ใยรัก...ลวงจันทร์
'ปภาวิน' ประสบเหตุการณ์ร้ายแรงในคืนหนึ่ง
'วราลี' คือที่พึ่งเดียวของเขา

แต่ทว่า แม้เขาจะเป็นถึงว่าที่ทายาท สืบทอดกิจการบริษัทอัญมณีและเครื่องประดับอันดับต้นๆ ของเมืองไทยก็ตาม สิ่งเดียวที่หญิงสาวรับรู้ในตอนนี้คือปภาวินเป็นผอ-สระอี-ผี ! แถมยังเป็นผีเจ้าเล่ห์เพทุบาย ลามกขั้นเทพด้วย เขาคอยตามตื้อหล่อนไม่เลิกรา เพียงเพราะแค่ต้องการความช่วยเหลือจากผู้หญิงธรรมดาๆ อย่างหล่อนก็เท่านั้น

วราลีต้องช่วยพาวิญญาณหนุ่มอย่างปภาวินกลับเข้าร่างให้เร็วที่สุด โดยที่หารู้ไม่ว่าในเวลาเดียวกันนั้น...ภายใต้ความเคียดแค้นพยาบาทที่ยังคงถูกซุกซ่อน…

มีใครบางคนรอวันเอาคืน !
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 1---40%

บทที่ 1



“อุ๊ย ขอโทษค่ะ"

หญิงสาวร่างเล็กแต่ดูมีน้ำมีนวลด้วยวัยยี่สิบตอนปลายในชุดฟอร์มครูประจำโรงเรียนรัฐแห่งหนึ่ง ถอยหลบให้ชายหนุ่มอีกคนเดินสวนทางออกมาจากลิฟต์ หญิงสาวมัวแต่ใจลอยนึกเป็นห่วงมารดา เนื้อตัวเปียกปอนเพราะเพิ่งวิ่งฝ่าสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาอย่างหนักจากหน้าโรงพยาบาล ก่อนหน้านี้น้องชายของหล่อนโทรศัพท์มาบอกว่ามารดาล้มป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาล แต่ด้วยความที่หล่อนกำลังจัดการพวกเด็กนักเรียนเหลือขอที่แอบโดดเรียนเป็นนิสัย รวมทั้งติดประชุมกับครูหมวดวิชาภาษาไทยด้วยกัน กว่าจะออกมาได้ก็เวลาล่วงเลยจนพลบค่ำแล้ว

ทันทีที่วราลีเปิดประตูผางเข้ามาในห้องพักฟื้นของมารดา สิ่งที่เห็นคือวรเมธน้องชายของหล่อนยังคงนั่งเฝ้ามารดาอยู่ข้างเตียง ขณะที่มารดานั้นยังนอนหลับไม่รู้เรื่อง มีสายน้ำเกลือติดอยู่ที่แขน

"แม่เป็นยังไงบ้างเมธ"

วราลีเอ่ยถามน้องชาย ใจคอไม่ดีรีบเข้ามาดูอาการมารดาใกล้ๆ วรกานดามารดาของหล่อนนั้นมีรูปร่างท้วมตามวัย ผิวขาวผ่อง ดวงหน้าอิ่มเอิบ แต่ยามนี้มารดากลับดูซีดเซียวจนผู้เป็นลูกสาวอดใจหายไม่ได้ ต้องเงยหน้าสบมองคนนั่งเฝ้าเป็นเชิงถามซ้ำถึงอาการของมารดา ตอนนั้นเองน้องชายถึงได้ลุกจากเก้าอี้พลัน ประหนึ่งไม่อยากเห็นหน้าพี่สาว

"มาแล้วเหรอลูก"

มารดารู้สึกตัว ลืมตามองลูกสาว

"ค่อยๆ ลุกค่ะแม่" เห็นมารดาทำท่าจะลุกขึ้นนั่งวราลีเลยช่วยประคอง ก่อนหันไปส่งสายตาบอกน้องชายให้ช่วยรินน้ำใส่แก้วให้มารดา พอเดาใจคนป่วยได้ว่าคงรู้สึกลำคอแห้งผาก

"ที่จริงแม่ค่อยยังชั่วบ้างแล้ว กลับไปนอนพักที่บ้านก็น่าจะได้มั้งลูก เปลืองเงินเปล่าๆ"

"มีไข้สูง แถมยังอาเจียนหนักจนหมดแรงเนี่ยนะแม่ที่เรียกว่าค่อยยังชั่วแล้ว" วรเมธโวยวาย ลูกชายอุตส่าห์เป็นห่วงกลัวมารดาจะเป็นอะไรไป พามาตรวจถึงโรงพยาบาล มารดากลับมานั่งบ่นเสียดายเงินทองไม่เข้าเรื่อง

"ดีแค่ไหนที่ผมคิดถูก เลิกเรียนกลับมาเลย ถ้าอยู่รอพี่ลีเหมือนทุกวันป่านนี้แม่ยังไม่ถึงมือหมอหรอก"

"เอ๊ะ ไปแขวะพี่เขาอีก เรานี่"

"ก็มันจริงนี่แม่"

"พอได้แล้วเมธ" วราลีทนไม่ได้ที่น้องชายเอาแต่ขึ้นเสียงใส่มารดา นั่นแหละน้องชายถึงได้รู้ตัว

หมอที่ดูแลวรกานดาพอรู้จากนางพยาบาลว่าลูกๆ ของคนป่วยมากันพร้อมหน้าแล้วจึงแวะมาตรวจดูอาการอีกครั้ง พร้อมรายงานผลตรวจเลือดให้ทราบ หมอสันนิษฐานว่าวรกานดาป่วยเป็นไข้เลือดออกเพราะระดับเกล็ดเลือดค่อนข้างต่ำกว่าปกติ อีกทั้งวรกานดามีอาการโดยรวมน่าเป็นห่วงพอสมควร จึงขอให้นอนพักรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลประมาณหนึ่งสัปดาห์

คล้อยหลังหมอกับนางพยาบาลออกจากห้องไปแล้ว สองพี่น้องแยกกับมารดานั่งรถเมล์กลับมาบ้าน วราลีบังคับน้องชายให้กลับมาบ้านด้วยกันเพราะรบเร้าจะขออยู่เฝ้ามารดาให้ได้ พี่สาวรู้นิสัยน้องชายดี พรุ่งนี้ต้องตื่นไปเรียนแต่เช้า ขืนให้นอนเฝ้ามารดาเดี๋ยวก็เลยเถิดไม่ยอมไปเรียนกันพอดี

"เมธ คุยกับพี่ก่อน เมธ!"

วราลีตะโกนเรียกไล่หลังตามมาจนปากจะฉีกถึงหูอยู่แล้ว แต่น้องชายไม่ฟังสักนิด เปิดประตูเข้ามาในบ้านได้ก็กระแทกเท้าปึงปังขึ้นบันไดบ้านหายไปชั้นบน ทิ้งพี่สาวไว้ข้างหลัง

วรเมธยังโกรธไม่หายทั้งเรื่องที่พี่สาวมาโรงพยาบาลช้า แล้วไหนจะยังไม่ยอมให้อยู่เฝ้ามารดาอีก พี่สาวเองเห็นอาการปั้นปึงไม่เลิกของน้องชายก็เลยทอดถอนใจออกมา หมดเรี่ยวแรงที่จะอธิบายให้เข้าใจ จากที่ว่าจะตามน้องชายไปเปลี่ยนใจทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาบริเวณห้องรับแขกซึ่งเป็นส่วนแรกของบ้าน

ข้างนอกฝนหยุดตกแล้ว ทิ้งร่องรอยไว้เพียงหยาดน้ำฝนที่สาดกระเซ็นกับความมืดสลัวในยามค่ำคืน

ภายใต้ความเงียบงันที่ปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณ หญิงสาวทอดมองดูความว่างเปล่าภายในบ้านเพียงลำพัง บ้านของครอบครัววราลีนั้นเป็นบ้านจัดสรรสองชั้น ค่อนข้างซอมซ่อตามกาลเวลา พื้นที่ในบ้านไม่ได้กว้างขวางมากนัก แต่ขณะเดียวกันก็ไม่จัดว่าแคบชวนให้อึดอัดเช่นกัน

วราลียกมือขึ้นปัดปอยผมที่ลงมาปรกหน้าปรกตา เจ้าหล่อนแค่มัดผมไว้อย่างลวกๆ นั่งพักเหนื่อยอยู่ครู่ก็ต้องตัดใจลุกตามน้องชายขึ้นบันไดบ้านไปยังห้องนอนตัวเองซึ่งอยู่ชั้นบน หล่อนอาสาอยู่เฝ้ามารดาที่โรงพยาบาลเองเลยต้องกลับมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้าน

ใช้เวลาไม่นานวราลีก็กลับมาถึงโรงพยาบาลอีกครั้งพร้อมเสื้อผ้าชุดใหม่สบายตัว หญิงสาวหอบการบ้านเด็กนักเรียนมาด้วยไว้ตรวจแก้เหงา ทว่ายังไม่ทันที่จะเปิดประตูเข้าไปหามารดาในห้องพัก เสียงโทรศัพท์มือถือวราลีสั่นคลอนในกระเป๋าสะพาย หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อยเพราะกำลังเหลียวมองไปรอบกาย ในโรงพยาบาลมีแต่ความเงียบสงัด ไร้ซึ่งผู้คนเดินผ่านไปมาต่างจากตอนแรกที่มาทำให้หญิงสาวอดขนลุกซู่ไม่ได้

“แม่แกนอนป่วยอยู่โรง’บาล ใจคอไม่คิดจะบอกให้เพื่อนรู้บ้างเลยรึไงยะ”

คนอีกฟากโวยวายมาตามสายโทรศัพท์ คนเพิ่งกดรับสายอย่างวราลีถึงกับต้องเอาโทรศัพท์มือถือออกห่างหู เจ้าของเสียงแหลมปรี๊ดแสบแก้วหูนั้นคือธเนศหรือทอมมี่เพื่อนชายหัวใจสาวของหล่อนนั่นเอง

“โวยวายอะไรนักหนาทอมมี่ หูฉันจะแตกก็เพราะเสียงแปดหลอดของแกเนี่ยแหละ”

“หน็อย ยังมาดุเพื่อนอีก” ธเนศยังบ่นแกมต่อว่าอย่างน้อยใจ

“ฉันรู้สึกตงิดๆ เป็นห่วงแกตั้งแต่เมื่อเย็นแล้ว โทร.หาแกก็ดันไม่รับสาย ฉันเลยโทร.ไปที่บ้านแกมาถึงได้รู้เรื่องแม่แกเข้าน่ะสิ”

ได้ยินเพื่อนเล่าเช่นนั้นวราลีก็เดาได้ทันทีว่าเพื่อนต้องรู้เรื่องมาจากน้องชายตัวดีแน่นอน ก็บ้านหล่อนมีกันอยู่แค่สามคน วราลีเลยมีสีหน้าเครียดขึ้นมา

ใจหญิงสาวไม่อยากบอกเพื่อนให้เป็นเรื่องใหญ่ แต่หล่อนกับธเนศนั้นคบเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยปีหนึ่ง เรียนคณะครุศาสตร์ด้วยกันมา พอเรียนจบก็แยกย้ายกันไปทำงานตามที่ใจรัก วราลีสอบบรรจุเข้ารับราชการครูอยู่โรงเรียนรัฐมีชื่อ ส่วนเพื่อนทำงานบริษัทอยู่ฝ่ายทรัพยากรบุคคล ถึงอย่างนั้นความสนิทสนมระหว่างหล่อนกับธเนศก็ไม่เคยจางหาย มีเรื่องอะไรมักปรับทุกข์หรือเล่าสู่กันฟังเสมอ

“เมื่อเย็นฉันมีประชุมกับเพื่อนครูหมวดภาษาไทยด้วยกันน่ะ แล้วก็ยังมาวุ่นๆ เรื่องแม่อีกเลย...เอิ่ม...ลืมโทร.กลับไปหา ขอโทษนะแก”

ธเนศทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอขัดใจเพื่อนที่เรื่องแค่นี้ก็ต้องมาขอโทษกัน เจ้าหล่อนไม่ได้ถือสาหาความตามที่โวยวายใส่หรอก ในทางกลับกันเป็นห่วงเพื่อนมากกว่า

“ว่าแต่แกโอเคใช่มั้ย ฉันไปอยู่เป็นเพื่อนที่โรงพยาบาลสักพักได้นะ”

“ฉันโอเค” วราลีบอกเพื่อนเสียงเนือยๆ

“แม่มีไข้มาสองสามวันแล้วล่ะแต่คราวนี้อาเจียนด้วย โชคดีที่เมธไม่ได้รอฉัน กลับบ้านไปก่อนก็เลยพาแม่มาหาหมอเร็ว ตอนนี้อาการยังทรงๆ อยู่เลย หมอบอกว่าแม่เป็นไข้เลือดออก”

“โอ มาย กอชชช!” ธเนศอุทาน ไม่ต้องเห็นตัววราลีก็นึกภาพออกว่าเพื่อนกำลังเอามือทาบอกประหนึ่งตกใจสุดขีดแทบช็อก

“ตายๆๆ แกนี่มันมัวแต่ห่วงงานไม่เข้าเรื่อง โรคนี้สะพรึงมากนะยะ ปอ ปฏิบัติก็โดนมาแล้ว จำไม่ได้รึไง โหย แฟนคลับร้องไห้กันระงม” ธเนศหมายถึงพระเอกละครชื่อดังที่มีข่าวเสียชีวิตเมื่อปีก่อน ยังคงสร้างความสะเทือนใจแก่แฟนคลับและคนไทยกว่าครึ่งค่อนประเทศจนทุกวันนี้ เหตุเพราะป่วยเป็นไข้เลือดออก โรคเดียวกับที่มารดาของวราลีกำลังเผชิญ

“งั้นฉันไม่กวนแกแล้ว ไปเฝ้าแม่แกต่อเถอะ อ้อ ฝากบอกแม่แกด้วยว่าเดี๋ยวลูกรักคนนี้จะหาเวลาไปเยี่ยมคุณแม่นะคะ จะได้ถือโอกาสช่วยดูแลแม่แกด้วย...ห้ามปฏิเสธล่ะ” สั่งเสร็จธเนศก็วางสาย ไม่ให้เพื่อนได้ปฏิเสธจริงๆ

วราลีได้แต่ส่ายหน้าระอา เดินกลับเข้ามาในห้องพักมารดา คุยโทรศัพท์กับธเนศทีไรรายนั้นชอบสั่งชอบสอน พูดจาโอเวอร์เป็นนิสัย

ใช่ว่าวราลีไม่รู้สึกผิดที่ปล่อยให้มารดาเป็นหนักขนาดนี้ แถมน้องชายยังเป็นคนพามารดามาส่งโรงพยาบาล แทนที่ควรจะเป็นหน้าที่ของลูกสาวคนโตอย่างหล่อน…แต่สำหรับวราลีแล้ว ภาระหน้าที่ที่โรงเรียนก็สำคัญไม่แพ้กัน



********************

ทักทายรีดเดอร์จ้า^^ งานหนังสือครั้งนี้ถึงแม้รันจะไม่มีงานออกใหม่ แต่ก็ลงนิยายให้อ่านชดเชยนะ แก้ตัว55555+ เนื้อเรื่องช่วงนี้ยังแรกๆ เป็นการปูเรื่องให้รู้จักตัวละครกันก่อนค่ะ อรรถรสซ่อนอยู่ในความสัมพันธ์ ฮี่ๆ ไปแระ เม้น+ให้กำลังใจกันได้นะคะ



สรัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 มี.ค. 2559, 16:18:53 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 มี.ค. 2559, 16:18:53 น.

จำนวนการเข้าชม : 935





<< บทนำ   บทที่ 1---50% >>
Zephyr 13 เม.ย. 2559, 18:19:48 น.
ทำไมน้องต้องโกรธขนาดนี้
แล้วนางมีอะไรให้ไปหาช้าขนาดนั้นกัน


สรัน 21 เม.ย. 2559, 14:51:59 น.
คุณ Zephyr โฉบมาอ่านเมื่อไหร่ น่ารักมากมาย กอดๆ
วรเมธเหวี่ยงใส่พี่สาวตลอดเว 55555555 ลึกๆในใจนาง อุๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account