มนต์อักษรอ้อนรัก
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ 16
บทที่ 16
“กอบ!”
แค่สบดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่กำลังวาววับ นพรุจก็เชื่อว่าตอนนี้ความลับไม่เป็นความลับอีกต่อไป
“ไหนว่าไม่เข้าออฟฟิศไง”
หลังคำถามนั้นกอบบุญก็ปรายตามองนาวิตาที่กำลังยืนหน้าตาตื่น
ก็เพราะหน้าของยายปลาทองนี่คอยแต่วนเวียนรบกวนสมาธิ เขาถึงทนไม่ไหวต้องลุกจากเตียงแล้วมาที่นี่เพราะอยากมาเจอตัวจริงให้รู้แล้วรู้รอด
แต่นึกไม่ถึงว่าจะมาได้ยินเรื่องบ้า ๆ
“ผมเปลี่ยนใจ” ชายหนุ่มบอกเสียงต่ำในลำคอ “เลยโชคดีได้ยินเรื่องสนุกเข้าจนได้”
“เรื่องนี้พี่อธิบายได้”
“แต่ผมอยากฟังจากนาวิตามากกว่า”
กอบบุญปัดความหวังดีของนพรุจโดยสายตาไม่ละจากนาวิตาซึ่งตอนสีหน้าซีดเซียว ก่อนบอกอย่างเย็นชา
“เล่าเรื่องสนุกของคุณได้แล้ว แต่ภาวนาไว้ด้วยนะว่าจะทำให้ผมสนุกไปด้วย ไม่อย่างนั้น...” กอบบุญยิ้มแต่เหมือนไม่มีใครกล้ามอง ก่อนบอกเสียงเข้มจัด “ผมจะให้คุณรับผิดชอบ!”
เกือบหนึ่งชั่วโมงที่นาวิตาใช้ในการเล่า เริ่มจากการขอความช่วยนพรุจจนนำไปสู่การจับตัวนินนาทและครองขวัญไปขังตามแผนที่วางไว้แต่เกิดความผิดพลาดที่ทำให้นินนาทได้รับบาดเจ็บ จนจบท้ายด้วยการทำทีว่าเธอได้รับการติดต่อเรียกเงินค่าไถ่เพื่อแลกกับการปล่อยตัวคนทั้งสอง
อาจไม่ใช่ช่วงเวลายาวนานแต่ในความรู้สึกของนาวิตาเป็นช่วงที่ทรมานจิตใจ เมื่อถูกคุกคามด้วยสายตาที่ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังถูกเฆี่ยนตีด้วยแส้จากการแปลเอาเองว่ากอบบุญกำลังโกรธเกลียดชิงชังการกระทำของเธอ
“ฉัน...ขอโทษ”
หญิงสาวบอกเสียงสั่น รู้สึกผิดและเสียใจจนแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้
“นี่สินะคือเหตุผลที่คุณไม่แจ้งความ ไม่ติดตามเอาเรื่องอะไรทั้งนั้น ผมก็คิดอยู่ว่ามันแปลกแต่ก็คิดไม่ถึงว่ามันจะเป็นแผนการบ้า ๆ ที่มีแต่คนเสียสติเท่านั้นที่จะทำกัน”
“พูดเกินไปไหมกอบ”
นพรุจท้วงพลางนิ่วหน้า ราวกับไม่ชอบใจคำพูดที่ฟังแล้วรุนแรงเกินไปในความรู้สึก
“เกินไปหรือพี่นพ” กอบบุญถามเสียงเย็นก่อนหันกลับไปมองนาวิตาตามเดิมแล้วพูดต่ออย่างโกรธจัด “แล้วตอนที่เขาวางแผนให้คนจับพี่ชายตัวเองแถมยังลากผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ไปด้วยเพียงเพราะอยากได้สมใจตัวเอง ตอนนั้นเขาเคยนึกถึงจิตใจญาติพี่น้องของผู้หญิงคนนั้นบ้างหรือเปล่า เคยคิดไหมว่าจะทำให้พวกเขาร้อนใจกินไม่ได้นอนไม่หลับ แล้วถ้า...ถ้ามีเรื่องผิดพลาดเหมือนที่เกิดกับพี่ชายของคุณ ผมอยากรู้เหลือเกินว่าคุณจะรับผิดชอบยังไง”
“ฉัน...”
น้ำเสียงหญิงสาวสั่นเครือ ก่อนที่น้ำตาจากความเสียใจจะหยาดหยดลงมาอย่างห้ามไม่อยู่
กอบบุญหันหน้าหนีทันที ก่อนกัดฟันพร้อมกำมือทั้งสองแน่นเพื่อระงับอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่าน นิ่งไปครู่จึงหันไปพูดกับนพรุจซึ่งยามนี้มีสีหน้าแววตาบอกความไม่สบายใจ
“ผมผิดหวังจริง ๆ ไม่คิดเลยว่าแม้แต่พี่ก็พลอยเป็นไปกับเขาด้วย”
ในขณะที่นพรุจยืนตัวแข็งอ้าปากค้าง กอบบุญก็พูดต่อโดยยังไม่หันไปมองคนที่กำลังยืนร้องไห้สะอึกสะอื้น
“ส่วนคุณ...นาวิตา หลังจากนี้ผมหวังว่าจะไม่เห็นหน้าคุณอีก”
จบคำบอกนั้น ร่างสูงก็เดินออกไปจากห้องท่ามกลางเสียงร้องเรียกของนพรุจและเสียงร้องไห้ของนาวิตา
หลังจากสามวันผ่านไปแล้วยังเห็นกอบบุญเอาแต่ขลุกตัวอยู่ในบ้าน ครองขวัญก็ทนเก็บความสงสัยไว้ไม่ไหวจนตั้งคำถามในตอนนั่งกินข้าวเย็นด้วยกันเพียงสองคน เพราะกนกและบุษรัตน์เดินทางไปร่วมงานศพเพื่อนที่ต่างจังหวัด
“ช่วงนี้พี่กอบลาพักร้อนหรือ”
กอบบุญชะงักมือที่กำลังหยิบแก้วน้ำ ก่อนให้คำตอบหลังดื่มน้ำแล้ววางแก้วกลับลงไปที่เดิมแล้ว
“เปล่า ฉันลาออกแล้วต่างหาก”
“อ้าว! ทำไมล่ะ”
“เบื่อ”
เห็นญาติผู้พี่ทำสีหน้ามึนตึง ครองขวัญก็ไม่กล้าพูดอะไรอีกเพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่อยากคุย หากไม่นานคนที่คิดว่าไม่อยากพูดก็เป็นฝ่ายเริ่มต้นใหม่
“แล้วเรื่องแกกับผู้ชายคนนั้น ตกลงว่ายังไง”
ถึงไม่ระบุชื่อแต่ครองขวัญก็รู้ว่ากอบบุญหมายถึงใคร หัวใจหม่นมัวจากการนึกถึงคนที่เธอเอาแต่คิดถึงเขา ในขณะที่เขาคงไม่ได้นึกถึงเธอเลย
นับจากวันนั้น นินนาทก็หายไปจากชีวิตของเธอ เขาทำเหมือนเธอไม่มีความหมาย
“ไม่รู้สิ ขวัญไม่ได้เจอเขาอีกเลย”
“ดีแล้ว เลิกยุ่งกับผู้ชายคนนั้น” กอบบุญทำหน้าบึ้งเมื่อพูดต่อ “ไม่สิ เลิกยุ่งให้หมดทั้งบ้านนั้นนะล่ะ”
ครองขวัญฟังแล้วก็กระพริบตาปริบ จังหวะนั้นโทรศัพท์มือถือก็ส่งสัญญาณว่ามีสายเข้า ครั้นเห็นชื่อผู้ที่โทร. เข้ามาหัวใจก็เต้นแรง
“ทำไมไม่รับ”
คงเพราะเห็ท่าทางรี ๆ รอ ๆ ของเธอ กอบบุญจึงตั้งคำถามอย่างสงสัย ทำให้จำต้องรับสาย
“สวัสดีค่ะ คุณนิน”
อย่างที่คิดไว้ กอบบุญตาลุกทันทีที่ได้ยิน มิหนำซ้ำยังทำท่าเหมือนจะแย่งโทรศัพท์ไปจากมือทำให้ครองขวัญต้องลุกขึ้นจะเดินหนี แต่คำบอกของอีกปลายสายทำให้หลุดปากพูดพลางยืนนิ่งอยู่กับที่
“ว่าไงนะคะ!”
น้ำเสียงตกใจของครองขวัญมีพลังมากพอจนดึงความสนใจของกอบบุญได้ แต่หญิงสาวไม่ทันสังเกตเพราะมัวจดจ่ออยู่กับการสนทนา
“ฉันจะรีบไปตอนนี้เลยค่ะ...ไม่เป็นไรค่ะเดี๋ยวฉันเรียกรถไปเอง คุณอยู่เป็นเพื่อนหนูนาเถอะ”
ชื่อตอนท้ายนั้นยิ่งทำให้กอบบุญหูผึ่ง ความอยากรู้อยากเห็นทวีจนทนเฉยไม่ได้เมื่อเห็นครองขวัญยุติการสนทนาแล้วทำท่าจะผละไป
“มีอะไร”
“หนูนาค่ะพี่กอบ หนูนาไม่สบายมาก คุณนินบอกว่าหนูนามีไข้สูงมาสองวันแล้วแต่ไม่ยอมไปหาหมอ นี่คุณนินก็กังวลใจเพราะวันพรุ่งนี้ต้องเดินทางไปดูงานกับบริษัทคู่ค้า ก็เลย...อยากให้ขวัญช่วยไปอยู่เป็นเพื่อนหนูนา”
หญิงสาวบอกเสียงเบาเพราะเดาเอาจากท่าทีนิ่งขึงของอีกฝ่ายว่าคงกำลังไม่พอใจ ขณะคิดว่าจะพูดยังไงเขาจึงยอมให้ไป พลันก็ได้ยินคำพูดไม่คาดฝัน
“ฉันจะไปส่งแกเอง”
ราวชั่วโมงเศษ ทั้งกอบบุญและครองขวัญก็มาถึงบ้านพงศ์ไพศาล
“ขอโทษนะที่ทำให้คุณลำบาก แต่ผมนึกถึงใครไม่ได้เลยนอกจากคุณเพียงคนเดียว”
ใจครองขวัญแทบละลายกับคำบอกที่ชวนให้ต่อมเพ้อฝันเริ่มทำงาน ก่อนหักใจกดปิดสวิทซ์ต่อมฝันเพื่อที่หัวใจเลิกฟุ้งซ่าน
“ไม่ลำบากเลยค่ะ ฉันเต็มใจ หนูนาก็เหมือนน้องสาวของฉัน”
ความจริงใจของครองขวัญได้รับรอยยิ้มอบอุ่นของนินนาทตอบแทน ก่อนที่บรรยากาศดี ๆ จะถูกทำลายจากน้ำเสียงเข้มขุ่นของกอบบุญ
“จะไปเยี่ยมคนป่วยก็รีบไปสิไอ้ขวัญ จะได้กลับบ้านไม่มืดค่ำจนเกินไป”
“เอ่อ...พี่กอบ ขวัญไม่กลับหรอก ตั้งใจอยู่เป็นเพื่อนหนูนาน่ะ”
กอบบุญนิ่วหน้า เพิ่งเข้าใจว่าทำไมครองขวัญจึงเอากระเป๋าใบเล็กติดตัวมาด้วย ตอนแรกคิดว่าคงเป็นของเยี่ยมไข้แต่ตอนนี้คาดว่าคงเป็นเสื้อผ้าที่เอามาใส่ค้างคืน
“แล้วทำไมไม่บอกแต่แรก”
“ขวัญกลัวว่าถ้าบอกพี่กอบคงไม่ยอมให้มา”
ชายหนุ่มนิ่ง ไม่ปฏิเสธว่าน้องสาวคิดถูก แต่ถึงตอนนี้คงยากจะห้าม
“ขอโทษด้วย ไว้ผมกลับมาแล้วจะไปส่งครองขวัญที่บ้านทันที ไม่ต้องห่วง”
คงเพราะเดาได้ว่ากอบบุญไม่พอใจ นินนาทจึงบอกด้วยสีหน้าบอกความเกรงใจ
“จะไม่ให้ห่วงได้ยังไง น้องสาวทั้งคน!”
กอบบุญกระแทกเสียง แต่เมื่อนึกถึงจุดประสงค์ที่ทำให้ต้องมาที่นี่ก็ถอนหายใจก่อนทำให้ครองขวัญและนินนาทพากันนิ่งงัน
“ก็ได้! ถ้าแกอยู่ที่นี่ ฉันก็จะอยู่ด้วยเหมือนกัน”
แวบแรกที่นาวิตาลืมตาขึ้นมาท่ามกลางอาการปวดมึนในศีรษะ สิ่งแรกที่เห็นคือดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่กำลังจับจ้องอยู่ด้วยแววตากังวลระคนห่วงใย
ใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าสมองจะประมวลออกมาได้ว่าคนที่เธอกำลังมองตอบอยู่นั้นคือใคร
“คุณ...มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
ทว่า น้ำเสียงแหบแห้งที่ได้ยินนั้นฟังราวกับไม่ใช่เสียงของเธอ
นาวิตาเห็นอีกฝ่ายนิ่งไปนิด ก่อนจะได้ยินคำพูดของเขา
“ตอนนี้คงตื่นจริง ๆ แล้วสินะ”
ขณะกำลังจะออกปากถาม ก็เหลือบไปเห็นว่ามีใครคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามา
“พี่ขวัญ”
ถึงตอนนี้ หญิงสาวเชื่อว่าคงกำลังฝัน เพราะไม่มีทางที่ครองขวัญกับกอบบุญจะมาอยู่ในบ้านของเธอ
“หนูนา เป็นไงบ้าง”
คำถามของคนที่กำลังเอามือแตะลงตรงหน้าผากก่อนเปลี่ยนไปจับตามเนื้อตัวของเธอราวกับจะวัดอุณหภูมิ ทำให้นาวิตานิ่วหน้า แต่ความเจ็บเสียดที่เกิดขึ้นในหัวทำให้เผลอยกมือขึ้นมากดข้างขมับก่อนหลุดเสียงโอดเบา ๆ
“ปวดหัวจัง”
“ปวดมากหรือ”
คำถามร้อนรนนั้นมาจากเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่เอาแต่จับจ้องเงียบ ๆ อยู่ครู่ใหญ่ ก่อนกระทำการที่ทำให้ทั้งสองสาวพากันตกใจ
“พี่กอบ ทำอะไรน่ะ”
ครองขวัญถามอย่างตกใจเมื่อเห็นกอบบุญอุ้มคนป่วยขึ้นมาจากบนเตียง
“ปล่อยฉันนะ”
คนป่วยพูดขึ้นบ้างแต่ไม่ดิ้นรนขัดขืนเพราะอาการไข้ที่ทำให้หมดเรี่ยวแรง แถมน้ำเสียงที่เปล่งออกมาก็แหบแห้งจนคำสั่งที่ควรน่าเกรงขามกลับฟังแล้วชวนให้นึกสงสารแทน
กอบบุญนิ่งไปครู่พลางเม้มปากแน่นราวกับกำลังชั่งใจ ก่อนหันไปบอกญาติผู้น้อง
“พี่จะไปพาคนป่วยไปหาหมอ เอาแต่นอนซมแบบนี้เมื่อไรจะหาย”
“ไม่เอา ฉันไม่ไป”
คนป่วยค้านทันทีพลางดิ้นรนขัดขืน ในขณะที่คนอุ้มต้องรวบรวมกำลังเพื่อต้านเพราะนึกไม่ถึงว่าจู่ ๆ อีกฝ่ายมีเรี่ยวแรงขึ้นมาพยศ
“หยุดนะ! อยากตกลงไปเจ็บตัวหรือไง”
ชายหนุ่มขึ้นเสียงใส่ แต่คนถูกเอ็ดไม่นำพาเมื่อเถียงกลับทั้งที่เสียงยังแหบแห้ง
“ช่างฉัน! ฉันจะเป็นยังไงมันก็เรื่องของฉัน ไม่ต้องมายุ่ง”
กอบบุญกัดฟันกรอด ก่อนโต้กลับอย่างโมโห
“ก็ไม่ได้อยากยุ่งหรอก ถ้าเรื่องของคุณจะไม่ทำให้ยายขวัญต้องเดือดร้อนไปด้วย”
“พูดเรื่องอะไรของคุณ”
ครองขวัญมองสีหน้างุนงงของคนป่วยสลับกับสีหน้าบึ้งตึงของกอบบุญ ก่อนเริ่มไกล่เกลี่ย
“พี่กอบ พอเถอะ” ในขณะที่กอบบุญยังทำท่าฮึดฮัด หญิงสาวก็บอกกับนาวิตาด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ “ไม่มีอะไรหรอกหนูนา”
นาวิตานิ่งไปครู่ ก่อนตั้งคำถามกับครองขวัญ
“พี่นินอยู่ไหนคะ หรือออกไปทำงาน”
“เปล่าจ้ะ คุณนินต้องบินไปดูงานกับลูกค้าที่ต่างประเทศอีกสามวันถึงจะกลับ แต่เป็นห่วงว่าที่บ้านไม่มีใครนอกจากคนรับใช้แล้วหนูนาก็ดื้อไม่ยอมไปหาหมอ เขาก็ยิ่งเป็นห่วงจนโทร. ไปขอให้พี่มาช่วยอยู่เป็นเพื่อน”
คนป่วยมีสีหน้าสลด ก่อนบอกเสียงอ่อย
“ขอโทษค่ะ นาเลยทำให้พี่ขวัญต้องเดือดร้อนไปด้วย”
“ไม่เดือดร้อนเลย พี่เต็มใจ”
หญิงสาวฝืนยิ้มตอบครองขวัญ ก่อนบอกกับคนที่ยังคงอุ้มเธอแนบอก
“ปล่อยฉันได้แล้ว”
วูบนั้น นาวิตานึกอายขึ้นมาเมื่อสำนึกได้ถึงการแต่งกายของตัวเอง แม้ชุดนอนเป็นแบบเสื้อและกางเกงไม่ใช่แบบกระโปรงผ้าเนื้อบาง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ชุดที่เหมาะสมสำหรับการต้อนรับแขก
กอบบุญยังแสดงท่าทางไม่พอใจ ขณะประกาศความตั้งใจ
“ผมจะปล่อยต่อเมื่อคุณถึงมือหมอ”
“แต่ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ไป”
นาวิตาบอกอย่างเริ่มหงุดหงิด อาการปวดศีรษะเริ่มทวีจากความโมโหที่ถูกขัดใจ
“แต่คุณต้องไป ผมไม่ยอมให้ยายขวัญต้องมาอยู่บ้านคนอื่นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ เพราะความเอาแต่ใจและเห็นแก่ตัวของพวกคุณสองคนพี่น้อง”
“ฉันกับพี่นินไปทำอะไรให้”
“ยังจะถาม ไม่ใช่ความเห็นแก่ตัวของพี่ชายคุณหรือที่โทร. จิกไอ้ขวัญให้มาดูแลคุณ ส่วนคุณก็เอาแต่ใจนึกถึงแต่ตัวเอง ไม่เคยสนใจว่าจะทำให้ใครต้องเดือดร้อนอดหลับอดนอนคอยเฝ้าไข้” เงียบไปครู่ก่อนพูดต่ออย่างใส่อารมณ์ “หรือคิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ส่วนคนอื่นเป็นดาวเคราะห์น้อยที่โคจรรอบตัว ก็เลยต้องให้ใครต่อใครมาคอยพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจ”
นาวิตาโกรธจนน้ำตาคลอ แต่เหนืออื่นใดรู้สึกน้อยใจมากกว่า
ในสายตาของเขา เธอไม่มีอะไรดีเลยหรือ
วูบนั้น หญิงสาวหวนนึกถึงเรื่องที่ยังคงจำฝังใจจนกลายเป็นสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้ล้มป่วยจากการคิดมากจนไม่หลับไม่นอนแถมยังกินอะไรไม่ลง
‘หลังจากนี้ผมหวังว่าจะไม่เห็นหน้าคุณอีก’
ตอนนี้เขาคงเกลียดเธอมากกว่าเดิม
ความอ่อนแอทั้งกายใจส่งผลให้นาวิตาร้องไห้
“หนูนา!”
ครองขวัญเรียกอย่างตกใจเมื่อจู่ ๆ คนป่วยน้ำตาไหลพราก
“ขอโทษ” นาวิตากล้ำกลืนก้อนสะอื้นทั้งที่อยากเช็ดน้ำตาแต่ไร้เรี่ยวแรง ทำได้เพียงหลุบตาซ่อนความเจ็บช้ำใจยามเค้นเสียงบอก “ฉัน...จะไปหาหมอ”
แววตาเจ็บปวดของนาวิตาที่เขาทันเห็นก่อนที่เธอจะหลบตานั้นส่งผลให้กอบบุญนิ่งงัน นึกโกรธตัวเองขึ้นมาวูบหนึ่งเมื่อคิดว่าพูดรุนแรงเกินไป หัวใจสั่นสะเทือนราวกับมีมือยักษ์มาจับโยกยามรับรู้ถึงอาการสั่นสะท้านของคนในอ้อมแขน หากเมื่อเหลือบไปเห็นญาติผู้น้องมองมาด้วยแววตาเหมือนตำหนิ ชายหนุ่มก็ทำเป็นชักสีหน้าใส่ก่อนเดินปึงปังนำออกไป
โรงพยาบาลที่อยู่ใกล้สุดคือสถานที่ที่กอบบุญขับรถพาคนป่วยไปตรวจรักษา ใช้เวลาไปร่วมสองชั่วโมงเขาและสองสาวก็กลับมาบ้านพงศ์ไพศาลอีกครั้งพร้อมกับยาชุดใหญ่สำหรับคนป่วย
กอบบุญยังคงทำหน้าที่อุ้มนาวิตาซึ่งยามนี้หลับสนิทจากฤทธิ์ของยาฉีดลดไข้ขึ้นมาจากเบาะหลังแล้วเดินขึ้นมาส่งถึงบนเตียงในห้องนอน จากนั้นก็รับหน้าที่นั่งเฝ้าตามคำบอกแกมสั่งของครองขวัญก่อนที่ญาติสาวจะขอตัวลงไปจัดการอาหารมื้อเย็นสำหรับคนป่วย
หลังจากนิ่งมองคนบนเตียงได้พักใหญ่ ชายหนุ่มก็ถอนหายใจออกมาเหมือนจะระบายความรู้สึกหนักอึ้งในอก ก่อนขยับตัวลุกขึ้นห่มผ้าคลุมให้หญิงสาวอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตามเดิมแล้วจับตามองคนป่วยนิ่งนานด้วยแววตาสะท้อนถึงความรู้สึกว้าวุ่นในใจ
****************************************************
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและให้ LIKE เป็นกำลังใจให้กันค่ะ
คุณ Zephyr - 555 ถ้าเป็นสายโหดต่อไป แล้วอย่างนี้พี่กอบจะมีโอกาสคว้าใจสาวได้หรือคะ
“กอบ!”
แค่สบดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่กำลังวาววับ นพรุจก็เชื่อว่าตอนนี้ความลับไม่เป็นความลับอีกต่อไป
“ไหนว่าไม่เข้าออฟฟิศไง”
หลังคำถามนั้นกอบบุญก็ปรายตามองนาวิตาที่กำลังยืนหน้าตาตื่น
ก็เพราะหน้าของยายปลาทองนี่คอยแต่วนเวียนรบกวนสมาธิ เขาถึงทนไม่ไหวต้องลุกจากเตียงแล้วมาที่นี่เพราะอยากมาเจอตัวจริงให้รู้แล้วรู้รอด
แต่นึกไม่ถึงว่าจะมาได้ยินเรื่องบ้า ๆ
“ผมเปลี่ยนใจ” ชายหนุ่มบอกเสียงต่ำในลำคอ “เลยโชคดีได้ยินเรื่องสนุกเข้าจนได้”
“เรื่องนี้พี่อธิบายได้”
“แต่ผมอยากฟังจากนาวิตามากกว่า”
กอบบุญปัดความหวังดีของนพรุจโดยสายตาไม่ละจากนาวิตาซึ่งตอนสีหน้าซีดเซียว ก่อนบอกอย่างเย็นชา
“เล่าเรื่องสนุกของคุณได้แล้ว แต่ภาวนาไว้ด้วยนะว่าจะทำให้ผมสนุกไปด้วย ไม่อย่างนั้น...” กอบบุญยิ้มแต่เหมือนไม่มีใครกล้ามอง ก่อนบอกเสียงเข้มจัด “ผมจะให้คุณรับผิดชอบ!”
เกือบหนึ่งชั่วโมงที่นาวิตาใช้ในการเล่า เริ่มจากการขอความช่วยนพรุจจนนำไปสู่การจับตัวนินนาทและครองขวัญไปขังตามแผนที่วางไว้แต่เกิดความผิดพลาดที่ทำให้นินนาทได้รับบาดเจ็บ จนจบท้ายด้วยการทำทีว่าเธอได้รับการติดต่อเรียกเงินค่าไถ่เพื่อแลกกับการปล่อยตัวคนทั้งสอง
อาจไม่ใช่ช่วงเวลายาวนานแต่ในความรู้สึกของนาวิตาเป็นช่วงที่ทรมานจิตใจ เมื่อถูกคุกคามด้วยสายตาที่ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังถูกเฆี่ยนตีด้วยแส้จากการแปลเอาเองว่ากอบบุญกำลังโกรธเกลียดชิงชังการกระทำของเธอ
“ฉัน...ขอโทษ”
หญิงสาวบอกเสียงสั่น รู้สึกผิดและเสียใจจนแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้
“นี่สินะคือเหตุผลที่คุณไม่แจ้งความ ไม่ติดตามเอาเรื่องอะไรทั้งนั้น ผมก็คิดอยู่ว่ามันแปลกแต่ก็คิดไม่ถึงว่ามันจะเป็นแผนการบ้า ๆ ที่มีแต่คนเสียสติเท่านั้นที่จะทำกัน”
“พูดเกินไปไหมกอบ”
นพรุจท้วงพลางนิ่วหน้า ราวกับไม่ชอบใจคำพูดที่ฟังแล้วรุนแรงเกินไปในความรู้สึก
“เกินไปหรือพี่นพ” กอบบุญถามเสียงเย็นก่อนหันกลับไปมองนาวิตาตามเดิมแล้วพูดต่ออย่างโกรธจัด “แล้วตอนที่เขาวางแผนให้คนจับพี่ชายตัวเองแถมยังลากผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ไปด้วยเพียงเพราะอยากได้สมใจตัวเอง ตอนนั้นเขาเคยนึกถึงจิตใจญาติพี่น้องของผู้หญิงคนนั้นบ้างหรือเปล่า เคยคิดไหมว่าจะทำให้พวกเขาร้อนใจกินไม่ได้นอนไม่หลับ แล้วถ้า...ถ้ามีเรื่องผิดพลาดเหมือนที่เกิดกับพี่ชายของคุณ ผมอยากรู้เหลือเกินว่าคุณจะรับผิดชอบยังไง”
“ฉัน...”
น้ำเสียงหญิงสาวสั่นเครือ ก่อนที่น้ำตาจากความเสียใจจะหยาดหยดลงมาอย่างห้ามไม่อยู่
กอบบุญหันหน้าหนีทันที ก่อนกัดฟันพร้อมกำมือทั้งสองแน่นเพื่อระงับอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่าน นิ่งไปครู่จึงหันไปพูดกับนพรุจซึ่งยามนี้มีสีหน้าแววตาบอกความไม่สบายใจ
“ผมผิดหวังจริง ๆ ไม่คิดเลยว่าแม้แต่พี่ก็พลอยเป็นไปกับเขาด้วย”
ในขณะที่นพรุจยืนตัวแข็งอ้าปากค้าง กอบบุญก็พูดต่อโดยยังไม่หันไปมองคนที่กำลังยืนร้องไห้สะอึกสะอื้น
“ส่วนคุณ...นาวิตา หลังจากนี้ผมหวังว่าจะไม่เห็นหน้าคุณอีก”
จบคำบอกนั้น ร่างสูงก็เดินออกไปจากห้องท่ามกลางเสียงร้องเรียกของนพรุจและเสียงร้องไห้ของนาวิตา
หลังจากสามวันผ่านไปแล้วยังเห็นกอบบุญเอาแต่ขลุกตัวอยู่ในบ้าน ครองขวัญก็ทนเก็บความสงสัยไว้ไม่ไหวจนตั้งคำถามในตอนนั่งกินข้าวเย็นด้วยกันเพียงสองคน เพราะกนกและบุษรัตน์เดินทางไปร่วมงานศพเพื่อนที่ต่างจังหวัด
“ช่วงนี้พี่กอบลาพักร้อนหรือ”
กอบบุญชะงักมือที่กำลังหยิบแก้วน้ำ ก่อนให้คำตอบหลังดื่มน้ำแล้ววางแก้วกลับลงไปที่เดิมแล้ว
“เปล่า ฉันลาออกแล้วต่างหาก”
“อ้าว! ทำไมล่ะ”
“เบื่อ”
เห็นญาติผู้พี่ทำสีหน้ามึนตึง ครองขวัญก็ไม่กล้าพูดอะไรอีกเพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่อยากคุย หากไม่นานคนที่คิดว่าไม่อยากพูดก็เป็นฝ่ายเริ่มต้นใหม่
“แล้วเรื่องแกกับผู้ชายคนนั้น ตกลงว่ายังไง”
ถึงไม่ระบุชื่อแต่ครองขวัญก็รู้ว่ากอบบุญหมายถึงใคร หัวใจหม่นมัวจากการนึกถึงคนที่เธอเอาแต่คิดถึงเขา ในขณะที่เขาคงไม่ได้นึกถึงเธอเลย
นับจากวันนั้น นินนาทก็หายไปจากชีวิตของเธอ เขาทำเหมือนเธอไม่มีความหมาย
“ไม่รู้สิ ขวัญไม่ได้เจอเขาอีกเลย”
“ดีแล้ว เลิกยุ่งกับผู้ชายคนนั้น” กอบบุญทำหน้าบึ้งเมื่อพูดต่อ “ไม่สิ เลิกยุ่งให้หมดทั้งบ้านนั้นนะล่ะ”
ครองขวัญฟังแล้วก็กระพริบตาปริบ จังหวะนั้นโทรศัพท์มือถือก็ส่งสัญญาณว่ามีสายเข้า ครั้นเห็นชื่อผู้ที่โทร. เข้ามาหัวใจก็เต้นแรง
“ทำไมไม่รับ”
คงเพราะเห็ท่าทางรี ๆ รอ ๆ ของเธอ กอบบุญจึงตั้งคำถามอย่างสงสัย ทำให้จำต้องรับสาย
“สวัสดีค่ะ คุณนิน”
อย่างที่คิดไว้ กอบบุญตาลุกทันทีที่ได้ยิน มิหนำซ้ำยังทำท่าเหมือนจะแย่งโทรศัพท์ไปจากมือทำให้ครองขวัญต้องลุกขึ้นจะเดินหนี แต่คำบอกของอีกปลายสายทำให้หลุดปากพูดพลางยืนนิ่งอยู่กับที่
“ว่าไงนะคะ!”
น้ำเสียงตกใจของครองขวัญมีพลังมากพอจนดึงความสนใจของกอบบุญได้ แต่หญิงสาวไม่ทันสังเกตเพราะมัวจดจ่ออยู่กับการสนทนา
“ฉันจะรีบไปตอนนี้เลยค่ะ...ไม่เป็นไรค่ะเดี๋ยวฉันเรียกรถไปเอง คุณอยู่เป็นเพื่อนหนูนาเถอะ”
ชื่อตอนท้ายนั้นยิ่งทำให้กอบบุญหูผึ่ง ความอยากรู้อยากเห็นทวีจนทนเฉยไม่ได้เมื่อเห็นครองขวัญยุติการสนทนาแล้วทำท่าจะผละไป
“มีอะไร”
“หนูนาค่ะพี่กอบ หนูนาไม่สบายมาก คุณนินบอกว่าหนูนามีไข้สูงมาสองวันแล้วแต่ไม่ยอมไปหาหมอ นี่คุณนินก็กังวลใจเพราะวันพรุ่งนี้ต้องเดินทางไปดูงานกับบริษัทคู่ค้า ก็เลย...อยากให้ขวัญช่วยไปอยู่เป็นเพื่อนหนูนา”
หญิงสาวบอกเสียงเบาเพราะเดาเอาจากท่าทีนิ่งขึงของอีกฝ่ายว่าคงกำลังไม่พอใจ ขณะคิดว่าจะพูดยังไงเขาจึงยอมให้ไป พลันก็ได้ยินคำพูดไม่คาดฝัน
“ฉันจะไปส่งแกเอง”
ราวชั่วโมงเศษ ทั้งกอบบุญและครองขวัญก็มาถึงบ้านพงศ์ไพศาล
“ขอโทษนะที่ทำให้คุณลำบาก แต่ผมนึกถึงใครไม่ได้เลยนอกจากคุณเพียงคนเดียว”
ใจครองขวัญแทบละลายกับคำบอกที่ชวนให้ต่อมเพ้อฝันเริ่มทำงาน ก่อนหักใจกดปิดสวิทซ์ต่อมฝันเพื่อที่หัวใจเลิกฟุ้งซ่าน
“ไม่ลำบากเลยค่ะ ฉันเต็มใจ หนูนาก็เหมือนน้องสาวของฉัน”
ความจริงใจของครองขวัญได้รับรอยยิ้มอบอุ่นของนินนาทตอบแทน ก่อนที่บรรยากาศดี ๆ จะถูกทำลายจากน้ำเสียงเข้มขุ่นของกอบบุญ
“จะไปเยี่ยมคนป่วยก็รีบไปสิไอ้ขวัญ จะได้กลับบ้านไม่มืดค่ำจนเกินไป”
“เอ่อ...พี่กอบ ขวัญไม่กลับหรอก ตั้งใจอยู่เป็นเพื่อนหนูนาน่ะ”
กอบบุญนิ่วหน้า เพิ่งเข้าใจว่าทำไมครองขวัญจึงเอากระเป๋าใบเล็กติดตัวมาด้วย ตอนแรกคิดว่าคงเป็นของเยี่ยมไข้แต่ตอนนี้คาดว่าคงเป็นเสื้อผ้าที่เอามาใส่ค้างคืน
“แล้วทำไมไม่บอกแต่แรก”
“ขวัญกลัวว่าถ้าบอกพี่กอบคงไม่ยอมให้มา”
ชายหนุ่มนิ่ง ไม่ปฏิเสธว่าน้องสาวคิดถูก แต่ถึงตอนนี้คงยากจะห้าม
“ขอโทษด้วย ไว้ผมกลับมาแล้วจะไปส่งครองขวัญที่บ้านทันที ไม่ต้องห่วง”
คงเพราะเดาได้ว่ากอบบุญไม่พอใจ นินนาทจึงบอกด้วยสีหน้าบอกความเกรงใจ
“จะไม่ให้ห่วงได้ยังไง น้องสาวทั้งคน!”
กอบบุญกระแทกเสียง แต่เมื่อนึกถึงจุดประสงค์ที่ทำให้ต้องมาที่นี่ก็ถอนหายใจก่อนทำให้ครองขวัญและนินนาทพากันนิ่งงัน
“ก็ได้! ถ้าแกอยู่ที่นี่ ฉันก็จะอยู่ด้วยเหมือนกัน”
แวบแรกที่นาวิตาลืมตาขึ้นมาท่ามกลางอาการปวดมึนในศีรษะ สิ่งแรกที่เห็นคือดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่กำลังจับจ้องอยู่ด้วยแววตากังวลระคนห่วงใย
ใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าสมองจะประมวลออกมาได้ว่าคนที่เธอกำลังมองตอบอยู่นั้นคือใคร
“คุณ...มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
ทว่า น้ำเสียงแหบแห้งที่ได้ยินนั้นฟังราวกับไม่ใช่เสียงของเธอ
นาวิตาเห็นอีกฝ่ายนิ่งไปนิด ก่อนจะได้ยินคำพูดของเขา
“ตอนนี้คงตื่นจริง ๆ แล้วสินะ”
ขณะกำลังจะออกปากถาม ก็เหลือบไปเห็นว่ามีใครคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามา
“พี่ขวัญ”
ถึงตอนนี้ หญิงสาวเชื่อว่าคงกำลังฝัน เพราะไม่มีทางที่ครองขวัญกับกอบบุญจะมาอยู่ในบ้านของเธอ
“หนูนา เป็นไงบ้าง”
คำถามของคนที่กำลังเอามือแตะลงตรงหน้าผากก่อนเปลี่ยนไปจับตามเนื้อตัวของเธอราวกับจะวัดอุณหภูมิ ทำให้นาวิตานิ่วหน้า แต่ความเจ็บเสียดที่เกิดขึ้นในหัวทำให้เผลอยกมือขึ้นมากดข้างขมับก่อนหลุดเสียงโอดเบา ๆ
“ปวดหัวจัง”
“ปวดมากหรือ”
คำถามร้อนรนนั้นมาจากเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่เอาแต่จับจ้องเงียบ ๆ อยู่ครู่ใหญ่ ก่อนกระทำการที่ทำให้ทั้งสองสาวพากันตกใจ
“พี่กอบ ทำอะไรน่ะ”
ครองขวัญถามอย่างตกใจเมื่อเห็นกอบบุญอุ้มคนป่วยขึ้นมาจากบนเตียง
“ปล่อยฉันนะ”
คนป่วยพูดขึ้นบ้างแต่ไม่ดิ้นรนขัดขืนเพราะอาการไข้ที่ทำให้หมดเรี่ยวแรง แถมน้ำเสียงที่เปล่งออกมาก็แหบแห้งจนคำสั่งที่ควรน่าเกรงขามกลับฟังแล้วชวนให้นึกสงสารแทน
กอบบุญนิ่งไปครู่พลางเม้มปากแน่นราวกับกำลังชั่งใจ ก่อนหันไปบอกญาติผู้น้อง
“พี่จะไปพาคนป่วยไปหาหมอ เอาแต่นอนซมแบบนี้เมื่อไรจะหาย”
“ไม่เอา ฉันไม่ไป”
คนป่วยค้านทันทีพลางดิ้นรนขัดขืน ในขณะที่คนอุ้มต้องรวบรวมกำลังเพื่อต้านเพราะนึกไม่ถึงว่าจู่ ๆ อีกฝ่ายมีเรี่ยวแรงขึ้นมาพยศ
“หยุดนะ! อยากตกลงไปเจ็บตัวหรือไง”
ชายหนุ่มขึ้นเสียงใส่ แต่คนถูกเอ็ดไม่นำพาเมื่อเถียงกลับทั้งที่เสียงยังแหบแห้ง
“ช่างฉัน! ฉันจะเป็นยังไงมันก็เรื่องของฉัน ไม่ต้องมายุ่ง”
กอบบุญกัดฟันกรอด ก่อนโต้กลับอย่างโมโห
“ก็ไม่ได้อยากยุ่งหรอก ถ้าเรื่องของคุณจะไม่ทำให้ยายขวัญต้องเดือดร้อนไปด้วย”
“พูดเรื่องอะไรของคุณ”
ครองขวัญมองสีหน้างุนงงของคนป่วยสลับกับสีหน้าบึ้งตึงของกอบบุญ ก่อนเริ่มไกล่เกลี่ย
“พี่กอบ พอเถอะ” ในขณะที่กอบบุญยังทำท่าฮึดฮัด หญิงสาวก็บอกกับนาวิตาด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ “ไม่มีอะไรหรอกหนูนา”
นาวิตานิ่งไปครู่ ก่อนตั้งคำถามกับครองขวัญ
“พี่นินอยู่ไหนคะ หรือออกไปทำงาน”
“เปล่าจ้ะ คุณนินต้องบินไปดูงานกับลูกค้าที่ต่างประเทศอีกสามวันถึงจะกลับ แต่เป็นห่วงว่าที่บ้านไม่มีใครนอกจากคนรับใช้แล้วหนูนาก็ดื้อไม่ยอมไปหาหมอ เขาก็ยิ่งเป็นห่วงจนโทร. ไปขอให้พี่มาช่วยอยู่เป็นเพื่อน”
คนป่วยมีสีหน้าสลด ก่อนบอกเสียงอ่อย
“ขอโทษค่ะ นาเลยทำให้พี่ขวัญต้องเดือดร้อนไปด้วย”
“ไม่เดือดร้อนเลย พี่เต็มใจ”
หญิงสาวฝืนยิ้มตอบครองขวัญ ก่อนบอกกับคนที่ยังคงอุ้มเธอแนบอก
“ปล่อยฉันได้แล้ว”
วูบนั้น นาวิตานึกอายขึ้นมาเมื่อสำนึกได้ถึงการแต่งกายของตัวเอง แม้ชุดนอนเป็นแบบเสื้อและกางเกงไม่ใช่แบบกระโปรงผ้าเนื้อบาง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ชุดที่เหมาะสมสำหรับการต้อนรับแขก
กอบบุญยังแสดงท่าทางไม่พอใจ ขณะประกาศความตั้งใจ
“ผมจะปล่อยต่อเมื่อคุณถึงมือหมอ”
“แต่ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ไป”
นาวิตาบอกอย่างเริ่มหงุดหงิด อาการปวดศีรษะเริ่มทวีจากความโมโหที่ถูกขัดใจ
“แต่คุณต้องไป ผมไม่ยอมให้ยายขวัญต้องมาอยู่บ้านคนอื่นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ เพราะความเอาแต่ใจและเห็นแก่ตัวของพวกคุณสองคนพี่น้อง”
“ฉันกับพี่นินไปทำอะไรให้”
“ยังจะถาม ไม่ใช่ความเห็นแก่ตัวของพี่ชายคุณหรือที่โทร. จิกไอ้ขวัญให้มาดูแลคุณ ส่วนคุณก็เอาแต่ใจนึกถึงแต่ตัวเอง ไม่เคยสนใจว่าจะทำให้ใครต้องเดือดร้อนอดหลับอดนอนคอยเฝ้าไข้” เงียบไปครู่ก่อนพูดต่ออย่างใส่อารมณ์ “หรือคิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ส่วนคนอื่นเป็นดาวเคราะห์น้อยที่โคจรรอบตัว ก็เลยต้องให้ใครต่อใครมาคอยพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจ”
นาวิตาโกรธจนน้ำตาคลอ แต่เหนืออื่นใดรู้สึกน้อยใจมากกว่า
ในสายตาของเขา เธอไม่มีอะไรดีเลยหรือ
วูบนั้น หญิงสาวหวนนึกถึงเรื่องที่ยังคงจำฝังใจจนกลายเป็นสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้ล้มป่วยจากการคิดมากจนไม่หลับไม่นอนแถมยังกินอะไรไม่ลง
‘หลังจากนี้ผมหวังว่าจะไม่เห็นหน้าคุณอีก’
ตอนนี้เขาคงเกลียดเธอมากกว่าเดิม
ความอ่อนแอทั้งกายใจส่งผลให้นาวิตาร้องไห้
“หนูนา!”
ครองขวัญเรียกอย่างตกใจเมื่อจู่ ๆ คนป่วยน้ำตาไหลพราก
“ขอโทษ” นาวิตากล้ำกลืนก้อนสะอื้นทั้งที่อยากเช็ดน้ำตาแต่ไร้เรี่ยวแรง ทำได้เพียงหลุบตาซ่อนความเจ็บช้ำใจยามเค้นเสียงบอก “ฉัน...จะไปหาหมอ”
แววตาเจ็บปวดของนาวิตาที่เขาทันเห็นก่อนที่เธอจะหลบตานั้นส่งผลให้กอบบุญนิ่งงัน นึกโกรธตัวเองขึ้นมาวูบหนึ่งเมื่อคิดว่าพูดรุนแรงเกินไป หัวใจสั่นสะเทือนราวกับมีมือยักษ์มาจับโยกยามรับรู้ถึงอาการสั่นสะท้านของคนในอ้อมแขน หากเมื่อเหลือบไปเห็นญาติผู้น้องมองมาด้วยแววตาเหมือนตำหนิ ชายหนุ่มก็ทำเป็นชักสีหน้าใส่ก่อนเดินปึงปังนำออกไป
โรงพยาบาลที่อยู่ใกล้สุดคือสถานที่ที่กอบบุญขับรถพาคนป่วยไปตรวจรักษา ใช้เวลาไปร่วมสองชั่วโมงเขาและสองสาวก็กลับมาบ้านพงศ์ไพศาลอีกครั้งพร้อมกับยาชุดใหญ่สำหรับคนป่วย
กอบบุญยังคงทำหน้าที่อุ้มนาวิตาซึ่งยามนี้หลับสนิทจากฤทธิ์ของยาฉีดลดไข้ขึ้นมาจากเบาะหลังแล้วเดินขึ้นมาส่งถึงบนเตียงในห้องนอน จากนั้นก็รับหน้าที่นั่งเฝ้าตามคำบอกแกมสั่งของครองขวัญก่อนที่ญาติสาวจะขอตัวลงไปจัดการอาหารมื้อเย็นสำหรับคนป่วย
หลังจากนิ่งมองคนบนเตียงได้พักใหญ่ ชายหนุ่มก็ถอนหายใจออกมาเหมือนจะระบายความรู้สึกหนักอึ้งในอก ก่อนขยับตัวลุกขึ้นห่มผ้าคลุมให้หญิงสาวอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตามเดิมแล้วจับตามองคนป่วยนิ่งนานด้วยแววตาสะท้อนถึงความรู้สึกว้าวุ่นในใจ
****************************************************
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและให้ LIKE เป็นกำลังใจให้กันค่ะ
คุณ Zephyr - 555 ถ้าเป็นสายโหดต่อไป แล้วอย่างนี้พี่กอบจะมีโอกาสคว้าใจสาวได้หรือคะ
ปิยะณัฏฐ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 มี.ค. 2559, 13:14:52 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 มี.ค. 2559, 13:14:52 น.
จำนวนการเข้าชม : 1024
<< บทที่ 15 | บทที่ 17 >> |
Zephyr 2 เม.ย. 2559, 23:44:07 น.
กลับมาอ่านเฉพาะตอนนี้เราไม่ชอบหนูนาอ่ะ
กลับมาอ่านเฉพาะตอนนี้เราไม่ชอบหนูนาอ่ะ