มนต์อักษรอ้อนรัก

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 16

บทที่ 16


“กอบ!”

แค่สบดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่กำลังวาววับ นพรุจก็เชื่อว่าตอนนี้ความลับไม่เป็นความลับอีกต่อไป

“ไหนว่าไม่เข้าออฟฟิศไง”

หลังคำถามนั้นกอบบุญก็ปรายตามองนาวิตาที่กำลังยืนหน้าตาตื่น

ก็เพราะหน้าของยายปลาทองนี่คอยแต่วนเวียนรบกวนสมาธิ เขาถึงทนไม่ไหวต้องลุกจากเตียงแล้วมาที่นี่เพราะอยากมาเจอตัวจริงให้รู้แล้วรู้รอด

แต่นึกไม่ถึงว่าจะมาได้ยินเรื่องบ้า ๆ

“ผมเปลี่ยนใจ” ชายหนุ่มบอกเสียงต่ำในลำคอ “เลยโชคดีได้ยินเรื่องสนุกเข้าจนได้”

“เรื่องนี้พี่อธิบายได้”

“แต่ผมอยากฟังจากนาวิตามากกว่า”

กอบบุญปัดความหวังดีของนพรุจโดยสายตาไม่ละจากนาวิตาซึ่งตอนสีหน้าซีดเซียว ก่อนบอกอย่างเย็นชา

“เล่าเรื่องสนุกของคุณได้แล้ว แต่ภาวนาไว้ด้วยนะว่าจะทำให้ผมสนุกไปด้วย ไม่อย่างนั้น...” กอบบุญยิ้มแต่เหมือนไม่มีใครกล้ามอง ก่อนบอกเสียงเข้มจัด “ผมจะให้คุณรับผิดชอบ!”

เกือบหนึ่งชั่วโมงที่นาวิตาใช้ในการเล่า เริ่มจากการขอความช่วยนพรุจจนนำไปสู่การจับตัวนินนาทและครองขวัญไปขังตามแผนที่วางไว้แต่เกิดความผิดพลาดที่ทำให้นินนาทได้รับบาดเจ็บ จนจบท้ายด้วยการทำทีว่าเธอได้รับการติดต่อเรียกเงินค่าไถ่เพื่อแลกกับการปล่อยตัวคนทั้งสอง

อาจไม่ใช่ช่วงเวลายาวนานแต่ในความรู้สึกของนาวิตาเป็นช่วงที่ทรมานจิตใจ เมื่อถูกคุกคามด้วยสายตาที่ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังถูกเฆี่ยนตีด้วยแส้จากการแปลเอาเองว่ากอบบุญกำลังโกรธเกลียดชิงชังการกระทำของเธอ

“ฉัน...ขอโทษ”

หญิงสาวบอกเสียงสั่น รู้สึกผิดและเสียใจจนแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้

“นี่สินะคือเหตุผลที่คุณไม่แจ้งความ ไม่ติดตามเอาเรื่องอะไรทั้งนั้น ผมก็คิดอยู่ว่ามันแปลกแต่ก็คิดไม่ถึงว่ามันจะเป็นแผนการบ้า ๆ ที่มีแต่คนเสียสติเท่านั้นที่จะทำกัน”

“พูดเกินไปไหมกอบ”

นพรุจท้วงพลางนิ่วหน้า ราวกับไม่ชอบใจคำพูดที่ฟังแล้วรุนแรงเกินไปในความรู้สึก

“เกินไปหรือพี่นพ” กอบบุญถามเสียงเย็นก่อนหันกลับไปมองนาวิตาตามเดิมแล้วพูดต่ออย่างโกรธจัด “แล้วตอนที่เขาวางแผนให้คนจับพี่ชายตัวเองแถมยังลากผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ไปด้วยเพียงเพราะอยากได้สมใจตัวเอง ตอนนั้นเขาเคยนึกถึงจิตใจญาติพี่น้องของผู้หญิงคนนั้นบ้างหรือเปล่า เคยคิดไหมว่าจะทำให้พวกเขาร้อนใจกินไม่ได้นอนไม่หลับ แล้วถ้า...ถ้ามีเรื่องผิดพลาดเหมือนที่เกิดกับพี่ชายของคุณ ผมอยากรู้เหลือเกินว่าคุณจะรับผิดชอบยังไง”

“ฉัน...”

น้ำเสียงหญิงสาวสั่นเครือ ก่อนที่น้ำตาจากความเสียใจจะหยาดหยดลงมาอย่างห้ามไม่อยู่

กอบบุญหันหน้าหนีทันที ก่อนกัดฟันพร้อมกำมือทั้งสองแน่นเพื่อระงับอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่าน นิ่งไปครู่จึงหันไปพูดกับนพรุจซึ่งยามนี้มีสีหน้าแววตาบอกความไม่สบายใจ

“ผมผิดหวังจริง ๆ ไม่คิดเลยว่าแม้แต่พี่ก็พลอยเป็นไปกับเขาด้วย”

ในขณะที่นพรุจยืนตัวแข็งอ้าปากค้าง กอบบุญก็พูดต่อโดยยังไม่หันไปมองคนที่กำลังยืนร้องไห้สะอึกสะอื้น

“ส่วนคุณ...นาวิตา หลังจากนี้ผมหวังว่าจะไม่เห็นหน้าคุณอีก”

จบคำบอกนั้น ร่างสูงก็เดินออกไปจากห้องท่ามกลางเสียงร้องเรียกของนพรุจและเสียงร้องไห้ของนาวิตา


หลังจากสามวันผ่านไปแล้วยังเห็นกอบบุญเอาแต่ขลุกตัวอยู่ในบ้าน ครองขวัญก็ทนเก็บความสงสัยไว้ไม่ไหวจนตั้งคำถามในตอนนั่งกินข้าวเย็นด้วยกันเพียงสองคน เพราะกนกและบุษรัตน์เดินทางไปร่วมงานศพเพื่อนที่ต่างจังหวัด

“ช่วงนี้พี่กอบลาพักร้อนหรือ”

กอบบุญชะงักมือที่กำลังหยิบแก้วน้ำ ก่อนให้คำตอบหลังดื่มน้ำแล้ววางแก้วกลับลงไปที่เดิมแล้ว

“เปล่า ฉันลาออกแล้วต่างหาก”

“อ้าว! ทำไมล่ะ”

“เบื่อ”

เห็นญาติผู้พี่ทำสีหน้ามึนตึง ครองขวัญก็ไม่กล้าพูดอะไรอีกเพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่อยากคุย หากไม่นานคนที่คิดว่าไม่อยากพูดก็เป็นฝ่ายเริ่มต้นใหม่

“แล้วเรื่องแกกับผู้ชายคนนั้น ตกลงว่ายังไง”

ถึงไม่ระบุชื่อแต่ครองขวัญก็รู้ว่ากอบบุญหมายถึงใคร หัวใจหม่นมัวจากการนึกถึงคนที่เธอเอาแต่คิดถึงเขา ในขณะที่เขาคงไม่ได้นึกถึงเธอเลย

นับจากวันนั้น นินนาทก็หายไปจากชีวิตของเธอ เขาทำเหมือนเธอไม่มีความหมาย

“ไม่รู้สิ ขวัญไม่ได้เจอเขาอีกเลย”

“ดีแล้ว เลิกยุ่งกับผู้ชายคนนั้น” กอบบุญทำหน้าบึ้งเมื่อพูดต่อ “ไม่สิ เลิกยุ่งให้หมดทั้งบ้านนั้นนะล่ะ”

ครองขวัญฟังแล้วก็กระพริบตาปริบ จังหวะนั้นโทรศัพท์มือถือก็ส่งสัญญาณว่ามีสายเข้า ครั้นเห็นชื่อผู้ที่โทร. เข้ามาหัวใจก็เต้นแรง

“ทำไมไม่รับ”

คงเพราะเห็ท่าทางรี ๆ รอ ๆ ของเธอ กอบบุญจึงตั้งคำถามอย่างสงสัย ทำให้จำต้องรับสาย

“สวัสดีค่ะ คุณนิน”

อย่างที่คิดไว้ กอบบุญตาลุกทันทีที่ได้ยิน มิหนำซ้ำยังทำท่าเหมือนจะแย่งโทรศัพท์ไปจากมือทำให้ครองขวัญต้องลุกขึ้นจะเดินหนี แต่คำบอกของอีกปลายสายทำให้หลุดปากพูดพลางยืนนิ่งอยู่กับที่

“ว่าไงนะคะ!”

น้ำเสียงตกใจของครองขวัญมีพลังมากพอจนดึงความสนใจของกอบบุญได้ แต่หญิงสาวไม่ทันสังเกตเพราะมัวจดจ่ออยู่กับการสนทนา

“ฉันจะรีบไปตอนนี้เลยค่ะ...ไม่เป็นไรค่ะเดี๋ยวฉันเรียกรถไปเอง คุณอยู่เป็นเพื่อนหนูนาเถอะ”

ชื่อตอนท้ายนั้นยิ่งทำให้กอบบุญหูผึ่ง ความอยากรู้อยากเห็นทวีจนทนเฉยไม่ได้เมื่อเห็นครองขวัญยุติการสนทนาแล้วทำท่าจะผละไป

“มีอะไร”

“หนูนาค่ะพี่กอบ หนูนาไม่สบายมาก คุณนินบอกว่าหนูนามีไข้สูงมาสองวันแล้วแต่ไม่ยอมไปหาหมอ นี่คุณนินก็กังวลใจเพราะวันพรุ่งนี้ต้องเดินทางไปดูงานกับบริษัทคู่ค้า ก็เลย...อยากให้ขวัญช่วยไปอยู่เป็นเพื่อนหนูนา”

หญิงสาวบอกเสียงเบาเพราะเดาเอาจากท่าทีนิ่งขึงของอีกฝ่ายว่าคงกำลังไม่พอใจ ขณะคิดว่าจะพูดยังไงเขาจึงยอมให้ไป พลันก็ได้ยินคำพูดไม่คาดฝัน

“ฉันจะไปส่งแกเอง”


ราวชั่วโมงเศษ ทั้งกอบบุญและครองขวัญก็มาถึงบ้านพงศ์ไพศาล

“ขอโทษนะที่ทำให้คุณลำบาก แต่ผมนึกถึงใครไม่ได้เลยนอกจากคุณเพียงคนเดียว”

ใจครองขวัญแทบละลายกับคำบอกที่ชวนให้ต่อมเพ้อฝันเริ่มทำงาน ก่อนหักใจกดปิดสวิทซ์ต่อมฝันเพื่อที่หัวใจเลิกฟุ้งซ่าน

“ไม่ลำบากเลยค่ะ ฉันเต็มใจ หนูนาก็เหมือนน้องสาวของฉัน”

ความจริงใจของครองขวัญได้รับรอยยิ้มอบอุ่นของนินนาทตอบแทน ก่อนที่บรรยากาศดี ๆ จะถูกทำลายจากน้ำเสียงเข้มขุ่นของกอบบุญ

“จะไปเยี่ยมคนป่วยก็รีบไปสิไอ้ขวัญ จะได้กลับบ้านไม่มืดค่ำจนเกินไป”

“เอ่อ...พี่กอบ ขวัญไม่กลับหรอก ตั้งใจอยู่เป็นเพื่อนหนูนาน่ะ”

กอบบุญนิ่วหน้า เพิ่งเข้าใจว่าทำไมครองขวัญจึงเอากระเป๋าใบเล็กติดตัวมาด้วย ตอนแรกคิดว่าคงเป็นของเยี่ยมไข้แต่ตอนนี้คาดว่าคงเป็นเสื้อผ้าที่เอามาใส่ค้างคืน

“แล้วทำไมไม่บอกแต่แรก”

“ขวัญกลัวว่าถ้าบอกพี่กอบคงไม่ยอมให้มา”

ชายหนุ่มนิ่ง ไม่ปฏิเสธว่าน้องสาวคิดถูก แต่ถึงตอนนี้คงยากจะห้าม

“ขอโทษด้วย ไว้ผมกลับมาแล้วจะไปส่งครองขวัญที่บ้านทันที ไม่ต้องห่วง”

คงเพราะเดาได้ว่ากอบบุญไม่พอใจ นินนาทจึงบอกด้วยสีหน้าบอกความเกรงใจ

“จะไม่ให้ห่วงได้ยังไง น้องสาวทั้งคน!”

กอบบุญกระแทกเสียง แต่เมื่อนึกถึงจุดประสงค์ที่ทำให้ต้องมาที่นี่ก็ถอนหายใจก่อนทำให้ครองขวัญและนินนาทพากันนิ่งงัน

“ก็ได้! ถ้าแกอยู่ที่นี่ ฉันก็จะอยู่ด้วยเหมือนกัน”


แวบแรกที่นาวิตาลืมตาขึ้นมาท่ามกลางอาการปวดมึนในศีรษะ สิ่งแรกที่เห็นคือดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่กำลังจับจ้องอยู่ด้วยแววตากังวลระคนห่วงใย

ใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าสมองจะประมวลออกมาได้ว่าคนที่เธอกำลังมองตอบอยู่นั้นคือใคร

“คุณ...มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

ทว่า น้ำเสียงแหบแห้งที่ได้ยินนั้นฟังราวกับไม่ใช่เสียงของเธอ

นาวิตาเห็นอีกฝ่ายนิ่งไปนิด ก่อนจะได้ยินคำพูดของเขา

“ตอนนี้คงตื่นจริง ๆ แล้วสินะ”

ขณะกำลังจะออกปากถาม ก็เหลือบไปเห็นว่ามีใครคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามา

“พี่ขวัญ”

ถึงตอนนี้ หญิงสาวเชื่อว่าคงกำลังฝัน เพราะไม่มีทางที่ครองขวัญกับกอบบุญจะมาอยู่ในบ้านของเธอ

“หนูนา เป็นไงบ้าง”

คำถามของคนที่กำลังเอามือแตะลงตรงหน้าผากก่อนเปลี่ยนไปจับตามเนื้อตัวของเธอราวกับจะวัดอุณหภูมิ ทำให้นาวิตานิ่วหน้า แต่ความเจ็บเสียดที่เกิดขึ้นในหัวทำให้เผลอยกมือขึ้นมากดข้างขมับก่อนหลุดเสียงโอดเบา ๆ

“ปวดหัวจัง”

“ปวดมากหรือ”

คำถามร้อนรนนั้นมาจากเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่เอาแต่จับจ้องเงียบ ๆ อยู่ครู่ใหญ่ ก่อนกระทำการที่ทำให้ทั้งสองสาวพากันตกใจ

“พี่กอบ ทำอะไรน่ะ”

ครองขวัญถามอย่างตกใจเมื่อเห็นกอบบุญอุ้มคนป่วยขึ้นมาจากบนเตียง

“ปล่อยฉันนะ”

คนป่วยพูดขึ้นบ้างแต่ไม่ดิ้นรนขัดขืนเพราะอาการไข้ที่ทำให้หมดเรี่ยวแรง แถมน้ำเสียงที่เปล่งออกมาก็แหบแห้งจนคำสั่งที่ควรน่าเกรงขามกลับฟังแล้วชวนให้นึกสงสารแทน

กอบบุญนิ่งไปครู่พลางเม้มปากแน่นราวกับกำลังชั่งใจ ก่อนหันไปบอกญาติผู้น้อง

“พี่จะไปพาคนป่วยไปหาหมอ เอาแต่นอนซมแบบนี้เมื่อไรจะหาย”

“ไม่เอา ฉันไม่ไป”

คนป่วยค้านทันทีพลางดิ้นรนขัดขืน ในขณะที่คนอุ้มต้องรวบรวมกำลังเพื่อต้านเพราะนึกไม่ถึงว่าจู่ ๆ อีกฝ่ายมีเรี่ยวแรงขึ้นมาพยศ

“หยุดนะ! อยากตกลงไปเจ็บตัวหรือไง”

ชายหนุ่มขึ้นเสียงใส่ แต่คนถูกเอ็ดไม่นำพาเมื่อเถียงกลับทั้งที่เสียงยังแหบแห้ง

“ช่างฉัน! ฉันจะเป็นยังไงมันก็เรื่องของฉัน ไม่ต้องมายุ่ง”

กอบบุญกัดฟันกรอด ก่อนโต้กลับอย่างโมโห

“ก็ไม่ได้อยากยุ่งหรอก ถ้าเรื่องของคุณจะไม่ทำให้ยายขวัญต้องเดือดร้อนไปด้วย”

“พูดเรื่องอะไรของคุณ”

ครองขวัญมองสีหน้างุนงงของคนป่วยสลับกับสีหน้าบึ้งตึงของกอบบุญ ก่อนเริ่มไกล่เกลี่ย

“พี่กอบ พอเถอะ” ในขณะที่กอบบุญยังทำท่าฮึดฮัด หญิงสาวก็บอกกับนาวิตาด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ “ไม่มีอะไรหรอกหนูนา”

นาวิตานิ่งไปครู่ ก่อนตั้งคำถามกับครองขวัญ

“พี่นินอยู่ไหนคะ หรือออกไปทำงาน”

“เปล่าจ้ะ คุณนินต้องบินไปดูงานกับลูกค้าที่ต่างประเทศอีกสามวันถึงจะกลับ แต่เป็นห่วงว่าที่บ้านไม่มีใครนอกจากคนรับใช้แล้วหนูนาก็ดื้อไม่ยอมไปหาหมอ เขาก็ยิ่งเป็นห่วงจนโทร. ไปขอให้พี่มาช่วยอยู่เป็นเพื่อน”

คนป่วยมีสีหน้าสลด ก่อนบอกเสียงอ่อย

“ขอโทษค่ะ นาเลยทำให้พี่ขวัญต้องเดือดร้อนไปด้วย”

“ไม่เดือดร้อนเลย พี่เต็มใจ”

หญิงสาวฝืนยิ้มตอบครองขวัญ ก่อนบอกกับคนที่ยังคงอุ้มเธอแนบอก

“ปล่อยฉันได้แล้ว”

วูบนั้น นาวิตานึกอายขึ้นมาเมื่อสำนึกได้ถึงการแต่งกายของตัวเอง แม้ชุดนอนเป็นแบบเสื้อและกางเกงไม่ใช่แบบกระโปรงผ้าเนื้อบาง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ชุดที่เหมาะสมสำหรับการต้อนรับแขก

กอบบุญยังแสดงท่าทางไม่พอใจ ขณะประกาศความตั้งใจ

“ผมจะปล่อยต่อเมื่อคุณถึงมือหมอ”

“แต่ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ไป”

นาวิตาบอกอย่างเริ่มหงุดหงิด อาการปวดศีรษะเริ่มทวีจากความโมโหที่ถูกขัดใจ

“แต่คุณต้องไป ผมไม่ยอมให้ยายขวัญต้องมาอยู่บ้านคนอื่นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ เพราะความเอาแต่ใจและเห็นแก่ตัวของพวกคุณสองคนพี่น้อง”

“ฉันกับพี่นินไปทำอะไรให้”

“ยังจะถาม ไม่ใช่ความเห็นแก่ตัวของพี่ชายคุณหรือที่โทร. จิกไอ้ขวัญให้มาดูแลคุณ ส่วนคุณก็เอาแต่ใจนึกถึงแต่ตัวเอง ไม่เคยสนใจว่าจะทำให้ใครต้องเดือดร้อนอดหลับอดนอนคอยเฝ้าไข้” เงียบไปครู่ก่อนพูดต่ออย่างใส่อารมณ์ “หรือคิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ส่วนคนอื่นเป็นดาวเคราะห์น้อยที่โคจรรอบตัว ก็เลยต้องให้ใครต่อใครมาคอยพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจ”

นาวิตาโกรธจนน้ำตาคลอ แต่เหนืออื่นใดรู้สึกน้อยใจมากกว่า

ในสายตาของเขา เธอไม่มีอะไรดีเลยหรือ

วูบนั้น หญิงสาวหวนนึกถึงเรื่องที่ยังคงจำฝังใจจนกลายเป็นสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้ล้มป่วยจากการคิดมากจนไม่หลับไม่นอนแถมยังกินอะไรไม่ลง

‘หลังจากนี้ผมหวังว่าจะไม่เห็นหน้าคุณอีก’

ตอนนี้เขาคงเกลียดเธอมากกว่าเดิม

ความอ่อนแอทั้งกายใจส่งผลให้นาวิตาร้องไห้

“หนูนา!”

ครองขวัญเรียกอย่างตกใจเมื่อจู่ ๆ คนป่วยน้ำตาไหลพราก

“ขอโทษ” นาวิตากล้ำกลืนก้อนสะอื้นทั้งที่อยากเช็ดน้ำตาแต่ไร้เรี่ยวแรง ทำได้เพียงหลุบตาซ่อนความเจ็บช้ำใจยามเค้นเสียงบอก “ฉัน...จะไปหาหมอ”

แววตาเจ็บปวดของนาวิตาที่เขาทันเห็นก่อนที่เธอจะหลบตานั้นส่งผลให้กอบบุญนิ่งงัน นึกโกรธตัวเองขึ้นมาวูบหนึ่งเมื่อคิดว่าพูดรุนแรงเกินไป หัวใจสั่นสะเทือนราวกับมีมือยักษ์มาจับโยกยามรับรู้ถึงอาการสั่นสะท้านของคนในอ้อมแขน หากเมื่อเหลือบไปเห็นญาติผู้น้องมองมาด้วยแววตาเหมือนตำหนิ ชายหนุ่มก็ทำเป็นชักสีหน้าใส่ก่อนเดินปึงปังนำออกไป

โรงพยาบาลที่อยู่ใกล้สุดคือสถานที่ที่กอบบุญขับรถพาคนป่วยไปตรวจรักษา ใช้เวลาไปร่วมสองชั่วโมงเขาและสองสาวก็กลับมาบ้านพงศ์ไพศาลอีกครั้งพร้อมกับยาชุดใหญ่สำหรับคนป่วย

กอบบุญยังคงทำหน้าที่อุ้มนาวิตาซึ่งยามนี้หลับสนิทจากฤทธิ์ของยาฉีดลดไข้ขึ้นมาจากเบาะหลังแล้วเดินขึ้นมาส่งถึงบนเตียงในห้องนอน จากนั้นก็รับหน้าที่นั่งเฝ้าตามคำบอกแกมสั่งของครองขวัญก่อนที่ญาติสาวจะขอตัวลงไปจัดการอาหารมื้อเย็นสำหรับคนป่วย

หลังจากนิ่งมองคนบนเตียงได้พักใหญ่ ชายหนุ่มก็ถอนหายใจออกมาเหมือนจะระบายความรู้สึกหนักอึ้งในอก ก่อนขยับตัวลุกขึ้นห่มผ้าคลุมให้หญิงสาวอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตามเดิมแล้วจับตามองคนป่วยนิ่งนานด้วยแววตาสะท้อนถึงความรู้สึกว้าวุ่นในใจ


****************************************************

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและให้ LIKE เป็นกำลังใจให้กันค่ะ


คุณ Zephyr - 555 ถ้าเป็นสายโหดต่อไป แล้วอย่างนี้พี่กอบจะมีโอกาสคว้าใจสาวได้หรือคะ




ปิยะณัฏฐ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 มี.ค. 2559, 13:14:52 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 มี.ค. 2559, 13:14:52 น.

จำนวนการเข้าชม : 979





<< บทที่ 15   บทที่ 17 >>
Zephyr 2 เม.ย. 2559, 23:44:07 น.
กลับมาอ่านเฉพาะตอนนี้เราไม่ชอบหนูนาอ่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account