!”
ราวเย็นวันนั้น เมื่อมารดาโทรศัพท์มาแจ้งว่าครองขวัญกลับมาบ้านแล้วกอบบุญก็รีบขับรถกลับบ้านทันที แม้ใจหนึ่งนึกโล่งอกแต่อีกใจก็โมโห และความรู้สึกนั้นก็ยังตามติดไปจนถึงบ้าน
เมื่อเข้ามาในบ้าน ชายหนุ่มก็พบว่าไม่ได้มีแค่พ่อแม่และครองขวัญหากยังมีนพรุจ นาวิตาและพี่ชายของหญิงสาวซึ่งเขาเคยเจอมาแล้วครั้งหนึ่ง
“พี่นพ ทำไมมาที่นี่ได้ละครับ”
ชายหนุ่มตั้งคำถามอย่างสงสัย แม้สมัยเรียนมหาวิทยาลัยนพรุจเคยมาเที่ยวเล่นบ้านของเขาแต่ก็ไม่บ่อยนัก ยิ่งตั้งแต่ทำงานแล้วอีกฝ่ายก็ไม่มีเวลาย่างกรายมาที่นี่อีกเลย
“ตานพเป็นคนพายายขวัญมาส่งน่ะ”
คำบอกของมารดาส่งผลให้กอบบุญหันไปมองคนที่เป็นทั้งเพื่อนรุ่นพี่และเจ้านายของตนอีกครั้งด้วยแววตาวาววับ และเหมือนนพรุจก็เข้าใจดีถึงสาเหตุของแสงจากดวงตาที่ผิดปกตินั้น
“เฮ้ย! อย่าเพิ่งมองเหมือนจะฆ่ากันแบบนี้สิวะกอบ พี่แค่ช่วยขับรถพามาส่งเท่านั้นเอง” เงียบไปครู่เมื่อนพรุจหันไปมองนาวิตาแวบหนึ่ง “หนูนาเขาได้รับการติดต่อจากคนที่จับตัวนายนินไปเรียกค่าไถ่ก็เลยมาขอร้องให้พี่ไปเป็นเพื่อน พอพวกเราไปถึงที่ที่พวกนั้นบอกหลังจากจ่ายเงินให้ไปแล้ว พวกเราถึงรู้ว่าโจรพวกนั้นไม่ได้จับแค่นายนินไปแต่ยังมีน้องสาวของนายติดไปด้วย”
แม้รู้สึกแปร่งหูอีกทั้งเขาก็ทันเห็นว่านาวิตามีท่าทางแปลก ๆ เหมือนไม่กล้ามองหน้าและเอาแต่หลบตาเขาราวกับคนมีชนักในใจ หากสิ่งสำคัญและสะดุดความรู้สึกของกอบบุญยิ่งกว่านั้นก็คือ
“ทำไมยายขวัญถึงไปอยู่กับคุณได้”
นินนาทไม่ได้หลบตา ตรงกันข้ามยังมองตอบกอบบุญตรง ๆ ตอนที่ถูกตั้งคำถามด้วยสีหน้าแววตาเอาเรื่อง
“เพราะผมกับครองขวัญมีนัดเจอกัน แต่ตอนที่เธอกำลังจะกลับก็เจอกับโจรพวกนั้นเข้าพอดี”
กอบบุญนิ่วหน้าทันที ก่อนหันไปไล่เบี้ยกับคนที่เป็นต้นเหตุทำให้เขาต้องใช้เวลาครึ่งค่อนวันไปกับการขับรถตระเวนตามหา
“ไหนแกบอกว่าไม่เคยรู้จักกับเขาไง แล้วทำไมถึงไปนัดเจอกันได้”
ครองขวัญฟังคำถามก็สูดหายใจเข้าลึก ดูจากท่าทางของกอบบุญแล้วก็พอรู้ว่าคงต้องเล่าเรื่องราวตั้งแต่แรกเริ่ม เชื่อว่ากอบบุญต้องยิ่งโมโหกว่าเดิมแน่หากรู้ว่าแท้จริงแล้วนินนาทก็คือ Rakkun โดยเฉพาะถ้ารู้ว่าเธอเคยไปพบกับชายหนุ่มมาแล้วแต่ปกปิดเรื่องนี้เอาไว้
หลังจากถอนหายใจ หญิงสาวก็เริ่มต้นเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้น โดยมีกอบบุญนั่งฟังเงียบ ๆ ไม่ต่างจากพ่อกับแม่ของเขา แต่ต่างกันตรงที่กนกกับบุษรัตน์นั้นรับฟังด้วยท่าทีสงบ ส่วนลูกชายของทั้งสองมีอาการขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเป็นระยะ
“อ้อ! ที่แท้ก็แฟนหนังสือของแกที่ชอบขอนัดเจอน่ะเอง”
หลังฟังครองขวัญเล่าเรื่องราวจบลง กอบบุญก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงต่ำ ๆ ขณะปรายตามองนินนาทด้วยสีหน้าที่ใครก็มองออกว่าไม่พอใจ
“คือ...จริง ๆ แล้วคนที่ขอนัดเจอตอนแรกเป็นฉันเองค่ะ”
อาจด้วยเห็นท่าทางของกอบบุญที่ดูว่าจะเขม่นพี่ชายของเธอไม่น้อย ทำให้นาวิตาซึ่งนั่งเงียบมานานอดไม่ได้ต้องพูดขึ้นอย่างหวังจะช่วยลดความไม่พอใจ แต่เหมือนให้ผลตรงกันข้าม
“สรุปว่า คุณเป็นคนวางแผนให้พี่ชายของคุณกับยายขวัญได้เจอกันสินะ” เห็นนาวิตานิ่งไปเหมือนยอมรับ กอบบุญก็รุกต่อ “ทำไมต้องทำแบบนั้น”
คราวนี้ กอบบุญเห็นนาวิตามีทีท่าอึกอัก กำลังคิดจะคาดคั้นก็ถูกนินนาทชิงแทรก
“เรื่องนี้ ผมขอเป็นคนพูดเอง”
“ไม่มีอะไรมากหรอกพี่กอบ หนูนาแค่อยากให้ขวัญได้รู้จักพี่ชายของเขาเท่านั้นเอง”
ครองขวัญรีบพูดขัด รู้จากความร้อนบนผิวหน้าว่าตอนนี้ใบหน้าของเธอคงกำลังฟ้องความรู้สึกในใจ หากให้กอบบุญรู้ถึงความตั้งใจของอุไรทิพย์ ดีไม่ดีอาจยิ่งโมโห
“แต่ฉันว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่านั้นนะ”
แต่กอบบุญคงรู้ทันว่าน้องสาวจงใจปกปิดบางอย่าง เมื่อพูดพลางหรี่ตามองเหมือนจะค้นหาความลับที่ซุกซ่อน
“เอาน่ะเจ้ากอบ ยายขวัญบอกแล้วว่าไม่มีอะไรก็ไม่มีอะไรสิ แทนที่จะดีใจที่น้องกลับมาบ้านอย่างปลอดภัย กลับเอาแต่ซักไซ้เหมือนจะจับผิดอะไรอยู่ได้”
กนกพูดขึ้นเหมือนเริ่มอดรนทนไม่ไหว ทั้งที่ลูกชายตัวดีอายุมากกว่าครองขวัญแค่ห้าปีแต่มักชอบทำตัวเหมือนเป็นผู้ปกครองของหญิงสาว จนบางครั้งก็เหมือนจะเป็นพ่อคนหนึ่งก็ไม่ปาน
“ผมก็ดีใจที่ขวัญกลับมาอย่างปลอดภัยนะพ่อ แต่ผมก็อยากให้มันรู้ว่าผลของการทำอะไรไม่นึกถึงใจของคนอื่นมันทำให้คนที่บ้านเดือดร้อนแค่ไหน ไม่มีใครสักคนที่ได้หลับได้นอน”
ไม่เพียงครองขวัญที่รู้สึกผิด นาวิตาก็เป็นอีกคนที่ได้รับผลกระทบจากคำพูดนั้นเมื่อนึกถึงการคิดแผนการขึ้นมาโดยไม่ได้นึกถึงคนอื่น โดยเฉพาะคนที่บ้านของครองขวัญ
“ขวัญขอโทษ”
แม้ใจอ่อนลงกับท่าทางสำนึกผิดของน้องสาว กระนั้นความหงุดหงิดก็ยังคงตกค้างในใจจนกอบบุญยังไม่วายบ่น
“เป็นสาวเป็นนางหายไปกับผู้ชายทั้งคืน ถ้าใครรู้เข้าแกจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนวะไอ้ขวัญ”
ทว่า คำบ่นอย่างหัวเสียระคนห่วงใยของกอบบุญไม่ต่างจากการปาก้อนหินลงในน้ำจนเกิดผลสะท้อนกระจายออกเป็นวงกว้าง
นาวิตามีสีหน้าเดือดเนื้อร้อนใจขึ้นมาทันทีก่อนหันไปมองนพรุจราวกับจะขอความช่วยเหลือ ในขณะที่ฝ่ายชายได้แต่ส่ายหน้าช้า ๆ เหมือนบอกเป็นนัยว่าเขาเองก็จนใจ
ส่วนลุงกับป้าของครองขวัญ หลังได้ยินคำปรารภของลูกชายต่างก็หันมามองหน้ากันและกันด้วยสีหน้าแววตาบอกความวิตก และไม่พ้นจากสายตาจับจ้องของนินนาทซึ่งแม้นิ่งฟังเงียบ ๆ หากก็ครุ่นคิดไปด้วย
หลังจากหันไปมองหญิงสาวผู้ถูกตั้งคำถามก่อนหน้านั้นว่า ‘จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน’ นินนาทก็หันกลับไปบอกกับกนกและบุษรัตน์ ด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แววตาสงบนิ่งบอกถึงการตัดสินใจแน่วแน่
“ถ้าคุณลุงกับคุณป้าไม่ขัดข้อง ผมยินดีรับผิดชอบด้วยการแต่งงานกับครองขวัญครับ”
บทที่ 14
หัวใจของครองขวัญดิ่งวูบในวินาทีที่ได้ยินคำพูดของนินนาท
ไม่!
เสียงของหัวใจตะโกนก้อง แต่ปากกลับหนักอึ้งจนง้างไม่ออก
“ไม่ต้อง! ผมดูแลน้องสาวได้ไม่จำเป็นต้องให้ใครมารับผิดชอบ”
กอบบุญพูดเสียงกร้าว ราวกับจะเป็นกระบอกเสียงแทนครองขวัญที่เอาแต่นิ่งงัน
“เงียบเถอะเจ้ากอบ!” คราใดที่กนกใช้น้ำเสียงเข้มงวดแบบนี้ นั่นแสดงว่าเขากำลังจริงจังและไม่ต้องการให้ลูกชายฝ่าฝืน ซึ่งที่ผ่านมาได้ผลทุกครั้งเหมือนอย่างครั้งนี้ที่กอบบุญสงบปากสงบคำทันควัน
“คุณ...” ชายสูงวัยนิ่งไปนิดเมื่อทบทวน “ชื่อนินนาทใช่ไหม ขอโทษเถอะนะอย่าหาว่าละลาบละล้วงเลย ก่อนอื่นผมอยากรู้ว่าคุณทำงานทำการอะไร แล้ว...มีคนรักหรือคนที่กำลังคบหากันอยู่หรือเปล่า”
นินนาทฟังแล้วยิ้ม เข้าใจดีว่าทำไมกนกจึงถามแบบนี้ ก่อนจะเริ่มต้นพูดถึงตัวเองคร่าว ๆ เท่าที่คิดว่าน่าจะทำให้อีกฝ่ายพอใจ กระทั่งมาถึงเรื่องสุดท้าย
“ส่วนเรื่องคนที่กำลังคบหากัน” นินนาทยิ้มอย่างนึกเอ็นดูเมื่อเห็นครองขวัญรีบหันหน้าหนีเหมือนขัดเขินเพราะถูกจับได้ว่ากำลังนิ่งฟังเขาอย่างสนอกสนใจ “ผมยังไม่มีใครครับ”
คงมีเพียงครองขวัญเท่านั้นที่เพิ่งรู้ว่าตัวเผลอกลั้นลมหายใจเอาไว้ตลอดเวลาที่รอฟังคำตอบของนินนาท
กนกฟังแล้วก็พยักหน้ายิ้ม ๆ เหมือนพอใจ ก่อนตั้งคำถามใหม่ด้วยน้ำเสียงเนิบช้า
“แล้วคุณคิดว่าการแต่งงานที่เกิดจากความรับผิดชอบนี้จะยืนยาวแค่ไหน”
ดูเหมือนคำถามนั้นจะส่งผลให้เกิดความเงียบที่น่าอึดอัด ก่อนที่นินนาทจะให้คำตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแต่แฝงความระมัดระวัง
“ผมคงให้คำตอบนี้กับคุณลุงไม่ได้อย่างชัดเจนเพราะผมเองไม่รู้อนาคตล่วงหน้า และทุกอย่างบนโลกนี้ก็ไม่มีอะไรแน่นอน ผมคงพูดหรือให้หลักประกันไม่ได้ว่าผมจะดูแลครองขวัญไปตลอดชีวิต แต่ผมสามารถยืนยันได้ในเวลานี้ว่าผมจะดูแลครองขวัญให้ดีที่สุดตราบเท่าที่ผมยังมีชีวิตอยู่”
ครั้งนี้ กนกนิ่งไปนานจนทุกคนต่างพากันจับจ้องเป็นตาเดียวเหมือนกำลังรอลุ้น แต่หลังจากหันไปมองภรรยาครู่หนึ่ง เสียงถอนหายใจจากบางคนจึงหลุดรอดออกมาราวกับโล่งอกเมื่อในที่สุดชายสูงวัยก็ยอมปริปาก
“เอาเป็นว่า ลุงกับป้าจะไม่ยุ่งเรื่องนี้ ยกให้เป็นการตัดสินใจระหว่างคุณกับยายขวัญก็แล้วกัน”
จบคำบอกนั้น ชายสูงวัยก็ประคับประคองคู่ชีวิตแล้วพากันเดินจากไปราวกับจะยืนยันการตัดสินใจเมื่อครู่
“ไอ้ขวัญ! ไม่ต้องกลัว ต่อให้แกขึ้นคานตลอดชีวิต พ่อกับแม่แล้วก็ฉันมีปัญญาเลี้ยงแกไม่ให้อดตายโดยที่แกไม่จำเป็นต้องแต่งงาน”
แค่คล้อยหลังพ่อแม่ กอบบุญก็พูดเสียงเข้มอย่างไม่สนใจสีหน้าอิหลักอิเหลื่อของน้องสาว ไม่ทันสังเกตเห็นแววตาครุ่นคิดของนินนาทและดวงตาวาววับราวกับแม่เสือสาวของนาวิตา
“ถึงบ้านเราไม่ได้ร่ำรวยล้นฟ้า แต่เราก็ไม่ได้ยากจนถึงขนาดต้องเอาชีวิตไปให้ใครกดขี่ข่มเหง”
ยังพูดไม่ทันจบดี กอบบุญก็นิ่วหน้าเมื่อเห็นนาวิตาเดินเข้ามายืนประจันหน้ากับเขาด้วยสีหน้าแววตาบึ้งตึง
“มีอะไร”
เรียกว่าพอกอบบุญตั้งคำถาม นาวิตาก็สนองตอบด้วยการคว้าหมับเข้าที่แขนแล้วบอกเสียงขุ่น
“คุณมากับฉันหน่อย มีอะไรจะพูดด้วย”
ด้วยความงุนงงและตั้งตัวไม่ติด กอบบุญจึงไม่ขัดขืนเมื่อก้าวไปตามแรงดึงของคนตัวเล็กกว่า
นพรุจส่ายหน้าขณะมองตามญาติสาวกับลูกน้องของตนเดินไปอีกทาง หากเมื่อกลับมามองนินนาทกับครองขวัญก็พบว่าญาติผู้น้องกำลังจับจ้องหญิงสาวแบบตาไม่กระพริบ
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวกลับก่อนนะนิน”
นพรุจบอกยิ้ม ๆ เมื่อเห็นนินนาทยังเอาแต่จับจ้องครองขวัญไม่ลดละ หลังจากนิ่งมองอีกครู่จึงผละไป
หลังจากต่างฝ่ายต่างนิ่งไปพักใหญ่ นินนาทก็พูดขึ้นก่อนราวกับคิดว่าให้เวลาครองขวัญใคร่ครวญพอสมควรแล้ว
“แต่งงานกับผมนะครองขวัญ”
“คุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้หรอกค่ะ”
หญิงสาวบอกพลางขยับตัวจะลุกแต่เท้าเหมือนถูกตรึงเมื่อชายหนุ่มเอื้อมมือมาแตะหลังมือเธอ
“คุณคงไม่อยากให้ผมมาเสียสละแต่งงานเพราะความรับผิดชอบสินะ แล้ว...ถ้าผมบอกว่าไม่ได้เสียสละหรือฝืนใจ แต่กำลังทำเพื่อตัวเองล่ะครองขวัญ คุณจะว่ายังไง”
เมื่อเห็นครองขวัญมีทีท่างุนงง นินนาทก็ยิ้มกว้างจนดวงตาสีนิลเป็นประกายพร่างก่อนพูดต่อด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มนวล ราวกับจะปลอบประโลมคนฟังที่กำลังเบิกตากว้างเหมือนได้รับรู้เรื่องไม่คาดฝัน
“ที่ผมอยากแต่งงานกับคุณ ไม่ได้เป็นเพราะจะทำตัวเป็นคนดีหรือเสียสละ แต่ผมกำลังทำเพื่อตัวเองต่างหาก”
ในขณะที่ครองขวัญเหมือนถูกสาปไปแล้ว ทางด้านกอบบุญซึ่งก่อนหน้านั้นเดินตามนาวิตามาต้อย ๆ ก็เหมือนเพิ่งหายจากการต้องมนต์เมื่อหยุดเดินกะทันหันแล้วดึงร่างเล็กให้หันกลับมาเผชิญหน้า
“มีอะไรจะพูดก็ว่ามา”
นาวิตาหันมองรอบตัวที่มีแต่ต้นไม้ใหญ่ตั้งตระหง่านแล้วถอนหายใจ อดคิดไม่ได้ว่าเหมือนเธอกำลังอยู่ท่ามกลางป่าดงอย่างไรชอบกล ในขณะที่ผู้ชายตรงหน้าก็ดูกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมเหลือเกิน
“ว่าไง คุณมีอะไรจะพูดกับผม”
หญิงสาวเม้มริมฝีปากนิด ๆ อย่างอึดอัดเมื่อถูกคาดคั้น ตอนดึงตัวชายหนุ่มแยกจากมาก็คิดเพียงไม่อยากให้อยู่ขัดคอพี่ชายของเธอเท่านั้น
กอบบุญมองอากัปกิริยาของนาวิตาอย่างเผลอไผลเมื่อสายตาถูกดึงดูดด้วยกลีบปากเล็ก ๆ ที่ตอนนี้ถูกผู้เป็นเจ้าของขบไว้อย่างไม่ทะนุถนอม ก่อนถอนหายใจกับคำตอบที่ได้
“ฉันลืมไปแล้ว”
สีหน้ายิ้มกึ่งทะเล้นยามเจ้าตัวมองมาด้วยแววตาสุกใสนั้น ทำให้หัวใจของกอบบุญเต้นผิดจังหวะไปวูบ แต่เจ้าตัวก็รีบขับไล่อาการแปลก ๆ ออกไปแล้วตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงเอาเรื่อง
“คุณเป็นปลาทองกลับชาติมาเกิดหรือไง ความจำถึงได้สั้นซะขนาดนี้”
คนถูกค่อนว่าเป็นปลาทองกลับชาติทำหน้าคว่ำปากยื่น ในขณะที่ฝ่ายค่อนขอดเกือบยิ้มเพราะนึกขำก่อนเปลี่ยนเป็นนิ่วหน้า
กอบบุญเริ่มหงุดหงิดและไม่ชอบใจหลังรู้ตัวว่าเมื่อครู่ถึงกับคิดบ้า ๆ ไปว่านาวิตาน่ารัก ก่อนจับจ้องหญิงสาวอย่างจริง ๆ จัง ๆ กระทั่งเกิดคำถามจากคนที่ถูกจ้องเอา ๆ
“มองอะไร”
กอบบุญยักไหล่ ก่อนให้คำตอบที่บอกกับตัวเองมากกว่า
“ไม่เห็นน่ารักตรงไหน”
เท่านั้นเอง นาวิตาก็ตาลุกวาว อาจด้วยรู้สึกเหมือนถูกสบประมาทซึ่งหน้าทำให้โต้กลับเสียงเขียว
“คุณเองก็ไม่เห็นหล่อตรงไหนเหมือนกัน”
คนถูกบอกว่าไม่หล่อชักสีหน้าบึ้งตึง ก่อนสวนกลับ
“ถึงผมไม่หล่อก็ไม่ใช่เรื่องอะไรของคุณ”
“งั้นถ้าฉันไม่น่ารัก ก็ไม่ใช่เรื่องที่คุณมีสิทธิ์มาว่าเหมือนกัน”
เจอการโต้กลับทันควันของนาวิตาก่อนเจ้าตัวสะบัดหน้าหนีอย่างไม่กลัวคอเคล็ด กอบบุญก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างโมโหแกมหมั่นไส้ ก่อนตัดสินใจจะผละไปแต่เดินไปได้แค่สองก้าวคนตัวเล็กกว่าก็ปราดมาดักหน้า
“จะไปไหน”
“ผมก็จะกลับไปดูยายขวัญมันนะสิ ปล่อยให้อยู่กับพี่ชายของคุณแบบนั้น ผมไม่ไว้ใจ”
นาวิตาคอแข็งกับคำพูดไม่ไว้หน้าของกอบบุญ ก่อนสวนกลับ
“พี่ชายของฉันเป็นสุภาพบุรุษพอไว้ใจได้ ถ้าเทียบกันแล้วเขายังน่าไว้ใจมากกว่าคุณด้วยซ้ำ”
ชายหนุ่มตาลุก คำพูดของหญิงสาวไม่ต่างจากการดูถูก
“อ้อ! ขนาดพี่ชายของคุณพาน้องสาวผมไปค้างอ้างแรมด้วยกันสองต่อสอง คุณยังบอกว่าเป็นสุภาพบุรุษ ส่วนผม...คงเป็นพวกคนป่าเถื่อน ไม่มีสมบัติผู้ดีในสายตาของคุณเลยสินะ”
แม้นึกเสียใจกับการพลั้งปาก แต่เมื่อถูกท้าทายทั้งจากน้ำเสียงและแววตาที่ราวเยาะหยันของชายหนุ่ม หญิงสาวก็ปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล
“ใช่! คนอย่างคุณมันเทียบไม่ได้เลยกับพี่ชายของฉัน ฉันจะไม่แปลกใจเลยถ้าพี่ขวัญตอบตกลงแต่งงานกับพี่นิน ไม่ว่าใครถ้าต้องให้เลือกระหว่างผู้ชายพูดจาดีกับผู้ชายที่พูดไม่รู้เรื่องแล้วยังทำชอบทำตัวป่าเถื่อน ไร้อารยธรรม เป็นใครก็ต้องเลือกแบบแรกกันทั้งนั้น”
“นาวิตา!”
ทั้งน้ำเสียงกราดเกรี้ยวและแววตาที่ทอประกายโชติช่วงราวกับเปลวไฟนั้นส่งผลให้ลมหายใจของคนถูกเรียกสะดุดค้าง ยิ่งถูกกระชากตัวเข้าไปใกล้จนร่างกายแทบจะแนบชิดกันทุกสัดส่วน หญิงสาวก็ตัวสั่นด้วยความตกใจกลัว
“สุภาพบุรุษงั้นเหรอ”
นาวิตาหนาวไปทั้งใจ เมื่อเห็นกอบบุญมองไปรอบ ๆ ที่มีเพียงต้นไม้ใหญ่ปกคลุมไปทั่ว ก่อนหันมามองเธอด้วยแววตาเป็นประกายแปลกที่ทำให้ใจคอไม่ดี จากนั้นก็ทำให้หัวใจเธอสั่นระรัวด้วยการยิ้มให้อย่างเย็นชา
“แล้ว...ถ้าคนป่าเถื่อนคนนี้มันปลุกปล้ำคุณซะที่นี่ จากนั้นก็ไปบอกพี่ชายของคุณว่าจะรับผิดชอบด้วยการแต่งงานล่ะ แบบนี้จะทำให้ผมกลายเป็นสุภาพบุรุษขึ้นมาได้เหมือนกับพี่ชายของคุณหรือเปล่า”
ท่ามกลางความตกตะลึงจนอึ้งงันของนาวิตา กอบบุญก็ยิ้มออกมาอีกครั้งแต่ไม่ต่างจากรอยยิ้มของเจ้าชายหิมะที่ยิ่งทำให้คนมองรู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางภูเขาน้ำแข็ง ระหว่างความเงียบงันที่เหมือนไร้สรรพเสียงชายหนุ่มก็ค่อย ๆ ก้มหน้าลงไปอย่างเชื่องช้าราวกับจะใช้ช่วงเวลานั้นกัดกร่อนจิตใจของหญิงสาว
********************************************************
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและมอบ LIKE เป็นกำลังใจให้กันค่ะ
ปิยะณัฏฐ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 มี.ค. 2559, 13:40:19 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 มี.ค. 2559, 13:40:19 น.
จำนวนการเข้าชม : 1043
<< บทที่ 12 | บทที่ 15 >> |
Zephyr 22 มี.ค. 2559, 00:34:02 น.
จีบโหดชะมัดพี่กอบ
จีบโหดชะมัดพี่กอบ