มนต์อักษรอ้อนรัก
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ 17
บทที่ 17
เช้าวันรุ่งขึ้น
เมื่อเห็นครองขวัญเดินเข้ามาในห้องอาหารด้วยสีหน้าอิดโรย กอบบุญก็นิ่วหน้าพลางทักอย่างแปลกใจ
“ทำไมหน้าตาแกเหมือนคนไม่ได้นอนทั้งคืนวะ ไอ้ขวัญ”
ครองขวัญยกมือขึ้นลูบหน้าราวกับจะขับไล่ความอ่อนเพลีย ก่อนบอกเสียงเนือย
“ก็แทบไม่ได้นอนจริง ๆ ล่ะพี่กอบ เป็นห่วงหนูนา”
เพราะกำลังทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ ครองขวัญจึงไม่ทันเห็นท่าทีชะงักงันของกอบบุญขณะเอื้อมมือตักกับข้าว
“ทำไม เขาเป็นอะไร หรือไข้ขึ้นอีก”
“เช้านี้ขวัญลองจับตัวดูก็ไม่ค่อยร้อนแล้ว แต่เมื่อคืนนะสิเอาแต่เพ้อเหมือนเมื่อวันก่อนไงที่ทำให้พวกเราคิดว่าหนูนารู้สึกตัวแล้วแต่ก็ไม่ใช่”
“แล้วเขาเพ้ออะไรถึงทำให้แกไม่ได้หลับได้นอน”
“ขวัญก็จับใจความได้แค่หนูนาเอาแต่พึมพำว่าขอโทษ แต่ที่ทำให้ขวัญไม่สบายใจจนนอนไม่หลับก็เพราะเห็นหนูนาร้องไห้ด้วย”
กอบบุญอึ้งไปครู่ ก่อนถามเสียงแห้ง
“ร้องไห้เลยหรือ”
“ใช่ ขวัญเห็นแล้วไม่สบายใจคิดว่าหนูนาต้องมีเรื่องที่ทำให้คิดมากจนเก็บไปฝันแล้วร้องไห้แบบนี้แน่”
ชายหนุ่มเงียบไปครู่ ก่อนพูดเสียงเข้มเมื่อรู้ตัวว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตาของน้องสาว
“แล้วแกมาจ้องหน้าฉันทำไม หรือคิดว่าฉันเป็นต้นเหตุ”
“ขวัญยังไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย”
กอบบุญแค่นยิ้ม ไม่นึกเชื่อเลยสักนิดเมื่อดูจากสีหน้าจืดเจื่อนของครองขวัญ
“แล้วทำไมแกต้องเดือดร้อนด้วย ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ญาติโกโหติกาของแกซะหน่อย”
“ถึงไม่ใช่ญาติแต่ขวัญก็เห็นหนูนาเป็นเหมือนน้องนะพี่กอบ ป้าไรเคยเล่าให้ฟังว่าตอนที่หนูนาเกิดได้ไม่นานพ่อของหนูนาก็ตายเพราะหัวใจวาย ทำให้ป้าไรไม่มีเวลาดูแลลูกเพราะต้องเข้าไปดูแลบริษัทแทน ต้องปล่อยให้หนูนาอยู่กับพี่เลี้ยงตลอด วัน ๆ แทบไม่ได้เห็นหน้า หลายปีเลยกว่าบริษัทเริ่มอยู่ตัวแต่ถึงตอนนั้นหนูนาก็โตมากแล้ว นับว่าโชคดีที่หนูนาเป็นคนเข้าใจอะไรง่ายก็เลยไม่มีปัญหา แล้วยังคอยช่วยดูแลป้าไรอย่างดี อีกอย่างป้าไรเองก็ดีกับขวัญมาก รักและเอ็นดูขวัญเหมือนลูกเหมือนหลาน แล้วอย่างนี้พี่กอบยังจะให้ขวัญใจดำกับหนูนาอีกหรือ”
แม้เริ่มนึกสงสารคนที่นอนซมอยู่ในห้อง กอบบุญก็ไม่วายทำเสียงเข้มกลบเกลื่อนความรู้สึก
“แต่ยายนั่นก็ยังมีพี่ชายอยู่ทั้งคน ใช่ว่าหัวเดียวกระเทียบลีบซะเมื่อไร อีกอย่างฐานะทางบ้านก็รวยไม่ได้ยากจนข้นแค้น เพราะฉะนั้นแกไม่จำเป็นต้องไปห่วงหรือสงสารเขาหรอก”
“แต่ที่ผ่านมาคุณนินเขาอยู่ต่างประเทศมาตลอด เพิ่งกลับมาได้ไม่นานเองนะพี่กอบ”
ครองขวัญแย้งก่อนที่ใบหน้าจะกลายเป็นสีแดงจางจากคำพูดของญาติผู้พี่
“ดูแกรู้เรื่องคนบ้านนี้ดีเหมือนเป็นครอบครัวตัวเองเลยนะ ไงล่ะ...หรือตัดสินใจแล้วว่าจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้”
“พี่กอบ! พูดอะไร...เกิดใครมาได้ยินเข้าขวัญจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
“ก็เอาไว้ที่เดิมนั่นล่ะ” ชายหนุ่มสวนกลับอย่างขวางปนหมั่นไส้ “ฉันไม่ได้โง่จนมองไม่ออกนะว่าพ่อกับแม่คิดยังไงเรื่องที่แกและผู้ชายคนนั้นหายไปด้วยกันทั้งคืน แกเองก็คงจะคิดเหมือนกับพ่อแม่ฉันสินะ”
เห็นน้องสาวอ้ำอึ้ง ปรอทความรู้สึกของชายหนุ่มก็ยิ่งพุ่งสูงนึกขวางหูขวางตาไปหมดจนหมดอารมณ์กินข้าว
ครองขวัญได้แต่กระพริบตาปริบ ๆ ขณะมองตามกอบบุญที่เดินปึงปังออกไปแบบไม่พูดไม่จา ก่อนถอนหายใจแล้วเริ่มต้นลงมือจัดการอาหารมื้อเช้า
ฝ่ายกอบบุญ เมื่อเดินออกมาจากห้องอาหารก็คิดว่าจะไปเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์ แต่เมื่อเหลือบไปเห็นว่ามีคนกำลังเดินลงบันไดมาจากชั้นบน เจ้าตัวจึงเปลี่ยนใจเดินเข้าไปหาหญิงร่างท้วมวัยราวสี่สิบซึ่งเคยได้ยินครองขวัญเรียกว่าป้าอรุณ
“ป้าขึ้นไปดูหนูนามาหรือเปล่า เขาตื่นแล้วหรือยัง”
อรุณ แม่บ้านใหญ่ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบทุกอย่างภายในบ้านพงศ์ไพศาลยิ้มให้ ก่อนตอบคำถามข้อหลัง
“คุณหนูนาตื่นแล้วค่ะแต่บ่นว่าเจ็บคอ ป้าก็เลยว่าจะไปเตรียมต้มโจ๊กให้”
เมื่อแม่บ้านใหญ่ผละไปแล้ว กอบบุญก็มองขึ้นไปยังชั้นบนครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจ
ราวครึ่งชั่วโมงถัดมาเมื่อครองขวัญไปดูนาวิตาในห้อง ก็พบว่าคนป่วยตื่นนอนแล้ว
“อ้าว! หนูนา ตื่นนานแล้วหรือ”
“นาตื่นได้สักครู่แล้วค่ะ”
“แล้วเป็นไงบ้าง ยังปวดหัวมากหรือเปล่า” ครองขวัญพูดพลางเดินเข้าไปแตะเนื้อแตะตัวก่อนอังหลังมือกับหน้าผากคนป่วย “อืม ตัวไม่ร้อน”
“นารู้สึกดีขึ้นมากแล้วค่ะ เพียงแต่ยังเจ็บคออยู่”
“ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวพี่ลงไปบอกป้าอรุณให้ต้มโจ๊กหรือพวกข้าวต้มมาให้นะ”
“ป้าอรุณขึ้นมาดูนาครั้งหนึ่งแล้วค่ะ บอกว่าจะไปต้มโจ๊กมาให้”
“งั้นหรือ”
ครองขวัญพูดยิ้ม ๆ ก่อนหันไปมองประตูห้องเมื่อได้ยินเสียงเคาะให้สัญญาณ ไม่นานนักก็เห็นคนที่นาวิตาเพิ่งพูดถึงกำลังเดินประคองถาดเข้ามา
“โจ๊กของคุณหนูนาค่ะ ทานเลยนะคะกำลังร้อน”
“มา...เดี๋ยวพี่ป้อนให้”
ครองขวัญอาสาพลางยกชามโจ๊กขึ้นมาจากบนโต๊ะหัวเตียง
“ไม่เป็นไรค่ะ นากินเองได้”
คนป่วยบอกหากเมื่อรับชามมาจากครองขวัญ เจ้าตัวก็นิ่งไปนิดก่อนเงยหน้าขึ้นมาพูดกับแม่บ้านใหญ่
“ป้าอรุณลืมไปแล้วหรือคะว่านาไม่กินต้นหอม ทำไมยังใส่มาอีกละคะ”
อรุณยิ้มเจื่อน ๆ ก่อนบอกเสียงอ่อย
“ป้าก็บอกคุณคนนั้นไปแล้วนะคะ แต่เขาก็ดึงดันใส่แถมยังบอกว่าเพราะคุณหนูนาเลือกกินแบบนี้ถึงได้ล้มป่วย”
“ป้าพูดถึงใครคะ”
นาวิตาตั้งคำถามอย่างสงสัย
“ก็คุณ...ผู้ชายที่มาพร้อมกับคุณขวัญยังไงละคะ”
แม่บ้านใหญ่บอกยิ้ม ๆ ก่อนทำให้คนฟังทั้งสองต่างพากันอึ้งงัน
“แล้วโจ๊กชามนี้ ก็เป็นฝีมือของเขาด้วยนะคะ”
“พี่กอบเป็นคนต้มโจ๊กชามนี้เองหรือคะ”
ครองขวัญถามอย่างไม่อยากเชื่อ
เกิดอะไรขึ้นกอบบุญถึงลงทุนต้มโจ๊กด้วยตัวเอง ถึงแม้เขาทำอาหารเก่งจนหลายครั้งได้รับตำแหน่งพ่อครัวประจำบ้าน แต่ยังไงก็ไม่น่าใช่เหตุผลที่ญาติของเธอจะลุกขึ้นมาทำอะไรแบบนี้
“ใช่ค่ะ”
คำยืนยันจากแม่บ้านใหญ่ทำให้ครองขวัญไม่รู้จะพูดอะไรอีก
นาวิตามองชามโจ๊กในมือตัวเองครู่หนึ่ง ไม่มีใครรู้ว่าหญิงสาวคิดอะไร แต่ไม่นานนักทั้งอรุณและครองขวัญก็เห็นว่าคนป่วยค่อย ๆ ใช้ช้อนตักโจ๊กเข้าปาก
“เป็นไงบ้างคะ”
อรุณถาม ในขณะที่คนป่วยทำเหมือนไม่เต็มใจนักเมื่อให้คำตอบ
“ก็...พอกินได้ค่ะ”
แม่บ้านใหญ่หุบยิ้มทันทีเหมือนผิดหวังแทนคนทำ ก่อนขอตัวลงไปจัดการงานในหน้าที่ของตน จึงไม่รู้ว่าหลังจากนั้นคนป่วยที่ออกปากว่าพอกินได้ก็จัดการโจ๊กในชามจนหมดสิ้นภายในเวลาไม่กี่นาที
“โอ้โห! ขนาดพอกินได้ หนูนายังกินซะหมดชาม ถ้าพี่กอบรู้คงดีใจแน่”
สีหน้าแววตายิ้ม ๆ ของครองขวัญเมื่อเดินเข้ามารับชามเปล่าจากมือทำให้นาวิตาทำหน้าไม่ถูก ต้องใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าจะตั้งคำถามเพื่อกลบเกลื่อนความขัดเขิน
“พี่ขวัญคะ พี่นินบอกหรือเปล่าว่าจะกลับมาเมื่อไร”
“อีกสองวันจ้ะ เมื่อวานก็ส่งข้อความมาถามพี่ว่าหนูนาเป็นยังไงบ้าง”
เงียบไปครู่หนึ่งกว่านาวิตาจะตั้งคำถามใหม่ด้วยสีหน้าบอกความไม่สบายใจ
“พี่ขวัญยกโทษให้พี่นินกับหนูนาแล้ว...ใช่ไหมคะ”
ถึงคราวครองขวัญเป็นฝ่ายเงียบไปบ้าง จนทำให้คนรอฟังร้อนใจ
“เรื่องพวกนั้นพี่นินไม่ผิดนะคะ นาเองที่เป็นคนวางแผน พี่นินไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลย”
“หนูนาพูดเรื่องอะไรคะ”
ทั้งคำถามและสีหน้าฉงนของครองขวัญทำให้นาวิตาฉุกใจคิด
หรือว่ากอบบุญยังไม่ได้เล่าเรื่องนั้น
หญิงสาวอึกอัก ก่อนคิดวิธีเลี่ยงหลบด้วยการทำทีไอติดกันหลายครั้ง
“พี่นี่แย่จริง ลืมไปเลยว่าหนูนายังไม่หายดีแทนที่จะให้กินยาและพักผ่อนกลับมาชวนคุยอยู่ได้”
ต่อว่าตัวเองแล้วครองขวัญก็รีบจัดยาให้คนป่วย หลังจากรอจนนาวิตากินยาและกินน้ำตามแล้ว เจ้าตัวจึงบอก
“พักผ่อนนะ จะได้หายไว ๆ พี่ไม่กวนแล้ว”
คนป่วยยิ้ม ก่อนหลับตาลงอย่างว่าง่ายขณะเงี่ยหูฟังรอจนแน่ใจว่าครองขวัญออกไปจากห้องแล้ว เจ้าตัวจึงค่อยลืมตาแล้วผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
หลังออกมาจากห้องนอนของนาวิตาแล้วลงบันไดไปชั้นล่าง ครองขวัญก็อดยิ้มไม่ได้เมื่อพบว่าญาติผู้พี่ของเธอกำลังเดินเตร็ดเตร่อยู่บริเวณนั้นราวกับกำลังรอคอยใครสักคน
“ได้ข่าวว่าลงทุนเป็นพ่อครัวเลยหรือพี่กอบ”
เห็นญาติหนุ่มสะดุ้งราวกับถูกเธอจี้ ครองขวัญก็อดหัวเราะไม่ได้ก่อนรีบเบรกตัวเองเมื่อเห็นกอบบุญมองมาด้วยสายตาขุ่นเขียว
“ฉันแค่ยึดหลักว่าอยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดายปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่นก็เท่านั้น หรือแกมีปัญหา”
คำถามตอนท้ายที่เหมือนท้าทายในทีทำให้ครองขวัญต้องเบ้ปาก เดาได้ว่ากอบบุญกำลังอยู่ในสภาวะขี้แพ้ชวนตี
“แล้ว...เขากินได้เยอะหรือเปล่า”
ไม่ต้องถามครองขวัญก็เดาได้ว่ากอบบุญหมายถึงใคร แม้ใจหนึ่งอยากตีรวนถามกลับว่าหมายถึงใครแต่ดูจากภาวะอารมณ์ของอีกฝ่ายแล้วเธอก็คิดได้ว่าไม่ควรโยกโย้
“หมดชามเลย” เห็นกอบบุญเบิกตากว้างก่อนยิ้ม ครองขวัญก็พลอยยิ้มตามอย่างนึกขำ นึกรู้ว่าเนื้อแท้แล้วกอบบุญไม่ได้ชังน้ำหน้านาวิตาอย่างที่ชอบแสดงออก
ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่มองทุกอย่างด้วยแววตาเป็นประกายแจ่มใส พลอยทำให้คนอยู่ใกล้รู้สึกสดใสและสบายใจ ก็แล้วอย่างนี้ใครล่ะจะไม่นึกเอ็นดู
“เป็นบ้าอะไรถึงเอาแต่ยิ้ม”
คำถามของกอบบุญทำให้ครองขวัญรีบหุบยิ้มฉับ หมดอารมณ์จะอยู่ตรงนั้นเพราะเดาได้ว่าคงไม่แคล้วถูกกอบบุญพาลใส่ไม่เลิก และเพราะเดินจากมาจึงไม่รู้ว่าญาติผู้พี่ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นพลางแหงนเงยขึ้นไปยังชั้นบนราวกับจะส่งใจไปถึงใครสักคน
ราวเที่ยงวันนั้น คนป่วยก็ได้รับอภินันทนาการจากพ่อบ้านกิตติมศักดิ์อีกครั้งด้วยข้าวต้มรวมมิตรที่โรยหน้ามาทั้งผักชีและต้นหอม ทั้งกลิ่นและหน้าตาที่ชวนกินนั้นคงทำให้ครองขวัญอดใจไม่ได้จนต้องตั้งคำถาม
“น่ากินจังค่ะ ยังมีอีกไหมคะป้าอรุณ”
“ยังมีอีกนิดหน่อยค่ะ คุณกอบทำเผื่อเอาไว้ คงกลัวว่าคุณหนูนาจะทานไม่อิ่ม”
นาวิตาร้อนไปทั้งผิวหน้า ก่อนพูดโดยไม่มองหน้าใคร
“ป้าวางเอาไว้ก่อนเถอะค่ะ นายังไม่หิว”
“แต่นี่เที่ยงแล้วนะคะถึงไม่หิวก็ทานสักนิดเถอะค่ะ กำลังร้อน ๆ แล้วจะได้ทานยาเลย”
“นาเบื่อจัง วัน ๆ ได้แต่นั่ง ๆ นอน ๆ กินข้าวกินยาแล้วก็นอนอยู่อย่างนี้ มีหวังกว่าจะหายนาคงกลายเป็นตุ่ม”
ทั้งอรุณและครองขวัญต่างพากันยิ้มเมื่อคนป่วยเริ่มทำท่างอแง
“งั้นถ้าหนูนาดีขึ้นแล้ว เย็นนี้เราลงไปเดินเล่นในสวนกันไหม”
ครองขวัญออกปากชวน
“ค่ะ พี่ขวัญสัญญาแล้วนะคะ”
ความดีใจที่จะได้หลุดพ้นจากสภาพอุดอู้ทำให้นาวิตารีบขานรับเสียงใส ไม่รู้ตัวว่ายามนี้สีหน้าแววตานั้นแลดูสดใสจนไม่เหลือเค้าคนป่วย
“ค่ะ แต่ตอนนี้หนูนาต้องกินข้าวกินยาก่อน ไม่อย่างนั้นคนทำข้าวต้มชามนี้อาจจะเสียน้ำใจได้”
คำบอกนั้นส่งผลให้นาวิตานิ่งไปครู่ยามทอดตามองชามข้าวต้มที่ครองขวัญยกมาให้ ก่อนที่ภาพชายหนุ่มหน้าตาคมเข้มผู้เป็นเจ้าของฝีมือข้าวต้มมื้อนี้จะผุดขึ้นมาในความคิด
เพียงคำแรกที่ตักเข้าปาก ในอกก็เหมือนรู้สึกได้ถึงความอุ่นจาง ๆ ไม่เพียงปลายลิ้นที่รับรู้รสชาติของข้าวต้มได้อย่างชัดเจน แต่ภาพของใครบางคนก็ราวกับยิ่งแจ่มชัดอยู่ภายในใจ
เย็นวันนั้น ครองขวัญก็ทำตามที่รับปากนาวิตาไว้หลังจากแน่ใจว่าคนป่วยอาการดีขึ้นและมีแรงลุกจากเตียงเดินไปไหนมาไหนได้
หากสองสาวก็คิดไม่ถึงว่าจะมีใครอีกคนใจตรงกันเมื่อเลือกเดินเล่นรับลมเย็นท่ามกลางสวนดอกไม้ด้านหลังบ้าน
“อ้าว! พี่กอบ ทำไมมาไวจัง”
ครองขวัญทักขึ้นอย่างแปลกใจ เพราะเมื่อบ่ายตอนที่กอบบุญบอกว่าจะแวะกลับบ้านเพื่อดูพ่อกับแม่และเอาของใช้บางอย่าง เธอยังคิดว่าเขาคงจะกลับมาราวค่ำ
“ก็พ่อกับแม่นะสิ ห่วงแกก็เลยรีบไล่ให้ฉันกลับมาอยู่เป็นเพื่อน”
“แล้วลุงกับป้าว่าอะไรขวัญหรือเปล่า”
หญิงสาวถามอย่างเกรง ๆ ด้วยคิดว่าพ่อแม่ของกอบบุญอาจไม่พอใจ
“ไม่ได้ว่าอะไร พ่อกับแม่เข้าใจดี เพียงแต่กำชับว่าถ้าทางนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วก็ให้รีบกลับ บอกว่าเป็นสาวเป็นนางไม่ควรไปนอนค้างบ้านคนอื่น”
“ตอนนี้นาดีขึ้นมากแล้ว ถ้าพี่ขวัญอยากจะกลับบ้านก็ไม่เป็นไรนะคะ นาอยู่ได้”
นาวิตาพูดขึ้นอย่างรู้สึกผิด อดคิดไม่ได้ว่าเธอทำให้ครองขวัญต้องเดือดร้อนอีกแล้ว
ครองขวัญเองก็เหมือนเข้าใจความรู้สึกของนาวิตาดี เมื่อพูดอย่างจะปลอบ
“ไม่ต้องคิดมาก พี่เต็มใจอยู่เป็นเพื่อนหนูนา อีกอย่างตั้งแต่มาที่นี่พี่แต่งนิยายได้เยอะเลย คงเป็นเพราะได้มาเปลี่ยนบรรยากาศ โดยเฉพาะเวลามาเดินเล่นในสวนดอกไม้สวย ๆ แบบนี้สมองก็ยิ่งแล่น”
“จริงหรือคะ ได้ยินแบบนี้นาค่อยสบายใจหน่อย”
“แล้วนี่นึกยังไงถึงพาคนป่วยมาเดินตากลม เดี๋ยวก็ยิ่งไม่สบายไปกันใหญ่”
คำพูดที่ฟังเหมือนไม่ชอบใจของกอบบุญส่งผลให้สองสาวพากันหันไปมอง แล้วจึงเห็นว่าชายหนุ่มเอาแต่มองไปยังน้องสาวราวกับไม่อยากจะมองใครอีกคนนัก
นาวิตาหน้าสลด ความดีใจที่ได้ออกมาสูดอากาศนอกห้องหายวับไปในพริบตาเมื่อแปรจากท่าทีของกอบบุญว่าชายหนุ่มไม่พอใจ
“ให้หนูนาออกมาเดินเล่นบ้างดีแล้ว ดีกว่านอนอุดอู้อยู่แต่บนเตียง แบบนั้นสิยิ่งหายช้า”
ครองขวัญค้านพลางมองคนข้างตัวด้วยสายตาเห็นใจราวกับรับรู้ว่านาวิตากำลังหวั่นไหวไปกับคำพูดเมื่อครู่ของกอบบุญ หลังจากนิ่งไปครู่หญิงสาวก็ทำเหมือนนึกอะไรได้
“พี่กอบมาก็ดีแล้ว ช่วยเดินเล่นเป็นเพื่อนหนูนาหน่อยละกัน ขวัญกำลังคิดพล็อตใหม่ได้ขอไปปั่นงานก่อนนะ”
พูดจบเจ้าตัวก็เดินแกมวิ่งตัวปลิวออกไปทันที
เห็นกอบบุญทำท่าฮึดฮัด นาวิตาก็คิดว่าเขาคงไม่เต็มใจกับภารกิจที่ได้รับมอบหมาย
“ฉันเดินคนเดียวได้ ถ้าคุณอยากจะไปพักผ่อนก็เชิญเถอะ”
ทว่า ความหวังดีของเธอกลับถูกตอบแทนด้วยสีหน้าบึงตึง
“ถ้าอยากจะไล่ไปให้พ้นหน้า ก็พูดออกมาตรง ๆ เลย”
เพราะกำลังงงนาวิตาจึงพูดไม่ออก แต่นั่นเหมือนทำให้กอบบุญยิ่งไม่พอใจเมื่อดูจากการคว้าข้อมือหญิงสาวแล้วบอกเสียงขุ่น
“เอาสิ! ถ้าอยากเดินเล่นนักก็ไป”
แรงกระชากที่มาแบบไม่ทันตั้งตัวทำให้นาวิตาเสียหลักในยามที่กอบบุญสาวเท้าจะเดินนำ ความตกใจทำให้หญิงสาวหลุดเสียงร้องเมื่อรู้ว่ากำลังจะถลาลงไปกองบนพื้น แต่แทบจะนาทีนั้นอ้อมแขนที่รัดแน่นราวปลอกเหล็กก็ช่วยไม่ให้เธอล้มลง
“ไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหม”
กอบบุญถามเสียงรัว ไม่รู้ตัวว่ายามนี้ในดวงตาแฝงวี่แววร้อนรนปนห่วงใยชัดเจน และชัดเสียจนคนที่สานสบด้วยนิ่งงันไปราวกับคาดไม่ถึง
วินาทีที่สานสบกับดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่มองมาเหมือนจะไม่ยอมละสายตาไปไหน นาวิตารู้สึกเหมือนหัวใจที่แกว่ง ๆ ก่อนหน้านั้นถูกจับให้หยุดนิ่งอยู่กับที่ ทำอะไรไม่ได้นอกจากมองตอบอีกฝ่ายอยู่อย่างนั้น
“ว่าไง เจ็บตรงไหนหรือเปล่า พูดสิ อย่าเอาแต่เงียบ”
ถ้าเธอยังไม่ยอมพูด ดีไม่ดีเขาอาจจับเธอเขย่าจนหัวหลุด
นาวิตาสรุปกับตัวเอง หลังจากกอบบุญเริ่มจับหัวไหล่เธอแล้วทำเหมือนพร้อมเขย่า
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ ไม่ได้เจ็บตรงไหน”
คำบอกของนาวิตาคงทำให้กอบบุญเริ่มรู้สึกตัว หลังจากนิ่งไปครู่ชายหนุ่มจึงปล่อยมือแล้วเอาแต่ยืนมองเหมือนจะให้แน่ใจว่าหญิงสาวไม่ได้เป็นอะไรจริง ๆ
“ขอบคุณนะ”
ชายหนุ่มยักไหล่ ก่อนบอกเหมือนไม่ใส่ใจ
“ไม่จำเป็น ผมแค่กลัวว่าเกิดคุณล้มลงไปหัวกระแทกพื้น แล้วจะทำให้ยายขวัญต้องเดือดร้อนไปด้วยอีก”
แม้สะอึกไม่น้อยกับคำพูดนั้น แต่นาวิตาก็ยังฝืนยิ้มออกมาได้เมื่อแก้ไขความเข้าใจของอีกฝ่าย
“ฉัน...หมายถึงเรื่องโจ๊กกับข้าวต้มที่คุณทำให้น่ะ”
กอบบุญนิ่งไปพักใหญ่จนนาวิตาคิดว่าเขาคงไม่ยอมพูดอีก แม้น้อยใจนิด ๆ แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่ก่อเอาไว้ หญิงสาวจึงได้แต่ปลอบใจตัวเองให้ยอมรับแล้วทำท่าจะผละไป
“จะไปไหน ไม่อยากเดินเล่นแล้วหรือ”
ความแปลกใจทำให้นาวิตายืนนิ่งอย่างคิดไม่ถึง แต่นั่นเหมือนจะทำให้คนใจร้อนหมดความอดทน
“ถึงคุณจะชังน้ำหน้าผม แต่ผมก็เห็นด้วยกับยายขวัญว่าคุณควรเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง มาเถอะ...ไปเดินเล่นรับลมสักครู่”
อีกครั้งที่นาวิตาต้องอึ้งเมื่อกอบบุญส่งมือข้างหนึ่งมาให้ราวกับจะบอกเป็นนัยว่าให้ใช้เขาเป็นหลักยึด
อาจด้วยอะไรบางอย่างที่อยู่ซอกลึกสุดของหัวใจทำให้นาวิตาไม่ปฏิเสธเมื่อยื่นมือออกไปเกาะกุมมือใหญ่ข้างนั้น รู้สึกเหมือนมีกระแสไฟอ่อน ๆ วิ่งตรงเข้าสู่หัวใจยามที่อีกฝ่ายกระชับมือของเธอแน่นเข้าก่อนพาก้าวเดิน
ขณะเดินเคียงกันไปในสวนดอกไม้ที่เห็นจนชินตา นาวิตาอดรู้สึกไม่ได้ว่าดอกไม้ในวันนี้ดูงดงามกว่าทุกวัน หากนั่นยังเทียบไม่ได้กับความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตอนนี้
ราวกับว่า ณ กลางหัวใจมีดอกไม้กำลังเริ่มผลิบาน
*********************************************
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ
เช้าวันรุ่งขึ้น
เมื่อเห็นครองขวัญเดินเข้ามาในห้องอาหารด้วยสีหน้าอิดโรย กอบบุญก็นิ่วหน้าพลางทักอย่างแปลกใจ
“ทำไมหน้าตาแกเหมือนคนไม่ได้นอนทั้งคืนวะ ไอ้ขวัญ”
ครองขวัญยกมือขึ้นลูบหน้าราวกับจะขับไล่ความอ่อนเพลีย ก่อนบอกเสียงเนือย
“ก็แทบไม่ได้นอนจริง ๆ ล่ะพี่กอบ เป็นห่วงหนูนา”
เพราะกำลังทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ ครองขวัญจึงไม่ทันเห็นท่าทีชะงักงันของกอบบุญขณะเอื้อมมือตักกับข้าว
“ทำไม เขาเป็นอะไร หรือไข้ขึ้นอีก”
“เช้านี้ขวัญลองจับตัวดูก็ไม่ค่อยร้อนแล้ว แต่เมื่อคืนนะสิเอาแต่เพ้อเหมือนเมื่อวันก่อนไงที่ทำให้พวกเราคิดว่าหนูนารู้สึกตัวแล้วแต่ก็ไม่ใช่”
“แล้วเขาเพ้ออะไรถึงทำให้แกไม่ได้หลับได้นอน”
“ขวัญก็จับใจความได้แค่หนูนาเอาแต่พึมพำว่าขอโทษ แต่ที่ทำให้ขวัญไม่สบายใจจนนอนไม่หลับก็เพราะเห็นหนูนาร้องไห้ด้วย”
กอบบุญอึ้งไปครู่ ก่อนถามเสียงแห้ง
“ร้องไห้เลยหรือ”
“ใช่ ขวัญเห็นแล้วไม่สบายใจคิดว่าหนูนาต้องมีเรื่องที่ทำให้คิดมากจนเก็บไปฝันแล้วร้องไห้แบบนี้แน่”
ชายหนุ่มเงียบไปครู่ ก่อนพูดเสียงเข้มเมื่อรู้ตัวว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตาของน้องสาว
“แล้วแกมาจ้องหน้าฉันทำไม หรือคิดว่าฉันเป็นต้นเหตุ”
“ขวัญยังไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย”
กอบบุญแค่นยิ้ม ไม่นึกเชื่อเลยสักนิดเมื่อดูจากสีหน้าจืดเจื่อนของครองขวัญ
“แล้วทำไมแกต้องเดือดร้อนด้วย ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ญาติโกโหติกาของแกซะหน่อย”
“ถึงไม่ใช่ญาติแต่ขวัญก็เห็นหนูนาเป็นเหมือนน้องนะพี่กอบ ป้าไรเคยเล่าให้ฟังว่าตอนที่หนูนาเกิดได้ไม่นานพ่อของหนูนาก็ตายเพราะหัวใจวาย ทำให้ป้าไรไม่มีเวลาดูแลลูกเพราะต้องเข้าไปดูแลบริษัทแทน ต้องปล่อยให้หนูนาอยู่กับพี่เลี้ยงตลอด วัน ๆ แทบไม่ได้เห็นหน้า หลายปีเลยกว่าบริษัทเริ่มอยู่ตัวแต่ถึงตอนนั้นหนูนาก็โตมากแล้ว นับว่าโชคดีที่หนูนาเป็นคนเข้าใจอะไรง่ายก็เลยไม่มีปัญหา แล้วยังคอยช่วยดูแลป้าไรอย่างดี อีกอย่างป้าไรเองก็ดีกับขวัญมาก รักและเอ็นดูขวัญเหมือนลูกเหมือนหลาน แล้วอย่างนี้พี่กอบยังจะให้ขวัญใจดำกับหนูนาอีกหรือ”
แม้เริ่มนึกสงสารคนที่นอนซมอยู่ในห้อง กอบบุญก็ไม่วายทำเสียงเข้มกลบเกลื่อนความรู้สึก
“แต่ยายนั่นก็ยังมีพี่ชายอยู่ทั้งคน ใช่ว่าหัวเดียวกระเทียบลีบซะเมื่อไร อีกอย่างฐานะทางบ้านก็รวยไม่ได้ยากจนข้นแค้น เพราะฉะนั้นแกไม่จำเป็นต้องไปห่วงหรือสงสารเขาหรอก”
“แต่ที่ผ่านมาคุณนินเขาอยู่ต่างประเทศมาตลอด เพิ่งกลับมาได้ไม่นานเองนะพี่กอบ”
ครองขวัญแย้งก่อนที่ใบหน้าจะกลายเป็นสีแดงจางจากคำพูดของญาติผู้พี่
“ดูแกรู้เรื่องคนบ้านนี้ดีเหมือนเป็นครอบครัวตัวเองเลยนะ ไงล่ะ...หรือตัดสินใจแล้วว่าจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้”
“พี่กอบ! พูดอะไร...เกิดใครมาได้ยินเข้าขวัญจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
“ก็เอาไว้ที่เดิมนั่นล่ะ” ชายหนุ่มสวนกลับอย่างขวางปนหมั่นไส้ “ฉันไม่ได้โง่จนมองไม่ออกนะว่าพ่อกับแม่คิดยังไงเรื่องที่แกและผู้ชายคนนั้นหายไปด้วยกันทั้งคืน แกเองก็คงจะคิดเหมือนกับพ่อแม่ฉันสินะ”
เห็นน้องสาวอ้ำอึ้ง ปรอทความรู้สึกของชายหนุ่มก็ยิ่งพุ่งสูงนึกขวางหูขวางตาไปหมดจนหมดอารมณ์กินข้าว
ครองขวัญได้แต่กระพริบตาปริบ ๆ ขณะมองตามกอบบุญที่เดินปึงปังออกไปแบบไม่พูดไม่จา ก่อนถอนหายใจแล้วเริ่มต้นลงมือจัดการอาหารมื้อเช้า
ฝ่ายกอบบุญ เมื่อเดินออกมาจากห้องอาหารก็คิดว่าจะไปเดินเล่นผ่อนคลายอารมณ์ แต่เมื่อเหลือบไปเห็นว่ามีคนกำลังเดินลงบันไดมาจากชั้นบน เจ้าตัวจึงเปลี่ยนใจเดินเข้าไปหาหญิงร่างท้วมวัยราวสี่สิบซึ่งเคยได้ยินครองขวัญเรียกว่าป้าอรุณ
“ป้าขึ้นไปดูหนูนามาหรือเปล่า เขาตื่นแล้วหรือยัง”
อรุณ แม่บ้านใหญ่ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบทุกอย่างภายในบ้านพงศ์ไพศาลยิ้มให้ ก่อนตอบคำถามข้อหลัง
“คุณหนูนาตื่นแล้วค่ะแต่บ่นว่าเจ็บคอ ป้าก็เลยว่าจะไปเตรียมต้มโจ๊กให้”
เมื่อแม่บ้านใหญ่ผละไปแล้ว กอบบุญก็มองขึ้นไปยังชั้นบนครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจ
ราวครึ่งชั่วโมงถัดมาเมื่อครองขวัญไปดูนาวิตาในห้อง ก็พบว่าคนป่วยตื่นนอนแล้ว
“อ้าว! หนูนา ตื่นนานแล้วหรือ”
“นาตื่นได้สักครู่แล้วค่ะ”
“แล้วเป็นไงบ้าง ยังปวดหัวมากหรือเปล่า” ครองขวัญพูดพลางเดินเข้าไปแตะเนื้อแตะตัวก่อนอังหลังมือกับหน้าผากคนป่วย “อืม ตัวไม่ร้อน”
“นารู้สึกดีขึ้นมากแล้วค่ะ เพียงแต่ยังเจ็บคออยู่”
“ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวพี่ลงไปบอกป้าอรุณให้ต้มโจ๊กหรือพวกข้าวต้มมาให้นะ”
“ป้าอรุณขึ้นมาดูนาครั้งหนึ่งแล้วค่ะ บอกว่าจะไปต้มโจ๊กมาให้”
“งั้นหรือ”
ครองขวัญพูดยิ้ม ๆ ก่อนหันไปมองประตูห้องเมื่อได้ยินเสียงเคาะให้สัญญาณ ไม่นานนักก็เห็นคนที่นาวิตาเพิ่งพูดถึงกำลังเดินประคองถาดเข้ามา
“โจ๊กของคุณหนูนาค่ะ ทานเลยนะคะกำลังร้อน”
“มา...เดี๋ยวพี่ป้อนให้”
ครองขวัญอาสาพลางยกชามโจ๊กขึ้นมาจากบนโต๊ะหัวเตียง
“ไม่เป็นไรค่ะ นากินเองได้”
คนป่วยบอกหากเมื่อรับชามมาจากครองขวัญ เจ้าตัวก็นิ่งไปนิดก่อนเงยหน้าขึ้นมาพูดกับแม่บ้านใหญ่
“ป้าอรุณลืมไปแล้วหรือคะว่านาไม่กินต้นหอม ทำไมยังใส่มาอีกละคะ”
อรุณยิ้มเจื่อน ๆ ก่อนบอกเสียงอ่อย
“ป้าก็บอกคุณคนนั้นไปแล้วนะคะ แต่เขาก็ดึงดันใส่แถมยังบอกว่าเพราะคุณหนูนาเลือกกินแบบนี้ถึงได้ล้มป่วย”
“ป้าพูดถึงใครคะ”
นาวิตาตั้งคำถามอย่างสงสัย
“ก็คุณ...ผู้ชายที่มาพร้อมกับคุณขวัญยังไงละคะ”
แม่บ้านใหญ่บอกยิ้ม ๆ ก่อนทำให้คนฟังทั้งสองต่างพากันอึ้งงัน
“แล้วโจ๊กชามนี้ ก็เป็นฝีมือของเขาด้วยนะคะ”
“พี่กอบเป็นคนต้มโจ๊กชามนี้เองหรือคะ”
ครองขวัญถามอย่างไม่อยากเชื่อ
เกิดอะไรขึ้นกอบบุญถึงลงทุนต้มโจ๊กด้วยตัวเอง ถึงแม้เขาทำอาหารเก่งจนหลายครั้งได้รับตำแหน่งพ่อครัวประจำบ้าน แต่ยังไงก็ไม่น่าใช่เหตุผลที่ญาติของเธอจะลุกขึ้นมาทำอะไรแบบนี้
“ใช่ค่ะ”
คำยืนยันจากแม่บ้านใหญ่ทำให้ครองขวัญไม่รู้จะพูดอะไรอีก
นาวิตามองชามโจ๊กในมือตัวเองครู่หนึ่ง ไม่มีใครรู้ว่าหญิงสาวคิดอะไร แต่ไม่นานนักทั้งอรุณและครองขวัญก็เห็นว่าคนป่วยค่อย ๆ ใช้ช้อนตักโจ๊กเข้าปาก
“เป็นไงบ้างคะ”
อรุณถาม ในขณะที่คนป่วยทำเหมือนไม่เต็มใจนักเมื่อให้คำตอบ
“ก็...พอกินได้ค่ะ”
แม่บ้านใหญ่หุบยิ้มทันทีเหมือนผิดหวังแทนคนทำ ก่อนขอตัวลงไปจัดการงานในหน้าที่ของตน จึงไม่รู้ว่าหลังจากนั้นคนป่วยที่ออกปากว่าพอกินได้ก็จัดการโจ๊กในชามจนหมดสิ้นภายในเวลาไม่กี่นาที
“โอ้โห! ขนาดพอกินได้ หนูนายังกินซะหมดชาม ถ้าพี่กอบรู้คงดีใจแน่”
สีหน้าแววตายิ้ม ๆ ของครองขวัญเมื่อเดินเข้ามารับชามเปล่าจากมือทำให้นาวิตาทำหน้าไม่ถูก ต้องใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าจะตั้งคำถามเพื่อกลบเกลื่อนความขัดเขิน
“พี่ขวัญคะ พี่นินบอกหรือเปล่าว่าจะกลับมาเมื่อไร”
“อีกสองวันจ้ะ เมื่อวานก็ส่งข้อความมาถามพี่ว่าหนูนาเป็นยังไงบ้าง”
เงียบไปครู่หนึ่งกว่านาวิตาจะตั้งคำถามใหม่ด้วยสีหน้าบอกความไม่สบายใจ
“พี่ขวัญยกโทษให้พี่นินกับหนูนาแล้ว...ใช่ไหมคะ”
ถึงคราวครองขวัญเป็นฝ่ายเงียบไปบ้าง จนทำให้คนรอฟังร้อนใจ
“เรื่องพวกนั้นพี่นินไม่ผิดนะคะ นาเองที่เป็นคนวางแผน พี่นินไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลย”
“หนูนาพูดเรื่องอะไรคะ”
ทั้งคำถามและสีหน้าฉงนของครองขวัญทำให้นาวิตาฉุกใจคิด
หรือว่ากอบบุญยังไม่ได้เล่าเรื่องนั้น
หญิงสาวอึกอัก ก่อนคิดวิธีเลี่ยงหลบด้วยการทำทีไอติดกันหลายครั้ง
“พี่นี่แย่จริง ลืมไปเลยว่าหนูนายังไม่หายดีแทนที่จะให้กินยาและพักผ่อนกลับมาชวนคุยอยู่ได้”
ต่อว่าตัวเองแล้วครองขวัญก็รีบจัดยาให้คนป่วย หลังจากรอจนนาวิตากินยาและกินน้ำตามแล้ว เจ้าตัวจึงบอก
“พักผ่อนนะ จะได้หายไว ๆ พี่ไม่กวนแล้ว”
คนป่วยยิ้ม ก่อนหลับตาลงอย่างว่าง่ายขณะเงี่ยหูฟังรอจนแน่ใจว่าครองขวัญออกไปจากห้องแล้ว เจ้าตัวจึงค่อยลืมตาแล้วผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
หลังออกมาจากห้องนอนของนาวิตาแล้วลงบันไดไปชั้นล่าง ครองขวัญก็อดยิ้มไม่ได้เมื่อพบว่าญาติผู้พี่ของเธอกำลังเดินเตร็ดเตร่อยู่บริเวณนั้นราวกับกำลังรอคอยใครสักคน
“ได้ข่าวว่าลงทุนเป็นพ่อครัวเลยหรือพี่กอบ”
เห็นญาติหนุ่มสะดุ้งราวกับถูกเธอจี้ ครองขวัญก็อดหัวเราะไม่ได้ก่อนรีบเบรกตัวเองเมื่อเห็นกอบบุญมองมาด้วยสายตาขุ่นเขียว
“ฉันแค่ยึดหลักว่าอยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดายปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่นก็เท่านั้น หรือแกมีปัญหา”
คำถามตอนท้ายที่เหมือนท้าทายในทีทำให้ครองขวัญต้องเบ้ปาก เดาได้ว่ากอบบุญกำลังอยู่ในสภาวะขี้แพ้ชวนตี
“แล้ว...เขากินได้เยอะหรือเปล่า”
ไม่ต้องถามครองขวัญก็เดาได้ว่ากอบบุญหมายถึงใคร แม้ใจหนึ่งอยากตีรวนถามกลับว่าหมายถึงใครแต่ดูจากภาวะอารมณ์ของอีกฝ่ายแล้วเธอก็คิดได้ว่าไม่ควรโยกโย้
“หมดชามเลย” เห็นกอบบุญเบิกตากว้างก่อนยิ้ม ครองขวัญก็พลอยยิ้มตามอย่างนึกขำ นึกรู้ว่าเนื้อแท้แล้วกอบบุญไม่ได้ชังน้ำหน้านาวิตาอย่างที่ชอบแสดงออก
ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่มองทุกอย่างด้วยแววตาเป็นประกายแจ่มใส พลอยทำให้คนอยู่ใกล้รู้สึกสดใสและสบายใจ ก็แล้วอย่างนี้ใครล่ะจะไม่นึกเอ็นดู
“เป็นบ้าอะไรถึงเอาแต่ยิ้ม”
คำถามของกอบบุญทำให้ครองขวัญรีบหุบยิ้มฉับ หมดอารมณ์จะอยู่ตรงนั้นเพราะเดาได้ว่าคงไม่แคล้วถูกกอบบุญพาลใส่ไม่เลิก และเพราะเดินจากมาจึงไม่รู้ว่าญาติผู้พี่ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นพลางแหงนเงยขึ้นไปยังชั้นบนราวกับจะส่งใจไปถึงใครสักคน
ราวเที่ยงวันนั้น คนป่วยก็ได้รับอภินันทนาการจากพ่อบ้านกิตติมศักดิ์อีกครั้งด้วยข้าวต้มรวมมิตรที่โรยหน้ามาทั้งผักชีและต้นหอม ทั้งกลิ่นและหน้าตาที่ชวนกินนั้นคงทำให้ครองขวัญอดใจไม่ได้จนต้องตั้งคำถาม
“น่ากินจังค่ะ ยังมีอีกไหมคะป้าอรุณ”
“ยังมีอีกนิดหน่อยค่ะ คุณกอบทำเผื่อเอาไว้ คงกลัวว่าคุณหนูนาจะทานไม่อิ่ม”
นาวิตาร้อนไปทั้งผิวหน้า ก่อนพูดโดยไม่มองหน้าใคร
“ป้าวางเอาไว้ก่อนเถอะค่ะ นายังไม่หิว”
“แต่นี่เที่ยงแล้วนะคะถึงไม่หิวก็ทานสักนิดเถอะค่ะ กำลังร้อน ๆ แล้วจะได้ทานยาเลย”
“นาเบื่อจัง วัน ๆ ได้แต่นั่ง ๆ นอน ๆ กินข้าวกินยาแล้วก็นอนอยู่อย่างนี้ มีหวังกว่าจะหายนาคงกลายเป็นตุ่ม”
ทั้งอรุณและครองขวัญต่างพากันยิ้มเมื่อคนป่วยเริ่มทำท่างอแง
“งั้นถ้าหนูนาดีขึ้นแล้ว เย็นนี้เราลงไปเดินเล่นในสวนกันไหม”
ครองขวัญออกปากชวน
“ค่ะ พี่ขวัญสัญญาแล้วนะคะ”
ความดีใจที่จะได้หลุดพ้นจากสภาพอุดอู้ทำให้นาวิตารีบขานรับเสียงใส ไม่รู้ตัวว่ายามนี้สีหน้าแววตานั้นแลดูสดใสจนไม่เหลือเค้าคนป่วย
“ค่ะ แต่ตอนนี้หนูนาต้องกินข้าวกินยาก่อน ไม่อย่างนั้นคนทำข้าวต้มชามนี้อาจจะเสียน้ำใจได้”
คำบอกนั้นส่งผลให้นาวิตานิ่งไปครู่ยามทอดตามองชามข้าวต้มที่ครองขวัญยกมาให้ ก่อนที่ภาพชายหนุ่มหน้าตาคมเข้มผู้เป็นเจ้าของฝีมือข้าวต้มมื้อนี้จะผุดขึ้นมาในความคิด
เพียงคำแรกที่ตักเข้าปาก ในอกก็เหมือนรู้สึกได้ถึงความอุ่นจาง ๆ ไม่เพียงปลายลิ้นที่รับรู้รสชาติของข้าวต้มได้อย่างชัดเจน แต่ภาพของใครบางคนก็ราวกับยิ่งแจ่มชัดอยู่ภายในใจ
เย็นวันนั้น ครองขวัญก็ทำตามที่รับปากนาวิตาไว้หลังจากแน่ใจว่าคนป่วยอาการดีขึ้นและมีแรงลุกจากเตียงเดินไปไหนมาไหนได้
หากสองสาวก็คิดไม่ถึงว่าจะมีใครอีกคนใจตรงกันเมื่อเลือกเดินเล่นรับลมเย็นท่ามกลางสวนดอกไม้ด้านหลังบ้าน
“อ้าว! พี่กอบ ทำไมมาไวจัง”
ครองขวัญทักขึ้นอย่างแปลกใจ เพราะเมื่อบ่ายตอนที่กอบบุญบอกว่าจะแวะกลับบ้านเพื่อดูพ่อกับแม่และเอาของใช้บางอย่าง เธอยังคิดว่าเขาคงจะกลับมาราวค่ำ
“ก็พ่อกับแม่นะสิ ห่วงแกก็เลยรีบไล่ให้ฉันกลับมาอยู่เป็นเพื่อน”
“แล้วลุงกับป้าว่าอะไรขวัญหรือเปล่า”
หญิงสาวถามอย่างเกรง ๆ ด้วยคิดว่าพ่อแม่ของกอบบุญอาจไม่พอใจ
“ไม่ได้ว่าอะไร พ่อกับแม่เข้าใจดี เพียงแต่กำชับว่าถ้าทางนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วก็ให้รีบกลับ บอกว่าเป็นสาวเป็นนางไม่ควรไปนอนค้างบ้านคนอื่น”
“ตอนนี้นาดีขึ้นมากแล้ว ถ้าพี่ขวัญอยากจะกลับบ้านก็ไม่เป็นไรนะคะ นาอยู่ได้”
นาวิตาพูดขึ้นอย่างรู้สึกผิด อดคิดไม่ได้ว่าเธอทำให้ครองขวัญต้องเดือดร้อนอีกแล้ว
ครองขวัญเองก็เหมือนเข้าใจความรู้สึกของนาวิตาดี เมื่อพูดอย่างจะปลอบ
“ไม่ต้องคิดมาก พี่เต็มใจอยู่เป็นเพื่อนหนูนา อีกอย่างตั้งแต่มาที่นี่พี่แต่งนิยายได้เยอะเลย คงเป็นเพราะได้มาเปลี่ยนบรรยากาศ โดยเฉพาะเวลามาเดินเล่นในสวนดอกไม้สวย ๆ แบบนี้สมองก็ยิ่งแล่น”
“จริงหรือคะ ได้ยินแบบนี้นาค่อยสบายใจหน่อย”
“แล้วนี่นึกยังไงถึงพาคนป่วยมาเดินตากลม เดี๋ยวก็ยิ่งไม่สบายไปกันใหญ่”
คำพูดที่ฟังเหมือนไม่ชอบใจของกอบบุญส่งผลให้สองสาวพากันหันไปมอง แล้วจึงเห็นว่าชายหนุ่มเอาแต่มองไปยังน้องสาวราวกับไม่อยากจะมองใครอีกคนนัก
นาวิตาหน้าสลด ความดีใจที่ได้ออกมาสูดอากาศนอกห้องหายวับไปในพริบตาเมื่อแปรจากท่าทีของกอบบุญว่าชายหนุ่มไม่พอใจ
“ให้หนูนาออกมาเดินเล่นบ้างดีแล้ว ดีกว่านอนอุดอู้อยู่แต่บนเตียง แบบนั้นสิยิ่งหายช้า”
ครองขวัญค้านพลางมองคนข้างตัวด้วยสายตาเห็นใจราวกับรับรู้ว่านาวิตากำลังหวั่นไหวไปกับคำพูดเมื่อครู่ของกอบบุญ หลังจากนิ่งไปครู่หญิงสาวก็ทำเหมือนนึกอะไรได้
“พี่กอบมาก็ดีแล้ว ช่วยเดินเล่นเป็นเพื่อนหนูนาหน่อยละกัน ขวัญกำลังคิดพล็อตใหม่ได้ขอไปปั่นงานก่อนนะ”
พูดจบเจ้าตัวก็เดินแกมวิ่งตัวปลิวออกไปทันที
เห็นกอบบุญทำท่าฮึดฮัด นาวิตาก็คิดว่าเขาคงไม่เต็มใจกับภารกิจที่ได้รับมอบหมาย
“ฉันเดินคนเดียวได้ ถ้าคุณอยากจะไปพักผ่อนก็เชิญเถอะ”
ทว่า ความหวังดีของเธอกลับถูกตอบแทนด้วยสีหน้าบึงตึง
“ถ้าอยากจะไล่ไปให้พ้นหน้า ก็พูดออกมาตรง ๆ เลย”
เพราะกำลังงงนาวิตาจึงพูดไม่ออก แต่นั่นเหมือนทำให้กอบบุญยิ่งไม่พอใจเมื่อดูจากการคว้าข้อมือหญิงสาวแล้วบอกเสียงขุ่น
“เอาสิ! ถ้าอยากเดินเล่นนักก็ไป”
แรงกระชากที่มาแบบไม่ทันตั้งตัวทำให้นาวิตาเสียหลักในยามที่กอบบุญสาวเท้าจะเดินนำ ความตกใจทำให้หญิงสาวหลุดเสียงร้องเมื่อรู้ว่ากำลังจะถลาลงไปกองบนพื้น แต่แทบจะนาทีนั้นอ้อมแขนที่รัดแน่นราวปลอกเหล็กก็ช่วยไม่ให้เธอล้มลง
“ไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหม”
กอบบุญถามเสียงรัว ไม่รู้ตัวว่ายามนี้ในดวงตาแฝงวี่แววร้อนรนปนห่วงใยชัดเจน และชัดเสียจนคนที่สานสบด้วยนิ่งงันไปราวกับคาดไม่ถึง
วินาทีที่สานสบกับดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่มองมาเหมือนจะไม่ยอมละสายตาไปไหน นาวิตารู้สึกเหมือนหัวใจที่แกว่ง ๆ ก่อนหน้านั้นถูกจับให้หยุดนิ่งอยู่กับที่ ทำอะไรไม่ได้นอกจากมองตอบอีกฝ่ายอยู่อย่างนั้น
“ว่าไง เจ็บตรงไหนหรือเปล่า พูดสิ อย่าเอาแต่เงียบ”
ถ้าเธอยังไม่ยอมพูด ดีไม่ดีเขาอาจจับเธอเขย่าจนหัวหลุด
นาวิตาสรุปกับตัวเอง หลังจากกอบบุญเริ่มจับหัวไหล่เธอแล้วทำเหมือนพร้อมเขย่า
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ ไม่ได้เจ็บตรงไหน”
คำบอกของนาวิตาคงทำให้กอบบุญเริ่มรู้สึกตัว หลังจากนิ่งไปครู่ชายหนุ่มจึงปล่อยมือแล้วเอาแต่ยืนมองเหมือนจะให้แน่ใจว่าหญิงสาวไม่ได้เป็นอะไรจริง ๆ
“ขอบคุณนะ”
ชายหนุ่มยักไหล่ ก่อนบอกเหมือนไม่ใส่ใจ
“ไม่จำเป็น ผมแค่กลัวว่าเกิดคุณล้มลงไปหัวกระแทกพื้น แล้วจะทำให้ยายขวัญต้องเดือดร้อนไปด้วยอีก”
แม้สะอึกไม่น้อยกับคำพูดนั้น แต่นาวิตาก็ยังฝืนยิ้มออกมาได้เมื่อแก้ไขความเข้าใจของอีกฝ่าย
“ฉัน...หมายถึงเรื่องโจ๊กกับข้าวต้มที่คุณทำให้น่ะ”
กอบบุญนิ่งไปพักใหญ่จนนาวิตาคิดว่าเขาคงไม่ยอมพูดอีก แม้น้อยใจนิด ๆ แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่ก่อเอาไว้ หญิงสาวจึงได้แต่ปลอบใจตัวเองให้ยอมรับแล้วทำท่าจะผละไป
“จะไปไหน ไม่อยากเดินเล่นแล้วหรือ”
ความแปลกใจทำให้นาวิตายืนนิ่งอย่างคิดไม่ถึง แต่นั่นเหมือนจะทำให้คนใจร้อนหมดความอดทน
“ถึงคุณจะชังน้ำหน้าผม แต่ผมก็เห็นด้วยกับยายขวัญว่าคุณควรเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง มาเถอะ...ไปเดินเล่นรับลมสักครู่”
อีกครั้งที่นาวิตาต้องอึ้งเมื่อกอบบุญส่งมือข้างหนึ่งมาให้ราวกับจะบอกเป็นนัยว่าให้ใช้เขาเป็นหลักยึด
อาจด้วยอะไรบางอย่างที่อยู่ซอกลึกสุดของหัวใจทำให้นาวิตาไม่ปฏิเสธเมื่อยื่นมือออกไปเกาะกุมมือใหญ่ข้างนั้น รู้สึกเหมือนมีกระแสไฟอ่อน ๆ วิ่งตรงเข้าสู่หัวใจยามที่อีกฝ่ายกระชับมือของเธอแน่นเข้าก่อนพาก้าวเดิน
ขณะเดินเคียงกันไปในสวนดอกไม้ที่เห็นจนชินตา นาวิตาอดรู้สึกไม่ได้ว่าดอกไม้ในวันนี้ดูงดงามกว่าทุกวัน หากนั่นยังเทียบไม่ได้กับความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตอนนี้
ราวกับว่า ณ กลางหัวใจมีดอกไม้กำลังเริ่มผลิบาน
*********************************************
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่ะ
ปิยะณัฏฐ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 เม.ย. 2559, 19:29:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 เม.ย. 2559, 19:29:16 น.
จำนวนการเข้าชม : 960
<< บทที่ 16 | บทที่ 18 >> |
Zephyr 13 เม.ย. 2559, 17:59:03 น.
เอิ่ม พี่กอบปักไปหลายดอกเลยนะนั่น
เอิ่ม พี่กอบปักไปหลายดอกเลยนะนั่น