คืนค่ำร่ำพิศวาส
สองผีพี่น้อง เลวิส... แวมไพร์(ผีดูดเลือด) ลมเหนือ... ผีเฮี้ยน! อยู่ตึกผีสิง VS กาฬวาร... เด็กสาวยากจนเป็นสาวพรหมจรรย์ มีพลังจิตบริสุทธิ์ เธอช่วยพวกเขากลับเป็นมนุษย์ กลายเป็นเพื่อนบริสุทธิ์ใจต่อกัน สองพี่น้องต่างบิดาแต่รักกันมาก เวลาผ่านไปเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ได้เจอเธออีกหนต่างหลงรักผู้หญิงคนเดียวกัน...เลือกรักไม่ได้หนึ่งหญิงสองชาย (อยากเก็บเธอไว้ทั้งสองคน)
Tags: หวานแหวว, ซึ้ง, รักแฟนตาซี, ไตรติมา, ผี, แวมไพร์, ตลก, หล่อ, โรแมนติค,
ตอน: ตอน 11
______________________...oooooOOOooooo...______________________... ตอน ๑๑
............เลวิสตื่นนอนตอนหัวค่ำ หลังทุกคนรับประทานอาหารเย็นแล้ว มีสิ่งที่นึกได้คือ... เขาต้องถามแม่
“แม่... ผมเห็นวิญญาณฮคคุแล้วครับ ตอนคุยกับกาฬ พูดว่าเราแต่งงานกันในวันที่ฉันไม่มีชีวิตแล้ว แล้วกาฬพูดว่าฉันแต่งงานกับสามีที่ตายแล้ว และทำท่าเหมือนจะร้องไห้ ผมไม่เข้าใจเรื่องของเขาสองคน เป็นแฟนกันยังไง จีบกันยังไง”
คุณมิลินให้ตื่นเต้นกับเรื่องที่ลูกชายเล่าว่าเห็นวิญญาณลมเหนือ
“ไม่น่าเชื่อ... เลวิสเห็นวิญญาณของน้อง? ที่แม่ให้กาฬกับเหนือแต่งงานกัน เพราะเหนือมาเข้าฝันแม่กับยาย ขอร้องให้จัดงานแต่งงานกับวิญญาณของเหนือ เพื่อให้กาฬเข้ามาอยู่ด้วยที่นี่ เพื่อเป็นเพื่อนเหนือ เพราะกาฬมองเห็นวิญญาณเหนือ ช่วยเหลือเหนือได้ และอีกอย่างที่แม่ยอมรับกาฬ เพราะกาฬเป็นเด็กดี ไม่เคยคบเพื่อนผู้ชาย แต่เหนือกับกาฬไม่เคยจีบกัน ไม่เคยคบหากันแบบแฟนมาก่อน”
“อย่างนั้นหมายความว่ากาฬยังเป็นเวอร์จิ้นเกิร์ล” เลวิส จู่ ๆ ให้เกิดนึกเฉลียวใจ ซึ่งแต่แรกแค่อยากรู้เรื่องราวเขาสองคน ไม่คาดหวังว่า... อาจจะได้เจอที่สุดแห่งการค้นหา!
“แม่ว่าน่าจะเป็น... คงยังไม่มีอะไรกับเหนือหรอก”
‘ถ้าอยากรู้ละเอียด คงต้องถามเจ้าตัว จริงสิ... พ่อเคยสอนวิธีสแกนจิตรู้อดีต เพียงแค่สัมผัสจับต้องคนคนนั้น’
เลวิสฉุกคิดขึ้นมาได้ จึงปลีกตัวจากแม่ของตน
............กาฬวารเดินเล่นในสวนหลังตึกใหญ่ จู่ ๆ โดนเลวิสคว้าข้อมือ ดึงไปแนบกลางระหว่างหน้าอกของเขา
“เอ๊ะ! มาจับมือฉันทำไม” กาฬวารเสียงดังทักท้วง
‘รึนี่เขาคิดจะลวนลามเรา’
“ไม่ใช่อย่างที่เธอคิด ฉันแค่อยากรู้... ถ้ายอมให้ฉันจับมือเธอเป็นสื่อ ฉันสามารถล่วงรู้ความหลัง เธอปิดบังอะไรฉันไม่ได้หรอก กล้ายอมให้ฉันจับไหมล่ะ”
“ฉันไม่มีอะไรต้องปิดบัง เชิญเถอะท่านผู้มีญาณวิเศษ” กาฬวารเชื่อมั่นตัวเอง ไม่เคยมีอดีตเลวร้าย ไม่จำเป็นต้องหวั่นเกรง หรือหวาดกลัวใครมาล่วงรู้เรื่องราวความหลัง แต่เธอกลับหาได้ล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริงของเลวิสไม่ นึกว่าเขาเป็นมนุษย์ ผู้มีพลังจิตพิเศษ
ภาพความทรงจำในมุมมองของกาฬวาร ไหลหลั่งพรั่งพรู... เข้ามาสู่ขอบเขตการรับรู้แห่งจิตของเลวิส เต็มไปด้วยพลังแรงเร็ว เรียงลำดับจากเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิด ย้อนลึกเข้าไปยังเหตุการณ์ที่เก่ายิ่งขึ้นเรื่อย...
เริ่มแรก... เห็นแสงสว่างไสวเจิดจ้า สีขาวสะอาดบริสุทธิ์ อยู่ท่ามกลางความกว้างใหญ่ไพศาลอย่างไร้ขอบเขตอันอนันตกาล ราวกับหลุดเข้าไปยังโลกไร้ความมืด ไม่มีกลางคืนหรือกลางวัน ความรู้สึกบางเบา ราวกับจะเหาะเหินเดินไปในอากาศได้ สัมผัสได้ถึงพลังในทางบวก ให้ความสุข แช่มชื่นใจอย่างไม่เคยสัมผัสมาก่อน และเขารู้แล้วว่าเธอมีพลังจิตเหนือผู้หญิงที่เขาเคยผ่านพบมา
...ค่อยย้อนไปในอดีตก่อนหน้านั้นอีก มโนภาพผุดเข้ามาเป็นพิธีวิวาห์ กาฬวารนั่งรับน้ำสังข์เคียงข้างเจ้าบ่าว... ไม่ใช่คน! หากแต่เป็นหุ่นนายแบบถูกจัดอยู่ในท่านั่ง สายตาเธอมองไปที่วิญญาณลมเหนือ ซึ่งจ้องมองเธอด้วยสายตาพึงพอใจ นั่นเองดึงความสนใจเลวิส ทำให้เขาต้องหันกลับมาเพ่งมองเจ้าสาวในชุดสีขาว เธอสวยมาก... เรียกได้ว่าสวยที่สุดยิ่งกว่าสาวทุกคนที่มาในงาน จู่ ๆ เกิดใจเต้นขึ้นมา เลยเสียสมาธิไปชั่วครู่ เผลอลืมตามอง...
กาฬวารกำลังแหงนหน้ามองมาเช่นกัน และกระพริบตาปริบ ๆ สายตามีคำถาม
“เห็นอะไรบ้าง”
“เธอไม่ได้แต่งงานจริง เจ้าบ่าวไม่ใช่คนจริง ฉันเห็นวิญญาณฮคคุ ยืนอยู่ใกล้เธอ เธอใส่ชุดเจ้าสาว แล้วดูสวยที่สุด”
จากคำชม กาฬวารเลยก้มหน้าหลบสายตา ด้วยเกิดความเขินขึ้นมา จะดึงแขนตัวเองกลับ แต่เลวิสกลับยื้อข้อมือเธอไว้แนบแน่นอยู่กับแผ่นอกกว้างใหญ่ของเขา
“เมื่อไหร่จะปล่อยมือฉัน” เธอถาม ขณะช้อนสายตาขึ้นมองตาเลวิส ซึ่งเขาเริ่มพึงพอใจในตัวเธอ จึงส่งสายตาหวานซึ้งให้ เธอเลยเขินไปอีกรอบหนึ่ง ก้มหน้าหลบสายตา ปล่อยให้เขาจับมือเธอต่อไป
“เพิ่งดูไปได้นิดเดียว ขอดูย้อนไปให้มากกว่านี้อีก” จากนั้นเขาหลับตา ย้อนดูผู้ชายคนอื่น ๆ ที่เข้ามาพัวพันในชีวิต เห็นทั้งคนที่เข้ามาจีบ คนที่ลวนลาม และแม้แต่น้องชายของเขา ยังเคยคิดไม่ซื่อต่อเธอด้วย แต่ไม่เคยมีคนไหนได้มีความสัมพันธ์เกินเลย ถึงขั้นทำให้เธอเสียความบริสุทธิ์
...ความยินดีอย่างประหลาดผุดขึ้นท่ามกลางกระแสจิตที่กำลังเพ่งสมาธิย้อนดูอดีต ...ย้อนเวลาผ่านไปไกลอีก
เห็นกาฬวารนั่งอยู่ท่ามกลางมวลหมู่ผู้หญิงในชุดนุ่งขาวห่มขาว นั่งเรียงรายกันเป็นแถวเป็นแนว พนมมือพร้อมกัน ไหว้พระพุทธรูป มีแม่ชีผู้นำสวดมนต์
“หลังจากสวดมนต์จบแล้ว เราจงมาสร้างบุญกุศลยิ่งใหญ่คือ การทำสมาธิเพื่อลดละกิเลส” ผู้นำแม่ชี เป็นเพียงคนเดียวที่โกนผม โกนคิ้ว เป็นผู้สอนการปฏิบัติกรรมฐาน...
ผู้หญิงชุดขาวทั้งหลายต่างทำตาม นั่งนิ่งสงบหลับตาอยู่ในท่าขัดสมาธิเพชร ด้วยบุญกุศลที่สั่งสมมานานข้ามภพชาติเคยปฏิบัติมา ทำให้ดวงจิตของกาฬวารหลุดพ้นขึ้นมาสู่ทางแห่งแสงสว่างวาบวาวโรจน์ แสงรัศมีเปล่งออกจากร่าง เลวิสสัมผัสได้ การวาฬสำเร็จสมาธิในคราวนั้น
หลังจากเลิกปฏิบัติกรรมฐาน จึงได้พูดคุยกับแม่ชีผู้สอน
“เห็นแสงสว่างแล้วใช่ไหมกาฬวาร”
“เห็นแล้วค่ะ รู้สึกจิตใจเป็นสุขมาก แล้วสิ่งที่เห็นคืออะไรคะ”
“ในการปฏิบัติกรรมฐานมีความสงบอยู่สามระดับ หนึ่ง ขณิกสมาธิ คือสมาธิชั่วขณะ เป็นความสงบขั้นต้นในการภาวนา สอง อุปจารสมาธิ คือสมาธิเฉียดฌาน จวนจะแน่วแน่ ระงับนิวรณ์ทั้งห้าได้ คือระงับกิเลสที่มากระทบทั้งรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส แต่ยังไม่เสถียรเสียทีเดียว สาม อัปปนาสมาธิ คือขั้นที่จิตตั้งมั่นอย่างสนิทแน่วแน่ ตัดอารมณ์ทั้งปวงขาดสิ้น เข้ารวมกำลังสติ สมาธิและปัญญาให้มีกำลังสมบูรณ์ผ่องใส สว่างแจ่มใสอยู่โดยลำพังดวงเดียว ไม่เกาะเกี่ยวด้วยอุปาทานใด เป็นสมาธิระดับสูงสุด ซึ่งมีในฌานทั้งหลาย สิ่งที่กาฬวารเห็นนั้นเป็นปฐมฌาน หากขยันหมั่นฝึกฝนต่อไปเรื่อย จะได้ความรู้พิเศษเกิดจากฌานคือ อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้ต่าง ๆ ทิพยโสต มีหูทิพย์ เจโตปริยญาณ หยั่งรู้จิตใจของผู้อื่น บุพเพนิวาสญาณ ระลึกชาติหนหลังได้ ทิพยจักขุ มีตาทิพย์ เป็นต้น ซึ่งเกิดขึ้นเฉพาะผู้มีอุปนิสัยวาสนาเท่านั้น หากไม่ขยันฝึกฝนฌานอาจจะเสื่อมสลายได้ เพราะยังเป็นโลกียฌานไม่มั่นคง ยังไม่หลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิด” แม่ชีกรุณาอธิบายให้ฟัง
กาฬวารเกิดความปิติยินดี และศรัทธาจิตเปี่ยมล้น
“หนูจะตั้งใจฝึกปฏิบัติกรรมฐานต่อไปไม่มีวันหยุดค่ะ”
“ดีแล้วล่ะกาฬวาร จำไว้ว่าผู้ประหารกิเลสได้ จิตจึงสะอาด ย่อมเปล่งแสงแห่งพลังความบริสุทธิ์สีขาวเรืองรอง และในทางพระจะไม่ประกาศตัวว่าได้ขั้นไหน เพราะผิดวินัยพระ ถึงแม้เราไม่ใช่พระ ก็ไม่สมควรอวดตัวนะกาฬ เพราะมีทั้งผู้ที่เชื่อถือ ทั้งผู้ที่ไม่เชื่อ มันเป็นเรื่องที่รู้ได้เฉพาะตัว” แม่ชีให้คำแนะนำ
“หนูจะจำไว้ค่ะ จะไม่คุยโอ้อวด”
ดวงตาเลวิสสว่างวาบไปด้วยแสงสีเหลืองส่องประกายออกจากนัยน์ตาชั่วครู่หนึ่ง เพิ่งรู้ซึ้ง... เข้าใจในความหมายที่ผู้นำแม่ชีกล่าวกับกาฬวารในตอนนั้น
‘ผู้ประหารกิเลส จิตสะอาด ย่อมเปล่งแสงแห่งพลังความบริสุทธิ์สีขาวเรืองรอง’
แล้วนั่นทำให้เลวิสเกิดนึกถึงความหมายคำว่า ‘เพชฌฆาต’ ในทางคุณธรรมนั้นไม่ได้ไปฆ่าใคร แต่คือผู้มีใจแน่วแน่ฆ่ากิเลสในใจตัวเอง ยากนักที่มนุษย์ธรรมดาจะละกิเลสได้ นับว่าผู้หญิงอย่างกาฬวารนั้นค่อนข้างหายากทีเดียว
“เมื่อย...” กาฬวารบ่น หลังดูเวลาจากนาฬิกาติดผนังหน้าตึกเล็ก เป็นเวลาครึ่งชั่วโมงที่เขาจับกุมมือ ให้ยกค้างอยู่อย่างนาน ถ้าหากใครมาเห็นเขาและเธอขณะถูกนำมือไปแนบอก อาจเข้าใจผิดจนพากันคิดอะไรไปใหญ่โต และตัวเธออาจจะโดนนินทาว่าร้าย
แต่เลวิสยังจิตจดจ่ออยู่ จึงไม่ได้ยินเสียงบ่น...
“เมื่อยแล้วนะ เมื่อไรจะปล่อยมือซะที” กาฬวารส่งเสียงดัง ยังผลให้เลวิสรู้ตัว แต่ยังมิได้มีการปล่อยมือแต่ประการใด
“ขอโทษ... นานไปหน่อย ขอบคุณที่ให้จับมือ” เลวิสพูดออกมา ไม่รู้ว่าอยู่ในอารมณ์ไหน จนเขาบอกประโยคต่อมา... “แต่มือเธอนุ่มนิ่มอบอุ่นดี แถมหอมด้วยนะ” พร้อมรอยยิ้มหว่านเสน่ห์ เขาฉวยมือเธอยกขึ้นสูงอีกนิด ก้มตัวเองลงมาอีกหน่อย ทำเป็นหอมชื่นใจใช้จมูกดอมดมมือน้อย ๆ ของเธอ
“ต่อไปเธอจะชอบฉัน”
พอสิ้นคำของเลวิส กาฬวารรีบดึงมือตัวเองออกจากการถูกจับกุม ใจข้างในวอกแวกไปชั่ววูบ แต่กลับสำรวมจิตได้ทัน จึงปั้นหน้าเอ่ยราตรีสวัสดิ์
“ฉันง่วงแล้ว ขอตัวไปนอนค่ะ” กาฬวารเดินหนีจากไป
ทิ้งให้เลวิสคิดกระหยิ่มใจ จนพูดออกมากับตัวเองเบา ๆ
“คนหล่อมาขอจับมือ ใครล่ะจะไม่จิตใจไหวหวั่น”
วิญญาณลมเหนือจับจ้องดูอยู่อย่างไม่สบอารมณ์
“กาฬวารเป็นของฉัน อย่ายุ่ง...” ว่าแล้ว และอดรนทนไม่ได้ต้องแผลงฤทธิ์ แปลงเป็นแมวดำเกาะเกี่ยวกิ่งไม้ โหนตัวหัวห้อย ทำอาการขยายยืดตัวออก จนมีขนาดใหญ่เท่าเสือดำ ดวงตาทั้งสองข้างส่องประกายแสงสีแดงโรจน์ ตีนเสือดำตวัดไล่ไขว่คว้า ประสงค์ร้ายหมายให้บาดเจ็บ กางกรงเล็บยาวเป็นใบมีดปลายแหลมคมกริบทุกกรงเล็บ ส่งเสียงเยี่ยงเสือดำ ขู่คำรามกึกก้องอย่างแหลมปรี๊ด เสียดแทงเข้าไปถึงในใจกลางโสตประสาท
“โฮกกกก... หง้าววว...”
กวัดไกวข่วนเฉียดเฉี่ยวใบหน้าของเลวิสไปมา ...น่าหวาดเสียวยิ่ง
“เฮ้ย! ผีหลอก ไอ้น้องผีขี้หึง จ๊ากกก...” เสียงเลวิสกรีดร้องดังลั่น ฉับพลันหายวับ กลับกลายร่างเป็นค้างคาว บินหนีหาย... กลืนไปในความมืด
ชาวบ้านละแวกใกล้เรือนเคียงต่างได้ยินเสียงกันถ้วนทั่วทุกตัวคน ไม่มีใครกล้าเสนอหน้าว่าอยากเห็น... ผี!
...ยิ่งมีเสียงคลอของสุนัขเห่าหอนอย่างโหยหวนรับส่งต่อกันเป็นทอด ๆ กระแสเสียงเยือกเย็นเข้าถึงไขสันหลังลอยไปพร้อมกับสายลมกรรโชก หมู่ต้นไม้ทิวไผ่น้อยใหญ่ช่วยกันเขย่าโยกไหวอย่างกับกองทัพผีออกอาละวาด... ทำให้สยองขวัญหวาดกลัว มันยิ่งกว่าชวนขนหัวลุกเสียอีก เป็นเหตุให้ถนนที่ผ่านหน้าบ้านโองาว่านั้นร้างสัญจร...
............ตอนนี้เลวิสรู้แล้วว่ากาฬวารเป็นสาวพรหมจรรย์ มีพลังจิตบริสุทธิ์ เหลืออีกเพียงอย่างเดียวที่อยากรู้ เธอเกิดในเวลาที่เรียกว่าฤกษ์เพชฌฆาตหรือไม่? และเพื่อให้ได้รู้ เลวิสจึงมีธุระกับยายเพียรด้วย แม้มืดค่ำยังไปหาถึงหน้าห้อง
“ยายครับ กาฬเกิดวันเดือนปีอะไร เกิดเวลากี่โมง ยายช่วยจดใส่เศษกระดาษให้ผมหน่อยนะครับ”
“ถามทำไมล่ะคะ คุณเลวิส”
“ผมจะให้หมอดู ดูดวงให้กาฬ” เขาตอบ ยื่นกระดาษโน้ตแผ่นเล็กที่เตรียมมาพร้อมทั้งปากกา ส่งให้ยายเพียรรับไป แล้วจดให้ตามความต้องการของเขา
เวลาสองทุ่มกว่า... เลวิสนำวันเดือนปีเกิดและเวลาตกฟากของกาฬวารไปให้หมอดู
“ช่วยดูดวงผู้หญิงคนนี้ให้ผมหน่อยครับ จดวันเดือนปีมาให้แล้วกับเงินค่าดูดวงด้วย” เลวิสส่งแบงค์สีม่วงให้ พร้อมกระดาษโน้ต หมอดูรับไปคำนวณ แล้วเอ่ยคำทำนาย...
“ดวงดี มีบุญวาสนาสูง ได้คู่ครองดี แต่มีคู่ครองสองคน”
“ผมแค่อยากรู้ว่าฤกษ์ที่เกิดคืออะไร” เลวิสรีบพูดตัดบท เขาใจร้อนอยากรู้ให้ตรงจุด โดยไม่สนใจรายละเอียดปลีกย่อย
“อ๋อ... เกิด... ฤกษ์เพชฌฆาต”
“ฤกษ์เพชฌฆาต แน่เหรอครับ ดูให้แน่นะครับ”
“แน่นอน เกิดช่วงเวลานี้อยู่ในฤกษ์เพชฌฆาต ...แน่นอน” หมอดูตอบ ย้ำให้เขาแน่ใจ
“ขอบคุณครับ บ๊าย บาย...”
“อ้าว... แล้วไม่ฟังคำทำนายต่อแล้วหรือ” หมอดูถามด้วยท่าทาง... งงงวย เมื่อเห็นเด็กหนุ่มรีบร้อนกลับออกไป
‘พบแล้ว... สาวพรหมจรรย์ มีพลังจิตบริสุทธิ์ เกิดในฤกษ์เพชฌฆาต’
เลวิสในร่างค้างคาวสีดำตัวเล็ก คิดได้ทันทีว่าเขาจะทำอะไรต่อ...
ค้างคาวดำบินตรงเข้าไปในห้องนอนของกาฬวาร แล้วกลับกลายคืนร่างเดิม
สาววัยรุ่นกำลังหลับสนิทบนเตียงนอนสีขาว เขาไม่คิดจะปลุกเธอ แล้วเกิดนึกหวาดกลัววิญญาณลมเหนือ
“ต้องสร้างม่านพลังจิตพรางตา ไม่ให้มีใครเห็นทุกสิ่งภายในห้องนี้ พรางตาให้ดูเหมือนห้องว่างเปล่าไม่มีคนอยู่” เขาพูดกับตัวเอง
แวมไพร์ผู้มีพลังพิเศษมิใช่พ่อมด ไม่ต้องท่องคาถาใด การสร้างม่านพลังจิตพรางตานั้น เลวิสใช้เพ่งพลังจิต วาดฝ่ามือไปโดยรอบภายในห้อง บังเกิดม่านอากาศ... ซึ่งม่านนี้มองไม่เห็นด้วยดวงตามนุษย์และดวงตาของวิญญาณ ...สำเร็จ!
“ต้องดื่มเลือดเธอ...” เลวิสย้ำบอกตัวเอง แล้วเกิดความรู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมาพร้อมกัน
มองเรือนร่างเล็กบางเพรียว พลางลงนั่งบนเตียงข้าง ๆ ร่างเธออยู่ในชุดนอนผ้าลูกไม้บาง กระโปรงสั้นเหนือเข่า รูปร่างสมส่วน ผิวพรรณค่อนข้างขาว พิศดูวงหน้าเนียนนวล คิ้วเข้ม หลับตาพริ้ม ขนตาดำดกเป็นแพและยาวงอน จมูกเชิดขึ้นนิด ๆ ปากเล็ก เรียวปากอิ่มหนาเท่ากันทั้งริมฝีปากล่างและบน ...ยิ่งพินิจยิ่งคิดถูกใจในดวงหน้างดงาม
‘ดู ๆ ไป เธอนี่สวย... น่าจูบ’
ปลายนิ้วมือของเขาแตะเรียวปากเล็กนั้นไล้ไปมาเพียงแผ่ว ยังไม่อยากทำเธอรู้สึกตัวตื่น อยากชมความสวยงามของเธอให้นานกว่านี้ ในขณะที่ดวงจิตเริ่มเกิดพิศวาส ใคร่สัมผัสลูบไล้ผิวพรรณที่นุ่มนิ่มและอบอุ่น จับที่หัวไหล่และแขนคลึงเคล้าเบา ๆ ความต้องการพลุ่งพล่านขึ้นมาท่วมท้นทันที
“นี่เราจะทำอะไรเธอ? ...ไม่ได้นะ เธอจะเสียความบริสุทธิ์ เราเองจะหมดโอกาสกลับเป็นมนุษย์อีก” บอกเตือนสติตัวเอง ก่อนจะเผลอไผลไปไกล แล้วจึงรามือจากตัวเธอ
ในขณะนั้น กาฬวารเริ่มขยับร่าง... กำลังจะตื่นขึ้นมา
“เอ๊ะ! คุณเลวิสเข้ามาในห้องนี้ได้ยังไง” กาฬวารถาม ทันทีที่ตื่นลืมตาเห็นหน้าเลวิส เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นท้องฟ้ามืดสนิท ประตูยังคงปิด มีเพียงหน้าต่างบานเดียวที่เธอเคยแง้มไว้เล็กน้อย จึงเป็นเหตุให้เธอคาดเดาว่าเขาอาจปีนเข้ามาทางหน้าต่างบานนั้น
“คุณเลวิสคิดจะทำอะไรฉัน” กาฬวารถาม ด้วยนึกหวั่นกลัวสถานการณ์ผิดปกตินี้ขึ้นมา
“ไม่ต้องกลัว... ฉันจะไม่ทำอะไรเธอ” เลวิสบอก
แต่แววตาที่มองมา... ไม่ใช่อย่างปากว่าเสียทีเดียว บัดนี้เธอกอดตัวเองปกปิดหน้าอก อยากหลบหนีสายตาที่เขาจ้องมอง ด้วยสัญชาตญาณของลูกผู้หญิงรู้ว่าเด็กหนุ่มอย่างเขามีความปรารถนาในเรือนร่างเธอ นั่นทำให้ใจเธอเต้นรัว... ทั้งกลัวหวั่นหวาด แล้วก็...
“เธอ... พิศวาสฉัน ฉันจับความรู้สึกเธอได้” เลวิสจับแขนกาฬวาร จ้องมองนัยน์ตาหยั่งรู้จิตใจของเธอ
แต่เธอเบือนหน้า เลี่ยงหลบก้มหน้าหนี รีบเตือนสติตนเอง และควบคุมความรู้สึกนึกคิดจิตใจภายในให้ค่อยสงบลง
‘ไม่ได้นะ เราจะเสียพลังสมาธิ กำจัดกิเลสในใจเดี๋ยวนี้...’
“ความรู้สึกนั้น... หายไปแล้ว เธอทำใจได้ไว จิตใจอ่อนไหวเปลี่ยนแปรเร็ว จิตใจไม่สะสมความรัก”
“ปล่อยฉันไปเถอะ อย่าทำอะไรฉันเลย ขอร้อง...”
“อย่ากลัวเลย ฉันจะไม่ทำลายความบริสุทธิ์เธอ เพราะนั่นสำคัญเท่าชีวิตฉัน”
“สำคัญยังไง”
“ฉันพบแล้ว เวอร์จิ้นเกิร์ล เกิดในฤกษ์เพชฌฆาตที่แท้คือเธอ กาฬ... เธอเท่านั้นช่วยฉันได้”
“แล้วฉันจะช่วยได้ยังไง”
“ฉันต้องได้ดื่มเลือดเธอ”
“ว้าย! ... หรือว่าคุณเลวิส... ไม่ใช่มนุษย์” กาฬวารตกใจมาก ร้องอุทานเสียงหลง สะบัดแขนวิ่งหนีลงจากเตียง ตรงไปที่หน้าประตูรีบหมุนลูกบิด แต่ประตูกลับไม่เปิด ไม่สามารถออกจากห้องนี้ไปได้
“ฉันใช้มนต์สะกดล็อคประตูห้อง เธอออกไปไม่ได้หรอก ...ที่เธอคิดถูกแล้วฉันไม่ใช่มนุษย์ เป็นแวมไพร์ แต่ฉันจะไม่กัดกินเธอ จะทำเธอตายไม่ได้ เธอต้องมีชีวิตถึงจะช่วยฉันได้” เขาบอก รู้ตัวว่าเธอกลัวจนลนลาน จึงรักษาระยะห่างไว้ ไม่เข้าใกล้... ซึ่งจะทำให้เธอยิ่งเสียขวัญ
กระนั้นกาฬวารยังเสียงสั่น... แข็งใจเอ่ยถาม
“ผี... ผีดูดเลือดอย่างนั้นเหรอ”
“ใช่... ฉันต้องดื่มเลือดเธอคนเดียวเท่านั้น ต้องเป็นเธอถึงมีเลือดที่ผสมพลังจิตบริสุทธิ์ ล้างเลือดแวมไพร์ในตัวฉันได้”
“ฉันต้องตายแน่ ๆ ถ้าถูกดูดเลือด”
“ไม่... เธอต้องไม่ตาย ฉันจะไม่ทำเธอตาย เพียงแต่ตอนนี้ยังคิดไม่ออก จะทำยังไงกับเธอ...”
“ถ้าคุณเลวิสยังคิดไม่ออก บางทีถ้าถามคุณเหนือ เขาอาจช่วยคิดเรื่องนี้ได้”
“ให้ไปถามผี? ...ไม่ไหว ฉันกลัวผีหลอก” เลวิสรีบปฏิเสธทันที
“ฉันจะเป็นคนไปปรึกษาคุณเหนือเอง แล้วมาบอกคุณเลวิส”
ดังนั้นเลวิสจึงคลายสะกดม่านพลังจิตพรางตา เดินกลับออกไป รอฟังผล...
............วิญญาณลมเหนือปรากฏร่างทันทีที่เขาเข้ามายังห้องนอน
“กาฬ... เมื่อกี้เธอหายไปไหน”
“ฉันอยู่ที่นี่นี่นา แต่คุณเลวิสเข้ามาในนี้ บอกว่าฉันคือคนที่เขาตามหา เป็นคนที่จะช่วยให้เขาคืนชีวิตกลับเป็นมนุษย์เหมือนเดิม เขาต้องการดื่มเลือดฉัน เพื่อล้างเลือดแวมไพร์ในตัวเขา”
“เลวิสเป็นแวมไพร์อย่างนั้นเหรอ โธ่... พี่ชายฉันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง”
“เรื่องนั้น... ฉันไม่รู้หรอกค่ะ คุณเลวิสไม่ได้เล่าให้ฟัง เขาไม่กล้าทำอะไรฉัน เขากัดฉันไม่ได้ กลัวฉันตาย แต่เขาไม่รู้จะหาทางทำอย่างไร ถึงจะได้ดื่มเลือดฉัน”
“ถ้าใช้มีดกรีดเลือด จะเกิดบาดแผลต้องรักษา... และต้องทำการห้ามเลือด ถ้าห้ามเลือดแล้วเลือดไม่หยุดไหล จะทำให้เสียเลือดมาก ไม่ดีต่อร่างกายเลย มีอีกวิธี... คงต้องเจาะเลือดด้วยเข็มฉีดยา ถึงลดปริมาณการสูญเสียเลือด”
“จริงสิ ฉันเคยเห็นเขาบริจาคเลือด ใช้วิธีนั้นดีกว่า แต่ฉันเคยไปบริจาคเลือด พยาบาลไม่รับเจาะเลือด บอกว่าฉันน้ำหนักตัวน้อยเกินไป ไม่ได้มาตรฐาน แถมมีเม็ดเลือดขาวมากเกินด้วย เลยให้ยาบำรุงเลือดฉันมากิน”
.
______________________...oooooOOOooooo...______________________... ตอน ๑๑
............เลวิสตื่นนอนตอนหัวค่ำ หลังทุกคนรับประทานอาหารเย็นแล้ว มีสิ่งที่นึกได้คือ... เขาต้องถามแม่
“แม่... ผมเห็นวิญญาณฮคคุแล้วครับ ตอนคุยกับกาฬ พูดว่าเราแต่งงานกันในวันที่ฉันไม่มีชีวิตแล้ว แล้วกาฬพูดว่าฉันแต่งงานกับสามีที่ตายแล้ว และทำท่าเหมือนจะร้องไห้ ผมไม่เข้าใจเรื่องของเขาสองคน เป็นแฟนกันยังไง จีบกันยังไง”
คุณมิลินให้ตื่นเต้นกับเรื่องที่ลูกชายเล่าว่าเห็นวิญญาณลมเหนือ
“ไม่น่าเชื่อ... เลวิสเห็นวิญญาณของน้อง? ที่แม่ให้กาฬกับเหนือแต่งงานกัน เพราะเหนือมาเข้าฝันแม่กับยาย ขอร้องให้จัดงานแต่งงานกับวิญญาณของเหนือ เพื่อให้กาฬเข้ามาอยู่ด้วยที่นี่ เพื่อเป็นเพื่อนเหนือ เพราะกาฬมองเห็นวิญญาณเหนือ ช่วยเหลือเหนือได้ และอีกอย่างที่แม่ยอมรับกาฬ เพราะกาฬเป็นเด็กดี ไม่เคยคบเพื่อนผู้ชาย แต่เหนือกับกาฬไม่เคยจีบกัน ไม่เคยคบหากันแบบแฟนมาก่อน”
“อย่างนั้นหมายความว่ากาฬยังเป็นเวอร์จิ้นเกิร์ล” เลวิส จู่ ๆ ให้เกิดนึกเฉลียวใจ ซึ่งแต่แรกแค่อยากรู้เรื่องราวเขาสองคน ไม่คาดหวังว่า... อาจจะได้เจอที่สุดแห่งการค้นหา!
“แม่ว่าน่าจะเป็น... คงยังไม่มีอะไรกับเหนือหรอก”
‘ถ้าอยากรู้ละเอียด คงต้องถามเจ้าตัว จริงสิ... พ่อเคยสอนวิธีสแกนจิตรู้อดีต เพียงแค่สัมผัสจับต้องคนคนนั้น’
เลวิสฉุกคิดขึ้นมาได้ จึงปลีกตัวจากแม่ของตน
............กาฬวารเดินเล่นในสวนหลังตึกใหญ่ จู่ ๆ โดนเลวิสคว้าข้อมือ ดึงไปแนบกลางระหว่างหน้าอกของเขา
“เอ๊ะ! มาจับมือฉันทำไม” กาฬวารเสียงดังทักท้วง
‘รึนี่เขาคิดจะลวนลามเรา’
“ไม่ใช่อย่างที่เธอคิด ฉันแค่อยากรู้... ถ้ายอมให้ฉันจับมือเธอเป็นสื่อ ฉันสามารถล่วงรู้ความหลัง เธอปิดบังอะไรฉันไม่ได้หรอก กล้ายอมให้ฉันจับไหมล่ะ”
“ฉันไม่มีอะไรต้องปิดบัง เชิญเถอะท่านผู้มีญาณวิเศษ” กาฬวารเชื่อมั่นตัวเอง ไม่เคยมีอดีตเลวร้าย ไม่จำเป็นต้องหวั่นเกรง หรือหวาดกลัวใครมาล่วงรู้เรื่องราวความหลัง แต่เธอกลับหาได้ล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริงของเลวิสไม่ นึกว่าเขาเป็นมนุษย์ ผู้มีพลังจิตพิเศษ
ภาพความทรงจำในมุมมองของกาฬวาร ไหลหลั่งพรั่งพรู... เข้ามาสู่ขอบเขตการรับรู้แห่งจิตของเลวิส เต็มไปด้วยพลังแรงเร็ว เรียงลำดับจากเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิด ย้อนลึกเข้าไปยังเหตุการณ์ที่เก่ายิ่งขึ้นเรื่อย...
เริ่มแรก... เห็นแสงสว่างไสวเจิดจ้า สีขาวสะอาดบริสุทธิ์ อยู่ท่ามกลางความกว้างใหญ่ไพศาลอย่างไร้ขอบเขตอันอนันตกาล ราวกับหลุดเข้าไปยังโลกไร้ความมืด ไม่มีกลางคืนหรือกลางวัน ความรู้สึกบางเบา ราวกับจะเหาะเหินเดินไปในอากาศได้ สัมผัสได้ถึงพลังในทางบวก ให้ความสุข แช่มชื่นใจอย่างไม่เคยสัมผัสมาก่อน และเขารู้แล้วว่าเธอมีพลังจิตเหนือผู้หญิงที่เขาเคยผ่านพบมา
...ค่อยย้อนไปในอดีตก่อนหน้านั้นอีก มโนภาพผุดเข้ามาเป็นพิธีวิวาห์ กาฬวารนั่งรับน้ำสังข์เคียงข้างเจ้าบ่าว... ไม่ใช่คน! หากแต่เป็นหุ่นนายแบบถูกจัดอยู่ในท่านั่ง สายตาเธอมองไปที่วิญญาณลมเหนือ ซึ่งจ้องมองเธอด้วยสายตาพึงพอใจ นั่นเองดึงความสนใจเลวิส ทำให้เขาต้องหันกลับมาเพ่งมองเจ้าสาวในชุดสีขาว เธอสวยมาก... เรียกได้ว่าสวยที่สุดยิ่งกว่าสาวทุกคนที่มาในงาน จู่ ๆ เกิดใจเต้นขึ้นมา เลยเสียสมาธิไปชั่วครู่ เผลอลืมตามอง...
กาฬวารกำลังแหงนหน้ามองมาเช่นกัน และกระพริบตาปริบ ๆ สายตามีคำถาม
“เห็นอะไรบ้าง”
“เธอไม่ได้แต่งงานจริง เจ้าบ่าวไม่ใช่คนจริง ฉันเห็นวิญญาณฮคคุ ยืนอยู่ใกล้เธอ เธอใส่ชุดเจ้าสาว แล้วดูสวยที่สุด”
จากคำชม กาฬวารเลยก้มหน้าหลบสายตา ด้วยเกิดความเขินขึ้นมา จะดึงแขนตัวเองกลับ แต่เลวิสกลับยื้อข้อมือเธอไว้แนบแน่นอยู่กับแผ่นอกกว้างใหญ่ของเขา
“เมื่อไหร่จะปล่อยมือฉัน” เธอถาม ขณะช้อนสายตาขึ้นมองตาเลวิส ซึ่งเขาเริ่มพึงพอใจในตัวเธอ จึงส่งสายตาหวานซึ้งให้ เธอเลยเขินไปอีกรอบหนึ่ง ก้มหน้าหลบสายตา ปล่อยให้เขาจับมือเธอต่อไป
“เพิ่งดูไปได้นิดเดียว ขอดูย้อนไปให้มากกว่านี้อีก” จากนั้นเขาหลับตา ย้อนดูผู้ชายคนอื่น ๆ ที่เข้ามาพัวพันในชีวิต เห็นทั้งคนที่เข้ามาจีบ คนที่ลวนลาม และแม้แต่น้องชายของเขา ยังเคยคิดไม่ซื่อต่อเธอด้วย แต่ไม่เคยมีคนไหนได้มีความสัมพันธ์เกินเลย ถึงขั้นทำให้เธอเสียความบริสุทธิ์
...ความยินดีอย่างประหลาดผุดขึ้นท่ามกลางกระแสจิตที่กำลังเพ่งสมาธิย้อนดูอดีต ...ย้อนเวลาผ่านไปไกลอีก
เห็นกาฬวารนั่งอยู่ท่ามกลางมวลหมู่ผู้หญิงในชุดนุ่งขาวห่มขาว นั่งเรียงรายกันเป็นแถวเป็นแนว พนมมือพร้อมกัน ไหว้พระพุทธรูป มีแม่ชีผู้นำสวดมนต์
“หลังจากสวดมนต์จบแล้ว เราจงมาสร้างบุญกุศลยิ่งใหญ่คือ การทำสมาธิเพื่อลดละกิเลส” ผู้นำแม่ชี เป็นเพียงคนเดียวที่โกนผม โกนคิ้ว เป็นผู้สอนการปฏิบัติกรรมฐาน...
ผู้หญิงชุดขาวทั้งหลายต่างทำตาม นั่งนิ่งสงบหลับตาอยู่ในท่าขัดสมาธิเพชร ด้วยบุญกุศลที่สั่งสมมานานข้ามภพชาติเคยปฏิบัติมา ทำให้ดวงจิตของกาฬวารหลุดพ้นขึ้นมาสู่ทางแห่งแสงสว่างวาบวาวโรจน์ แสงรัศมีเปล่งออกจากร่าง เลวิสสัมผัสได้ การวาฬสำเร็จสมาธิในคราวนั้น
หลังจากเลิกปฏิบัติกรรมฐาน จึงได้พูดคุยกับแม่ชีผู้สอน
“เห็นแสงสว่างแล้วใช่ไหมกาฬวาร”
“เห็นแล้วค่ะ รู้สึกจิตใจเป็นสุขมาก แล้วสิ่งที่เห็นคืออะไรคะ”
“ในการปฏิบัติกรรมฐานมีความสงบอยู่สามระดับ หนึ่ง ขณิกสมาธิ คือสมาธิชั่วขณะ เป็นความสงบขั้นต้นในการภาวนา สอง อุปจารสมาธิ คือสมาธิเฉียดฌาน จวนจะแน่วแน่ ระงับนิวรณ์ทั้งห้าได้ คือระงับกิเลสที่มากระทบทั้งรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส แต่ยังไม่เสถียรเสียทีเดียว สาม อัปปนาสมาธิ คือขั้นที่จิตตั้งมั่นอย่างสนิทแน่วแน่ ตัดอารมณ์ทั้งปวงขาดสิ้น เข้ารวมกำลังสติ สมาธิและปัญญาให้มีกำลังสมบูรณ์ผ่องใส สว่างแจ่มใสอยู่โดยลำพังดวงเดียว ไม่เกาะเกี่ยวด้วยอุปาทานใด เป็นสมาธิระดับสูงสุด ซึ่งมีในฌานทั้งหลาย สิ่งที่กาฬวารเห็นนั้นเป็นปฐมฌาน หากขยันหมั่นฝึกฝนต่อไปเรื่อย จะได้ความรู้พิเศษเกิดจากฌานคือ อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้ต่าง ๆ ทิพยโสต มีหูทิพย์ เจโตปริยญาณ หยั่งรู้จิตใจของผู้อื่น บุพเพนิวาสญาณ ระลึกชาติหนหลังได้ ทิพยจักขุ มีตาทิพย์ เป็นต้น ซึ่งเกิดขึ้นเฉพาะผู้มีอุปนิสัยวาสนาเท่านั้น หากไม่ขยันฝึกฝนฌานอาจจะเสื่อมสลายได้ เพราะยังเป็นโลกียฌานไม่มั่นคง ยังไม่หลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิด” แม่ชีกรุณาอธิบายให้ฟัง
กาฬวารเกิดความปิติยินดี และศรัทธาจิตเปี่ยมล้น
“หนูจะตั้งใจฝึกปฏิบัติกรรมฐานต่อไปไม่มีวันหยุดค่ะ”
“ดีแล้วล่ะกาฬวาร จำไว้ว่าผู้ประหารกิเลสได้ จิตจึงสะอาด ย่อมเปล่งแสงแห่งพลังความบริสุทธิ์สีขาวเรืองรอง และในทางพระจะไม่ประกาศตัวว่าได้ขั้นไหน เพราะผิดวินัยพระ ถึงแม้เราไม่ใช่พระ ก็ไม่สมควรอวดตัวนะกาฬ เพราะมีทั้งผู้ที่เชื่อถือ ทั้งผู้ที่ไม่เชื่อ มันเป็นเรื่องที่รู้ได้เฉพาะตัว” แม่ชีให้คำแนะนำ
“หนูจะจำไว้ค่ะ จะไม่คุยโอ้อวด”
ดวงตาเลวิสสว่างวาบไปด้วยแสงสีเหลืองส่องประกายออกจากนัยน์ตาชั่วครู่หนึ่ง เพิ่งรู้ซึ้ง... เข้าใจในความหมายที่ผู้นำแม่ชีกล่าวกับกาฬวารในตอนนั้น
‘ผู้ประหารกิเลส จิตสะอาด ย่อมเปล่งแสงแห่งพลังความบริสุทธิ์สีขาวเรืองรอง’
แล้วนั่นทำให้เลวิสเกิดนึกถึงความหมายคำว่า ‘เพชฌฆาต’ ในทางคุณธรรมนั้นไม่ได้ไปฆ่าใคร แต่คือผู้มีใจแน่วแน่ฆ่ากิเลสในใจตัวเอง ยากนักที่มนุษย์ธรรมดาจะละกิเลสได้ นับว่าผู้หญิงอย่างกาฬวารนั้นค่อนข้างหายากทีเดียว
“เมื่อย...” กาฬวารบ่น หลังดูเวลาจากนาฬิกาติดผนังหน้าตึกเล็ก เป็นเวลาครึ่งชั่วโมงที่เขาจับกุมมือ ให้ยกค้างอยู่อย่างนาน ถ้าหากใครมาเห็นเขาและเธอขณะถูกนำมือไปแนบอก อาจเข้าใจผิดจนพากันคิดอะไรไปใหญ่โต และตัวเธออาจจะโดนนินทาว่าร้าย
แต่เลวิสยังจิตจดจ่ออยู่ จึงไม่ได้ยินเสียงบ่น...
“เมื่อยแล้วนะ เมื่อไรจะปล่อยมือซะที” กาฬวารส่งเสียงดัง ยังผลให้เลวิสรู้ตัว แต่ยังมิได้มีการปล่อยมือแต่ประการใด
“ขอโทษ... นานไปหน่อย ขอบคุณที่ให้จับมือ” เลวิสพูดออกมา ไม่รู้ว่าอยู่ในอารมณ์ไหน จนเขาบอกประโยคต่อมา... “แต่มือเธอนุ่มนิ่มอบอุ่นดี แถมหอมด้วยนะ” พร้อมรอยยิ้มหว่านเสน่ห์ เขาฉวยมือเธอยกขึ้นสูงอีกนิด ก้มตัวเองลงมาอีกหน่อย ทำเป็นหอมชื่นใจใช้จมูกดอมดมมือน้อย ๆ ของเธอ
“ต่อไปเธอจะชอบฉัน”
พอสิ้นคำของเลวิส กาฬวารรีบดึงมือตัวเองออกจากการถูกจับกุม ใจข้างในวอกแวกไปชั่ววูบ แต่กลับสำรวมจิตได้ทัน จึงปั้นหน้าเอ่ยราตรีสวัสดิ์
“ฉันง่วงแล้ว ขอตัวไปนอนค่ะ” กาฬวารเดินหนีจากไป
ทิ้งให้เลวิสคิดกระหยิ่มใจ จนพูดออกมากับตัวเองเบา ๆ
“คนหล่อมาขอจับมือ ใครล่ะจะไม่จิตใจไหวหวั่น”
วิญญาณลมเหนือจับจ้องดูอยู่อย่างไม่สบอารมณ์
“กาฬวารเป็นของฉัน อย่ายุ่ง...” ว่าแล้ว และอดรนทนไม่ได้ต้องแผลงฤทธิ์ แปลงเป็นแมวดำเกาะเกี่ยวกิ่งไม้ โหนตัวหัวห้อย ทำอาการขยายยืดตัวออก จนมีขนาดใหญ่เท่าเสือดำ ดวงตาทั้งสองข้างส่องประกายแสงสีแดงโรจน์ ตีนเสือดำตวัดไล่ไขว่คว้า ประสงค์ร้ายหมายให้บาดเจ็บ กางกรงเล็บยาวเป็นใบมีดปลายแหลมคมกริบทุกกรงเล็บ ส่งเสียงเยี่ยงเสือดำ ขู่คำรามกึกก้องอย่างแหลมปรี๊ด เสียดแทงเข้าไปถึงในใจกลางโสตประสาท
“โฮกกกก... หง้าววว...”
กวัดไกวข่วนเฉียดเฉี่ยวใบหน้าของเลวิสไปมา ...น่าหวาดเสียวยิ่ง
“เฮ้ย! ผีหลอก ไอ้น้องผีขี้หึง จ๊ากกก...” เสียงเลวิสกรีดร้องดังลั่น ฉับพลันหายวับ กลับกลายร่างเป็นค้างคาว บินหนีหาย... กลืนไปในความมืด
ชาวบ้านละแวกใกล้เรือนเคียงต่างได้ยินเสียงกันถ้วนทั่วทุกตัวคน ไม่มีใครกล้าเสนอหน้าว่าอยากเห็น... ผี!
...ยิ่งมีเสียงคลอของสุนัขเห่าหอนอย่างโหยหวนรับส่งต่อกันเป็นทอด ๆ กระแสเสียงเยือกเย็นเข้าถึงไขสันหลังลอยไปพร้อมกับสายลมกรรโชก หมู่ต้นไม้ทิวไผ่น้อยใหญ่ช่วยกันเขย่าโยกไหวอย่างกับกองทัพผีออกอาละวาด... ทำให้สยองขวัญหวาดกลัว มันยิ่งกว่าชวนขนหัวลุกเสียอีก เป็นเหตุให้ถนนที่ผ่านหน้าบ้านโองาว่านั้นร้างสัญจร...
............ตอนนี้เลวิสรู้แล้วว่ากาฬวารเป็นสาวพรหมจรรย์ มีพลังจิตบริสุทธิ์ เหลืออีกเพียงอย่างเดียวที่อยากรู้ เธอเกิดในเวลาที่เรียกว่าฤกษ์เพชฌฆาตหรือไม่? และเพื่อให้ได้รู้ เลวิสจึงมีธุระกับยายเพียรด้วย แม้มืดค่ำยังไปหาถึงหน้าห้อง
“ยายครับ กาฬเกิดวันเดือนปีอะไร เกิดเวลากี่โมง ยายช่วยจดใส่เศษกระดาษให้ผมหน่อยนะครับ”
“ถามทำไมล่ะคะ คุณเลวิส”
“ผมจะให้หมอดู ดูดวงให้กาฬ” เขาตอบ ยื่นกระดาษโน้ตแผ่นเล็กที่เตรียมมาพร้อมทั้งปากกา ส่งให้ยายเพียรรับไป แล้วจดให้ตามความต้องการของเขา
เวลาสองทุ่มกว่า... เลวิสนำวันเดือนปีเกิดและเวลาตกฟากของกาฬวารไปให้หมอดู
“ช่วยดูดวงผู้หญิงคนนี้ให้ผมหน่อยครับ จดวันเดือนปีมาให้แล้วกับเงินค่าดูดวงด้วย” เลวิสส่งแบงค์สีม่วงให้ พร้อมกระดาษโน้ต หมอดูรับไปคำนวณ แล้วเอ่ยคำทำนาย...
“ดวงดี มีบุญวาสนาสูง ได้คู่ครองดี แต่มีคู่ครองสองคน”
“ผมแค่อยากรู้ว่าฤกษ์ที่เกิดคืออะไร” เลวิสรีบพูดตัดบท เขาใจร้อนอยากรู้ให้ตรงจุด โดยไม่สนใจรายละเอียดปลีกย่อย
“อ๋อ... เกิด... ฤกษ์เพชฌฆาต”
“ฤกษ์เพชฌฆาต แน่เหรอครับ ดูให้แน่นะครับ”
“แน่นอน เกิดช่วงเวลานี้อยู่ในฤกษ์เพชฌฆาต ...แน่นอน” หมอดูตอบ ย้ำให้เขาแน่ใจ
“ขอบคุณครับ บ๊าย บาย...”
“อ้าว... แล้วไม่ฟังคำทำนายต่อแล้วหรือ” หมอดูถามด้วยท่าทาง... งงงวย เมื่อเห็นเด็กหนุ่มรีบร้อนกลับออกไป
‘พบแล้ว... สาวพรหมจรรย์ มีพลังจิตบริสุทธิ์ เกิดในฤกษ์เพชฌฆาต’
เลวิสในร่างค้างคาวสีดำตัวเล็ก คิดได้ทันทีว่าเขาจะทำอะไรต่อ...
ค้างคาวดำบินตรงเข้าไปในห้องนอนของกาฬวาร แล้วกลับกลายคืนร่างเดิม
สาววัยรุ่นกำลังหลับสนิทบนเตียงนอนสีขาว เขาไม่คิดจะปลุกเธอ แล้วเกิดนึกหวาดกลัววิญญาณลมเหนือ
“ต้องสร้างม่านพลังจิตพรางตา ไม่ให้มีใครเห็นทุกสิ่งภายในห้องนี้ พรางตาให้ดูเหมือนห้องว่างเปล่าไม่มีคนอยู่” เขาพูดกับตัวเอง
แวมไพร์ผู้มีพลังพิเศษมิใช่พ่อมด ไม่ต้องท่องคาถาใด การสร้างม่านพลังจิตพรางตานั้น เลวิสใช้เพ่งพลังจิต วาดฝ่ามือไปโดยรอบภายในห้อง บังเกิดม่านอากาศ... ซึ่งม่านนี้มองไม่เห็นด้วยดวงตามนุษย์และดวงตาของวิญญาณ ...สำเร็จ!
“ต้องดื่มเลือดเธอ...” เลวิสย้ำบอกตัวเอง แล้วเกิดความรู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมาพร้อมกัน
มองเรือนร่างเล็กบางเพรียว พลางลงนั่งบนเตียงข้าง ๆ ร่างเธออยู่ในชุดนอนผ้าลูกไม้บาง กระโปรงสั้นเหนือเข่า รูปร่างสมส่วน ผิวพรรณค่อนข้างขาว พิศดูวงหน้าเนียนนวล คิ้วเข้ม หลับตาพริ้ม ขนตาดำดกเป็นแพและยาวงอน จมูกเชิดขึ้นนิด ๆ ปากเล็ก เรียวปากอิ่มหนาเท่ากันทั้งริมฝีปากล่างและบน ...ยิ่งพินิจยิ่งคิดถูกใจในดวงหน้างดงาม
‘ดู ๆ ไป เธอนี่สวย... น่าจูบ’
ปลายนิ้วมือของเขาแตะเรียวปากเล็กนั้นไล้ไปมาเพียงแผ่ว ยังไม่อยากทำเธอรู้สึกตัวตื่น อยากชมความสวยงามของเธอให้นานกว่านี้ ในขณะที่ดวงจิตเริ่มเกิดพิศวาส ใคร่สัมผัสลูบไล้ผิวพรรณที่นุ่มนิ่มและอบอุ่น จับที่หัวไหล่และแขนคลึงเคล้าเบา ๆ ความต้องการพลุ่งพล่านขึ้นมาท่วมท้นทันที
“นี่เราจะทำอะไรเธอ? ...ไม่ได้นะ เธอจะเสียความบริสุทธิ์ เราเองจะหมดโอกาสกลับเป็นมนุษย์อีก” บอกเตือนสติตัวเอง ก่อนจะเผลอไผลไปไกล แล้วจึงรามือจากตัวเธอ
ในขณะนั้น กาฬวารเริ่มขยับร่าง... กำลังจะตื่นขึ้นมา
“เอ๊ะ! คุณเลวิสเข้ามาในห้องนี้ได้ยังไง” กาฬวารถาม ทันทีที่ตื่นลืมตาเห็นหน้าเลวิส เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นท้องฟ้ามืดสนิท ประตูยังคงปิด มีเพียงหน้าต่างบานเดียวที่เธอเคยแง้มไว้เล็กน้อย จึงเป็นเหตุให้เธอคาดเดาว่าเขาอาจปีนเข้ามาทางหน้าต่างบานนั้น
“คุณเลวิสคิดจะทำอะไรฉัน” กาฬวารถาม ด้วยนึกหวั่นกลัวสถานการณ์ผิดปกตินี้ขึ้นมา
“ไม่ต้องกลัว... ฉันจะไม่ทำอะไรเธอ” เลวิสบอก
แต่แววตาที่มองมา... ไม่ใช่อย่างปากว่าเสียทีเดียว บัดนี้เธอกอดตัวเองปกปิดหน้าอก อยากหลบหนีสายตาที่เขาจ้องมอง ด้วยสัญชาตญาณของลูกผู้หญิงรู้ว่าเด็กหนุ่มอย่างเขามีความปรารถนาในเรือนร่างเธอ นั่นทำให้ใจเธอเต้นรัว... ทั้งกลัวหวั่นหวาด แล้วก็...
“เธอ... พิศวาสฉัน ฉันจับความรู้สึกเธอได้” เลวิสจับแขนกาฬวาร จ้องมองนัยน์ตาหยั่งรู้จิตใจของเธอ
แต่เธอเบือนหน้า เลี่ยงหลบก้มหน้าหนี รีบเตือนสติตนเอง และควบคุมความรู้สึกนึกคิดจิตใจภายในให้ค่อยสงบลง
‘ไม่ได้นะ เราจะเสียพลังสมาธิ กำจัดกิเลสในใจเดี๋ยวนี้...’
“ความรู้สึกนั้น... หายไปแล้ว เธอทำใจได้ไว จิตใจอ่อนไหวเปลี่ยนแปรเร็ว จิตใจไม่สะสมความรัก”
“ปล่อยฉันไปเถอะ อย่าทำอะไรฉันเลย ขอร้อง...”
“อย่ากลัวเลย ฉันจะไม่ทำลายความบริสุทธิ์เธอ เพราะนั่นสำคัญเท่าชีวิตฉัน”
“สำคัญยังไง”
“ฉันพบแล้ว เวอร์จิ้นเกิร์ล เกิดในฤกษ์เพชฌฆาตที่แท้คือเธอ กาฬ... เธอเท่านั้นช่วยฉันได้”
“แล้วฉันจะช่วยได้ยังไง”
“ฉันต้องได้ดื่มเลือดเธอ”
“ว้าย! ... หรือว่าคุณเลวิส... ไม่ใช่มนุษย์” กาฬวารตกใจมาก ร้องอุทานเสียงหลง สะบัดแขนวิ่งหนีลงจากเตียง ตรงไปที่หน้าประตูรีบหมุนลูกบิด แต่ประตูกลับไม่เปิด ไม่สามารถออกจากห้องนี้ไปได้
“ฉันใช้มนต์สะกดล็อคประตูห้อง เธอออกไปไม่ได้หรอก ...ที่เธอคิดถูกแล้วฉันไม่ใช่มนุษย์ เป็นแวมไพร์ แต่ฉันจะไม่กัดกินเธอ จะทำเธอตายไม่ได้ เธอต้องมีชีวิตถึงจะช่วยฉันได้” เขาบอก รู้ตัวว่าเธอกลัวจนลนลาน จึงรักษาระยะห่างไว้ ไม่เข้าใกล้... ซึ่งจะทำให้เธอยิ่งเสียขวัญ
กระนั้นกาฬวารยังเสียงสั่น... แข็งใจเอ่ยถาม
“ผี... ผีดูดเลือดอย่างนั้นเหรอ”
“ใช่... ฉันต้องดื่มเลือดเธอคนเดียวเท่านั้น ต้องเป็นเธอถึงมีเลือดที่ผสมพลังจิตบริสุทธิ์ ล้างเลือดแวมไพร์ในตัวฉันได้”
“ฉันต้องตายแน่ ๆ ถ้าถูกดูดเลือด”
“ไม่... เธอต้องไม่ตาย ฉันจะไม่ทำเธอตาย เพียงแต่ตอนนี้ยังคิดไม่ออก จะทำยังไงกับเธอ...”
“ถ้าคุณเลวิสยังคิดไม่ออก บางทีถ้าถามคุณเหนือ เขาอาจช่วยคิดเรื่องนี้ได้”
“ให้ไปถามผี? ...ไม่ไหว ฉันกลัวผีหลอก” เลวิสรีบปฏิเสธทันที
“ฉันจะเป็นคนไปปรึกษาคุณเหนือเอง แล้วมาบอกคุณเลวิส”
ดังนั้นเลวิสจึงคลายสะกดม่านพลังจิตพรางตา เดินกลับออกไป รอฟังผล...
............วิญญาณลมเหนือปรากฏร่างทันทีที่เขาเข้ามายังห้องนอน
“กาฬ... เมื่อกี้เธอหายไปไหน”
“ฉันอยู่ที่นี่นี่นา แต่คุณเลวิสเข้ามาในนี้ บอกว่าฉันคือคนที่เขาตามหา เป็นคนที่จะช่วยให้เขาคืนชีวิตกลับเป็นมนุษย์เหมือนเดิม เขาต้องการดื่มเลือดฉัน เพื่อล้างเลือดแวมไพร์ในตัวเขา”
“เลวิสเป็นแวมไพร์อย่างนั้นเหรอ โธ่... พี่ชายฉันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง”
“เรื่องนั้น... ฉันไม่รู้หรอกค่ะ คุณเลวิสไม่ได้เล่าให้ฟัง เขาไม่กล้าทำอะไรฉัน เขากัดฉันไม่ได้ กลัวฉันตาย แต่เขาไม่รู้จะหาทางทำอย่างไร ถึงจะได้ดื่มเลือดฉัน”
“ถ้าใช้มีดกรีดเลือด จะเกิดบาดแผลต้องรักษา... และต้องทำการห้ามเลือด ถ้าห้ามเลือดแล้วเลือดไม่หยุดไหล จะทำให้เสียเลือดมาก ไม่ดีต่อร่างกายเลย มีอีกวิธี... คงต้องเจาะเลือดด้วยเข็มฉีดยา ถึงลดปริมาณการสูญเสียเลือด”
“จริงสิ ฉันเคยเห็นเขาบริจาคเลือด ใช้วิธีนั้นดีกว่า แต่ฉันเคยไปบริจาคเลือด พยาบาลไม่รับเจาะเลือด บอกว่าฉันน้ำหนักตัวน้อยเกินไป ไม่ได้มาตรฐาน แถมมีเม็ดเลือดขาวมากเกินด้วย เลยให้ยาบำรุงเลือดฉันมากิน”
.
______________________...oooooOOOooooo...______________________... ตอน ๑๑
ไตรติมา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 เม.ย. 2559, 19:32:13 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 เม.ย. 2559, 19:32:13 น.
จำนวนการเข้าชม : 1040
<< ตอน 10 | ตอน 12 >> |