ดั่งบุหลันดั้นเมฆ
แพทย์หญิงสิตางศุ์จะตัดสินใจเช่นไรเมื่อในปัจจุบันเธอกำลังเผชิญมรสุมเลวร้ายของชีวิตสมรสอย่างหนักกับนักธุรกิจจอมเจ้าชู้ชื่อเมฆินทร์ แล้วจู่ๆ ก็มีโอกาสพบเรื่องมหัศจรรย์ เธอถูกพาย้อนอดีตไปอยู่ในร่างพราวบุหลันดาราสาวสวย ได้พบภากร...ผู้ชายแสนดีซึ่งเธอไม่เคยคิดว่าจะมีในโลก ทั้งสองร่วมกันฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย เธอเองก็แก้ไขเรื่องร้ายที่เกิดในอนาคตได้หลายเรื่องรวมทั้งการช่วยชีวิตภากรไว้ด้วย ความรักงดงามเบ่งบานกลางใจ ทว่าเธอสมควรเลือกเส้นทางใดกันแน่...เป็นสิตางศุ์ แพทย์สาวในปี ๒๕๕๘ ซึ่งทำประโยชน์ให้คนส่วนรวมได้มากมาย หรือเป็นดาราสาวชื่อพราวบุหลัน ใช้ชีวิตกับชายหนุ่มที่รักเธอสุดหัวใจ ในปี ๒๕๒๙ ตลอดไป
Tags: ข้ามเวลา แพทย์หญิง รักหวานซึ้ง
ตอน: บทที่ ๖
บทที่ ๖
เมื่องานศพภิรมย์ผ่านไปได้อาทิตย์กว่า ภากรก็กลับมาเยี่ยมเยียนพราวบุหลันอีกครั้ง หญิงสาวดีใจมากเมื่อแต๋ววิ่งเข้ามารายงาน
“คุณภากรมาค่ะคุณนาย”
จันทราที่นั่งอยู่ด้วยกันยิ้มกว้างแสดงความพึงพอใจแบบไม่มีปิดบังขณะร้องสั่ง
“รีบไปรับหน้าเลยนังแต๋ว เผื่อมีของจะได้ช่วยหิ้ว ปกติพ่อกรชอบซื้อของอร่อยเข้ามากินด้วยกัน”
เมื่อเด็กรับใช้ลับตาไป จันทราก็หันไปบอกลูกสาว
“ขึ้นไปแต่งหน้าทาปากตอนนี้ก็ยังทันนะลูก” ไม่พูดเปล่า ผู้เป็นแม่มองหน้าเธอด้วยสายตากึ่งสมเพชชอบกล นี่หน้าสดของเธอดูไม่ดีขนาดนั้นเชียวหรือ
เห็นทีเรื่องการแต่งหน้าจัดจะเป็นลักษณะเด่นของพราวบุหลันจริงๆ ดูเหมือนคนรอบกายพร้อมใจกันพุ่งประเด็นไปยังจุดนี้ แต่อย่าหวังเลย แพทย์หญิงสิตางศุ์ไม่มีความสามารถในการแต่งหน้าแม้แต่นิดเดียว ที่เคยใช้ก็แค่ครีมกันแดด แป้งพัฟ แล้วก็ลิปสติกสีอ่อนๆ เท่านั้น
“หนูไม่ค่อยนึกอยากแต่งหน้าแล้วค่ะแม่” หญิงสาวสารภาพเสียงอ่อย
“เดี๋ยวคู่หมั้นก็หนีหรอก เล่นเปลี่ยนไปเยอะขนาดนี้” ผู้เป็นมารดาสำรวจใบหน้าเธอซ้ำแล้วซ้ำอีก
“ช่างเขาเถอะค่ะ อยากหนีก็ให้หนีไปเลยตั้งแต่ตอนนี้ ดีกว่าอยู่กันไปแล้วเลิกราทีหลัง”
“เฮ้อ! ลูกสาวฉัน ทำไมดื้อนักนะ แน่ะคุณกรมาพอดี”
ร่างสูงสง่าของภากรตรงเข้ามายังห้องรับแขก แค่เห็นแวบเดียวหัวใจของพราวบุหลันก็เต้นแรง จนต้องพยายามตั้งสติพร้อมเตือนตัวเองว่าเขาไม่ใช่ธันว์ ต่อให้เหมือนแค่ไหนก็ไม่ใช่ แม้จะเริ่มสังเกตเห็นว่า ณ ตอนนี้ภากรจัดเป็นสถาปนิกหนุ่มที่ทันสมัยแต่งตัวแบบมีรสนิยม ออกแนวเท่กว่าคนเดินถนนทั่วไป แต่เทียบกันแล้วธันว์ก็ยังดูมีชีวิตชีวา คล่องตัวกว่านี้หลายสิบเท่า
“สวัสดีครับ คุณป้าจันทรา ต้องขอโทษจริงๆ ช่วงที่ผ่านมาผมหายไปเลย ไม่ค่อยได้มาหา” ชายหนุ่มทักทายแล้วนั่งลงบนโซฟาตามคำเชื้อเชิญของเจ้าของบ้าน
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ คุณกรก็วุ่นๆ เรื่องงานศพ แล้วตอนนี้คุณสุคนธ์เป็นไงบ้างคะ เริ่มทำใจได้บ้างหรือยัง”
“คุณแม่ดีขึ้นมากแล้วครับ หายเศร้าซึมแล้ว นี่ก็เข้าวัด ขอไปวิปัสสนาที่วัดป่าในต่างจังหวัดยาวเลย”
“เข้าหาทางธรรมก็ดีนะคะ คงช่วยได้เยอะ ป้าอนุโมทนาด้วย”
“ครับ คุณแม่ฝากเรียนว่าเรื่องงานแต่งงานของผมกับพราวคงต้องรอๆ ไปอีกพักใหญ่ อย่างน้อยก็สักสามเดือน ให้คลายความเศร้าจากเรื่องคุณพ่อก่อน”
“อู๊ย! ทางป้ากับคุณลุงชำนาญก็ไม่ได้เร่งรัดนะ สบายๆ จ้ะ ยังไงเราก็จะได้เป็นทองแผ่นเดียวกันแน่ๆ อยู่แล้ว” จันทราออกตัวพร้อมโบกไม้โบกมือให้วุ่น
“พูดถึงคุณลุงชำนาญ นี่ท่านไม่อยู่หรือครับ”
ชายหนุ่มกวาดสายตาไปทั่วบริเวณบ้าน แล้วมาหยุดที่ใบหน้าพราวบุหลันพร้อมส่งยิ้ม เขาคงไม่รู้ว่ายิ้มมีเอกลักษณ์ของเขาช่างเหมือนของธันว์จนน่าตกใจ และรอยยิ้มนี้เคยทำให้สิตางศุ์หวั่นไหวจนในเวลาต่อมาก็ถึงขั้นยอมเริ่มคบกับธันว์แบบคนรักทั้งที่เขาอายุน้อยกว่าเธอปีกว่า ตอนที่เขาเริ่มมาจีบนั้นเธออยู่ปีหกส่วนธันว์ก็เพิ่งเรียนจบจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์พอดี เขาเทียวไปเทียวมาหาเธอที่โรงพยาบาลจนทำให้สิตางศุ์ถูกเพื่อนๆ ตั้งฉายาว่าเป็น ‘คนกินเด็ก’ แต่เพราะการทุ่มเทให้กับความรักของธันว์ ทำให้เขาเอาชนะใจเธอจนได้ ทั้งสองเริ่มคบกันอย่างเปิดเผย แม้จะไม่ค่อยได้ไปไหนด้วยกันเพราะต่างคนต่างวุ่น แต่ก็ยังพยายามหาเวลาว่างอันน้อยนิดกินข้าวด้วยกันบ้าง ต้องยอมรับว่าธันว์คือรักแรกอันฝังใจของสิตางศุ์ แต่น่าเสียดายที่ยังไม่ทันได้รู้จักกันอย่างถ่องแท้ ธันว์ก็มาจากไปเรียนต่อในต่างประเทศอย่างกะทันหัน...ไปแบบไม่มีกำหนดกลับราวกับต้องการหนีเธอ สิตางศุ์ไม่เข้าใจและเจ็บปวดมากจนถึงกับประชดชีวิตด้วยการแต่งงานกับเมฆินทร์...หนุ่มหล่อซึ่งตอนนั้นเธอรู้สึกว่าเขาช่างดีพร้อมสมบูรณ์แบบและรักเธอมากจริงๆ
เสียงจันทราดึงพราวบุหลันออกจากภวังค์ความคิด
“ช่วงนี้ไม่รู้เป็นไง คุณชำนาญบ่นว่างานยุ่ง ต้องออกต่างจังหวัดอยู่เรื่อยเลย ยิ่งลูกสาวฟื้นแล้วแบบนี้เขาเลยหายห่วงไปหน่อย ลุยงานเต็มที่ เดี๋ยวคุณกรนั่งคุยกับพราวไปก่อนนะคะ ป้าขอตัวไปนอนพักสักหน่อย”
จู่ๆ จันทราก็หาวหวอดๆ ท่าทางอ่อนเพลียขึ้นมา
“ผมอยากพาพราวออกไปทานมื้อเย็นกันที่ร้านอาหารอิตาเลียนเพิ่งเปิดใหม่ คุณป้าไปด้วยกันมั้ยครับ” ชายหนุ่มถามอย่างเกรงใจ
“คงไม่ละจ้ะ อาหารฝรั่งกับป้าไม่ค่อยถูกกัน หนุ่มสาวไปกันเถอะ ตามสบายนะ ป้าขอพักผ่อนอยู่บ้านดีกว่า”
“งั้นผมขออนุญาตนะครับ อาจจะต่อด้วยพาไปดูหนังสักหน่อย พราวต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าหรือเปล่า”
ประโยคหลังชายหนุ่มหันไปถามหญิงสาว สายตาสำรวจชุดกางเกงผ้ายืดแนบเนื้อขายาวกับเสื้อตัวหลวมที่พราวบุหลันสวมอยู่จนคนถูกมองใบหน้าร้อนผ่าวด้วยความเขิน
“งั้นฉันขอเวลานิดนึงนะคะ ชุดนี้คงดูลำลองเกินไป”
“ได้ครับ ตามสบาย”
พราวบุหลันใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีก็กลับเข้ามาในห้องรับแขกอีกครั้งในชุดเดรสสั้นสีโอลด์โรส อันเป็นชุดที่สีอ่อนที่สุดในตู้ เรื่องเสื้อผ้าเป็นอีกเรื่องที่หญิงสาวอึดอัดใจ เธออยากเปลี่ยนสไตล์การแต่งตัว และถ้าทำแบบนั้นคงต้องโละชุดเก่าทิ้งทั้งหมด เนื่องจากการแต่งกายของสิตางศุ์ต่างกับสไตล์ของพราวบุหลันราวฟ้ากับก้นมหาสมุทร
ภากรส่งยิ้มกว้างให้เธอก่อนบอก
“ผมชอบรูปลักษณ์ใหม่ของคุณจริงๆ นะพราว คุณน่ารักขึ้นมาก เมื่อแต่งตัวน้อยลง มันทำให้ความสวยของคุณโดดเด่นขึ้น ไม่ถูกกลบด้วยเสื้อผ้า อย่าโกรธถ้าผมวิจารณ์ตรงๆ แบบนี้”
“ไม่โกรธหรอกค่ะ กลับทำให้ฉันมีกำลังใจขึ้นกับการเป็นตัวของตัวเองอีกต่างหาก ที่จริงอยากใส่สีเรียบกว่านี้อีก แต่ทั้งตู้ หาเสื้อผ้าสีอ่อนแทบไม่ได้เลย พราวบุหลันเธอแต่งตัวฉูดฉาดมาก”
ชายหนุ่มก้มลงกระซิบ
“และนั่นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมกลัวเธอ ไม่ค่อยกล้าไปไหนด้วยเลย แต่พอคุณมาอยู่ในร่างเธอ ผมสบายใจขึ้นเยอะ”
“ถ้าพราวบุหลันตัวจริงมาได้ยินคงน้อยใจแย่” เธอย่นจมูกใส่เขา
“ผมไม่ได้มีเจตนาจะนินทาใครลับหลังนะ เพียงแค่อยากให้กำลังใจคนที่ต้องอยู่ในร่างคนอื่นน่ะ อย่างน้อยคุณจะได้มั่นใจและค่อยๆ เปลี่ยนเป็นตัวของตัวเองให้มากขึ้น เดี๋ยวคนรอบกายก็ชินไปเองแหละ”
“เราไปกันเถอะค่ะ คุณจะพาฉันไปกินที่ร้านไหนคะ”
หญิงสาวเดินนำออกไปยังประตูหน้าบ้าน ปิดบังความตื่นเต้นไว้ไม่มิด เธอชอบจริงๆ กับการได้ออกไปเห็นโลกภายนอกในปี ๒๕๒๙
“เป็นร้านเพิ่งเปิดใหม่” ภากรบอกชื่อร้านอาหารซึ่งทำเอาพราวบุหลันต้องทำตาโต
“เพิ่งเปิดเหรอคะ! โอย! ดีใจ จะได้ชิมว่าต่างกันมั้ย”
หญิงสาวร้องลั่น ไม่อยากเชื่อเลยว่าเธอกำลังจะได้ไปพิสูจน์ว่าร้านอาหารอิตาเลียนร้านโปรดที่อ้างว่าเปิดมาเกือบสามสิบปีจริงตามคำโฆษณานั้น ยังคงรสชาติอาหารดั้งเดิมไว้ได้มากแค่ไหน และตอนเปิดใหม่ๆ สภาพร้านเป็นเช่นไร
“เปิดได้สักเดือนหนึ่งจ้ะ เพื่อนๆ ผมการันตีว่าอร่อยสุดๆ เชฟชาวอิตาลีฝีมือดีมาก อาหารจึงออกแนวอิตาเลียนแท้เลย”
“ฉันเชื่อค่ะ”
พราวบุหลันไม่อยากเล่าให้เขาฟังไปหมดว่าอีกยี่สิบเก้าปีทุกอย่างเป็นเช่นไร สู้ให้เขาไปประสบเองจะดีกว่า เธอเดินตามร่างสูงโปร่งไปขึ้นรถแล้วเดินทางมุ่งสู่ร้านอาหารโปรดด้วยจิตใจอันเบิกบาน
_________________________________________________________________________
“คุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่นี่คือร้านประจำของฉันนะ ติดอันดับหนึ่งในสามร้านในดวงใจฉันเลยรู้มั้ย”
ในที่สุดคนคุยเก่งก็อดเล่าไม่ได้ อันที่จริงสิตางศุ์เกือบลืมไปแล้วว่าเธอเคยเป็นสาวช่างคุย แต่หลังจากแต่งงานเมื่อพบเจอเรื่องหนักหนามากๆ เข้าเธอจึงกลายเป็นคนพูดน้อยไปเลย โดยเฉพาะกับสามี
“นี่แสดงว่าร้านนี้จะอยู่ยงคงกระพันงั้นเหรอ ผมจะเชื่อคุณดีมั้ยเนี่ย ในเมื่อร้านอาหารส่วนมากมักทยอยปิดไปตามกาลเวลา โดยเฉพาะร้านหรูๆ ที่มาแรงมาเร็ว บางทีก็ไปเร็วเหมือนกัน”
ภากรจูงมือเธอเดินตามบริกรหนุ่มไปยังโต๊ะที่เขาโทรศัพท์มาจองไว้ หญิงสาวกวาดตามองทั่วร้านอย่างตื่นเต้น การตกแต่งโดยรวมยังคล้ายเดิม ภาพหอเอนปิซาซึ่งวาดลงบนผนังด้วยสีสันฉูดฉาดยังคงเป็นภาพเดิม ไม่น่าเชื่อว่าหลายๆ มุมในร้านเช่นเคาน์เตอร์บาร์ทำจากไม้สักหนาที่มีไวน์หลากหลายชนิดเรียงรายให้เลือกยังคงไว้จนถึงอนาคต แต่บางมุมก็ปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยโดยเฉพาะโต๊ะอาหารที่ตอนนี้รองรับแขกได้น้อยกว่าอนาคต
“แต่ไม่ใช่ร้านนี้แน่ค่ะ ต่อไปร้านจะขยายกว่านี้อีก ฉันไม่อยากเล่าหมด เดี๋ยวอีกเกือบสามสิบปีคุณก็ไม่มีอะไรตื่นเต้นกันพอดี เพราะรู้จากปากฉันหมดแล้ว”
สถาปนิกหนุ่มหัวเราะ เขาส่งสายตาเอ็นดูมาให้ พราวบุหลันหวั่นไหวเล็กน้อย แต่แล้วความรู้สึกที่ไม่เคยแน่ใจว่าเขาชอบสิตางศุ์ที่อยู่ในร่างนี้หรือชอบพราวบุหลันกันแน่ก็ทำให้เธอสับสนมาตลอด จึงพยายามไม่ให้ความสนใจกับความนัยที่ชายหนุ่มพยายามส่งมาให้เธอหลายครั้งแล้ว
“คุณเป็นคู่หมั้นที่น่ารักขึ้นทุกวันเลยรู้มั้ย โดยเฉพาะหลังจากฟื้นขึ้นมา มันทำให้ผมเชื่อมากขึ้นทุกทีว่ามีคนอื่นในร่างคุณ”
เขาส่งสายตาพราวจ้องลึกเข้าไปในดวงตาเธอราวกับจะค้นให้พบตัวตนของสิตางศุ์ที่ซ่อนอยู่ข้างใน
“ขอบคุณที่ไม่คิดว่าฉันบ้า อืม...แล้ววันนี้คุณจะพาฉันไปดูหนังเรื่องอะไรคะ” เธอชวนคุยเพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกหวิวไหวที่เกิดขึ้นในหัวใจ
“ผมเลือกเรื่องที่เหมาะกับอายุพราวบุหลันก็แล้วกันนะ เป็นหนังไทยวัยรุ่นเพิ่งเข้าโรง กำลังดังมาก ชื่อเรื่อง ‘ปลื้ม’ ไงล่ะ”
“โอ้โห! เยี่ยมไปเลยค่ะ ฉันเคยเห็นแต่ตอนเป็นโปสเตอร์โฆษณาหนังเก่าเป็นของหายากมาก ไม่นึกเลยว่าจะได้มาดูตอนหนังเพิ่งเข้าโรง”
หญิงสาวตื่นเต้นกับประสบการณ์ที่กำลังจะได้พบ แต่แล้วเมื่อเห็นชายสูงวัยร่างสันทัดเดินเข้ามาในร้านพร้อมชายหนุ่มอีกคนเธอก็อุทานออกมา “อุ๊ย! นั่น...ใช่คุณพ่อฉันหรือเปล่า”
ออกจะเป็นคำถามที่แปลกสักหน่อย ต้องยอมรับว่าสิตางศุ์ยังไม่คุ้นกับคนรอบตัวของพราวบุหลัน กระทั่งชำนาญผู้เป็นพ่อซึ่งเห็นหน้ากันนับครั้งได้เธอก็ยังไม่ชินตา
“อืม ใช่ คุณลุงชำนาญพ่อคุณจริงๆ ด้วย แต่เอ๊ะ! ท่านมากับเอกสิทธิ์ มือขวาพ่อผม สองคนนี้รู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่”
คิ้วเข้มของภากรขมวดเข้าหากัน มองตามชายสองคนที่ถูกพาไปนั่งโต๊ะริมหน้าต่าง
“ฉันควรทำยังไงคะ ต้องเข้าไปทักพ่อมั้ย” หญิงสาวถามอย่างลังเล
“อย่าดีกว่าขอผมสังเกตการณ์นิดนึงนะ ช่วงนี้ผมกำลังจับตาดูนายเอกสิทธิ์คนนี้อยู่ นักสืบที่ผมจ้างไว้กำลังค้นเจออะไรบางอย่าง”
พราวบุหลันจับตามองชายหนุ่มร่างสูงที่เดินเคียงข้างพ่อของเธออย่างละเอียด จากระยะไกลดูเหมือนเขาเป็นคนกระฉับกระเฉงมาก แต่ใบหน้าคมสันดูหลุกหลิก มีลับลมคมในชอบกล
“ไม่น่าเชื่อนะคะ ว่ามือขวาคนสนิทของพ่อคุณอายุน้อยมาก ฉันนึกว่าจะแก่กว่านี้สักหน่อย” เธอออกความเห็น นึกใบหน้าของ ‘มือขวา’ ในละครทีวี แต่ละคนมักเป็นหนุ่มใหญ่หรือสูงวัยไปเลย ไม่เห็นจะมีที่ดูเป็นหนุ่มจบใหม่ไฟแรงอย่างนี้
“เอกสิทธิ์อายุน้อยกว่าผมอีก เขาเพิ่งจะยี่สิบห้า แต่เก่งและคล่องแคล่ว เขามีความสามารถในการพูดให้ผู้ใหญ่เอ็นดู จนดูเหมือนคุณพ่อรักเขามากกว่าผมเสียอีก ซึ่งก็สมควรหรอก ผมไม่เก่งเรื่องทางธุรกิจ คุณพ่อเลยต้องหาคนมาช่วย และเอกสิทธิ์ก็ตอบโจทย์นั้น เขาก้าวขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งผู้ช่วยของคุณพ่ออย่างรวดเร็ว ติดตามคุณพ่อไปทุกหนแห่งราวกับเงา บางทีอาจจะสนิทกับคุณพ่อมากกว่าผมด้วยซ้ำ” น้ำเสียงของชายหนุ่มแฝงความน้อยใจอย่างเห็นได้ชัด
“ถ้างั้นคุณก็ต้องได้ข้อมูลเรื่องการที่ท่านฆ่าตัวตายจากคุณเอกสิทธิ์บ้างสิคะ สนิทกันมากก็สมควรรู้ว่าพ่อคุณมีปัญหาหนักใจเรื่องอะไร”
พราวบุหลันพุ่งประเด็นไปยังเรื่องการสูญเสียบิดาอย่างกะทันหันของภากรซึ่งชายหนุ่มพูดบ่อยๆ ว่ามุ่งมั่นจะสืบค้นให้ได้ว่าเหตุใดท่านจึงคิดสั้น
“ตรงข้ามเลยละ คุณเชื่อมั้ย ผมกับคุณแม่ถามอะไร นายนั่นก็ตอบว่าไม่รู้ท่าเดียว อ้างว่าคุณพ่อไม่ค่อยพูดเรื่องส่วนตัวให้ฟัง”
“เราเองก็ไม่ได้อยากรู้เรื่องส่วนตัวนี่นา เป็นคนในครอบครัวเดียวกันก็ต้องรู้มากกว่านายคนนั้นอยู่แล้ว เราอยากรู้เรื่องทางธุรกิจ” หญิงสาวติง เธอคาดเดาอะไรบางอย่างไว้บ้างแล้ว แต่ยังไม่กล้าพูดออกไป เกรงจะเป็นการละลาบละล้วง
“คุณพูดถูก การที่เอกสิทธิ์บอกปัด ไม่ค่อยให้ข้อมูลทำให้ผมคิดจ้างนักสืบเพื่อค้นหาด้วยตัวเอง ผมไม่ยอมให้คุณพ่อต้องตายฟรีๆ แน่ มั่นใจว่าการฆ่าตัวตายของคุณพ่อต้องมีสาเหตุซับซ้อนอะไรสักอย่าง”
มือของภากรที่วางบนโต๊ะประสานกันแน่น สีหน้าขึ้งเครียดขณะจับสังเกตชายผู้เป็นเป้าหมายไม่วางตา
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพ่อพราวบุหลัน...เอ่อ...พ่อฉันหรือเปล่า ทำไมถึงได้นัดมาทานข้าวด้วยกัน เขาสนิทกันมากเหรอคะ”
“ไม่น่านะ ที่ผ่านมาผมไม่เคยเห็นสองคนนี้คุยกันเลยด้วยซ้ำ แต่ที่เราเห็นตอนนี้เขาแทบจะกอดคอกัน ดูสนิทกันเกินเหตุจริงๆ”
ภากรพูดถูก จากตรงนี้มองไปยังโต๊ะที่เอกสิทธิ์และชำนาญนั่งอยู่ ชายต่างวัยคุยไปหัวเราะไปท่าทางสนุกสนาน พราวบุหลันไม่เคยเห็นพ่อของเธอในลักษณะนี้มาก่อน ปกติท่านดูเป็นข้าราชการผู้ใหญ่ซึ่งเคร่งขรึม เอาการเอางานเป็นที่สุด แต่ที่เห็นขณะนี้ท่านดื่มเหล้าจนหน้าเริ่มแดง ดูครึกครื้นผิดหูผิดตา
“ฉันจะไปดูด้วยตัวเอง อยากเห็นหน้านายเอกสิทธิ์นั่นใกล้ๆ ได้คุยกันสักนิด คงจะพอมองออกว่าเขาเป็นคนยังไง” พราวบุหลันทำท่าจะลุกขึ้นแต่ภากรรั้งไว้เสียก่อน
“ผมว่าอย่าดีกว่า ไม่อยากให้สองคนรู้ตัวว่าเราจับตาดูอยู่ ให้เป็นหน้าที่ของนักสืบเถอะนะ”
หญิงสาวกำลังจะเถียงออกไปก็ต้องตกใจเมื่อเห็นเอกสิทธิ์หันมาสบตาเข้าพอดี เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินตรงมาหาทันทีเมื่อแน่ใจว่าเป็นเธอ
“น้องพราว พี่ดีใจจริงๆ ที่ได้เจอน้องที่นี่ คุณพ่อน้องก็มาด้วยนะครับนั่งอยู่ตรงโต๊ะโน้น จะย้ายไปนั่งด้วยกันไหมครับ”
น้ำเสียงที่พูดเริ่มอ้อแอ้ กลิ่นแอลกอฮอล์คละคลุ้งจนเวียนหัวทำให้เดาได้ว่าสองคนคงเมาก่อนจะเข้ามาในร้านอาหารนี้ด้วยซ้ำ เมื่อพราวบุหลันเงยหน้าขึ้นไปจ้องมองเอกสิทธิ์ในระยะประชิดก็ต้องตกใจ ดวงตาของชายหนุ่มช่างเหมือนใครสักคนที่เธอเคยเห็น สิตางศุ์ในร่างพราวบุหลันต้องใช้ความคิดหนักหน่วงว่าเคยเห็นดวงตาเช่นนี้ในอนาคตหรือในช่วงเวลานี้กันแน่ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังคิดไม่ออก
“เห็นจะไม่ละ เรากำลังจะกลับ” ภากรปฏิเสธแทนแล้วรีบเรียกพนักงานมาเก็บเงิน
“ฉันไปลาพ่อก่อน นี่คุณพาพ่อฉันมาเมาเละขนาดนี้เลย มันเกินไปรึเปล่า”
พราวบุหลันส่งสายตาตำหนิเอกสิทธิ์แบบไม่หวั่นเกรงจนอีกฝ่ายหน้าเสีย ทว่ายังฝืนยิ้มกลบเกลื่อน
“เรากินกันประจำ คุณอาชำนาญคอแข็ง ไม่เมาง่ายๆ หรอกน่า ท่านก็แค่หน้าแดง”
หญิงสาวลุกเดินไปที่โต๊ะซึ่งผู้เป็นพ่อนั่งอยู่ โดยมีเอกสิทธ์เดินตามมาห่างๆ
“ปกติพ่อกินเหล้าหนักขนาดนี้เลยเหรอคะ ดูสิ หน้าแดงหมดแล้ว” เธอต่อว่าเสียงแข็ง นี่ถ้าสนิทใจกับชำนาญกว่านี้ สิตางศุ์ในร่างพราวบุหลันต้องเข้าไปประคองชายสูงวัยกลับบ้านด้วยกันแน่
“ไม่เอาน่าพราว ทำไมต้องทำเสียงดุกับพ่อด้วย ผู้ชาย ก็ต้องมีสังคม” ชายสูงวัยแก้ตัว น้ำเสียงอ้อแอ้
“พราวจะมาบอกพ่อว่าขอกลับก่อน หรือพ่อจะกลับกับพราวก็ได้ จะปลอดภัยกว่า เพราะคุณเอกสิทธิ์นั่นก็เมาแล้วนะคะ ขับรถได้หรือเปล่าก็ไม่รู้” หญิงสาวชายตาไปยังหนุ่มร่างสูงซึ่งยืนอยู่ไม่ไกล ตั้งใจให้เจ้าตัวได้ยิน
“ลูกกลับเถอะ ตามสบาย เดี๋ยวพ่อคงไปต่อที่อื่นอีกหน่อย ไอ้ร้านอิตาลีบ้านี่มันทำท่าจะไล่พ่อทั้งที่เพิ่งเข้ามาไม่นานเอง”
“ก็เพราะเขาไม่อยากต้อนรับคนเมาน่ะสิคะ เมาได้ขนาดนี้แสดงว่าไปกินเหล้าจากที่อื่นมาก่อนแล้วใช่มั้ยคะ ฉลองอะไรกันนักหนา” หญิงสาวยังต่อว่าไม่เลิก เพราะนึกสงสารจันทราผู้เป็นมารดาที่ป่านนี้คงเป็นห่วงแย่ เพราะปกติหลังเลิกงานชำนาญมักกลับถึงบ้านไม่เกินหกโมงเย็น
“ไม่ใช่เรื่องของแก” ชำนาญทำเสียงดุในแบบที่พราวบุหลันไม่เคยได้ยินมาก่อน เธอจึงตัดสินใจจะไม่ตอแยด้วย
“งั้นพราวกลับละค่ะ”
“แล้วก็ไม่ต้องไปบอกแม่แกล่ะ ว่าเจอพ่อที่นี่ เข้าใจมั้ย”
พราวบุหลันไม่ตอบ ได้แต่เดินกลับไปหาภากร เห็นว่าชำระเงินเสร็จแล้วจึงรีบคว้าแขนเขาเดินออกมาจากร้าน เมื่อมานั่งในรถ เธอก็บอกอย่างหงุดหงิด
“นี่พูดในฐานะสิตางศุ์นะ ฉันไม่ชอบขี้หน้าทั้งนายเอกสิทธิ์แล้วก็นายชำนาญนั่นเลย”
“อ้าว! ทำไมล่ะ”
“สองคนนั่นมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ เหมือนกำลังฉลองใหญ่กันยังไงยังงั้น ทั้งที่พ่อคุณก็ตายไปไม่นาน แต่คนสนิทกลับไม่สลดเลย”
“ก็จริงนะ ผมสงสัยหนักขึ้นทุกที คงต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด แล้วเร่งนักสืบให้ได้เรื่องไวๆ”
“ยังไม่อยากสรุป แต่ก็บอกได้เลยว่าการตายของพ่อคุณมีสาเหตุเบื้องลึกแน่ๆ คุณเชื่อฉันเถอะ”
สายตาที่ภากรส่งมาบ่งบอกว่าเขาก็คิดเหมือนเธอ แววตานั้นปะปนไปด้วยความความมุ่งมั่นจะค้นหาความจริงและความชื่นชมในตัวเธอ
“ผมว่าคุณฉลาดกว่าเดิมเยอะจนน่าตกใจเลยละ พราวบุหลัน”
“งั้นก็เชื่อเสียทีสิว่าฉันคือ สิตางศุ์”
____________________________________________________________________________
“แม่คะ พราวไปเจอพ่อที่ร้านอาหารอิตาเลียนค่ะ ท่าทางพ่อเมาด้วยนะคะ”
พราวบุหลันรายงานทันทีเมื่อกลับมาถึงบ้านตอนสี่ทุ่มหลังจากรับประทานอาหารเย็นตามด้วยดูภาพยนตร์กับภากรแล้ว ผู้เป็นมารดาละสายตาจากจอทีวีในห้องนั่งเล่น เสียงแต๋วที่นั่งอยู่บนพื้นพูดสวนขึ้นมา
“ต๊าย! แต๋วไม่เคยเห็นคุณผู้ชายเมาเลยสักทีนะคะเนี่ย”
จันทราส่งสายตาดุๆ ปรามคนรับใช้สาวที่ชอบยุ่งเรื่องเจ้านายจนอีกฝ่ายต้องหลบตาก้มหน้างุด หญิงกลางคนหันไปบอกลูกสาว
“เหรอจ๊ะ แปลกจัง พ่อบอกแม่ว่าไปทำงานต่างจังหวัด”
ผู้เป็นเจ้านายหันไปโบกมือไล่แต๋วให้ออกไปจากห้องเพื่อความเป็นส่วนตัวในการคุยกัน
“อ้าว! แต่พราวเพิ่งเจอพ่อจริงๆ ค่ะ แม่รู้สึกว่าพ่อแปลกๆ ไปไหมคะ ในช่วงนี้”
พราวบุหลันนั่งลงเคียงข้างมารดาแล้วเลียบๆ เคียงๆ ถาม เธอมุ่งมั่นมากในการจะช่วยภากรค้นหาความจริง ในเมื่อช่วงนี้เธอก็ไม่มีหน้าที่การงานอะไรต้องรับผิดชอบ เอาเวลามาทำตัวให้เป็นประโยชน์จะดีกว่า
“บอกตามตรงนะ ก็รู้สึกอยู่จ้ะ บางทีแม่แอบสงสัยว่าพ่อมีผู้หญิงคนใหม่หรือเปล่า แต่ดูแล้วเหมือนไม่น่าใช่ พ่อเป็นคนรักเดียวใจเดียวมาตลอด แต่ก็มีอย่างนึงนะ ที่แม่ไม่เคยบอกหนูเลย...หลังๆ นี้พ่อแอบไปเล่นการพนันบ่อย แม่จับได้หลายหนแล้ว ที่มาเก๊าบ้าง บางทีก็บ่อนประเทศเพื่อนบ้านใกล้ๆ แม่ห้ามก็ไม่ค่อยฟัง”
“พ่อไปกับใครคะ”
“แม่เคยเห็นมีคนหนุ่มชื่อเอกสิทธิ์มารับ สงสัยจะไปเล่นการพนันด้วยกัน แม่ไม่รู้จักผู้ชายคนนั้นลึกซึ้งอะไร พ่อเคยแนะนำให้รู้จักกันแค่ครั้งเดียวเท่านั้น เห็นว่าทำงานรายได้ดี พากันกินเที่ยว ไม่รู้ทำไมจู่ๆ พ่อก็ไปคบคนพรรค์นั้น แต่เอ๊ะ! วันนั้นลูกก็อยู่ด้วยนี่ จำได้มั้ย นายเอกสิทธิ์นั่นชีกอจะตาย พูดจาแทะโลมลูกด้วยนะ แม่ละหมั่นไส้ เกลียดขี้หน้ามาก”
นั่นสินะ พราวบุหลันก็รู้สึกเหมือนกันว่าเอกสิทธิ์น่ารังเกียจ ชายต่างวัยสองคนนั้นดูไม่น่าคบกันได้เลย
“พูดก็พูดเถอะ ไหนๆ ก็เริ่มคุยเรื่องนี้แล้ว พราวจำได้ใช่มั้ยว่าวันที่พ่อกับแม่ขอร้องหนูให้แต่งงานกับคุณกรน่ะ เราบอกลูกไปหมดแล้วว่าเรามีความจำเป็น”
“เอ่อ...คือ...จำเป็นอะไรนะคะแม่ พราวชักเลือนๆ ไปแล้ว”
พราวบุหลันใจเต้นแรง นี่เธอกำลังจะได้รู้ข้อมูลใหม่ที่สำคัญใช่ไหม
“ก็ที่พ่อบอกว่าพ่อไปลงทุนกับเพื่อนทำตึกแถวในต่างจังหวัดแล้วมันทำท่าจะไม่ดีไง บางทีแม่ก็คิดนะว่าที่ฐานะเราย่ำแย่ลงเรื่อยๆ มันเป็นเพราะพ่อไปลงทุนผิดๆ หรือเพราะพ่อติดการพนันกันแน่”
น้ำเสียงและแววตาของจันทราเต็มไปด้วยความวิตกกังวลจนน่าสงสาร
“พ่อเราน่ะ ทำแต่รับราชการมาตลอด ไม่เก่งเรื่องการลงทุนอะไรหรอก ยิ่งมาเล่นการพนันเข้าไปอีก แม่ห้ามก็ไม่ฟังจนทะเลาะกันก็บ่อย ฐานะเราตอนนี้มันแย่ลงมากนะ พราวรู้มั้ย เมื่อวันก่อนคนของธนาคารมาหาแม่ที่บ้าน บอกว่าบ้านเราจะถูกยึด แม่นี่แทบเป็นลมเลย แต่พอบอกพ่อ พ่อกลับเฉยๆ อ้างว่ามีทางออกแล้ว เพราะลูกก็หมั้นกับคุณกร เหลือแค่แต่งงาน” หญิงกลางคนลูบหลังเธอเบาๆ แล้วบอกต่อ “ลูกต้องพยายามแต่งงานกับเขานะลูก ยิ่งคุณภิรมย์เพิ่งเสียไป มรดกตกทอดก็มาที่ลูกชายแน่ๆ คราวนี้พ่อกับแม่คงไม่ลำบาก คุณกรคงไม่ยอมให้แม่เสียบ้านหลังนี้ไปหรอก”
คำพูดของคนเห็นแก่ตัวที่เพิ่งจบลงทำเอาพราวบุหลันทั้งโกรธทั้งอับอายแทน
“แม่คะ แบบนี้มันไม่ยุติธรรมกับฝ่ายโน้นนะคะ นี่แม่คิดจะเอาหนูไปเป็นเหยื่อให้ครอบครัวคุณกรติดกับดัก แล้วเราก็ปอกลอกเขางั้นเหรอคะแม่ พราวรับไม่ได้นะ” หญิงสาวตะโกนลั่นด้วยความลืมตัว
“ฟังแม่ก่อนสิลูก ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ยังไงระยะหลังตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาก็ดูเหมืนคุณกรเขาเอ็นดูลูกมากขึ้น สนิทกันกว่าแต่ก่อนตั้งเยอะ หนูลองทำให้เขาอยากแต่งงานกับหนูเองจริงๆ สิจ๊ะ เราจะได้ไม่ต้องรู้สึกผิด”
“พราวขอตัว!”
พราวบุหลันทนฟังต่อไปไม่ไหว ไม่อยากเชื่อว่าจะมีคนคิดแบบนี้... ‘ขายลูกสาวกิน’ คำนี้มันใช่จริงๆ แล้วเธอควรทำอย่างไร เล่นตามน้ำเป็นลูกที่ดี ยอมแต่งงาน แล้วปล่อยให้ผู้ชายดีๆ แสนซื่ออย่างภากรโดนปอกลอกเช่นนั้นหรือ
ต้องมีทางออกสิ เธอต้องหาทางออกให้ได้
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่าน ขอบคุณทุกคอมเมนต์ค่ะ ^___^
________________________________________________________________________
ตอบคอมเมนต์ค่ะ
คุณ Zephyr คะ...ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ สำหรับคอมเมนต์ เป้นกำลังใจที่ดีจริงๆ ค่ะ
_______________________________________
ดาริยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 มี.ค. 2559, 08:02:35 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 มี.ค. 2559, 08:06:46 น.
จำนวนการเข้าชม : 978
<< บทที่ ๕ | บทที่ ๗ >> |