คืนค่ำร่ำพิศวาส
สองผีพี่น้อง เลวิส... แวมไพร์(ผีดูดเลือด) ลมเหนือ... ผีเฮี้ยน! อยู่ตึกผีสิง VS กาฬวาร... เด็กสาวยากจนเป็นสาวพรหมจรรย์ มีพลังจิตบริสุทธิ์ เธอช่วยพวกเขากลับเป็นมนุษย์ กลายเป็นเพื่อนบริสุทธิ์ใจต่อกัน สองพี่น้องต่างบิดาแต่รักกันมาก เวลาผ่านไปเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ได้เจอเธออีกหนต่างหลงรักผู้หญิงคนเดียวกัน...เลือกรักไม่ได้หนึ่งหญิงสองชาย (อยากเก็บเธอไว้ทั้งสองคน)
Tags: หวานแหวว, ซึ้ง, รักแฟนตาซี, ไตรติมา, ผี, แวมไพร์, ตลก, หล่อ, โรแมนติค,
ตอน: ตอน 13
______________________...oooooOOOooooo...______________________... ตอน ๑๓
............หลังจากกาฬวารนั่งสมาธิ และอุทิศบุญกุศลให้วิญญาณลมเหนือแล้ว
“คุณเหนือ...” เธอเรียก เขาค่อยปรากฏร่าง มานั่งข้างกายเธอ
“เธอเรียกฉัน ทำไมเหรอ”
“ขอให้เรารวมใจเป็นหนึ่ง เอาใจช่วยฉันนะคะ ต่อไปนี้ขอตั้งจิตอธิษฐาน... หากต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายถึงชีวิต ฉันยอมยกให้ ขอเพียงตามหาหลวงพ่อพึ่งพบ ฉันตั้งใจช่วยเหลือคุณเหนือฟื้นคืนชีวิต ขอให้ฉันทำสำเร็จ” กาฬวารกล่าวต่อหน้าพระพุทธรูป
คงเป็นด้วยกระแสจิตส่งไป ...ไกลแสนไกลถึงหลวงพ่อพึ่ง ซึ่งนั่งสมาธิอยู่ในกลด ...ทำให้ท่านลืมตาขึ้น
“มีคนตั้งใจจะมาตามหาเรา” หลวงพ่อพึ่งหยั่งรู้ด้วยญาณทิพย์ แล้วกำหนดจิตเข้าสมาธิอีกครั้ง เห็นหนอ... บอกว่าเป็นเด็กสาววัยรุ่น และวิญญาณเด็กหนุ่ม ...ลมเหนือ ผู้ที่ท่านเคยสักยันต์ให้
‘ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ไปได้’
ท่านนึกสงสัย จึงเข้าฌานย้อนดูเรื่องราวในอดีต... เห็นภาพการกระทำต่าง ๆ ตั้งแต่การคบผู้หญิง เพื่อนที่ทำไม่ดี เขาติดยาเสพติด ...จนกระทั่งเกือบสิ้นใจ เจตภูตหลุดออกมานอกร่าง แล้ววิญญาณลมเหนือกลับเข้าร่างเดิมไม่ได้
“เรื่องเป็นอย่างนี้นี่เอง ขอให้เดินทางมาหาเราโดยปลอดภัย” หลวงพ่อพึ่งแผ่เมตตาจิตให้ ล่วงรู้ว่าการเดินทางมาหาท่านนั้นแสนยากลำบาก เต็มไปด้วยอุปสรรคนานาประการ
ในห้องพระขณะเดียวกัน... ต่อหน้ากาฬวาร
“เอ๊ะ! เทียน... จะดับ?” กาฬวารจ้องดูเปลวเทียนวูบไหว แต่แล้วชั่วครู่หนึ่งมันจึงสงบนิ่ง แล้วโชนแสงสว่างโรจน์ชั่ววูบหนึ่ง ก่อนจะกลับเป็นแสงเทียนปกติดังเดิม
“เฮ้อ... นึกว่าจะดับ แต่ไม่ดับ อย่างนี้พอจะถือเป็นลางดี ฉันคงทำได้สำเร็จ”
“ฉันเอาใจช่วย ขอให้สำเร็จ ได้พบหลวงพ่อพึ่งนะกาฬ”
............รุ่งขึ้นเช้า กาฬวารทำบุญใส่บาตรเช่นเคย ตอนสาย... จัดกระเป๋าสัมภาระ หาของจำเป็นสำหรับการเดินทาง
“มียาสามัญประจำบ้านด้วย ยาทาแผล สำลี ทิงเจอร์ ยาหม่อง ยาดม ยาแก้ไข้ ยาแก้ท้องเสีย” กาฬวารบอก
เลวิสเตรียมตัวพร้อมกับการเดินทาง อยู่ในชุดเสื้อคลุมสีเทาเข้มมีฮู้ดคลุมศีรษะ ช่วยกันตรวจสิ่งของที่ต้องนำไป
“ยาพวกนั้นคงไว้ใช้สำหรับเธอ เอาไฟฉายไปด้วยหลายกระบอก เพราะมันจำเป็น ฉันเคยไปเที่ยวแค้มป์ ฉันรู้... ต้องเอาพวกบะหมี่สำเร็จรูปไปด้วยเยอะ ๆ แก๊สกระป๋อง ชุดเตาแก๊ส หม้อสนาม ผ้าใบสำหรับปูนอน เสื้อกันฝน เสื่อหนึ่งผืน ถุงนอน หมอนเป่าลม มันใช้แทนห่วงยางว่ายน้ำได้ ฉันว่าเราคงผ่านน้ำตก จะได้อาบน้ำไง เอายาทากันยุงกับปูนขาวไปด้วย ใช้กันมด กันแมลงได้” เลวิสบอก พร้อมกับจดรายการของที่ต้องซื้อเพิ่มเติม
...จากนั้นจึงไปล่ำลาพวกพ่อแม่
“ขอให้เดินทางปลอดภัย ทั้งไปทั้งกลับนะเลวิสกับกาฬ” คุณมาลินพูดอวยพร พร้อมทั้งโอบกอดลูกชายคนโต ในใจลึก ๆ นึกเป็นห่วงลูกชาย แต่ต้องยอมปล่อยให้ไป เพื่อให้ลูกชายทั้งสองได้ช่วยเหลือกัน
กาฬวารเพียงพยักหน้ารับคุณมาลิน แล้วเข้าไปกอดนางนิลผู้เป็นแม่ กับยายเพียร และไหว้พ่อของตน
“หนูไปนะพ่อ”
“ขอให้โชคดี กลับมาอย่างปลอดภัยนะกาฬ” นายพลอยผู้เป็นพ่ออวยพร
“ขอให้โชคดี พบหลวงพ่อพึ่ง และช่วยฮคคุน้องชายของเลวิสได้นะ” คุณทาคามิกล่าว ฝ่ามือตบไหล่เลวิสอย่างอ่อนโยน แม้ไม่ใช่ลูกชายแท้ แต่เคยเลี้ยงดูอุ้มชูมาตั้งแต่เล็ก จึงรู้สึกเอ็นดูรักใคร่ไม่ต่างจากลูกชาย
จากนั้น... นายมั่นเป็นคนขับรถ พาแวะซื้อของกินของใช้จำเป็นระหว่างทาง
............ในตอนหกโมงเย็นกว่า จึงเดินทางถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว อุทยานแห่งชาติ...
กาฬวารติดต่อขอพักที่บ้านพักรับรอง จัดการเรื่องขออนุญาตเข้าป่า
“คุณจะไปที่ไหนกัน และไปกันกี่คน” เจ้าหน้าที่อุทยานเอ่ยถาม
“เราจะไปถ้ำค้างคาว ไปกันสองคนค่ะ”
“จะไปถ้ำนั้น ต้องจองเจ้าหน้าที่ที่จะเป็นคนนำทาง คนไม่รู้เส้นทาง ไปไม่ถูกแน่”
“อย่างนั้นฉันขอจองเจ้าหน้าที่นำทาง”
“ทางเราจะจัดส่งไปให้ในตอนเช้าวันพรุ่งนี้หนึ่งคน และคุณควรจะสั่งข้าวกล่องสำหรับมือเช้า และมื้อเที่ยงระหว่างทางในป่า” เจ้าหน้าที่บอก กาฬวารจึงต้องสั่งอาหารเตรียมไว้ล่วงหน้า เฉพาะตัวเองเพียงคนเดียว โดยไม่ต้องเผื่อเลวิส เพราะเขาไม่กินอาหารของมนุษย์
เมื่อเดินทางถึงบ้านพักรับรอง ทั้งนายมั่น เลวิสและกาฬวารช่วยกันขนของลงจากรถไปไว้ในบ้านพัก บรรยากาศภายนอก เริ่มมืดลง...
“ห้องพักที่นี่มีสามห้องนอน สองห้องน้ำ พอดีคนเลย ผมขอตัวเข้าห้องนะครับ” นายมั่น ปลีกตัวเข้าห้องพักของตน
“หมายความว่า... ต้องนอนห้องละคนเดียว?” สาววัยรุ่นกลัวผีถามอย่างกริ่งเกรง
“มันต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เธอกลัวอะไร” เลวิสย้อนถาม
“ที่นี่แปลกถิ่น ฉันกลัวผี... คุณเลวิสอย่าปิดประตูห้องนะคะ” กาฬวารพูดเป็นเชิงวิงวอน
“ห้ามเข้ามาในห้องนอนฉันเด็ดขาด ฉันเป็นผู้ชาย เธอเป็นผู้หญิง ถึงบอกว่าเธอยังเป็นเด็ก แต่ฉันเป็นหนุ่ม ไม่รับประกัน... มันจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเธอเข้ามาในห้องฉัน ...จะจับปล้ำ ที่ผ่านมาผู้หญิงโดนฉันจับปล้ำไปแล้วหลายราย” เลวิสทำน้ำเสียงข่มขู่ รู้ว่าเธอรักนวลสงวนตัวก็ดีแล้ว แถมยิ้มริมมุมปากอย่างไม่น่าไว้ใจให้อีก
“หา! โธ่คุณเลวิส... เป็นที่พึ่งไม่ได้เลย” กาฬวารตัดพ้อ ถึงกับถอยหนี
เลวิสเห็นอย่างนั้น เขาจึงอมยิ้ม นึกในใจแต่ค่อนข้างไปในทางหลงตัวเอง
‘ถ้าเป็นผู้หญิงอื่น ไม่ใช่กาฬวาร คงจะพูดเล่นด้วยว่าอยากโดน... ฉันมันคนหล่อนี่นา สาวที่ไหนก็อยากได้กุ๊กกิ๊กด้วย’
“ไม่ต้องกลัว ฉันจะคอยคุ้มครองเธอเอง” วิญญาณลมเหนือกล่าว แล้วค่อยปรากฏกายขึ้น
“เฮ้อ... ค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย มีคุณเหนือมาอยู่เป็นเพื่อน เข้าห้องกันเถอะคุณเหนือ”
............กาฬวารทานอาหารมื้อค่ำกับนายมั่นในห้องส่วนกลาง แล้วเข้านอน... กระทั่งเวลาล่วงเข้าช่วงดึก
“หิว... ฉันต้องดื่มเลือด” จากจิตสัมผัสพิเศษ เลวิสรู้...
‘ละแวกใกล้เคียงนี่ นอกจากกาฬวารแล้ว ไม่มีมนุษย์ผู้หญิงคนอื่นเลย มีแต่พวกสัตว์ป่าออกมาหากินกลางคืน’
“นายจะทำอะไร เลวิส” วิญญาณลมเหนือถามพี่ชาย เขาอยู่ในสภาพเหมือนมนุษย์ ไม่น่ากลัว...
“หาของกินสำหรับฉัน” พูดจบ เลวิสหายตัววับ แปลงร่างเป็นค้างคาวตัวเล็กสีดำ บินออกไป... ไกลห่างจากบ้านพักหลายกิโลเมตร
“เฮ้ย! นั่นหมี... ตัวเบ้อเร่อ ฉันไม่เคยเห็นตัวเป็น ๆ อย่างนี้มาก่อน” วิญญาณลมเหนืออุทาน เขานั่งบนกิ่งไม้ เลวิสอยู่ในร่างค้างคาว เกาะกิ่งไม้ข้าง ๆ ส่วนข้างล่าง... หมียักษ์สีดำตัวใหญ่กำลังแหวกพงไม้ มันกำลังค้นหาอะไรสักอย่าง
“มันเหมือนเรื่องผจญภัย ...น่าตื่นเต้น หากยังเป็นมนุษย์ธรรมดา คงไม่สามารถเห็นโดยไม่เป็นอันตราย แต่ตอนนี้เราไม่ใช่มนุษย์” จากร่างค้างคาวพูด
“มันคงกำลังหาของกินเหมือนกัน นายจ้องมองมันทำไม”
“อีกเดี๋ยวมันจะเป็นอาหารของฉันนะสิ” นั่นคือคำตอบ เลวิสกลับคืนร่าง... กระโดดลงจากต้นไม้ ทำให้เกิดเสียงดัง...
“ตุ้บ...” เสียงนั้นทำให้หมีตกใจ... หันมาตั้งท่าเตรียมโจมตี
เลวิสวิ่งเข้าหามันด้วยความไว แทบไม่ทันกระพริบตา ...แต่! ไม่เกิดการปะทะ เพราะเขาหลบหลีกมันอย่างฉิวเฉียด จนมันไม่รู้ตัว ยืนตะลึงงง หันรีหันขวาง เหลียวมองหา... แท้จริงเขาอยู่ทางด้านหลัง กระโดดกัดคอของมัน หมีใช้อุ้มมือตะปบทางด้านหลัง ซึ่งเลวิสเดาใจออกอยู่แล้วว่ามันจะต้องทำเช่นนั้น จึงจับข้อมือมันยื้อไว้ได้ก่อน ด้วยพละกำลังมหาศาลของแวมไพร์เกิดใหม่อย่างเขาสามารถยั้งมือหมีไว้ได้
หมียักษ์ไม่อาจตะปบได้ดังใจ เมื่อสองแขนของมันโดนเลวิสจับไว้อย่างแน่นหนา มันจึงทำได้เพียงเหวี่ยงตัว หมุนติ้ว... ราวกับตัวของมันเป็นลูกข่าง พยายามสะบัดอย่างแรง
ร่างของเลวิส... ดูบอบบางกว่าหมีมากนัก จึงแทบปลิวไหวไปตามแรงเหวี่ยง แต่ไม่ว่ามันจะทำอย่างไร ...กลับสะบัดเลวิสไม่หลุด คมเขี้ยวของเลวิสกัดฝังแน่นติดอยู่ รีบสูบเลือดหมีอย่างเร็ว
“วี้ด...” เสียงร้องของมัน บ่งบอกความเจ็บปวด ตื่นตระหนก... จากการถูกดูดเลือด พยายามหมุนตัวหนี แล้วล้มตัวลงกลิ้งกับพื้นดิน คราวนี้เลวิสถูกหมีทับ เมื่อมันดิ้นพล่าน... นอนหงายท้อง
“ตายแล้วเลวิส... หมีตัวโตขนาดนั้นทับ ฉันจะช่วยนายได้ยังไงล่ะนี่” วิญญาณลมเหนือ สับสน ลังเล... ความผูกพันเป็นพี่น้องในสายเลือด ทำให้เขาทนดูอยู่เฉยไม่ได้ แต่ก่อนที่จะทำอะไร เขาสังเกตเห็น... อาการดิ้นรนของหมีช้าลง ขณะมือของเลวิสยังจับแน่นอยู่อย่างไม่ยอมปล่อย ...จึงพออุ่นใจได้
“โฮก...” จู่ ๆ เกิดเสียงคำรามกึกก้องของสัตว์ดุร้ายอีกชนิด ชวนให้สะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง...
“จ้ากกกก... เสือ! ...มาจากไหนนี่” แม้ลมเหนือเป็นเพียงวิญญาณ... จะไม่ได้รับอันตรายจากสัตว์ร้ายตัวนี้ แต่อดจะหวาดกลัวไม่ได้
ฉับพลัน! เสือร้ายกระโจนใส่หมี คร่อมร่างแล้วฝังคมเขี้ยว งับคอบริเวณลูกกระเดือกอย่างเต็มแรง
วิญญาณลมเหนือตกใจ! ห่วงใยพี่ชายในนาทีฉุกละหุกนั้น
“เลวิส ฉันต้องช่วยนาย” วิญญาณลมเหนือกลัวเสือจะกัดโดนเลวิส ซึ่งเลวิสหลบอยู่ด้านหลังใต้ร่างหมียักษ์ เขาเคยสิงร่างแมวมาแล้ว ครั้งนี้จึงตั้งใจลองเข้าสิงร่างเสือ เพื่อหยุดการเคลื่อนไหว
สำเร็จ... วิญญาณลมเหนือบังคับร่างเสือเงยหน้าขึ้นจากคอหมี
“เลวิสฉันสิงร่างเสือ เพื่อช่วยนาย ยังปลอดภัยดีอยู่ไหม”
“ฉันโอเค อิ่มแล้ว เลือดหมีเกือบหมดตัว ฉันไปล่ะ” เลวิสบอก พริบตาเดียวร่างเปลี่ยนเป็นค้างคาว บินหนีทันที
ช่วงจังหวะจะถึงลมหายเฮือกสุดท้าย เจ้าหมียักษ์ดิ้นรน ใช้ขาเตะอย่างแรง เสือกระเด็นหลุดจากการคร่อมร่างของมัน
และวิญญาณลมเหนือกระเด็นหลุดออกร่างเสือในฉับพลัน...
เจ้าเสือจึงกลับคืนได้สติ พร้อมพิชิตเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย กระโจนเข้าใส่ซ้ำ กัดกระชากคอหมี
เจ้าหมีสิ้นใจ สงบนิ่ง... หยุดอาการดิ้นรน
เสือจึงกัดขย้ำอย่างดุเดือด ฉีกทึ้งร่างหมีและกลืนกิน
ดูสยดสยองยิ่งนักสำหรับคนธรรมดา หากได้มาพบเห็นใกล้ ๆ วิญญาณลมเหนือเห็นอย่างนั้น ให้นึกสลดใจ...
“ไปสู่สุขคติเถิดนะ... เจ้าหมี” เขาบอกกับหมีตัวนั้น แม้มันจะไม่รับรู้แล้ว ...หลับตา นึกถึงคำบอกเล่าจากกาฬวาร ...สถานที่สมควรไป หลังความตายมาเยือน...
“อิ่มแปล้เลย ฉันมีพลังเพิ่มขึ้นแล้วล่ะ แต่เลือดของเจ้านั่นไม่ยักหวานอร่อย ไม่เหมือนเลือดมนุษย์ผู้หญิง” เลวิสบอก พลางยิ้มแป้นให้วิญญาณลมเหนือ ทั้งเรือนร่างดูเปล่งปลั่ง แม้ในความมืด ยังไม่อาจปิดบังผิวพรรณที่ขาวอมชมพูระเรื่อเรือง
“เลวิส... นายถึงกับกินเลือดหมี เฮ้อ... ตอนเป็นคน นายคงไม่กินเจ้านั่นแน่ นั่นนะเหรออาหารของนายในทุกวันนี้”
“ใช่... สภาพฉันมันทุเรศใช่ไหม ฉันไม่ใช่มนุษย์ ยามหิวขึ้นมา ...มันทรมานถึงขั้วหัวใจทีเดียว”
“ฉันเอง... เป็นแค่วิญญาณที่เข้าร่างตัวเองไม่ได้ อาหารของฉันได้มาจากกาฬวารทำบุญใส่บาตร แล้วอุทิศบุญกุศลให้ ถ้าเป็นแบบนี้ไปนาน ร่างกายฉันอาจจะเหี่ยวแห้งตายวันไหนก็ได้”
“หึ หึ... เหมือนเรื่องตลกนะ ทำไมชีวิตเราสองพี่น้องต้องกลายสภาพเป็นแบบนี้ มันน่าอนาถ...” เลวิสยิ้มเยาะให้กับชะตาชีวิตของตัวเอง
“เมื่อก่อนเราสองคนพี่น้องเป็นเด็ก กอดคอเล่นกันสนุกสนาน ยังเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน แต่วันเก่า ๆ วันนั้น มันจะไม่กลับคืนมาอีกแล้วหรือ” วิญญาณลมเหนือเอ่ย ...รำลึกถึงความหลัง สีหน้าหมองเศร้า...
“นั่นสิ... วันนี้เรากลับไม่ใช่มนุษย์ น่าสมเพชจริง”
“ฉันอยากกลับไปเป็นมนุษย์ธรรมดา”
“ฉันเหมือนกัน อยากกลับเป็นมนุษย์อย่างเดิม” เลวิสมองเหม่อทอดอาลัย ดวงตาที่เคยดูคมหวาน เวลานี้ฉายแววหม่นหมอง...
สองพี่น้องมองผ่านความมืดยามราตรี คืนนี้ไม่มีดาว มีแต่เมฆบดบังทั่วทั้งท้องฟ้า สายลมพัดพาให้กิ่งไม้แกว่งไกว สรรพเสียงแห่งพงไพรสะท้อนรับกัน ด้วยเสียงหรีดหริ่งเรไร นกกลางคืนหวีดหวิว สัตว์ป่าคำราม... แว่วได้ยินอยู่ไกล ๆ
............การเดินป่า จำเป็นต้องอาศัยเจ้าหน้าที่ผู้รู้เส้นทางนำไป ...ช่วงเช้าวันรุ่งขึ้นจึงได้เจอ
“สวัสดีครับ ผมชื่อ รอด เจ้าหน้าที่อุทยานให้ผมมาเป็นผู้นำทางให้พวกคุณ ผมรู้เส้นทางดี” ชายวัยฉกรรจ์อายุประมาณสามสิบกว่า ผิวคล้ำ เอ่ยแนะนำตัว
“ต่อไปคงต้องพึ่งพาอาศัยพี่รอดแล้วนะคะ”
“ครับ ด้วยความเต็มใจ”
“น้ามั่นไม่ต้องไปด้วย คอยอยู่ที่บ้านพักนี่ล่ะ จะได้เฝ้ารถของบ้านเราด้วย ฉันกับคุณเลวิส จะรีบไปรีบกลับนะคะ”
“ได้ครับ ผมจะอยู่ดูแลทางนี้เอง” นายมั่นพยักหน้ารับ
แล้วทั้งสามชีวิต จึงพากันออกเดินทาง โดยมีวิญญาณลมเหนือติดตาม คอยคุ้มครอง...
นายมั่นขับรถไปส่ง พร้อมขนสัมภาระบรรทุกใส่รถไปด้วย จนถึงเส้นทางที่จะต้องเดินเท้าเข้าไป กาฬวารอยู่ในชุดเสื้อคลุม กางเกงยีน สวมหมวก และใส่รองเท้าผ้าใบ แต่เลวิสใส่รองเท้าสาน ส่วนคนนำทางใส่ชุดกางเกงลายทหาร เสื้อยีนแขนยาว สะพายปืนลูกซอง ไว้ป้องกันอันตราย เขาช่วยแบกของใช้และของกินเพียงบางส่วน
“ผมแบกเต็นท์เอง กาฬวารแบกพวกของกินกับน้ำดื่มละกัน” เลวิสบอก แบ่งกันแบกข้าวของจำเป็น สำหรับการเดินทาง
“น้ำดื่มไม่ต้องเอาไปเยอะหรอกครับ เอาไปแต่ขวดเปล่าก็ได้ เดี๋ยวพอผ่านลำธารน้ำใส เราเก็บน้ำใส่ขวดไว้กินระหว่างทางได้” นายรอดแนะนำ
เมื่อขนของลงจากรถหมดแล้ว นายมั่นจึงลากลับขับรถจากไป เพื่อรออยู่ยังที่บ้านพัก
............ทั้งสามคนเริ่มออกเดิน ป่าสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ แต่ไม่ถึงกับขึ้นรกดก แสงแดดยังพอส่องลอดให้เห็นพื้นดินได้ ช่วงแรกเป็นทางราบเดินสบาย แล้วค่อยเพิ่มความชันทีละน้อยเมื่อถึงทางเดินขึ้นเขา เวลาเดินจะรู้สึกเมื่อยขามากว่าการเดินตามทางเรียบ แล้วพากันมุ่งหน้าไปตามเส้นทาง ประมาณสองกิโลเมตร ถึงน้ำตกขนาดเล็กแห่งหนึ่ง ซึ่งมีน้ำใสแจ๋ว จึงแวะ...
“แวะที่นี่ก่อน ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกได้นะครับ หรือจะลงเล่นน้ำ... เชิญตามสบาย” นายรอดบอก แล้วนำขวดไปเก็บน้ำดื่ม
กาฬวารและเลวิสวางเป้ลง นั่งบนโขดหินใหญ่พื้นผิวเกลี้ยง ๆ เพื่อพักเหนื่อย...
“ฉันไม่เคยเดินป่าอย่างนี้มาก่อน ได้มาอย่างนี้... เหมือนได้มาท่องเที่ยวผจญภัย สนุกดี...”
“ถ่ายรูปไว้หน่อยดีกว่า” เลวิสบอก เข้ามานั่งเบียดกาฬวาร แล้วนำมือถือมาถ่ายรูปคู่กัน ด้วยนึกเหมือนได้มาเที่ยวเล่น
“ไม่ล่ะค่ะ เราไม่ได้มาเที่ยว เดี๋ยวเสียเวลา พักพอหายเหนื่อยแล้วรีบเดินทางต่อดีกว่า จะได้ถึงที่หมายไว ๆ ”
“ไม่ได้มาเที่ยว แล้วมาทำอะไร” นายรอดเริ่มสงสัย จึงเอ่ยถาม
“เรามาตามหาพระธุดงค์ค่ะ”
“เมื่อสองสามวันก่อน มีพระธุดงค์ผ่านเส้นทางนี้ แต่คงไม่ไปปักกลดในถ้ำค้างคาว เพราะที่นั่นเข้าไม่ได้ ในถ้ำกลิ่นเหม็นฉุนขี้ค้างคาว เพราะมีค้างคาวอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก เส้นทางรกทึบเป็นป่าดงดิบ ทั้งสูงชันเป็นหินมีขี้ตะไคร่ขึ้นลื่นมาก ปีนเขายากลำบาก ไม่สะดวกต่อการเดินทางบิณฑบาต ผมเดาว่าท่านน่าจะไปปักกลดบริเวณไม่ไกลหมู่บ้านมากกว่า”
“พระธุดงค์องค์นั้น รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ฉันอยากรู้... จะใช่หลวงพ่อพึ่งไหม” วิญญาณลมเหนือเอ่ยถามกาฬวาร เลวิสได้ยิน แต่นายรอดไม่ได้ยิน เธอจึงถามตามความต้องการของลมเหนือ
“ท่านรูปร่างหน้าตายังไงคะพี่รอด”
“อายุประมาณห้าสิบ ผิวคล้ำ รูปร่างสูงโปร่ง ดวงตาคมดุ ท่านชื่อ...” นายรอดลังเล จำไม่ค่อยได้ ต้องนึกอยู่ครู่หนึ่ง
“ท่านชื่อหลวงพ่ออะไรคะ” กาฬวารถาม ซึ่งเธอไม่เคยเห็นหน้าตาหลวงพ่อพึ่งมาก่อน
“หลวงพ่อพึ่งครับ” ได้รับคำตอบเท่านั้น ต่างดีใจที่มาถูกทาง
.
______________________...oooooOOOooooo...______________________... ตอน ๑๓
............หลังจากกาฬวารนั่งสมาธิ และอุทิศบุญกุศลให้วิญญาณลมเหนือแล้ว
“คุณเหนือ...” เธอเรียก เขาค่อยปรากฏร่าง มานั่งข้างกายเธอ
“เธอเรียกฉัน ทำไมเหรอ”
“ขอให้เรารวมใจเป็นหนึ่ง เอาใจช่วยฉันนะคะ ต่อไปนี้ขอตั้งจิตอธิษฐาน... หากต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายถึงชีวิต ฉันยอมยกให้ ขอเพียงตามหาหลวงพ่อพึ่งพบ ฉันตั้งใจช่วยเหลือคุณเหนือฟื้นคืนชีวิต ขอให้ฉันทำสำเร็จ” กาฬวารกล่าวต่อหน้าพระพุทธรูป
คงเป็นด้วยกระแสจิตส่งไป ...ไกลแสนไกลถึงหลวงพ่อพึ่ง ซึ่งนั่งสมาธิอยู่ในกลด ...ทำให้ท่านลืมตาขึ้น
“มีคนตั้งใจจะมาตามหาเรา” หลวงพ่อพึ่งหยั่งรู้ด้วยญาณทิพย์ แล้วกำหนดจิตเข้าสมาธิอีกครั้ง เห็นหนอ... บอกว่าเป็นเด็กสาววัยรุ่น และวิญญาณเด็กหนุ่ม ...ลมเหนือ ผู้ที่ท่านเคยสักยันต์ให้
‘ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ไปได้’
ท่านนึกสงสัย จึงเข้าฌานย้อนดูเรื่องราวในอดีต... เห็นภาพการกระทำต่าง ๆ ตั้งแต่การคบผู้หญิง เพื่อนที่ทำไม่ดี เขาติดยาเสพติด ...จนกระทั่งเกือบสิ้นใจ เจตภูตหลุดออกมานอกร่าง แล้ววิญญาณลมเหนือกลับเข้าร่างเดิมไม่ได้
“เรื่องเป็นอย่างนี้นี่เอง ขอให้เดินทางมาหาเราโดยปลอดภัย” หลวงพ่อพึ่งแผ่เมตตาจิตให้ ล่วงรู้ว่าการเดินทางมาหาท่านนั้นแสนยากลำบาก เต็มไปด้วยอุปสรรคนานาประการ
ในห้องพระขณะเดียวกัน... ต่อหน้ากาฬวาร
“เอ๊ะ! เทียน... จะดับ?” กาฬวารจ้องดูเปลวเทียนวูบไหว แต่แล้วชั่วครู่หนึ่งมันจึงสงบนิ่ง แล้วโชนแสงสว่างโรจน์ชั่ววูบหนึ่ง ก่อนจะกลับเป็นแสงเทียนปกติดังเดิม
“เฮ้อ... นึกว่าจะดับ แต่ไม่ดับ อย่างนี้พอจะถือเป็นลางดี ฉันคงทำได้สำเร็จ”
“ฉันเอาใจช่วย ขอให้สำเร็จ ได้พบหลวงพ่อพึ่งนะกาฬ”
............รุ่งขึ้นเช้า กาฬวารทำบุญใส่บาตรเช่นเคย ตอนสาย... จัดกระเป๋าสัมภาระ หาของจำเป็นสำหรับการเดินทาง
“มียาสามัญประจำบ้านด้วย ยาทาแผล สำลี ทิงเจอร์ ยาหม่อง ยาดม ยาแก้ไข้ ยาแก้ท้องเสีย” กาฬวารบอก
เลวิสเตรียมตัวพร้อมกับการเดินทาง อยู่ในชุดเสื้อคลุมสีเทาเข้มมีฮู้ดคลุมศีรษะ ช่วยกันตรวจสิ่งของที่ต้องนำไป
“ยาพวกนั้นคงไว้ใช้สำหรับเธอ เอาไฟฉายไปด้วยหลายกระบอก เพราะมันจำเป็น ฉันเคยไปเที่ยวแค้มป์ ฉันรู้... ต้องเอาพวกบะหมี่สำเร็จรูปไปด้วยเยอะ ๆ แก๊สกระป๋อง ชุดเตาแก๊ส หม้อสนาม ผ้าใบสำหรับปูนอน เสื้อกันฝน เสื่อหนึ่งผืน ถุงนอน หมอนเป่าลม มันใช้แทนห่วงยางว่ายน้ำได้ ฉันว่าเราคงผ่านน้ำตก จะได้อาบน้ำไง เอายาทากันยุงกับปูนขาวไปด้วย ใช้กันมด กันแมลงได้” เลวิสบอก พร้อมกับจดรายการของที่ต้องซื้อเพิ่มเติม
...จากนั้นจึงไปล่ำลาพวกพ่อแม่
“ขอให้เดินทางปลอดภัย ทั้งไปทั้งกลับนะเลวิสกับกาฬ” คุณมาลินพูดอวยพร พร้อมทั้งโอบกอดลูกชายคนโต ในใจลึก ๆ นึกเป็นห่วงลูกชาย แต่ต้องยอมปล่อยให้ไป เพื่อให้ลูกชายทั้งสองได้ช่วยเหลือกัน
กาฬวารเพียงพยักหน้ารับคุณมาลิน แล้วเข้าไปกอดนางนิลผู้เป็นแม่ กับยายเพียร และไหว้พ่อของตน
“หนูไปนะพ่อ”
“ขอให้โชคดี กลับมาอย่างปลอดภัยนะกาฬ” นายพลอยผู้เป็นพ่ออวยพร
“ขอให้โชคดี พบหลวงพ่อพึ่ง และช่วยฮคคุน้องชายของเลวิสได้นะ” คุณทาคามิกล่าว ฝ่ามือตบไหล่เลวิสอย่างอ่อนโยน แม้ไม่ใช่ลูกชายแท้ แต่เคยเลี้ยงดูอุ้มชูมาตั้งแต่เล็ก จึงรู้สึกเอ็นดูรักใคร่ไม่ต่างจากลูกชาย
จากนั้น... นายมั่นเป็นคนขับรถ พาแวะซื้อของกินของใช้จำเป็นระหว่างทาง
............ในตอนหกโมงเย็นกว่า จึงเดินทางถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว อุทยานแห่งชาติ...
กาฬวารติดต่อขอพักที่บ้านพักรับรอง จัดการเรื่องขออนุญาตเข้าป่า
“คุณจะไปที่ไหนกัน และไปกันกี่คน” เจ้าหน้าที่อุทยานเอ่ยถาม
“เราจะไปถ้ำค้างคาว ไปกันสองคนค่ะ”
“จะไปถ้ำนั้น ต้องจองเจ้าหน้าที่ที่จะเป็นคนนำทาง คนไม่รู้เส้นทาง ไปไม่ถูกแน่”
“อย่างนั้นฉันขอจองเจ้าหน้าที่นำทาง”
“ทางเราจะจัดส่งไปให้ในตอนเช้าวันพรุ่งนี้หนึ่งคน และคุณควรจะสั่งข้าวกล่องสำหรับมือเช้า และมื้อเที่ยงระหว่างทางในป่า” เจ้าหน้าที่บอก กาฬวารจึงต้องสั่งอาหารเตรียมไว้ล่วงหน้า เฉพาะตัวเองเพียงคนเดียว โดยไม่ต้องเผื่อเลวิส เพราะเขาไม่กินอาหารของมนุษย์
เมื่อเดินทางถึงบ้านพักรับรอง ทั้งนายมั่น เลวิสและกาฬวารช่วยกันขนของลงจากรถไปไว้ในบ้านพัก บรรยากาศภายนอก เริ่มมืดลง...
“ห้องพักที่นี่มีสามห้องนอน สองห้องน้ำ พอดีคนเลย ผมขอตัวเข้าห้องนะครับ” นายมั่น ปลีกตัวเข้าห้องพักของตน
“หมายความว่า... ต้องนอนห้องละคนเดียว?” สาววัยรุ่นกลัวผีถามอย่างกริ่งเกรง
“มันต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เธอกลัวอะไร” เลวิสย้อนถาม
“ที่นี่แปลกถิ่น ฉันกลัวผี... คุณเลวิสอย่าปิดประตูห้องนะคะ” กาฬวารพูดเป็นเชิงวิงวอน
“ห้ามเข้ามาในห้องนอนฉันเด็ดขาด ฉันเป็นผู้ชาย เธอเป็นผู้หญิง ถึงบอกว่าเธอยังเป็นเด็ก แต่ฉันเป็นหนุ่ม ไม่รับประกัน... มันจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเธอเข้ามาในห้องฉัน ...จะจับปล้ำ ที่ผ่านมาผู้หญิงโดนฉันจับปล้ำไปแล้วหลายราย” เลวิสทำน้ำเสียงข่มขู่ รู้ว่าเธอรักนวลสงวนตัวก็ดีแล้ว แถมยิ้มริมมุมปากอย่างไม่น่าไว้ใจให้อีก
“หา! โธ่คุณเลวิส... เป็นที่พึ่งไม่ได้เลย” กาฬวารตัดพ้อ ถึงกับถอยหนี
เลวิสเห็นอย่างนั้น เขาจึงอมยิ้ม นึกในใจแต่ค่อนข้างไปในทางหลงตัวเอง
‘ถ้าเป็นผู้หญิงอื่น ไม่ใช่กาฬวาร คงจะพูดเล่นด้วยว่าอยากโดน... ฉันมันคนหล่อนี่นา สาวที่ไหนก็อยากได้กุ๊กกิ๊กด้วย’
“ไม่ต้องกลัว ฉันจะคอยคุ้มครองเธอเอง” วิญญาณลมเหนือกล่าว แล้วค่อยปรากฏกายขึ้น
“เฮ้อ... ค่อยใจชื้นขึ้นมาหน่อย มีคุณเหนือมาอยู่เป็นเพื่อน เข้าห้องกันเถอะคุณเหนือ”
............กาฬวารทานอาหารมื้อค่ำกับนายมั่นในห้องส่วนกลาง แล้วเข้านอน... กระทั่งเวลาล่วงเข้าช่วงดึก
“หิว... ฉันต้องดื่มเลือด” จากจิตสัมผัสพิเศษ เลวิสรู้...
‘ละแวกใกล้เคียงนี่ นอกจากกาฬวารแล้ว ไม่มีมนุษย์ผู้หญิงคนอื่นเลย มีแต่พวกสัตว์ป่าออกมาหากินกลางคืน’
“นายจะทำอะไร เลวิส” วิญญาณลมเหนือถามพี่ชาย เขาอยู่ในสภาพเหมือนมนุษย์ ไม่น่ากลัว...
“หาของกินสำหรับฉัน” พูดจบ เลวิสหายตัววับ แปลงร่างเป็นค้างคาวตัวเล็กสีดำ บินออกไป... ไกลห่างจากบ้านพักหลายกิโลเมตร
“เฮ้ย! นั่นหมี... ตัวเบ้อเร่อ ฉันไม่เคยเห็นตัวเป็น ๆ อย่างนี้มาก่อน” วิญญาณลมเหนืออุทาน เขานั่งบนกิ่งไม้ เลวิสอยู่ในร่างค้างคาว เกาะกิ่งไม้ข้าง ๆ ส่วนข้างล่าง... หมียักษ์สีดำตัวใหญ่กำลังแหวกพงไม้ มันกำลังค้นหาอะไรสักอย่าง
“มันเหมือนเรื่องผจญภัย ...น่าตื่นเต้น หากยังเป็นมนุษย์ธรรมดา คงไม่สามารถเห็นโดยไม่เป็นอันตราย แต่ตอนนี้เราไม่ใช่มนุษย์” จากร่างค้างคาวพูด
“มันคงกำลังหาของกินเหมือนกัน นายจ้องมองมันทำไม”
“อีกเดี๋ยวมันจะเป็นอาหารของฉันนะสิ” นั่นคือคำตอบ เลวิสกลับคืนร่าง... กระโดดลงจากต้นไม้ ทำให้เกิดเสียงดัง...
“ตุ้บ...” เสียงนั้นทำให้หมีตกใจ... หันมาตั้งท่าเตรียมโจมตี
เลวิสวิ่งเข้าหามันด้วยความไว แทบไม่ทันกระพริบตา ...แต่! ไม่เกิดการปะทะ เพราะเขาหลบหลีกมันอย่างฉิวเฉียด จนมันไม่รู้ตัว ยืนตะลึงงง หันรีหันขวาง เหลียวมองหา... แท้จริงเขาอยู่ทางด้านหลัง กระโดดกัดคอของมัน หมีใช้อุ้มมือตะปบทางด้านหลัง ซึ่งเลวิสเดาใจออกอยู่แล้วว่ามันจะต้องทำเช่นนั้น จึงจับข้อมือมันยื้อไว้ได้ก่อน ด้วยพละกำลังมหาศาลของแวมไพร์เกิดใหม่อย่างเขาสามารถยั้งมือหมีไว้ได้
หมียักษ์ไม่อาจตะปบได้ดังใจ เมื่อสองแขนของมันโดนเลวิสจับไว้อย่างแน่นหนา มันจึงทำได้เพียงเหวี่ยงตัว หมุนติ้ว... ราวกับตัวของมันเป็นลูกข่าง พยายามสะบัดอย่างแรง
ร่างของเลวิส... ดูบอบบางกว่าหมีมากนัก จึงแทบปลิวไหวไปตามแรงเหวี่ยง แต่ไม่ว่ามันจะทำอย่างไร ...กลับสะบัดเลวิสไม่หลุด คมเขี้ยวของเลวิสกัดฝังแน่นติดอยู่ รีบสูบเลือดหมีอย่างเร็ว
“วี้ด...” เสียงร้องของมัน บ่งบอกความเจ็บปวด ตื่นตระหนก... จากการถูกดูดเลือด พยายามหมุนตัวหนี แล้วล้มตัวลงกลิ้งกับพื้นดิน คราวนี้เลวิสถูกหมีทับ เมื่อมันดิ้นพล่าน... นอนหงายท้อง
“ตายแล้วเลวิส... หมีตัวโตขนาดนั้นทับ ฉันจะช่วยนายได้ยังไงล่ะนี่” วิญญาณลมเหนือ สับสน ลังเล... ความผูกพันเป็นพี่น้องในสายเลือด ทำให้เขาทนดูอยู่เฉยไม่ได้ แต่ก่อนที่จะทำอะไร เขาสังเกตเห็น... อาการดิ้นรนของหมีช้าลง ขณะมือของเลวิสยังจับแน่นอยู่อย่างไม่ยอมปล่อย ...จึงพออุ่นใจได้
“โฮก...” จู่ ๆ เกิดเสียงคำรามกึกก้องของสัตว์ดุร้ายอีกชนิด ชวนให้สะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง...
“จ้ากกกก... เสือ! ...มาจากไหนนี่” แม้ลมเหนือเป็นเพียงวิญญาณ... จะไม่ได้รับอันตรายจากสัตว์ร้ายตัวนี้ แต่อดจะหวาดกลัวไม่ได้
ฉับพลัน! เสือร้ายกระโจนใส่หมี คร่อมร่างแล้วฝังคมเขี้ยว งับคอบริเวณลูกกระเดือกอย่างเต็มแรง
วิญญาณลมเหนือตกใจ! ห่วงใยพี่ชายในนาทีฉุกละหุกนั้น
“เลวิส ฉันต้องช่วยนาย” วิญญาณลมเหนือกลัวเสือจะกัดโดนเลวิส ซึ่งเลวิสหลบอยู่ด้านหลังใต้ร่างหมียักษ์ เขาเคยสิงร่างแมวมาแล้ว ครั้งนี้จึงตั้งใจลองเข้าสิงร่างเสือ เพื่อหยุดการเคลื่อนไหว
สำเร็จ... วิญญาณลมเหนือบังคับร่างเสือเงยหน้าขึ้นจากคอหมี
“เลวิสฉันสิงร่างเสือ เพื่อช่วยนาย ยังปลอดภัยดีอยู่ไหม”
“ฉันโอเค อิ่มแล้ว เลือดหมีเกือบหมดตัว ฉันไปล่ะ” เลวิสบอก พริบตาเดียวร่างเปลี่ยนเป็นค้างคาว บินหนีทันที
ช่วงจังหวะจะถึงลมหายเฮือกสุดท้าย เจ้าหมียักษ์ดิ้นรน ใช้ขาเตะอย่างแรง เสือกระเด็นหลุดจากการคร่อมร่างของมัน
และวิญญาณลมเหนือกระเด็นหลุดออกร่างเสือในฉับพลัน...
เจ้าเสือจึงกลับคืนได้สติ พร้อมพิชิตเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย กระโจนเข้าใส่ซ้ำ กัดกระชากคอหมี
เจ้าหมีสิ้นใจ สงบนิ่ง... หยุดอาการดิ้นรน
เสือจึงกัดขย้ำอย่างดุเดือด ฉีกทึ้งร่างหมีและกลืนกิน
ดูสยดสยองยิ่งนักสำหรับคนธรรมดา หากได้มาพบเห็นใกล้ ๆ วิญญาณลมเหนือเห็นอย่างนั้น ให้นึกสลดใจ...
“ไปสู่สุขคติเถิดนะ... เจ้าหมี” เขาบอกกับหมีตัวนั้น แม้มันจะไม่รับรู้แล้ว ...หลับตา นึกถึงคำบอกเล่าจากกาฬวาร ...สถานที่สมควรไป หลังความตายมาเยือน...
“อิ่มแปล้เลย ฉันมีพลังเพิ่มขึ้นแล้วล่ะ แต่เลือดของเจ้านั่นไม่ยักหวานอร่อย ไม่เหมือนเลือดมนุษย์ผู้หญิง” เลวิสบอก พลางยิ้มแป้นให้วิญญาณลมเหนือ ทั้งเรือนร่างดูเปล่งปลั่ง แม้ในความมืด ยังไม่อาจปิดบังผิวพรรณที่ขาวอมชมพูระเรื่อเรือง
“เลวิส... นายถึงกับกินเลือดหมี เฮ้อ... ตอนเป็นคน นายคงไม่กินเจ้านั่นแน่ นั่นนะเหรออาหารของนายในทุกวันนี้”
“ใช่... สภาพฉันมันทุเรศใช่ไหม ฉันไม่ใช่มนุษย์ ยามหิวขึ้นมา ...มันทรมานถึงขั้วหัวใจทีเดียว”
“ฉันเอง... เป็นแค่วิญญาณที่เข้าร่างตัวเองไม่ได้ อาหารของฉันได้มาจากกาฬวารทำบุญใส่บาตร แล้วอุทิศบุญกุศลให้ ถ้าเป็นแบบนี้ไปนาน ร่างกายฉันอาจจะเหี่ยวแห้งตายวันไหนก็ได้”
“หึ หึ... เหมือนเรื่องตลกนะ ทำไมชีวิตเราสองพี่น้องต้องกลายสภาพเป็นแบบนี้ มันน่าอนาถ...” เลวิสยิ้มเยาะให้กับชะตาชีวิตของตัวเอง
“เมื่อก่อนเราสองคนพี่น้องเป็นเด็ก กอดคอเล่นกันสนุกสนาน ยังเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน แต่วันเก่า ๆ วันนั้น มันจะไม่กลับคืนมาอีกแล้วหรือ” วิญญาณลมเหนือเอ่ย ...รำลึกถึงความหลัง สีหน้าหมองเศร้า...
“นั่นสิ... วันนี้เรากลับไม่ใช่มนุษย์ น่าสมเพชจริง”
“ฉันอยากกลับไปเป็นมนุษย์ธรรมดา”
“ฉันเหมือนกัน อยากกลับเป็นมนุษย์อย่างเดิม” เลวิสมองเหม่อทอดอาลัย ดวงตาที่เคยดูคมหวาน เวลานี้ฉายแววหม่นหมอง...
สองพี่น้องมองผ่านความมืดยามราตรี คืนนี้ไม่มีดาว มีแต่เมฆบดบังทั่วทั้งท้องฟ้า สายลมพัดพาให้กิ่งไม้แกว่งไกว สรรพเสียงแห่งพงไพรสะท้อนรับกัน ด้วยเสียงหรีดหริ่งเรไร นกกลางคืนหวีดหวิว สัตว์ป่าคำราม... แว่วได้ยินอยู่ไกล ๆ
............การเดินป่า จำเป็นต้องอาศัยเจ้าหน้าที่ผู้รู้เส้นทางนำไป ...ช่วงเช้าวันรุ่งขึ้นจึงได้เจอ
“สวัสดีครับ ผมชื่อ รอด เจ้าหน้าที่อุทยานให้ผมมาเป็นผู้นำทางให้พวกคุณ ผมรู้เส้นทางดี” ชายวัยฉกรรจ์อายุประมาณสามสิบกว่า ผิวคล้ำ เอ่ยแนะนำตัว
“ต่อไปคงต้องพึ่งพาอาศัยพี่รอดแล้วนะคะ”
“ครับ ด้วยความเต็มใจ”
“น้ามั่นไม่ต้องไปด้วย คอยอยู่ที่บ้านพักนี่ล่ะ จะได้เฝ้ารถของบ้านเราด้วย ฉันกับคุณเลวิส จะรีบไปรีบกลับนะคะ”
“ได้ครับ ผมจะอยู่ดูแลทางนี้เอง” นายมั่นพยักหน้ารับ
แล้วทั้งสามชีวิต จึงพากันออกเดินทาง โดยมีวิญญาณลมเหนือติดตาม คอยคุ้มครอง...
นายมั่นขับรถไปส่ง พร้อมขนสัมภาระบรรทุกใส่รถไปด้วย จนถึงเส้นทางที่จะต้องเดินเท้าเข้าไป กาฬวารอยู่ในชุดเสื้อคลุม กางเกงยีน สวมหมวก และใส่รองเท้าผ้าใบ แต่เลวิสใส่รองเท้าสาน ส่วนคนนำทางใส่ชุดกางเกงลายทหาร เสื้อยีนแขนยาว สะพายปืนลูกซอง ไว้ป้องกันอันตราย เขาช่วยแบกของใช้และของกินเพียงบางส่วน
“ผมแบกเต็นท์เอง กาฬวารแบกพวกของกินกับน้ำดื่มละกัน” เลวิสบอก แบ่งกันแบกข้าวของจำเป็น สำหรับการเดินทาง
“น้ำดื่มไม่ต้องเอาไปเยอะหรอกครับ เอาไปแต่ขวดเปล่าก็ได้ เดี๋ยวพอผ่านลำธารน้ำใส เราเก็บน้ำใส่ขวดไว้กินระหว่างทางได้” นายรอดแนะนำ
เมื่อขนของลงจากรถหมดแล้ว นายมั่นจึงลากลับขับรถจากไป เพื่อรออยู่ยังที่บ้านพัก
............ทั้งสามคนเริ่มออกเดิน ป่าสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ แต่ไม่ถึงกับขึ้นรกดก แสงแดดยังพอส่องลอดให้เห็นพื้นดินได้ ช่วงแรกเป็นทางราบเดินสบาย แล้วค่อยเพิ่มความชันทีละน้อยเมื่อถึงทางเดินขึ้นเขา เวลาเดินจะรู้สึกเมื่อยขามากว่าการเดินตามทางเรียบ แล้วพากันมุ่งหน้าไปตามเส้นทาง ประมาณสองกิโลเมตร ถึงน้ำตกขนาดเล็กแห่งหนึ่ง ซึ่งมีน้ำใสแจ๋ว จึงแวะ...
“แวะที่นี่ก่อน ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกได้นะครับ หรือจะลงเล่นน้ำ... เชิญตามสบาย” นายรอดบอก แล้วนำขวดไปเก็บน้ำดื่ม
กาฬวารและเลวิสวางเป้ลง นั่งบนโขดหินใหญ่พื้นผิวเกลี้ยง ๆ เพื่อพักเหนื่อย...
“ฉันไม่เคยเดินป่าอย่างนี้มาก่อน ได้มาอย่างนี้... เหมือนได้มาท่องเที่ยวผจญภัย สนุกดี...”
“ถ่ายรูปไว้หน่อยดีกว่า” เลวิสบอก เข้ามานั่งเบียดกาฬวาร แล้วนำมือถือมาถ่ายรูปคู่กัน ด้วยนึกเหมือนได้มาเที่ยวเล่น
“ไม่ล่ะค่ะ เราไม่ได้มาเที่ยว เดี๋ยวเสียเวลา พักพอหายเหนื่อยแล้วรีบเดินทางต่อดีกว่า จะได้ถึงที่หมายไว ๆ ”
“ไม่ได้มาเที่ยว แล้วมาทำอะไร” นายรอดเริ่มสงสัย จึงเอ่ยถาม
“เรามาตามหาพระธุดงค์ค่ะ”
“เมื่อสองสามวันก่อน มีพระธุดงค์ผ่านเส้นทางนี้ แต่คงไม่ไปปักกลดในถ้ำค้างคาว เพราะที่นั่นเข้าไม่ได้ ในถ้ำกลิ่นเหม็นฉุนขี้ค้างคาว เพราะมีค้างคาวอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก เส้นทางรกทึบเป็นป่าดงดิบ ทั้งสูงชันเป็นหินมีขี้ตะไคร่ขึ้นลื่นมาก ปีนเขายากลำบาก ไม่สะดวกต่อการเดินทางบิณฑบาต ผมเดาว่าท่านน่าจะไปปักกลดบริเวณไม่ไกลหมู่บ้านมากกว่า”
“พระธุดงค์องค์นั้น รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ฉันอยากรู้... จะใช่หลวงพ่อพึ่งไหม” วิญญาณลมเหนือเอ่ยถามกาฬวาร เลวิสได้ยิน แต่นายรอดไม่ได้ยิน เธอจึงถามตามความต้องการของลมเหนือ
“ท่านรูปร่างหน้าตายังไงคะพี่รอด”
“อายุประมาณห้าสิบ ผิวคล้ำ รูปร่างสูงโปร่ง ดวงตาคมดุ ท่านชื่อ...” นายรอดลังเล จำไม่ค่อยได้ ต้องนึกอยู่ครู่หนึ่ง
“ท่านชื่อหลวงพ่ออะไรคะ” กาฬวารถาม ซึ่งเธอไม่เคยเห็นหน้าตาหลวงพ่อพึ่งมาก่อน
“หลวงพ่อพึ่งครับ” ได้รับคำตอบเท่านั้น ต่างดีใจที่มาถูกทาง
.
______________________...oooooOOOooooo...______________________... ตอน ๑๓
ไตรติมา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 เม.ย. 2559, 19:12:28 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 เม.ย. 2559, 19:12:28 น.
จำนวนการเข้าชม : 1017
<< ตอน 12 | ตอน 14 >> |