มนต์อักษรอ้อนรัก
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ 15
บทที่ 15
กรี๊ด!!!
กอบบุญรู้สึกเหมือนหูถูกกระหน่ำด้วยค้อนยักษ์เมื่อนาวิตากรีดเสียงร้องออกมาราวกับคนเสียสติ
“เป็นบ้าอะไรขึ้นมา ห๊ะ!”
ชายหนุ่มเอ็ดเมื่อตั้งสติได้ก่อนกำจัดเสียงนั้นด้วยการอุดปากหญิงสาว แต่ไม่นานก็ร้องลั่นแล้วรีบกระชากมือออก
“ดุยิ่งกว่าหมา ฉีดยากันบาดทะยักหรือยัง”
นาวิตาถลึงตามองอย่างเอาเรื่อง ก่อนเปลี่ยนเป็นยิ้มเย้ยเมื่อเห็นกอบบุญยกมือขึ้นมาดูรอยฟันที่เธอฝากไว้ กำลังขยับปากจะ
พูด แต่เสียงฝีเท้าซึ่งดังใกล้เข้ามาดึงความสนใจให้หันไปมอง
“ขวัญได้ยินเสียงร้อง เกิดอะไรขึ้น มีใครเป็นอะไรพี่กอบ”
ครองขวัญตั้งคำถามเมื่อเดินแกมวิ่งนำนินนาทเข้ามา ก่อนนิ่วหน้าอย่างสงสัยเมื่อเห็นญาติผู้พี่มองนาวิตาด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“ไม่มีอะไร แค่...นาวิตาเห็นอะไรแวบ ๆ แล้วคงนึกว่าเป็นงูก็เลยร้องซะดังลั่น”
กอบบุญชิงบอกก่อนนาวิตาจะได้อ้าปาก
“จริงหรือหนูนา”
คำถามนั้นมาจากนินนาทที่แม้ปากถามน้องสาวแต่สายตากลับจ้องกอบบุญ ราวกับว่านั่นจะช่วยให้เขาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ในขณะที่คนถูกจับจ้องกลับเสมองทางอื่นแต่ไม่วายทำท่าฮึดฮัด
“เอ่อ...ค่ะพี่นิน”
เพราะไม่อยากให้เรื่องบานปลาย นาวิตาจึงอ้อมแอ้มตอบรับพลางนึกแช่งชักหักกระดูกกอบบุญอยู่ในใจ โทษฐานทำให้ต้องโกหก
นินนาทยังคงมองกอบบุญอีกครู่เหมือนจะประเมินบางอย่าง ก่อนดึงนาวิตามายืนข้าง ๆ
“วันนี้ผมคงต้องกลับก่อน แล้ววันหลังผมจะมาฟังคำตอบนะครองขวัญ”
นั่นคือคำพูดที่นินนาทบอกกับครองขวัญก่อนจับจูงน้องสาวแล้วเดินเคียงกันไป ท่ามกลางสายตาสองคู่ที่ยังคงทอดมองตามด้วยความรู้สึกสับสนในหัวใจไม่ต่างกัน
คืนนั้น ด้วยมีเรื่องให้ต้องขบคิดทำให้ครองขวัญไม่อาจข่มตาให้หลับแม้เวลาล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่
‘ที่ผมอยากแต่งงานกับคุณ ไม่ได้เป็นเพราะจะทำตัวเป็นคนดีหรือเสียสละ แต่ผมกำลังทำเพื่อตัวเองต่างหาก’
ตอนนั้นเพราะมัวสับสนทำให้เธอนึกอะไรไม่ออก แม้กระทั่งคำถามว่าทำไมเขาจึงพูดแบบนั้น ครั้นพอจะถามเสียงร้องของนาวิตาก็ทำให้ตกใจจนต้องรีบวิ่งไปดู
แล้วจากนั้น เธอก็ไม่มีโอกาสถามอะไรอีก
หญิงสาวถอนหายใจเมื่อบอกกับตัวเองว่าแต่ถึงอย่างไรเธอก็คงไม่กล้าถาม
หรือเพราะเขาเองก็ต้องรักษาชื่อเสียงของตัวเองเหมือนกัน
เมื่อความคิดนั้นผุดขึ้น ใจของครองขวัญก็หม่นมัวจากการยอมรับว่านั่นต่างหากคือสิ่งสำคัญสำหรับเขา คือสิ่งที่เขาบอกว่าทำเพื่อตัวเอง
คนระดับเขา ชื่อเสียงย่อมสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด
เป็นเธอเองต่างหากที่พลอยทำให้เขาเดือดร้อน
ครองขวัญนึกอย่างเศร้าใจ
สำหรับคนธรรมดาไม่ได้เป็นนักธุรกิจชั้นแนวหน้า แน่นอนว่าชื่อเสียงของเธอย่อมไม่สำคัญเท่ากับชื่อเสียงของเขา
เธอต่างหากที่ควรเป็นฝ่ายชดใช้
สุดท้าย กบในกะลาในความคิดของกอบบุญก็ล้มตัวลงนอนด้วยหัวใจร้าวระบมจากพิษของการนึกคิดเอาเอง
คืนนั้น นาวิตาก็เป็นอีกคนที่หลับไม่ลงจากเหตุการณ์เมื่อตอนเย็น
‘ถ้าคนป่าเถื่อนคนนี้มันปลุกปล้ำคุณซะที่นี่ จากนั้นก็ไปบอกพี่ชายของคุณว่าจะรับผิดชอบด้วยการแต่งงาน แบบนี้จะทำให้ผมกลายเป็นสุภาพบุรุษขึ้นมาได้เหมือนกับพี่ชายของคุณหรือเปล่า’
ถ้าตอนนั้นเธอไม่ร้องออกมา เขาจะทำแบบนั้นไหม
คำถามนั้นยังคงค้างคาใจไม่ต่างจากแววตาวาววับเหมือนพยัคฆ์จ้องตะครุบเหยื่อของกอบบุญที่ยังคงตราตรึงอยู่ในใจ
ตอนนั้นเขาทำให้เธอกลัวจริง ๆ
นาวิตาตัวสั่นเหมือนทุกครั้งยามนึกถึงท่าทางและน้ำเสียงคุกคามของกอบบุญในตอนนั้น
แต่เธอก็ผิดนะที่ไปดูถูกเขาก่อน
สำนึกส่วนหนึ่งแย้งหญิงสาวเหมือนจะแก้ตัวแทนชายหนุ่ม ทำให้เจ้าตัวออกอาการฮึดฮัดอย่างขัดอกขัดใจ
ก็ได้ เธอยอมรับว่าผิด แต่เขาก็ทำเกินไปไม่ใช่หรือ
นิสัยเอาแต่ใจตัวเองทำให้นาวิตาโต้กับอีกเสียงหนึ่งอย่างไม่ยอมแพ้
ไม่รู้ล่ะ ยังไงเขาก็ผิด เธอจะไม่ยอมพูดกับเขาจนกว่าได้ยินคำขอโทษ
หญิงสาวบอกกับตัวเอง ก่อนฝืนข่มตาหลับทั้งที่ใจยังคงขุ่นมัว
ไปไหนของเขานะ
นาวิตานึกอย่างไม่สบอารมณ์ขณะตวัดตามองค้อนที่นั่งข้างหน้าซึ่งว่างเปล่าปราศจากผู้เป็นเจ้าของ
คิดใช้วิธีหนีหน้าเพื่อจะได้ไม่ต้องขอโทษเธอละสิ
คิดแล้วนาวิตาก็ยิ่งหงุดหงิด ตั้งแต่รู้จากนพรุจว่าเช้านี้กอบบุญไม่เข้าบริษัทเธอก็เริ่มอารมณ์เสียโดยเฉพาะเมื่อได้ยินนพรุจเปรยว่ากอบบุญอาจมีนัดกับสาว
คนห่าม ๆ แบบนั้นจะมีผู้หญิงที่ไหนมาสน
หญิงสาวนึกค่อนขอดก่อนค้อนลมค้อนแล้งโต๊ะตัวเดิม ครั้นมองไปยังโต๊ะอีกตัวซึ่งว่างเปล่าเช่นกันก็อดนึกพาลชายหนุ่มอีกคนไม่ได้
เป็นเพราะช่วงนี้วุฒิชัยเลือกอยู่ประจำไซด์งานแท้ ๆ เธอถึงต้องอยู่คนเดียวด้วยความรู้สึกเศร้า ๆ เหงา ๆ แบบนี้
“ไงหนูนา อยู่คนเดียวเหงาละสิ”
คำถามที่มาพร้อมการปรากฏตัวของนพรุจทำให้นาวิตาต้องฝืนยิ้ม
“พี่นพมีอะไรจะใช้นาหรือคะ โทร. มาเรียกนาขึ้นไปก็ได้ ไม่ต้องลงมาเองหรอกค่ะ”
นพรุจหัวเราะ ก่อนบอก
“อะไร...นี่เรานั่งตบยุงจนลืมดูเวลาเลยหรือ นี่มันเที่ยงแล้วพี่ตั้งใจจะมาชวนไปกินข้าวถึงได้มาหาเราที่ห้อง”
“อ้าว! เที่ยงแล้วหรือคะ นาไม่ได้ดูนาฬิกาเลย”
นาวิตาบอกเสียงอ่อย ก่อนฉวยกระเป๋ามาถือแล้วเดินเข้าไปคล้องแขนญาติผู้พี่
“ไปค่ะ ไปกินข้าวกัน ไม่รู้เป็นไงพอเห็นหน้าพี่นพแล้วนาก็เริ่มจะหิวขึ้นมานิด ๆ เหมือนกัน”
นพรุจหัวเราะร่าอย่างชอบใจ ก่อนโยกศีรษะญาติสาวอย่างเอ็นดู จากนั้นจึงพากันเดินออกไปจากห้อง
ในร้านอาหารที่อยู่ไม่ไกลจากบริษัท ทั้งนพรุจและนาวิตาต่างมีสีหน้าเคร่งเครียดไม่แพ้กันจากเรื่องที่กำลังสนทนา
“นาไม่สบายใจเลยพี่นพ ไม่นึกเลยว่าเรื่องมันจะบานปลายขนาดนี้”
หญิงสาวถอนหายใจเมื่อนึกถึงการตัดสินใจของพี่ชาย
“อย่าโทษตัวเองเลย พี่เองก็มีส่วนผิดทั้งที่เป็นผู้ใหญ่กว่าแต่ก็ไม่คิดห้าม ยังช่วยคิดช่วยวางแผนช่วยหาคนทั้งที่น่าจะคิดน่าจะรู้ว่าจะเกิดผลอะไรตามมา”
“ถ้าพี่นินรู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นแผนการของนา พี่นินคงโกรธนามากแน่ ๆ”
“ก็คงมีบ้าง แต่พี่ว่านายนินรู้ก็ยังไม่เท่ากับอีกคนรู้”
ไม่ต้องบอก นาวิตาก็พอเดาได้ว่าอีกคนที่นพรุจพูดนั้นหมายถึงใคร ยิ่งเหตุการณ์เมื่อเย็นวานผุดขึ้นมาก็เหมือนจะตอกย้ำให้เห็นความน่ากลัวของผู้ชายคนนั้น
กอบบุญ
นาวิตารู้สึกเหมือนเหงื่อกำลังไหลซึมออกมาทั้งที่อยู่ภายในร้านอาหารที่ฉ่ำด้วยความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ
เขาจะฆ่าเธอหรือเปล่า ถ้ารู้ว่าเธอเป็นคนอยู่เบื้องหลังเรื่องที่เกิดขึ้น
ด้วยความไม่สบายใจที่ยังคงตามติดตั้งแต่อยู่ในร้านอาหาร ดังนั้นแม้กลับเข้ามาในห้องทำงานแล้วนาวิตาก็ยังอดไม่ได้ต้องพูดเรื่องนี้ต่อ
“พี่นพคิดว่า นาควรไปสารภาพความจริงกับพี่นินดีไหมคะ”
นพรุจนิ่งไปครู่เหมือนชั่งใจ ก่อนให้คำตอบ
“พี่ว่าอย่าเพิ่งไปพูดอะไรเลย ตอนนี้เรื่องกำลังร้อนไว้ให้เย็นลงกว่านี้ค่อยไปพูดความจริงกับนายนินน่าจะดีกว่า”
“นารู้สึกเหมือนเป็นต้นเหตุ ถ้าพี่นินจำเป็นต้องแต่งงานเพราะเรื่องที่เกิดขึ้น นาคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต”
“แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่แม่ของเราตั้งใจไว้ไม่ใช่หรือ เราเองก็บอกพี่นี่ว่าอยากได้ครองขวัญมาเป็นพี่สะใภ้ แล้วทำไมต้องรู้สึกผิด”
“ก็...นาอยากให้ทั้งสองคนแต่งงานกันด้วยความเต็มใจไม่ใช่แบบนี้นี่คะ มันเหมือน...ถูกมัดมือชกยังไงก็ไม่รู้”
“เอาเถอะน่า ยังไงซะเรื่องมันก็เกิดขึ้นแล้ว” ชายหนุ่มเงียบไปครู่ ก่อนพูดต่อด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ไม่แน่นะ บางทีพี่ชายของเราอาจเต็มใจแต่งงานก็ได้ ใครจะไปรู้”
“พี่นพพูดเหมือนรู้อะไรดี ๆ เลย หรือว่ามีอะไรที่นายังไม่รู้คะ”
นาวิตาตั้งคำถามในตอนท้ายอย่างข้องใจกับสีหน้าแววตาที่เหมือนมีลับลมคมในของญาติหนุ่ม
“ไม่มีอะไรพี่แค่เดาน่ะ” เงียบไปครู่ก่อนชายหนุ่มจะปรับสีหน้าเป็นเคร่งขรึม “เราไม่ต้องไปห่วงเรื่องนายนินมันหรอก อย่าลืมที่พี่เตือนก็แล้วกันว่าคนที่ควรระวังก็คือเจ้ากอบ อย่าให้มันรู้เรื่องนี้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นทั้งพี่ทั้งเราได้แย่แน่”
เห็นนาวิตาพยักหน้ารับด้วยท่าทางหงอย ๆ นพรุจก็นึกสงสารจนต้องดึงตัวเข้ามากอดปลอบใจ ทว่าน้ำเสียงเหี้ยม จัดที่ดังมาจากทางด้านหน้าประตูที่ถูกเปิดแง้มไว้ ส่งผลให้คนทั้งสองผละตัวออกจากกันแล้วหันไปมองอย่างตื่นตกใจ
“แล้วถ้าผมอยากรู้ล่ะ จะเล่าให้ฟังได้ไหม”
*******************************************************
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน และขอบคุณมาก ๆ สำหรับ LIKE ที่มอบให้กันค่ะ
คุณ Zephyr - ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ สำหรับคอมเม้นท์ย้อนหลังให้ทุกตอนเลย ^____^ คราวที่แล้วอาจดูเหมือนพี่กอบโหดไปนี๊ดดดด แต่หลังจากนี้เชื่อว่าผู้ชายคนนี้ต้องพยายามขุดหามุมน่ารัก ๆ ของตัวเองออกมาได้แน่ค่ะ
กรี๊ด!!!
กอบบุญรู้สึกเหมือนหูถูกกระหน่ำด้วยค้อนยักษ์เมื่อนาวิตากรีดเสียงร้องออกมาราวกับคนเสียสติ
“เป็นบ้าอะไรขึ้นมา ห๊ะ!”
ชายหนุ่มเอ็ดเมื่อตั้งสติได้ก่อนกำจัดเสียงนั้นด้วยการอุดปากหญิงสาว แต่ไม่นานก็ร้องลั่นแล้วรีบกระชากมือออก
“ดุยิ่งกว่าหมา ฉีดยากันบาดทะยักหรือยัง”
นาวิตาถลึงตามองอย่างเอาเรื่อง ก่อนเปลี่ยนเป็นยิ้มเย้ยเมื่อเห็นกอบบุญยกมือขึ้นมาดูรอยฟันที่เธอฝากไว้ กำลังขยับปากจะ
พูด แต่เสียงฝีเท้าซึ่งดังใกล้เข้ามาดึงความสนใจให้หันไปมอง
“ขวัญได้ยินเสียงร้อง เกิดอะไรขึ้น มีใครเป็นอะไรพี่กอบ”
ครองขวัญตั้งคำถามเมื่อเดินแกมวิ่งนำนินนาทเข้ามา ก่อนนิ่วหน้าอย่างสงสัยเมื่อเห็นญาติผู้พี่มองนาวิตาด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“ไม่มีอะไร แค่...นาวิตาเห็นอะไรแวบ ๆ แล้วคงนึกว่าเป็นงูก็เลยร้องซะดังลั่น”
กอบบุญชิงบอกก่อนนาวิตาจะได้อ้าปาก
“จริงหรือหนูนา”
คำถามนั้นมาจากนินนาทที่แม้ปากถามน้องสาวแต่สายตากลับจ้องกอบบุญ ราวกับว่านั่นจะช่วยให้เขาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ในขณะที่คนถูกจับจ้องกลับเสมองทางอื่นแต่ไม่วายทำท่าฮึดฮัด
“เอ่อ...ค่ะพี่นิน”
เพราะไม่อยากให้เรื่องบานปลาย นาวิตาจึงอ้อมแอ้มตอบรับพลางนึกแช่งชักหักกระดูกกอบบุญอยู่ในใจ โทษฐานทำให้ต้องโกหก
นินนาทยังคงมองกอบบุญอีกครู่เหมือนจะประเมินบางอย่าง ก่อนดึงนาวิตามายืนข้าง ๆ
“วันนี้ผมคงต้องกลับก่อน แล้ววันหลังผมจะมาฟังคำตอบนะครองขวัญ”
นั่นคือคำพูดที่นินนาทบอกกับครองขวัญก่อนจับจูงน้องสาวแล้วเดินเคียงกันไป ท่ามกลางสายตาสองคู่ที่ยังคงทอดมองตามด้วยความรู้สึกสับสนในหัวใจไม่ต่างกัน
คืนนั้น ด้วยมีเรื่องให้ต้องขบคิดทำให้ครองขวัญไม่อาจข่มตาให้หลับแม้เวลาล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่
‘ที่ผมอยากแต่งงานกับคุณ ไม่ได้เป็นเพราะจะทำตัวเป็นคนดีหรือเสียสละ แต่ผมกำลังทำเพื่อตัวเองต่างหาก’
ตอนนั้นเพราะมัวสับสนทำให้เธอนึกอะไรไม่ออก แม้กระทั่งคำถามว่าทำไมเขาจึงพูดแบบนั้น ครั้นพอจะถามเสียงร้องของนาวิตาก็ทำให้ตกใจจนต้องรีบวิ่งไปดู
แล้วจากนั้น เธอก็ไม่มีโอกาสถามอะไรอีก
หญิงสาวถอนหายใจเมื่อบอกกับตัวเองว่าแต่ถึงอย่างไรเธอก็คงไม่กล้าถาม
หรือเพราะเขาเองก็ต้องรักษาชื่อเสียงของตัวเองเหมือนกัน
เมื่อความคิดนั้นผุดขึ้น ใจของครองขวัญก็หม่นมัวจากการยอมรับว่านั่นต่างหากคือสิ่งสำคัญสำหรับเขา คือสิ่งที่เขาบอกว่าทำเพื่อตัวเอง
คนระดับเขา ชื่อเสียงย่อมสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด
เป็นเธอเองต่างหากที่พลอยทำให้เขาเดือดร้อน
ครองขวัญนึกอย่างเศร้าใจ
สำหรับคนธรรมดาไม่ได้เป็นนักธุรกิจชั้นแนวหน้า แน่นอนว่าชื่อเสียงของเธอย่อมไม่สำคัญเท่ากับชื่อเสียงของเขา
เธอต่างหากที่ควรเป็นฝ่ายชดใช้
สุดท้าย กบในกะลาในความคิดของกอบบุญก็ล้มตัวลงนอนด้วยหัวใจร้าวระบมจากพิษของการนึกคิดเอาเอง
คืนนั้น นาวิตาก็เป็นอีกคนที่หลับไม่ลงจากเหตุการณ์เมื่อตอนเย็น
‘ถ้าคนป่าเถื่อนคนนี้มันปลุกปล้ำคุณซะที่นี่ จากนั้นก็ไปบอกพี่ชายของคุณว่าจะรับผิดชอบด้วยการแต่งงาน แบบนี้จะทำให้ผมกลายเป็นสุภาพบุรุษขึ้นมาได้เหมือนกับพี่ชายของคุณหรือเปล่า’
ถ้าตอนนั้นเธอไม่ร้องออกมา เขาจะทำแบบนั้นไหม
คำถามนั้นยังคงค้างคาใจไม่ต่างจากแววตาวาววับเหมือนพยัคฆ์จ้องตะครุบเหยื่อของกอบบุญที่ยังคงตราตรึงอยู่ในใจ
ตอนนั้นเขาทำให้เธอกลัวจริง ๆ
นาวิตาตัวสั่นเหมือนทุกครั้งยามนึกถึงท่าทางและน้ำเสียงคุกคามของกอบบุญในตอนนั้น
แต่เธอก็ผิดนะที่ไปดูถูกเขาก่อน
สำนึกส่วนหนึ่งแย้งหญิงสาวเหมือนจะแก้ตัวแทนชายหนุ่ม ทำให้เจ้าตัวออกอาการฮึดฮัดอย่างขัดอกขัดใจ
ก็ได้ เธอยอมรับว่าผิด แต่เขาก็ทำเกินไปไม่ใช่หรือ
นิสัยเอาแต่ใจตัวเองทำให้นาวิตาโต้กับอีกเสียงหนึ่งอย่างไม่ยอมแพ้
ไม่รู้ล่ะ ยังไงเขาก็ผิด เธอจะไม่ยอมพูดกับเขาจนกว่าได้ยินคำขอโทษ
หญิงสาวบอกกับตัวเอง ก่อนฝืนข่มตาหลับทั้งที่ใจยังคงขุ่นมัว
ไปไหนของเขานะ
นาวิตานึกอย่างไม่สบอารมณ์ขณะตวัดตามองค้อนที่นั่งข้างหน้าซึ่งว่างเปล่าปราศจากผู้เป็นเจ้าของ
คิดใช้วิธีหนีหน้าเพื่อจะได้ไม่ต้องขอโทษเธอละสิ
คิดแล้วนาวิตาก็ยิ่งหงุดหงิด ตั้งแต่รู้จากนพรุจว่าเช้านี้กอบบุญไม่เข้าบริษัทเธอก็เริ่มอารมณ์เสียโดยเฉพาะเมื่อได้ยินนพรุจเปรยว่ากอบบุญอาจมีนัดกับสาว
คนห่าม ๆ แบบนั้นจะมีผู้หญิงที่ไหนมาสน
หญิงสาวนึกค่อนขอดก่อนค้อนลมค้อนแล้งโต๊ะตัวเดิม ครั้นมองไปยังโต๊ะอีกตัวซึ่งว่างเปล่าเช่นกันก็อดนึกพาลชายหนุ่มอีกคนไม่ได้
เป็นเพราะช่วงนี้วุฒิชัยเลือกอยู่ประจำไซด์งานแท้ ๆ เธอถึงต้องอยู่คนเดียวด้วยความรู้สึกเศร้า ๆ เหงา ๆ แบบนี้
“ไงหนูนา อยู่คนเดียวเหงาละสิ”
คำถามที่มาพร้อมการปรากฏตัวของนพรุจทำให้นาวิตาต้องฝืนยิ้ม
“พี่นพมีอะไรจะใช้นาหรือคะ โทร. มาเรียกนาขึ้นไปก็ได้ ไม่ต้องลงมาเองหรอกค่ะ”
นพรุจหัวเราะ ก่อนบอก
“อะไร...นี่เรานั่งตบยุงจนลืมดูเวลาเลยหรือ นี่มันเที่ยงแล้วพี่ตั้งใจจะมาชวนไปกินข้าวถึงได้มาหาเราที่ห้อง”
“อ้าว! เที่ยงแล้วหรือคะ นาไม่ได้ดูนาฬิกาเลย”
นาวิตาบอกเสียงอ่อย ก่อนฉวยกระเป๋ามาถือแล้วเดินเข้าไปคล้องแขนญาติผู้พี่
“ไปค่ะ ไปกินข้าวกัน ไม่รู้เป็นไงพอเห็นหน้าพี่นพแล้วนาก็เริ่มจะหิวขึ้นมานิด ๆ เหมือนกัน”
นพรุจหัวเราะร่าอย่างชอบใจ ก่อนโยกศีรษะญาติสาวอย่างเอ็นดู จากนั้นจึงพากันเดินออกไปจากห้อง
ในร้านอาหารที่อยู่ไม่ไกลจากบริษัท ทั้งนพรุจและนาวิตาต่างมีสีหน้าเคร่งเครียดไม่แพ้กันจากเรื่องที่กำลังสนทนา
“นาไม่สบายใจเลยพี่นพ ไม่นึกเลยว่าเรื่องมันจะบานปลายขนาดนี้”
หญิงสาวถอนหายใจเมื่อนึกถึงการตัดสินใจของพี่ชาย
“อย่าโทษตัวเองเลย พี่เองก็มีส่วนผิดทั้งที่เป็นผู้ใหญ่กว่าแต่ก็ไม่คิดห้าม ยังช่วยคิดช่วยวางแผนช่วยหาคนทั้งที่น่าจะคิดน่าจะรู้ว่าจะเกิดผลอะไรตามมา”
“ถ้าพี่นินรู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นแผนการของนา พี่นินคงโกรธนามากแน่ ๆ”
“ก็คงมีบ้าง แต่พี่ว่านายนินรู้ก็ยังไม่เท่ากับอีกคนรู้”
ไม่ต้องบอก นาวิตาก็พอเดาได้ว่าอีกคนที่นพรุจพูดนั้นหมายถึงใคร ยิ่งเหตุการณ์เมื่อเย็นวานผุดขึ้นมาก็เหมือนจะตอกย้ำให้เห็นความน่ากลัวของผู้ชายคนนั้น
กอบบุญ
นาวิตารู้สึกเหมือนเหงื่อกำลังไหลซึมออกมาทั้งที่อยู่ภายในร้านอาหารที่ฉ่ำด้วยความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ
เขาจะฆ่าเธอหรือเปล่า ถ้ารู้ว่าเธอเป็นคนอยู่เบื้องหลังเรื่องที่เกิดขึ้น
ด้วยความไม่สบายใจที่ยังคงตามติดตั้งแต่อยู่ในร้านอาหาร ดังนั้นแม้กลับเข้ามาในห้องทำงานแล้วนาวิตาก็ยังอดไม่ได้ต้องพูดเรื่องนี้ต่อ
“พี่นพคิดว่า นาควรไปสารภาพความจริงกับพี่นินดีไหมคะ”
นพรุจนิ่งไปครู่เหมือนชั่งใจ ก่อนให้คำตอบ
“พี่ว่าอย่าเพิ่งไปพูดอะไรเลย ตอนนี้เรื่องกำลังร้อนไว้ให้เย็นลงกว่านี้ค่อยไปพูดความจริงกับนายนินน่าจะดีกว่า”
“นารู้สึกเหมือนเป็นต้นเหตุ ถ้าพี่นินจำเป็นต้องแต่งงานเพราะเรื่องที่เกิดขึ้น นาคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต”
“แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่แม่ของเราตั้งใจไว้ไม่ใช่หรือ เราเองก็บอกพี่นี่ว่าอยากได้ครองขวัญมาเป็นพี่สะใภ้ แล้วทำไมต้องรู้สึกผิด”
“ก็...นาอยากให้ทั้งสองคนแต่งงานกันด้วยความเต็มใจไม่ใช่แบบนี้นี่คะ มันเหมือน...ถูกมัดมือชกยังไงก็ไม่รู้”
“เอาเถอะน่า ยังไงซะเรื่องมันก็เกิดขึ้นแล้ว” ชายหนุ่มเงียบไปครู่ ก่อนพูดต่อด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ไม่แน่นะ บางทีพี่ชายของเราอาจเต็มใจแต่งงานก็ได้ ใครจะไปรู้”
“พี่นพพูดเหมือนรู้อะไรดี ๆ เลย หรือว่ามีอะไรที่นายังไม่รู้คะ”
นาวิตาตั้งคำถามในตอนท้ายอย่างข้องใจกับสีหน้าแววตาที่เหมือนมีลับลมคมในของญาติหนุ่ม
“ไม่มีอะไรพี่แค่เดาน่ะ” เงียบไปครู่ก่อนชายหนุ่มจะปรับสีหน้าเป็นเคร่งขรึม “เราไม่ต้องไปห่วงเรื่องนายนินมันหรอก อย่าลืมที่พี่เตือนก็แล้วกันว่าคนที่ควรระวังก็คือเจ้ากอบ อย่าให้มันรู้เรื่องนี้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นทั้งพี่ทั้งเราได้แย่แน่”
เห็นนาวิตาพยักหน้ารับด้วยท่าทางหงอย ๆ นพรุจก็นึกสงสารจนต้องดึงตัวเข้ามากอดปลอบใจ ทว่าน้ำเสียงเหี้ยม จัดที่ดังมาจากทางด้านหน้าประตูที่ถูกเปิดแง้มไว้ ส่งผลให้คนทั้งสองผละตัวออกจากกันแล้วหันไปมองอย่างตื่นตกใจ
“แล้วถ้าผมอยากรู้ล่ะ จะเล่าให้ฟังได้ไหม”
*******************************************************
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน และขอบคุณมาก ๆ สำหรับ LIKE ที่มอบให้กันค่ะ
คุณ Zephyr - ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ สำหรับคอมเม้นท์ย้อนหลังให้ทุกตอนเลย ^____^ คราวที่แล้วอาจดูเหมือนพี่กอบโหดไปนี๊ดดดด แต่หลังจากนี้เชื่อว่าผู้ชายคนนี้ต้องพยายามขุดหามุมน่ารัก ๆ ของตัวเองออกมาได้แน่ค่ะ
ปิยะณัฏฐ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 มี.ค. 2559, 10:14:47 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 มี.ค. 2559, 10:14:46 น.
จำนวนการเข้าชม : 998
<< บทที่ 13 และ 14 | บทที่ 16 >> |