คืนค่ำร่ำพิศวาส
สองผีพี่น้อง เลวิส... แวมไพร์(ผีดูดเลือด) ลมเหนือ... ผีเฮี้ยน! อยู่ตึกผีสิง VS กาฬวาร... เด็กสาวยากจนเป็นสาวพรหมจรรย์ มีพลังจิตบริสุทธิ์ เธอช่วยพวกเขากลับเป็นมนุษย์ กลายเป็นเพื่อนบริสุทธิ์ใจต่อกัน สองพี่น้องต่างบิดาแต่รักกันมาก เวลาผ่านไปเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ได้เจอเธออีกหนต่างหลงรักผู้หญิงคนเดียวกัน...เลือกรักไม่ได้หนึ่งหญิงสองชาย (อยากเก็บเธอไว้ทั้งสองคน)
Tags: หวานแหวว, ซึ้ง, รักแฟนตาซี, ไตรติมา, ผี, แวมไพร์, ตลก, หล่อ, โรแมนติค,

ตอน: ตอน ๖

______________________...oooooOOOooooo...______________________... ตอน ๖
............กาฬวารนอนหลับในอาการกระสับกระส่าย แต่ไม่เชิงฝันร้ายเสียทีเดียว

“กาฬ...” เสียงเรียกของลมเหนือ เขาอยู่ข้างบ้าน

เธอเดินออกไป จู่ ๆ ถูกเขารวบกอดทันที ไม่ทันได้เห็นใบหน้าของเขาด้วยซ้ำ แม้อยู่ในความฝัน แต่สัมผัสกอดรัดที่แน่นหนักนั้นเสมือนจริงมาก และกระเทือนกับอาการสะอื้นของเขา

“ร้องไห้ทำไม... คุณเหนือ เกิดอะไรขึ้นเหรอ”

“เขาไม่รักฉันแล้วเขานอกใจ ฉันเห็นเขานอนกับผู้ชายอื่น เขาทำได้ยังไง ฉันอยากตาย... ฮือ ฮือ ฮือ...”

“แต่ตอนนี้คุณเหนือเป็นวิญญาณ คุณเหนือตายแล้วใช่ไหม” กาฬวารถาม

เขาคลายอ้อมกอด มองเธอ... จึงเห็นใบหน้าหมองเศร้า เต็มไปด้วยน้ำตานองหน้า แล้วร่างของเขาค่อย ๆ เลือนราง จางหาย...

“คุณเหนือ คุณเหนือ...” กาฬวารเรียกชื่อเขาจนตื่น



............เช้าวันรุ่งขึ้น หลังใส่บาตรกรวดน้ำอุทิศให้วิญญาณลมเหนือแล้ว จึงไปบ้านคุณนายจินตนา เพื่อเล่าเรื่องความฝันให้ฟัง...

พอตกกลางคืน... กาฬวารฝันเห็นลมเหนือซ้ำอีก แต่เขาอยู่ในเงามืด ...ไม่พูด ...ไม่มองเธอ แล้วเลือนหายไป... ในความฝันกาฬวารรับรู้ได้ว่าวิญญาณเขามีแต่ความทุกข์ จึงคิดทำบุญใหญ่ให้เขา

รุ่งขึ้นเช้าวันถัดมา... กาฬวารตรงไปบ้านคุณนายจินตนา และเล่าความฝันให้ฟังอีก

“กาฬคิดจะทำบุญให้คุณเหนือ ทำสังฆทานชุดใหญ่ เลยมาบอกคุณนายกับคุณมิลิน”

“ดีสิกาฬ... ฉันอยากทำบุญให้เหนือเหมือนกัน ฉันจะให้เงินไปซื้อของถวายพระ” คุณมิลินสนับสนุน

และคุณนายจินตนาให้เงินกาฬวารไปจัดซื้อเครื่องสังฆทานชุดใหญ่ มีทั้งไตรจีวร ฯลฯ ...

นอกจากนั้นกาฬวารยังสั่งให้ร้านดอกไม้ในตลาดร้อยพวงมาลัยมะลิพวงใหญ่อย่างสวยงามประณีต ใช้ดอกไม้หลายสีสัน ทำชายเป็นอุบะกุหลาบสีชมพู แล้วคุณนายจินตนา คุณมิลินและกาฬวารจึงช่วยกันขนของทำบุญทั้งหมดไปถวายพระ พร้อมเครื่องสังฆทาน จากนั้นนำน้ำอบไปสรงน้ำพระ แล้วทำบุญเติมน้ำมันตะเกียง



............กาฬวารไม่ได้ฝันเห็นลมเหนืออีก ตื่นนอนเวลาตีสองสวดมนต์และนั่งสมาธิ แต่ครั้งนี้ใช้เวลานานชั่วโมงกว่า ตลอดเวลานั้นเธอตั้งใจทำใจให้สงบที่สุด ผลของใจที่สงบตั้งมั่นจะช่วยให้ผู้รับได้รับผลบุญมากยิ่งขึ้น หลังจากนั้นจึงอุทิศส่วนกุศลให้วิญญาณลมเหนือ

“หากคุณเหนือมีทุกข์โศกใด ด้วยบุญกุศลที่อุทิศไป ขอให้คลายความทุกข์โศกเศร้า มีแต่ความสุขความเพลิดเพลินเจริญใจ” กาฬวารตั้งใจกล่าวแผ่ส่วนกุศล

ไม่นาน... เสียงสุนัขเห่าหอนดังขึ้นอย่างเย็นยะเยือก เสียงรับส่งกันเป็นทอด... นั่นทำให้เธอรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ แต่พยายามแข็งใจเปิดประตูออกไปหน้าบ้าน จึงได้เห็น...

“หอมกลิ่นดอกมะลิ น้ำอบ ทุกอย่างสว่างไสว... เธอทำบุญให้ฉัน ขอบใจมาก ฉันสบายใจขึ้นแล้ว” วิญญาณลมเหนือบอก เขายิ้มให้ใบหน้าอิ่มเอิบเป็นสุข... ชุดที่สวมใส่สีขาวเจิดจ้า

กาฬวารเห็นดังนั้นจึงพลอยสบายใจไปด้วย และคลายความหวาดกลัว

“คุณเหนืออยู่ที่ไหน ฉันหมายถึงร่างกายของคุณเหนือ”

“ฉันไม่รู้... ไม่เห็นร่างตัวเองเลย”

“กาฬ... ยืนคุยอยู่กับใครเหรอ ยังเช้ามืดอยู่เลย” ตาเปี๊ยกเอ่ยทักทาย ประสาคนละแวกบ้าน แกขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านมา เพราะออกไปจ่ายตลาดตอนตีสี่เป็นประจำ

“เปล่าจ้า” กาฬวารตอบ ไม่แน่ใจว่าคนถามเห็นหน้าคนที่เธอยืนคุยอยู่ด้วยไหม

“เฮ้ย! ...หายวับไปแล้ว อะไรกันวะ จ๊ากกก... ผีหลอก” ตาเปี๊ยกอกสั่นขวัญหนี อารามตกใจส่งเสียงโวยวายดังลั่น รีบเร่งมอเตอร์ไซค์ขับหนีไปอย่างเร็วสุดชีวิต!

กลายเป็นว่าต่อไปนี้ทุกเช้ากาฬวารต้องทำบุญใส่บาตร ...อุทิศส่วนกุศลให้วิญญาณลมเหนือ



............ข่าวลือเรื่องมีคนเห็นผีที่หน้าบ้านกาฬวารแพร่ออกไปทั่วหมู่บ้าน... ตีสามดึกสงัดคืนถัดมาปลอดโปร่ง กาฬวารเล่นกับเจ้าสามลูกแมวอ้วนดำอย่างสบายอารมณ์ ไม่มีวิญญาณลมเหนือปรากฏตัว? ...ซะเมื่อไหร่!

“สามเอ๊ย... สาม ไอ้อ้วนสาม... นอนเฉย ๆ นะ”

เจ้าสามนอนเรียบร้อยบนตักกาฬวาร ชั่วครู่เดียว... มันเงยหน้าขึ้นมาใช้เล็บตะกุยตะกาย ทำคอยืดคอยาวยื่นปากจะหอมแก้มกาฬวาร เธอกอดมันแนบอก คางเธอเกยหัวของมันทั้งลูบหัว แล้วปล่อยให้มันหอมแก้ม

“แง๊ว...” เสียงเจ้าสามเรียกร้อง เล็บของมันเกาะเสื้อเธอ ตะกายยื่นหน้าขึ้นมาขอหอมแก้มกาฬวารอีกหน เธอยอมให้มันหอมอีก

“อืม... หอมแล้วหอมอีก ...พอแล้ว หอมกันไปตั้งหลายทีละ”

“แง๊ว...” เจ้าสามไม่ยอมปล่อยท่าเดียว เล็บของมันเกาะแน่น ยังคงตะกายขึ้นมาจงใจหมายจะหอมอีก

“เอ๊... วันนี้เป็นอะไรไปสาม ทั้งอ้อนทั้งกวนจังเลยไม่ไหวแล้ว นี่...” กาฬวารจับตัวมันเหวี่ยงลงกับพื้น เห็นมันนอนแน่นิ่ง แวบหนึ่งร่างลมเหนือผุดยืนตระหง่านขึ้นมา...

“ฮะ ฮะ ฮะ... เบามือหน่อยสิ ทำฉันกระเด็นออกมาเลย” วิญญาณลมเหนือหัวเราะเสียงใส

ไม่เพียงเท่านั้น... อยู่ ๆ สุนัขช่วยกันเห่าหอนเสียงดังระงม

กาฬวารสะดุ้ง ออกจะตกใจ... ไม่นึกว่าเขาจะกลายเป็นผีขี้เล่นเช่นนี้

แต่มีคนเห็น... และตกใจกลัวยิ่งกว่า คือคนที่อยู่บ้านฝั่งตรงข้าม เขาวิ่งออกจากบ้านตะโกนลั่นซอย

บ้านใกล้เรือนเคียงละแวกนั้นได้ยินกันทั่ว เขย่าขวัญสั่นประสาทคนในซอย พาให้ตกใจแตกตื่นตั้งแต่เช้ามืด...

“โว้ย! ...ช่วยด้วย ผีหลอก... ผีหลอก...”

“หา! นั่นเขาเห็นฉันเหรอ ร้องเสียงดังอย่างนั้น... ฉันตกใจเป็นเหมือนกันนะ” วิญญาณลมเหนือบอก

“คุณเหนือเป็นผีขี้ตกใจด้วยเหรอ” กาฬวารยิ้มเพราะขำเขานั่นแหละ

และทุกคนในบ้านพลอยตื่น... โผล่หน้าออกมาจากบ้าน

“มีอะไรกาฬ... เสียงร้องเอะอะ” นายพลอยถามลูกสาว

วิญญาณลมเหนือยืนมองดู กาฬวารสังเกตสีหน้าพ่อของเธอ จึงรู้ว่ามองไม่เห็นวิญญาณ

“ใครเป็นอะไร ร้องเสียงดัง” นางนิลผู้เป็นแม่ของกาฬเอ่ยถามบ้าง เป็นเช่นเดียวกับพ่อของเธอ ซึ่งมองไม่เห็นวิญญาณลมเหนือ ส่วนยายเพียรโผล่หน้าออกมาดู

“ผีที่ไหน ไม่เห็นมีอะไรเลย”

“ไม่มีอะไรหรอกจ้า สงสัยคงตาฝาด เห็นอะไรแล้วคิดเหมาเอาเองเลยตกใจร้องโวยวายขึ้นมา”

แล้วทุกคนในบ้านจึงกลับเข้าไปนอนหลับกันต่อ

แต่ชาวบ้านละแวกนั้นแม้เช้าแล้วยังไม่ค่อยมีคนเดินผ่าน ใคร ๆ เริ่มไม่อยากผ่านหน้าบ้านกาฬวาร

“คนที่เห็นฉันกลับกลัวฉัน ส่วนคนที่ฉันอยากให้เห็นอย่างคนที่บ้านฉัน กลับไม่มีใครมองเห็นฉันสักคน”

“สงสารคุณเหนือ แบบนี้มันน่าเหงานะ ไม่มีเพื่อน... ไม่เป็นไรฉันจะเป็นเพื่อนของคุณเหนือเอง และจะหาทางให้คุณเหนือได้เข้าบ้านของตัวเอง” กาฬวารเอ่ยอาสาเป็นเพื่อนกับผีวัยรุ่นผู้น่ารัก

“ขอบใจนะ” วิญญาณลมเหนือมองสบตากาฬวารนิ่งนาน ซึ่งเขาซาบซึ้งน้ำใจเธอ...



............บ้านโองาว่า กาฬวารมาถามข่าวคราวลมเหนือ อยากช่วยเหลือครอบครัวผู้มีพระคุณ

“คุณมิลินได้ข่าวคุณเหนือบ้างไหมคะ”

“เหนือไม่โทรติดต่อกลับบ้านสักครั้ง ไม่รู้จะไปตามที่ไหน ไม่รู้อะไรสักอย่าง เพื่อนหญิงของเหนือเรายิ่งไม่รู้จัก”

“กาฬมีความคิดบางอย่าง อาจเป็นเรื่องไสยศาสตร์แล้วแต่ความเชื่อ แต่เราน่าจะลองทำดูเผื่อบางทีสิ่งที่มองไม่เห็นอาจช่วยนำทาง... พาให้คุณเหนือกลับมาเร็วขึ้น”

“จะให้ทำอะไรหรือ”

“ตั้งศาลพระภูมิ เชิญวิญญาณคุณเหนือเข้าบ้าน” กาฬวารบอก

เพราะเธอได้อ่านค้นคว้าเรื่องเกี่ยวกับจิตวิญญาณ และเห็นว่าหนทางนี้จะช่วยให้วิญญาณลมเหนือเข้าบ้านของตัวเองได้ ไม่มีใครขัดความคิดของเธอ ผู้เป็นแม่อยากทำทุกอย่างที่เป็นทางทำให้ลูกกลับบ้าน

หลังจากนั้นจึงมีการตั้งศาลเจ้าที่อีกหนึ่งแห่ง โดยเชิญพราหมณ์มาทำพิธีเชิญวิญญาณ ...และเธอได้เห็นวิญญาณลมเหนือเข้ามาในบ้านได้

“ดีใจด้วยนะคะ คุณเหนือเข้าบ้านของตัวเองได้แล้ว” เธอพูดกับเขาเบา ๆ ไม่ให้ทุกคนได้ยิน เพราะไม่มีใครเลยที่มองเห็นวิญญาณเขา



............ตีสาม... กาฬวารค่อนข้างโล่งใจ ออกมานั่งเล่นกับเจ้าสามเหมือนเคย อุ้มมันมากอดแล้ววางลงให้นั่งตัก ลูบหัวมันไปจนตลอดตัว

“ป่านนี้คุณเหนือคงอยู่อย่างเป็นสุข เข้าบ้านได้แล้วนี่นะ ต่อไปนี้คงไม่ได้เจอคุณเหนือแล้ว” พูดคุยกับลูกแมวน้อย

“แง๊ว...” เจ้าสามร้องเหมือนจะคุยด้วย และมือแมวตะกุยตะกายยื่นหน้าขึ้นมาหอมแก้มกาฬวาร ถึงตอนนี้เธอเริ่มไม่แน่ใจ นี่ใช่เจ้าสาม? ได้แต่ปล่อยให้มันหอมแก้ม

“เธอสัญญาเป็นเพื่อนฉัน ไปอยู่กับฉันนะ ฉันต้องการเพื่อน” เสียงวิญญาณลมเหนือพูดสำเนียงเยือกเย็น

กาฬวารถึงกับตาเหลือกโพลง ตกใจมาก... ช็อก!

“หมายความว่ายังไง ...ไปอยู่ด้วยกัน จะเอาชีวิตฉันไปใช่ไหม อย่างนั้นฉันต้องตายนะสิ ไม่... ฉันยังไม่อยากตาย ฉันยังตายไม่ได้ ทั้งพ่อฉันแม่ฉันกับย่าอีกคนฉันยังไม่ได้ทำหน้าที่ลูกกตัญญูเลี้ยงดูพวกเขายามแก่เฒ่า ยังไม่ได้ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่และย่าเลย” เธอตีโพยตีพาย เพราะเข้าใจเช่นนั้นจึงตกใจ!

“ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันอยากให้เธอมีชีวิตอยู่อย่างนี้แหละ แต่เข้าไปอาศัยอยู่ในบ้านของฉันเป็นเพื่อนเล่นกัน ทุกวันนี้ฉันไม่สนุกเลย ไม่มีเพื่อนคุย ไม่มีใครสักคนมองเห็นฉัน... เธอไปบอกแม่ฉันนะว่าฉันต้องการให้เธอเข้ามาอยู่ที่บ้าน”

“ไม่มีใครเขาเชื่อหรอก เพราะเขาไม่เคยวิญญาณคุณเหนือ ฟังดูไม่สมเหตุสมผลเอาเป็นข้ออ้างไม่ได้”

“ฉันนึกออกแล้วว่าจะต้องทำยังไง...” เสียงของลมเหนือกล่าวโดยไม่ให้เห็นตัว แล้วเงียบหายไป...



............เมื่อกาฬวารไปซื้อของร้านเจ๊เกียวจึงถูกถามถึงคำร่ำลือเรื่อง... ผี!

“คนเขาเห็นผีที่หน้าบ้านคุณกาฬ... จู่ ๆ ทำไมมีผี”

“ไม่มีหรอกเจ๊ คนเขาตาฝาดเห็นเงาอะไรเลยคิดว่าเป็นผีล่ะมั้ง” เธอส่ายหน้าปฏิเสธ

“แต่เขาเห็นกันหลายคน ตาเปี๊ยกเอย คนบ้านตรงข้ามเอย ...นั่นยิ่งเห็นชัด แมวดำของคุณกาฬกลายร่างเป็นผู้ชายตัวสูงใหญ่” เจ๊เกียวแจงรายคน ค่อนข้างกลัวและเชื่อเรื่องผีสางอย่างที่เขาลือกัน

“ที่บ้านไม่มีใครเห็นเลย อยู่กันมาตั้งนานไม่เคยเห็นมีผีที่ไหน มันไม่มีหรอกน่า” กาฬวารพูดกลบเกลื่อน เกรงชาวบ้านจะพากันขวัญเสียไปใหญ่

“กาฬอยู่นี่เอง คุณมิลินให้มาตามไปที่บ้านหน่อย” จุ๊บแจงถูกใช้ให้มาซื้อของที่ร้านเจ๊เกียว จึงเจอและบอกกล่าวกับกาฬวาร แล้วจุ๊บแจงก็เดินนำหน้าไปที่บ้านโองาว่า

กาฬวารได้พบผู้ใหญ่ทั้งสี่คนของบ้านโองาว่า ทุกคนนั่งมองกาฬวารด้วยสีหน้าหมองหม่นเหมือนกันทุกคน

“ฉันไม่ได้เชื่อเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้หรอกนะ แต่มิลินเป็นทุกข์มาก... คิดถึงแต่ฮคคุ จนฉันเห็นใจลูกเลยต้องการความช่วยเหลือจากเธอ” คุณฮิงาชิกล่าวกับกาฬวาร

“ถ้าเห็นว่าฉันช่วยได้ ฉันเต็มใจช่วยค่ะ”

“ฮคคุมาเข้าฝันทั้งมิลินและคุณนายจินตนาบอกว่าเขาตายแล้ว ไม่รู้ร่างตัวเองอยู่ที่ไหน มีกาฬคนเดียวที่พูดกับเขาได้ เพราะเธอมองเห็นเขาจริงไหม”

“เอ่อ... จริงค่ะ” กาฬวารลังเลเล็กน้อยก่อนตอบ เพราะไม่ค่อยแน่ใจว่าพวกผู้ใหญ่จะเชื่อถือเธอ

“เขาบอกว่าเธอคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยเขาได้ เขาต้องการให้เธอเข้ามาอยู่ที่นี่”

“คุณเหนือเคยบอกฉันอย่างนั้นเหมือนกันค่ะ”

“เขาบอกว่าเขาสูญเสียคนรัก ...และเขาต้องการให้เธอแต่งงานกับวิญญาณเขา” คุณฮิงาชิพูดทอดเสียงทิ้งท้ายประโยค ตัวเขาเองยังไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไรในเรื่องไม่คาดฝันมาก่อน เช่นเดียวกับทั้งคุณมิลินและทาคามิ

“หา!...” กาฬวารอุทาน รู้สึกอึ้งมึนงงไปครู่หนึ่ง ซึ่งเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องไม่คาดฝันและมันเหลือเชื่อ...



............ตีสามเป็นเวลาประจำที่กาฬวารได้เจอวิญญาณลมเหนือ

“ฉันต้องเข้าไปอยู่บ้านคุณเหนือเพียงคนเดียวเหรอ พ่อแม่และย่าฉันล่ะ”

“บ้านฉันกว้างตึกเล็กยังว่าง ตึกใหญ่ยิ่งว่างเป็นตึกร้างทั้งตึก ครอบครัวเธอย้ายเข้าไปอยู่ได้ แต่งงานกับฉันนะ”

“ตกลง ฉันจะแต่งงานกับคุณเหนือ” ตอบอย่างไม่ลังเล เต็มใจช่วยเหลือในฐานะเพื่อนของเขา

“กาฬ... ฉันรู้ผู้หญิงต้องการแต่งงานด้วยความรัก บางทีฉันอาจบังคับใจเธอ”

“ฉันไม่คิดอย่างนั้น ความรักเป็นกิเลสตัณหา ไม่มีความแน่นอนผันแปรเปลี่ยนไปได้และอาจมีผิดหวังเสียใจ”

“จริงของเธอ ฉันได้เจอกับความผิดหวังนั้นแล้ว” วิญญาณลมเหนือกล่าวด้วยแววตาหมอง...

“ฉันจะแต่งงานด้วยเหตุผล ทำให้ชีวิตเจริญรุ่งเรืองขึ้น พ่อแม่และย่าอยู่ดีมีสุขสบาย”

“ฉันเองเหมือนกันจะแต่งงานด้วยเหตุผล ฉันต้องการเพื่อนมากที่สุดในตอนนี้ ต้องการคนให้กำลังใจ เป็นที่พึ่งทางใจให้ฉันได้ เพราะฉันเพิ่งพบกับความสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างดูเคว้งคว้างไปหมด ฉันไม่เหลือคนรักแล้ว ต่อไปฉันไม่อยากรักใครจริงใจจริงจัง ฉันต้องการคนที่เป็นเพื่อนฉันได้ เวลาอยู่ใกล้เธอฉันรู้สึกพึ่งพาเธอได้”

“แต่ฉันไม่ได้เป็นคนโรแมนติกหวานแหววนะ ตอนที่คุณเหนือเข้าสิงร่างเจ้าสามแล้วชอบมาหอมแก้ม ฉันไม่รู้สึกใจเต้นสักนิด คิดเหมือนโดนแมวมาหอม” กาฬวารบอกยิ้ม ๆ

วิญญาณลมเหนือแสร้งทำเป็นคอตก แล้วกลับยิ้มให้เช่นกัน

“แต่ฉันชอบ... รู้สึกอบอุ่นดีตอนที่เธอลูบหัวลูบตามตัวและกอดฉันไว้ทั้งตัว”

หลังจากกาฬวารตอบตกลง ทางบ้านโองาว่าจัดเตรียมงานวิวาห์อย่างรีบเร่งในอีกห้าวันถัดมา...



............กาฬวารต้องมาค้างคืนที่ตึกเล็กชั้นล่างใกล้ห้องนอนคุณนายจินตนา เพื่อเตรียมการสำหรับพิธีวิวาห์ในวันรุ่งขึ้น ซึ่งจะเริ่มต้นด้วยการทำบุญใส่บาตรในตอนหกโมงเช้า

“กาฬลองเลือกใส่ดู พรุ่งนี้จะได้ใส่ให้เข้ากับชุดเจ้าสาว ฉันเอามาให้เลือกสองชุด” คุณนายจินตนานำกล่องเครื่องเพชรมาวางบนเตียงนอนต่อหน้ากาฬวาร

เธอจึงเปิดดูทั้งสองกล่องเปรียบเทียบกัน มีชุดไข่มุกสีขาวฝังเพชรและชุดทองคำขาวประดับเพชร

“ชุดไหนราคาแพงกว่ากันคะ”

“ชุดทองคำขาวฝังเพชรสิจ๊ะแพงกว่า... ทั้งต่างหู กำไล แหวนเพชรห้ากะรัต โดยเฉพาะสร้อยคอประดับเพชรสีชมพูสิบกะรัตนี่เป็นเพชรหายากมากที่สุด รวมหมดทั้งชุดราคาไม่ต่ำกว่าสามสิบล้าน เธอชอบชุดนี้เหรอ เหมาะกับชุดเจ้าสาวสีขาวเหมือนกัน ฉันให้ยืมใส่ แต่เสร็จจากพิธีแต่งงานต้องรีบถอดเอามาคืนฉันทันทีนะ”

กาฬวารนิ่งฟังตาโต... เกิดมาจากท้องพ่อแม่ยังไม่เคยเห็นเพชรงามเลอค่าราคาแพงมหาศาลจนน่าตกใจ!

คุณนายจินตนาเดาใจว่าที่หลานสะใภ้ นึกว่าเด็กสาวแสนฉลาดอย่างกาฬวารคงชอบของที่มีราคาสูง จึงพูดออกตัวว่า... เพียงแค่ให้ยืมใส่เท่านั้น ไม่อยากให้เธอคิดละโมบถึงขั้นอยากเป็นเจ้าของ แต่คุณนายจินตนาเดาใจผิดไป...

“อย่างนั้นฉันเอาชุดไข่มุกนี่ดีกว่า ขนาดชุดนี้ถ้าได้ใส่ยังกลัวโดนปล้น ไม่รู้มีโจรขโมยมาในงานกะเขาหรือเปล่า ถ้าเสร็จพิธีแต่งงานฉันจะรีบถอดคืนคุณนายทันทีเลยค่ะ”

“อืม...อย่างนั้นดีแล้ว เธอไม่นึกอยากได้เครื่องเพชรเครื่องทองกับเขาบ้างเหรอ”

“ฉันไม่อยากได้... ของมันแพงไม่มีเงินซื้อหรอกค่ะ ถ้ามีเงินฉันขอซื้อของกินได้ก่อนอื่นเลย จะได้มีกินไม่ต้องอดไม่ต้องหิว ถ้ามีเงินมากขึ้นอีกหน่อยว่าจะแบ่งเงินไปทำบุญบ้าง ฉันชอบทำบุญที่สุดค่ะ” พูดจายิ้มแย้มแจ่มใส

“นับว่ากาฬนี่เป็นเด็กดีนะ”คุณนายจินตนาเอ่ยชม พิศดู... ให้รู้สึกเอ็นดูว่าที่หลานสะใภ้วัยรุ่นมากยิ่งขึ้น

“ตอนเด็ก... คุณครูที่โรงเรียนก็ชมแบบนี้” เธอบอก และยิ้มเป็นปลื้มรับกับคำชม

“ต่อไปเราคงต้องเรียกสรรพนามกันซะใหม่ เธอเข้ามาเป็นหลานอีกคน คือเป็นหลานสะใภ้ ต้องเรียกแทนตัวฉันว่า คุณยายแทนคุณนาย และเรียกคุณฮิงาชิว่าคุณตาแบบเดียวกับเหนือเขาเรียก”

“คุณเหนือเป็นลูกคนเดียว? ไม่มีพี่น้องเลยหรือคะ” เธอถามอย่างนั้น คุณนายจินตนาท่าทางครุ่นคิด...

“ความจริง... เหนือมีพี่ชายเกิดเดือนเดียวกันแต่ห่างกันหนึ่งปี เขาอยู่กับพ่อของเขาที่อเมริกา”

“คุณทาคามิ... คุณพ่อของคุณเหนือเป็นคนญี่ปุ่น แล้วพี่ชายคุณเหนือ? ...” เธอแปลกใจกับพี่น้องต่างสัญชาติ

คุณนายจินตนาย้อนนึกถึงเรื่องราวหนหลัง... เล่าให้ฟังเพื่อคลายความสงสัย

“มิลินเคยแต่งงานและมีลูกกับชาวอเมริกันที่ไปทำมาหากินในประเทศญี่ปุ่น ที่จริงเขาเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นอเมริกันนั่นล่ะ หลังหย่ากับมิลินก็ย้ายกลับไปอเมริกา ชื่อของเขาคือ ยูชิยะ เป็นหนุ่มที่หล่อที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมา ผิวขาว ตัวสูง... หุ่นอย่างกับนายแบบสมัยนี้ หน้าตาดูเป็นคนญี่ปุ่นไม่เหมือนคนอเมริกันเลยสักนิด ...ผิดกับลูกชายหน้าตาดูเป็นอเมริกัน หลานชายฉันคนนี้ชื่อ เลวิส ฉันมักเจอหลานในช่วงวันคริสต์มาส... และได้เจอยูชิยะตอนไปเยี่ยมมิลินที่ญี่ปุ่น เขาก็มาเยี่ยมลูกชายเขาเหมือนกัน ถึงตอนเลวิสอายุสิบขวบพ่อเขารับไปอยู่อเมริกา แต่ทุกปีในวันคริสต์มาสมักได้มาเจอกัน เลวิสกับเหนือเขาสองคนพี่น้องสนิทกันมาก รักกันดีเล่นกันคุยกันไม่หยุดทำให้ยายอย่างฉันหัวเราะไปกับพวกเขา” คุณจินตนาเล่าไปยิ้มไปด้วย ชุ่มชื่นใจกับการได้เล่าถึงเรื่องของหลานชาย

แต่กาฬวารไม่วายมีข้อสงสัยอื่นอีก

“แล้วเรื่องคุณตากับคุณยายล่ะคะ คุณยายอยู่เมืองไทยแต่แต่งงานกับคุณตาที่เป็นคนญี่ปุ่นได้ยังไง?”

“คุณฮิงาชิกับเพื่อนคือ คุณเรนะและคุณคาโต้ สองคนนี้เขาแต่งงานกันแล้วมาเที่ยวเมืองไทย ชอบเมืองไทยเลยเข้าหุ้นกันเปิดโชว์รูมขายรถยนต์นำเข้าจากญี่ปุ่น อยู่ในตัวเมืองนครปฐมนี่ล่ะ พอได้เงินจากการขายรถแล้วคุณฮิงาชิชอบมาซื้อทองรูปพรรณที่ร้าน ตอนนั้นฉันช่วยพ่อแม่ขายทองอยู่หน้าร้าน ฉันพอพูดภาษาอังกฤษได้เลยต้อนรับเขาตลอด คุยกันไปคุยกันมาก็รู้สึกชอบกัน พอดีกับคุณเรนะแพ้ท้องเป็นลมบ่อยและแพ้อากาศร้อนของเมืองไทย เลยย้ายกลับไปอยู่บ้านเกิดพร้อมคุณคาโต้ คุณเรนะคลอดลูกชายคือ ทาคามิ พ่อของลมเหนือนี่ล่ะ เหลือคุณฮิงาชิทำกิจการอยู่คนเดียว ...เหนื่อยมาก มาบ่นให้ฉันฟังเสมอ พ่อแม่ฉันชวนคุณฮิงาชิเข้าหุ้นร้านขายทอง และให้เลิกกิจการขายรถยนต์ เราเลยได้แต่งงานกันในตอนนั้น”
.
______________________...oooooOOOooooo...______________________... ตอน ๖



ไตรติมา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 มี.ค. 2559, 13:26:45 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 มี.ค. 2559, 13:26:45 น.

จำนวนการเข้าชม : 1029





<< ตอน ๕   ตอน 7 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account