คืนค่ำร่ำพิศวาส
สองผีพี่น้อง เลวิส... แวมไพร์(ผีดูดเลือด) ลมเหนือ... ผีเฮี้ยน! อยู่ตึกผีสิง VS กาฬวาร... เด็กสาวยากจนเป็นสาวพรหมจรรย์ มีพลังจิตบริสุทธิ์ เธอช่วยพวกเขากลับเป็นมนุษย์ กลายเป็นเพื่อนบริสุทธิ์ใจต่อกัน สองพี่น้องต่างบิดาแต่รักกันมาก เวลาผ่านไปเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ได้เจอเธออีกหนต่างหลงรักผู้หญิงคนเดียวกัน...เลือกรักไม่ได้หนึ่งหญิงสองชาย (อยากเก็บเธอไว้ทั้งสองคน)
Tags: หวานแหวว, ซึ้ง, รักแฟนตาซี, ไตรติมา, ผี, แวมไพร์, ตลก, หล่อ, โรแมนติค,
ตอน: ตอน 18
______________________...oooooOOOooooo...______________________... ตอน ๑๘
............ลมเหนืออยากลองร่วมทำบุญใส่บาตรตอนเช้ากับกาฬวารด้วย ยายเพียรจึงคอยสอนหลานเขยให้จับทัพพีตามพิธีทางศาสนาพุทธ
“เขาว่าทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขัน จะได้เป็นเนื้อคู่กับไปทุกภพชาติ ให้จับทัพพีเดียวกัน เหนือจับอยู่บนเหนือมือกาฬนั่นแหละ เขาเชื่อกันว่าคนที่จับทัพพีอยู่บนจะเป็นผู้นำครอบครัว”
ลมเหนือทำตามยายเพียรสอน สองคนกับกาฬวารตักข้าวจากในขันข้าวช่วยกันประคองทัพพีใส่บาตรพระ ส่วนเลวิสเป็นชาวคริสต์ใส่บาตรหรือทำพิธีในศาสนาอื่นไม่ได้ จึงได้แต่ยืนสังเกตการณ์อยู่ไม่ไกล
ขณะนั้นบรรยากาศบนท้องฟ้ามืดครึ้มด้วยเมฆหนาช่วงปลายฝนต้นหนาว ลมเย็นพัดแรงชั่วประเดี๋ยวเดียวฝนเริ่มพรำลงมา ทุกคนต่างช่วยกันเก็บถาดเก็บโต๊ะที่ตั้งใส่บาตรกันจ้าละหวั่น ลมเหนือกับเลวิสวิ่งเข้าตึกใหญ่ไปล่วงหน้าก่อนแล้ว กาฬวารประคองยายเพียรขึ้นบันไดตึกใหญ่ เพราะระยะทางห่างจากตึกเล็ก แต่ยายเพียรชราภาพมากมักเดินช้า กว่าจะถึงตึกเล็กเกรงจะเปียกฝนหนาวเย็นไปเสียก่อน
และแล้วฝนกลับเทกระหน่ำแรงขึ้น ยายเพียร เลวิสและลมเหนือนั่งดูสายฝนจากหน้าต่างในห้องรับแขก แต่กาฬวารไม่อยู่เฉย ฉวยร่มกางจะเดินออกไป
“ฝนกำลังตกหนักจะไปไหนกาฬ เดี๋ยวเปียกฝนเป็นหวัด น้ำฝนหน้านี้ยิ่งหนาวเย็นอยู่” ยายเพียรถามหลานสาว
“ไม่เป็นหวัดหรอกจ้าย่า เดี๋ยวกลับมาอาบน้ำก็ไม่เป็นหวัดแล้ว กาฬจะไปชวนจุ๊บแจงรองน้ำฝนใส่โอ่งใหญ่”
“มันมีโอ่งอยู่ที่ไหน” ลมเหนือถาม ตั้งแต่มาอยู่บ้านนี้ยังไม่เคยสังเกตสักทีกับสิ่งที่เรียกว่าโอ่ง เพราะตั้งเขาเกิดเป็นเด็กญี่ปุ่นเคยเดินตากฝน แต่ไม่เคยรองน้ำฝนเพราะไม่รู้จะรองน้ำไปทำไม?
เลวิสยิ่งแล้วใหญ่ไม่รู้จักโอ่ง... เคยอยู่ที่อเมริกาบ้านพ่อยูชิยะของเขาไม่มีสิ่งนี้เลยยิ่งไม่รู้จัก ความอยากรู้ทำให้ไปฉวยร่มมากางอยากไปดูด้วยคน
หน้าบ้านตึกเล็กหันหน้าออกถนนใหญ่ แต่หน้าบ้านตึกใหญ่หันหน้าออกถนนในซอย จึงมีหลังบ้านหันหลังชนกันเป็นสวนส่วนกลางร่วมกัน มีโรงเรือนเพาะเห็ดอยู่ข้างกำแพง ตัวเรือนขนาดกว้างสามเมตรยาวห้าเมตร หลังคากระเบื้องลาดเทเมื่อฝนหล่นจากฟ้าน้ำฝนพากันไหลลงเป็นสาย ข้างล่างมีโอ่งลูกกลมใหญ่ตั้งอยู่สามใบ ใหญ่ขนาดคนลงไปอยู่ข้างในได้สามสี่คน
ลมเหนือเคยดูหนังผีไทย มีคนหนีผีลงโอ่งใบเดียวกันเป็นสิบคน นึกว่าไม่น่าเป็นไปได้ แต่พอมาเห็นโอ่งขนาดใหญ่นี้ คิดว่าถ้าเป็นเด็กตัวเล็กต้องลงไปอยู่ด้วยกันได้สิบคนเลยกระมัง
ทั้งเลวิสและลมเหนือหลบเข้าชายคา แต่ยังกางร่มกันละอองฝนกระเด็นโดน ต่างยืนดูโอ่งอย่างเห็นเป็นของแปลก
จุ๊บแจงอยู่ในชุดกันฝนหอบหิ้วกะละมังพลาสติกใบใหญ่และถังน้ำหูหิ้ว เดินมาพร้อมกับกาฬวาร ต่างช่วยกันตั้งถังวางเรียงกับกะละมังตามแนวชายหลังคาจุดที่สายฝนหล่นลงมา เนื่องจากไม่มีการทำรางรองน้ำฝน ฝนกำลังตกหนักไม่นานได้น้ำฝนเกือบเต็มถังและกะละมัง จึงช่วยกันยกไปเทลงโอ่งใหญ่ จุ๊บแจงไม่ค่อยเปียกฝนนักเพราะใส่เสื้อกันฝน แต่กาฬวารวางร่มทิ้งไว้เลย ยอมเปียกฝนในชุดเสื้อยืดทีเชิ้ตแขนสั้นสีขาวกับกางเกงยีน กำลังสนุกกับการเล่นรองน้ำฝนเทใส่โอ่งจนเต็มไปได้หนึ่งใบ ดีใจเหมือนเล่นเกมชิงรางวัลชนะเลิศ หัวเราะชอบใจกับจุ๊บแจง แล้วต่อด้วยเทน้ำลงโอ่งใบถัดมา
สองคุณชายผู้กลัวฝนทั้งลมเหนือและเลวิสไม่คิดช่วยสาว เอาแต่มองจ้องสาวน้อยเปียกน้ำฝนที่ตกหนัก ชักสนใจมองคนเปียกฝนมากกว่าสนใจมองโอ่ง เพราะเนื้อผ้าที่เปียกบางแนบเนื้อเน้นรูปร่างสมส่วนโค้งเว้า ดูเข้าท่าน่ามองมิใช่น้อย สองพี่น้องยืนตัวติดกันเริ่มซุบซิบนินทา แล้วพากันหัวเราะคิกคัก
“ฮะ ฮะ ฮะ... ตลกดี กาฬคงเล่นรองน้ำฝน นั่นหัวเราะชอบใจใหญ่เลยสนุกเขาล่ะ” ลมเหนือหัวเราะ พลางพูดกับเลวิสฝ่าเสียงสายฝนอื้ออึงพอได้ยินกันสองคนพี่น้อง
“กาฬตอนเปียกน้ำฝนนี่เซ็กซี่ น่ารัก อ้ะ...” เลวิสคิดแต่เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ในสมองเสมอ ซึ่งพอกันกับน้องของเขา
“จริงของนาย... ฉันเห็นด้วย”
ฟ้าหลังฝนปลอดโปร่งหายใจโล่ง อากาศเย็นชุ่มชื้นชื่นใจ กาฬวารยกแก้วน้ำฝนมาตั้งบนโต๊ะอาหาร
“กินได้เหรอน้ำฝนเนี่ย” เลวิสถาม ...ไม่ค่อยมั่นใจ
“กินได้สิ รับรองน้ำสะอาด เพราะเป็นน้ำจากฟ้าเทวดาประทานมาให้ ที่นี่ต่างจังหวัดอากาศดีไม่มีฝุ่นเขม่ารถยนต์มาเจือปนมากเหมือนในเมืองกรุง” กาฬวารออกปากรับรองแทน ‘อย.’ เลยทีเดียว
“รสชาติเป็นไง ไหนขอลองชิมสักหน่อย” ลมเหนือทดลองดื่มน้ำฝนจากแก้วเป็นคนแรก ตามต่อมาด้วยเลวิส
“รสไม่เหมือนน้ำกลั่นจากเครื่องกรองน้ำ ไม่เหมือนน้ำดื่มที่วางขายตามท้องตลาดด้วย” เลวิสบอก
“รสออกหวานหน่อยอร่อยดี ว่าไหมเลวิส” ลมเหนือพูด พยักหน้ายิ้มกับเลวิส ซึ่งพยักหน้ายิ้มรับเช่นกัน
“ฉันเป็นคนจน... รู้จักหาของฟรีตามธรรมชาติกินเพื่ออยู่รอด เพราะไม่มีเงินซื้อกิน ฉันก็เด็กบ้าน ๆ แบบนี้ล่ะ”
คำพูดธรรมดาจากปากเด็กสาวธรรมดาที่ใช้ชีวิตอิงธรรมชาติ ทำให้เด็กหนุ่มทั้งสองเห็นมุมมองชีวิตที่แตกต่างจากพวกเขา ทั้งเลวิสทั้งลมเหนือรู้สึกทึ่งและพึงพอใจกาฬวาร เมื่อได้อยู่ใกล้แล้วพาให้สบายใจ...
............กาฬวารต้องใช้สมาธิในการทำรายงาน และกำลังหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตโดยใช้โน้ตบุ๊ก มันวางอยู่บนตักในขณะเธอนั่งพับเพียบอยู่กับพื้นห้อง
“กำลังทำอะไรเหรอ อ๋อ... ทำรายงาน” ลมเหนือยื่นหน้าเข้ามา ถามเองตอบเองเสร็จสรรพ และลงนั่งข้างหลังเธอ
“ค่ะ... กำลังเร่งทำให้เสร็จจะได้ส่งพรุ่งนี้ มีเวลาเหลือจะได้ไปทำอย่างอื่น”
“นั่นสิ... น่าจะเอาเวลาไปทำอย่างอื่นบ้าง ...ช่วยไหม?” ลมเหนืออาสา และยื่นคางมาเกยบนบ่าข้างซอกคอของกาฬวาร เธอรู้สึกจั๊กจี้แต่พยายามกลั้นหัวเราะไว้
“ไม่ต้องค่ะ ขอบคุณมาก” เธอตอบธรรมดาชาเย็นเป็นมารยาท ใจจดจ่อต่อหน้าโน้ตบุ๊ก แต่เขากลับอยากแกล้ง...
“อยากช่วยนะ” ปากกระซิบแนบข้างใบหู ทำน้ำเสียงพร่า... มือไม้ซุกซนเลื้อยไล้ต้นขาหน้าท้องไปถึงรอบเอว แล้วดึงชายเสื้อ ...ถลกขึ้นเปิดพุงของเธอ
“อย่าเล่น...” เธอส่งเสียงห้ามปรามอย่างช้า... เพราะว่าสมาธิยังจดจ่ออยู่กับรายงานตรงหน้า แต่จับมือเขายื้อไว้ ไม่ให้ไปต่อแล้ว อีกแขนของเขายังว่างจึงวางโอบรอบเอวเธอ
“ใครว่าเล่นล่ะ เอาจริงก็ได้” เขากล่าวกระซิบแนบข้างหูอีกหน
ไออุ่นที่ได้รับสัมผัสจากตัวเขาทำใจให้ใจเธอวูบไหวไปชั่วครู่ ...จึงรีบลุกขึ้นเพื่อหนีเขา
“คุณเหนือ... ฉันไม่ถนัดเรื่องแบบนี้ ยังไม่ถึงเวลาสำหรับฉัน ฉันจะไปคุยกับคุณแม่ ...ขอตัวค่ะ”
“จะเย็นชาไปได้ถึงไหนกันเชียว” ลมเหนือพูดกับตัวเอง ด้วยนึกสนุกกับการได้หยอกเย้า ...ยั่วกาฬวารเล่น
ห้องนั่งเล่นของตึกเล็ก กาฬวารมาถามคุณมิลิน
“เมื่อไหร่คุณเหนือจะไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นคะ”
“เหนือจะกลับไปญี่ปุ่นสัปดาห์หน้า ส่วนเลวิสจะไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่อเมริกา กาฬไปเตรียมตัวเก็บเสื้อผ้าข้าวของใส่กระเป๋าเถอะ พรุ่งนี้พวกเราจะไปพักผ่อนที่บ้านพักตากอากาศชายทะเลของเรา เราจะอยู่ที่นั่นกันสามวันเพื่อเลี้ยงอำลาลูกชายทั้งสองคนของฉัน”
............ในช่วงหัวค่ำ... ณ บ้านพักตากอากาศชายทะเลหัวหินของคุณนายจินตนา
“มานั่งอยู่นี่เอง กาฬ...” เลวิสเอ่ยทักก่อน
กาฬวารนั่งอยู่บนขอบกำแพงหินเตี้ย ๆ เขาเดินมาหยุดยืนตรงหน้าเธอ ความสูงระดับพอดีกัน
“คืนนี้ดาวสวย... ปกติถ้าอยู่บ้าน ป่านนี้ฉันคงเข้านอนแล้ว” กาฬวารแหงนหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า
“อย่าเพิ่งรีบเข้านอนเลย อีกหน่อยเราจะไม่ค่อยได้เจอกันแล้ว คืนนี้อยู่ด้วยกันนานหน่อยได้ไหม” เขาพูดทิ้งเสียงอ้อยอิ่ง...
“ฉันคงเหงา... ถ้าพวกคุณไปกันแล้ว” กาฬวารบอก น้ำเสียงฟังหงอย ๆ ไม่รู้จะคุยอะไรต่อ
แล้วเลวิสก็เข้ามาชิดตัว ท้าวแขนทั้งสองของเขากับกำแพงหิน ...ซึ่งเธอนั่งอยู่ระหว่างสองอ้อมแขนของเขา เมื่อหันมองใบหน้าเขาอีกครั้งจึงอยู่ใกล้กันมาก เขาจ้องมองมานิ่ง ๆ ราวกะจะสะกดจิต หากแต่ตอนนี้เขาไม่มีฤทธิ์อย่างแวมไพร์แล้ว
“ดวงตาของเธอสวย อยากมองนาน ๆ ...จดจำเข้าไปในใจ ฉันจะไม่มีวันลืมเธอ”
“ฉันเหมือนกัน จะไม่มีวันลืมคุณเลวิส และจะเป็นเพื่อนที่ดีของคุณตลอดไป” กาฬวารบอก แล้วหลบสายตาเขา เพราะรู้ว่าเขาชอบ แต่เธอยังไม่พร้อมจะชอบตอบใคร
“ถ้าเวลาผ่านไปจะทำให้เธอเติบโตทางจิตใจ วันข้างหน้าเธอจะมีความรัก...”
“คุณเลวิส...” เธอเงยหน้ามองเขาอีกครั้ง ฝ่ามือแตะบ่าเขาไว้ นึกว่าถ้าเขาโน้มตัวเข้ามาใกล้อีกจะใช้มือยัน
แต่เขากลับวางมือทาบทับบนมือของเธอไว้ ให้วางมือบนบ่าของเขาอยู่อย่างนั้น มองจ้องตากัน...
“เธอเคยจูบใครหรือยัง” เลวิสถาม ทั้งส่งแววตาหวามหวาน ดวงตาของเขาสวยจนเพลินเผลอจ้องมองให้เคลิ้มได้
“ถามอะไรอย่างนั้น ฉันยังเด็กอยู่ไม่เคยหรอก” เธอตอบยิ้มเขินบังเอิญหลุบตาลง มองยังเรียวปากอิ่มของเขา ก่อนจะเบนสายตาเลี่ยงหนีไปมองที่อื่น...
“สักวันเธอต้องเคยมีจูบแรก” เขาพูดเช่นนั้น...
ทำให้เธอมองตาของเขาอีกครั้ง ทั้งใจเต้นแรงขึ้นมาในทันใด หัวเราะแก้เก้อเขิน
“หึ หึ... ฉันคงไม่มีเรื่องอย่างนั้น”
“ชู่ว์...” เลวิสทำเสียง พลางใช้นิ้วชี้แนบปากตนเป็นสัญญาณบอกให้เธอเงียบ
“ฉันมีอะไรดี ๆ จะให้เธอล่ะ” พูดอย่างกับมีลับลมคมนัยน์ ...แถมยิ้มกรุ้มกริ่ม
“อะไรเหรอ” เธอถาม ดวงตาคู่สวยเบิ่งมองอย่างสงสัย...
“...หลับตาสิ” เลวิสสั่งด้วยเสียงอ่อนโยน
กาฬวารเป็นคนว่าง่าย ...จึงทำตามเขา แล้วก็ได้รับสัมผัสแผ่วเบาบริเวณเรียวปาก ...จึงลืมตาขึ้น
“ไหนล่ะ คุณเลวิสจะให้อะไรฉัน” เธอถาม ยังคงสงสัยอยู่อีก
“ให้แล้วไงไม่รู้ตัวเหรอ ...ฉันจูบเธอไงล่ะ” บอกพร้อมยิ้มหวาน...
“หา! คุณเลวิสจูบฉัน? จริงเหรอ ไม่เห็นรู้สึกเลย” เธอบอก ทำตาโตแบบแปลกใจมาก
ทำให้เขากลายเป็นฝ่ายหน้าแดง ...เขินอายเสียเอง
“เธอนี่... ไร้อารมณ์โรแมนติก จริง ๆ เลย หึ หึ...” เลวิสต่อว่าขำ ๆ
“เอ... รู้สึกอุ่น ๆ ที่ปากนิดหน่อย ลองจูบอีกได้ไหม เอ๊ะ! ไม่ดีมั้ง ขอโทษค่ะ คิดว่าฉันพูดเล่นละกัน” กาฬวารเริ่มพูดจาสับสนลุกลี้ลุกลน กระดักกระเดิดเขินอาย... รีบเปลี่ยนใจในทันทีเมื่อคิดได้ว่ามันไม่เหมาะ
“แต่ฉันจริงจังกับเธอ” เลวิสหยุดยิ้ม มองเรียวปากอิ่มของเธอ แล้วลิ้นเลียไล้เรียวปากของตัวเอง ใจอยากจูบกับเธออีกสักครั้ง
“ฉันเป็นแฟนของคุณเหนือ” แม้กาฬวารจะพูดอย่างนั้น แต่ในใจวูบไหวที่ได้เห็นปลายลิ้นของเขา เกิดตื่นเต้นหัวใจสั่นรัว...
“เธอแค่เป็นเพื่อนกับเขา ได้จดทะเบียนสมรสกัน ไม่ได้แปลว่าเป็นผัวเมียกันเสียหน่อย” เลวิสพูดย้ำถึงสถานะที่แท้จริงของเธอ ให้จำนนในเหตุผล เธอจึงนิ่งเงียบไป... ในขณะที่เขายื่นหน้าเข้ามาชิด ริมฝีปากได้ให้สัมผัสความนุ่มละมุนอบอุ่นอีกครั้ง และไล้เรียวปากคลอเคลียให้เธอเคลิบเคลิ้มลืมตัวตน หลงเพลิดเพลินในรสจูบอันนุ่มนวล ชวนให้ซาบซ่านไปถึงในหัวใจ ยิ่งเขาไม่คลายจูบเล้าโลมอันเนิ่นนานนั้น ก็ยังผลให้ใจเธอหวิวเป็นริ้ว ๆ ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แทบลืมหายใจ เหมือนคนกำลังขาดออกซิเจน
“คุณเลวิส...” เธอเอ่ยชื่อเขา หายใจเหมือนเหนื่อยอ่อนอย่างเหลือเกิน จากประสบการณ์ที่เขาเคยผ่านผู้หญิงมา จึงเข้าใจในอาการของเธอ บ่งบอกถึงการมีอารมณ์อ่อนระทวยเผลอใจตอบสนองต่อเขา
“เธอชอบฉัน กาฬ...” เลวิสบอก และจูบเธอซ้ำอีกครั้งอย่างไม่ให้ได้ตั้งตัว หลังจากนั้น...
“พอเถอะคุณเลวิส...” กาฬวารว่า ผลักร่างเขาออกห่าง หวั่นไหวจนสั่นไปทั่วทั้งตัวทั้งหัวใจ เกินฝืนทนอยู่นิ่งจึงรีบวิ่งหนีกลับเข้าที่พัก...
“วิ่งหนีอะไรมาล่ะ กาฬ...” คุณมิลินร้องทัก ...เห็นสาวน้อยหน้าตาตื่นผ่านมา
“เปล่าค่ะ” กาฬวารตอบสั้น ๆ ไม่รู้จะพูดคุยอะไร
“ลูกชายฉันไม่อยู่ในบ้านทั้งคนพี่คนน้องเลย เธอเห็นพวกเขาสองคนไหม?”
“เอ่อ...” กาฬวารยังไม่ทันตอบอะไร มัวแต่อ้ำอึ้ง...
คุณมิลินจึงอมยิ้มอย่างรู้ทัน... มันต้องเกิดอะไรขึ้นแน่
“ไปโดนเล่นแกล้งอะไรแปลก ๆ มาอีกล่ะสิใช่ไหม”
“คงจะอย่างนั้น... ฉันขอตัวไปเข้านอนก่อนนะคะ” กาฬวารไม่กล้าตอบอะไรมาก เพราะมันจริงอย่างคุณมิลินว่า จึงรีบหนีอย่างเดียว
............ตีสองเศษ เพราะนอนไม่ค่อยหลับกาฬวารจึงตื่นตามเวลาปกติ เข้ามานั่งทอดอารมณ์ในห้องรับแขก โดยไม่ได้เปิดไฟ ปล่อยจิตใจล่องลอยไป... เห็นแต่ใบหน้าหล่อเหลาผิวขาวอมชมพูยิ่งนึกดูก็ยิ่งถูกใจ และอดใจเต้นระรัวไม่ได้กับเหตุการณ์เมื่อหัวค่ำ ได้โดนจูบซ้ำแล้วซ้ำเล่า... ปลุกเร้ารันจวนใจในรสจูบนุ่มนวลชวนเคลิบเคลิ้ม ยังคงตรึงติดสนิทแนบบนเรียวปากอิ่มของเธออยู่อย่างไม่จางคลาย
‘จูบนั้น... นึกแล้วใจหวิวไม่หาย...’
“ไปเดินเล่นด้วยกันหน่อยสิ” เสียงลมเหนือดังขึ้น ทลายภวังค์ฝันหวานของกาฬวารพอดี
“ยังมืดอยู่เลย เปลี่ยว... ไม่มีผู้คน เขายังไม่ตื่นกันเลยไม่มีเพื่อนเดิน...” เธอปฏิเสธอย่างไร้กระจิตกระใจ
“มีฉันเป็นเพื่อนเธอนี่ไง ...ไม่ได้เหรอ” เขาชิงถามแทรก ก่อนเธอพูดจบประโยคด้วยซ้ำ
“งั้น... ได้ค่ะ” กาฬวารรับคำ และเดินตามเขาออกไปยังชายหาด
“เธอจูบกับเลวิส ฉันเห็น...” ลมเหนือบอก มองอย่างสังเกตพิจารณาใบหน้าของเธอ
“ฉันไม่เจตนา... ฉันขอโทษ” เสียงอ่อยละอาย รู้ว่าไม่เหมาะไม่ควร เธอเองไม่น่าปล่อยตัวปล่อยใจไปอย่างนั้น
“จะขอโทษทำไม ถ้าใจเธอชอบเขา”
“ฉันยังไม่ได้คิดเรื่องชอบใคร”
“แต่คนอื่นเขาคิดกันแล้ว และเธอปล่อยให้เขาจูบ...” เขาทำเสียงแข็ง เหมือนกำลังไม่พอใจ
“ถ้าฉันรู้ล่วงหน้าว่าเขาจะทำอย่างนั้น ฉันจะหนีไปไม่ให้เขา...” เธอเริ่มเขินอาย เกินจะกล่าวคำว่า ‘จูบ’
“จูบกับเขาแล้วเป็นไงล่ะ” เขาถาม พลางจ้องหน้าหาเรื่อง...
“ถ้าคุณเหนือถามเรื่องไร้สาระ ฉันจะไม่คุยด้วย” เธอพูดเลี่ยงเพื่อจะหนีให้พ้นหน้าเขา
“...กับฉันได้ไหม”
“หือ?... อะไรของคุณเหนือ” เธองงกับคำถามแปลก ๆ ของเขา จึงมองหน้าอย่างสงสัย
“นี่ไง...” ลมเหนือโผเข้ากอด และหอมบริเวณซอกคอของเธอทั้งซ้ายและขวาสลับกัน ...เร็วจนเธอไม่ทันตั้งตัว
“คุณเหนือทำอะไรอย่างนี้ ...ปล่อยฉัน” เธอตกใจ เลยดิ้นทั้งที่ผลักเขาไม่ออกห่างตัวไปได้
“ฉันยังไม่ได้จูบเธอเลย”
“ไม่... อื้อ...” เธอปฏิเสธ แต่กลับถูกบังคับขืนด้วยกำลัง เขาดึงเธอเข้าไปจูบปากอย่างแรง แบบที่ไม่ชอบ...
“เป็นไงล่ะ”
เขาถามด้วยรอยยิ้มเยาะแบบที่เธอไม่ชอบ มือเธอพยายามยันร่างเขาให้ออกห่าง ทั้งแข็งขืนร่างตัวเองไว้เต็มกำลัง แต่แล้วกลับถูกจู่โจมโหมจูบแรง ๆ ย้ำซ้ำอีกคราว
“ทำไมคุณเหนือเป็นคนแบบนี้” เธอตัดพ้อปากคอแดงระเรื่อ เลือดในกายสาวหวิวซ่านให้ร้อนวูบไปทั่วทั้งใบหน้าถึงลำคอ
“แบบไหนหรือ?...” ลมเหนือยังทำหน้าไก๋ ไม่รู้สึกผิดแต่อย่างใด
“ชอบใช้กำลังบังคับคนที่เขาไม่เต็มใจ” เธอต่อว่าทำหน้าง้ำ เขาจึงปล่อยเธอ เธอรีบวิ่งหนีเข้าห้องนอน...
ตอนพระอาทิตย์ขึ้น... ยายเพียรมาเคาะประตู ปลุกหลานสาวให้ออกไปดูบรรยากาศยามเช้า
“กาฬไม่สบายปวดหัวจ้า อยากจะกินยาแล้วนอนพัก เดี๋ยวกาฬจะลงไปตักข้าวขึ้นมากินบนห้องจ้าย่า” กาฬวารบอก ทั้งที่จริงไม่เป็นไรมาก นอกจากอับอายที่ถูกลมเหนือกระทำ และเจ็บใจที่โดนลบรอยจูบอันเคยติดตรึงจากเลวิส ทำให้ต้องจดจำทั้งไม่อยากจำ โดนปู้ยี้ปู้ยำใช้กำลังบังคับจูบอย่างไม่ปรานีปราศรัย ...ใครจะเจ็บช้ำน้ำใจอย่างไร
“คุณเหนือประทับตราความทรงจำที่ย่ำแย่ แย่งจูบจากคุณเลวิสให้หายไปจากฉัน ฉันจะเอาคืนยังไงดีเนี่ย... นี่แน่ะ” บ่นว่าอยู่คนเดียว แล้วมาระบายอารมณ์ลงกับหมอนข้าง ทั้งทุบตบตีมัน ตุ้บตั้บ... ตุบตับอยู่พักหนึ่ง
............เลวิสตามลมเหนือไปประเทศญี่ปุ่น เพื่อไปเยี่ยมบ้านเกิด เมืองชิสุโอกะ
“คริสต์มาสปีก่อน ไม่มาเยี่ยมปู่กับย่า หายเงียบไปเลยนะเลวิส” คุณเรนะต่อว่า หลังหลานชายโถมเข้ามากอดเอว
“ปีนี้มาแล้วนี่ไงครับ ถึงไม่ใช่ช่วงคริสต์มาส แต่จะอยู่กินอาหารอร่อยฝีมือย่าทุกวัน จนย่าเบื่อทำให้ผมกินเลย”
“ย่าไม่เบื่อหรอก มาคราวนี้จะอยู่กี่วันกัน”
“ผมจะอยู่ให้นาน นาน... เลย”
“อย่างมากปู่ว่าไม่เกินสิบวัน” คุณคาโต้ว่ายิ้ม ๆ เอ็นดูหลานชาย เคยคุ้นกันมาแสนนาน เคยเลี้ยงมาตอนเป็นเด็ก
“แหะ ๆ ๆ ...ประมาณนั้นครับ” เลวิสหัวเราะแห้ง ๆ ยอมรับ
“ปีก่อนฉันกับปู่ย่า เตรียมของขวัญไว้ให้นาย ...เก้อเลย เพราะนายไม่มา ฉะนั้นขนเอากลับไปด้วย เอ็มพีสาม”
“เหรอ... ดีจัง กำลังอยากได้พอดี”
“แม่เราเขาเล่าให้ย่าฟัง ฮคคุแต่งงานแล้ว กับสาววัยรุ่นอายุสิบเก้า ...จริงเหรอ” ผู้เริ่มถามเข้าประเด็นอยากรู้
“จริงครับ เธอชื่อกาฬวาร แม่เขาเล่าให้ย่าฟัง เรื่องทั้งหมดแล้วหรือยังครับ”
“ไม่เห็นเล่ารายละเอียด บอกให้ซักถามฮคคุเอง แล้วไปรักไปชอบกันได้ยังไง ทำไมต้องรีบร้อนแต่งงาน ไม่รอให้เรียนจบก่อน เหลืออีกเทอมเดียวเท่านั้น”
“ที่จริง... ไม่เชิงรักกันสักเท่าไหร่ มันเกิดเรื่องเหลือเชื่อ...” แล้วลมเหนือจึงเล่าเรื่องโดยละเอียด ให้คุณเรนะและคุณคาโต้ได้รับฟัง...
แล้วคุณย่าถึงได้พูดสรุปเตือนใจหลานชาย
“นี่แหละนะเป็นเพราะคบเพื่อนไม่ดี เรื่องผู้หญิงก็เหมือนกัน ผู้หญิงสวยใช่ว่าจะเป็นคนดี แล้วสาววัยรุ่นคนที่เหนือแต่งงานด้วยเป็นคนดีจริงหรือ”
“จริงครับ เธอช่วยชีวิตผม ไปตามหาพระธุดงค์ถึงในป่า เราเดินป่าไปด้วยกัน ผมเห็นแล้วสงสาร... เธอยอมลำบากเพื่อผม” ลมเหนือเล่าเรื่องส่วนตัวเฉพาะของตัวเองซึ่งเป็นเรื่องเหลือเชื่อมากแล้ว ส่วนเรื่องของเลวิสต่างปิดเงียบ ไม่มีใครยอมเล่า เพราะต้องการปิดเป็นความลับ มีคนรู้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น
“ผมดูแล้ว กาฬกับฮคคุยังไม่ได้เป็นผัวเมียกันจริงหรอกครับ เพราะฝ่ายนั้นยังเป็นสาวบริสุทธิ์ และยังไม่เคยมีความรักครั้งแรกเลย”
“ย่าไม่อยากเชื่อ...”
“เรายังไม่เคยนอนห้องเดียวกัน ผมไม่เคยล่วงเกินเธอ นอกจาก...” ลมเหนือพูดอย่างลังเล
และเลวิสมองจ้องอยู่ จึงถามคาดคั้น
“นายทำอะไรกาฬ เฮอะ... ฮคคุ”
“แค่ปล้ำจูบไปหน่อยเดียวเอง” เขาสารภาพตามตรง
“ไอ้บ้าฮคคุ แล้วกาฬเป็นไง... ชอบจูบกับนายไหม” เลวิสว่าผู้เป็นน้องชาย อีกทั้งทำตาขวางให้
“ไม่เลยล่ะมั้ง เธอต่อว่าฉันใช้กำลังกับคนที่ไม่เต็มใจ เธอคงไม่ชอบฉัน”
“คงอย่างนั้น... เพราะผู้หญิงส่วนใหญ่ชอบผู้ชายนุ่มนวลและให้เกียรติ์ไม่บังคับเธอ ฉันว่าอย่างนายคงไม่พยายามทำให้ผู้หญิงรัก คงปล่อยตามใจ ไม่รักก็ช่าง เพราะนายชอบผู้หญิงที่เขาเอาใจนายมากกว่านายจะต้องไปเอาใจเขาใช่ไหม” เลวิสสันนิษฐานคาดเดาเอาจากนิสัยเรื่อยเฉื่อยสบาย ๆ ตามปกติของผู้เป็นน้อง
“อืม... ใช่... จริงของนาย”
“แล้วอย่างนี้จะอยู่ร่วมชีวิตกันไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือ? ในอนาคตฮคคุจะทำยังไงกับเมียเรา” คุณคาโต้ถามหลานชายที่ดูท่าจะเอาแน่นอนเรื่องคู่ครองไม่ได้
“กาฬบอกว่าพวกเรายังไม่พร้อมจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน อยากให้พวกเราเรียนจบมหาวิทยาลัย เธอไม่ได้ผูกมัดผม ถ้าเกิดไปเจอใครที่ผมชอบ เธอไม่ว่าครับ แล้วแต่ผมจะเลือกหรือตัดสินใจอีกครั้งหลังเรียนจบ”
“ตอนแรกผมกะจะไม่เรียนต่อมหาวิทยาลัย จะเป็นนักร้องตามบาร์ตามผับ แต่ตอนนี้ผมคิดจะเรียนต่อ และผมจะเรียนทำอาหารด้วย เอาไว้เป็นเสน่ห์... มัดใจสาวคนรักของผมที่สำคัญผมจะเรียนภาษาไทยให้คล่อง เพราะผมชอบผู้หญิงไทย” เลวิสคุยอวดเรื่องความรักของเขาบ้าง
“เลวิสไปชอบใครเข้าล่ะ เล่าให้ย่าฟังบ้างสิ” ผู้เป็นคุณย่าถามพร้อมอมยิ้มเอ็นดูผู้เป็นหลาน
“ผู้หญิงคนนั้น คือ กาฬวาร นั่นแหละครับ สักวันผมจะกลับไปเมืองไทย ผมจะทำให้เธอรักผม ถึงวันนั้นผมเชื่อ... เธอจะรักผม เพราะผมรักเธอจริง ๆ ที่ผมมั่นใจเพราะผมเป็นคนที่ได้เฟิร์สคิสของเธอ” เลวิสกล่าวอย่างภาคภูมิ
ลมเหนือได้แต่มองหน้าพี่ชาย ไม่เอ่ยคัดค้านประการใด
“แบบนี้ปู่ว่ามันจะยุ่งยากภายหลัง เป็นพี่น้องกันแต่ดันมารักผู้หญิงคนเดียวกัน”
“ไม่ยุ่งหรอกครับ กาฬกับฮคคุไม่ได้รักกันอย่างแฟน กาฬให้คำมั่นสัญญาจะเป็นเพื่อนที่ดีของนายตลอดไปไม่ใช่เหรอ ...ฮคคุ” เลวิสบอกคุณคาโต้ แล้วหันมาถามลมเหนือ
“แล้วฮคคุล่ะ รักเมียเราไหม” คุณคาโต้ถามแทรก เลยได้เห็นลมเหนือมีทีท่าลังเลก่อนตอบคำถาม
“ผมชอบครับ”
“ชอบกับรักมันต่างกัน นายรู้ดี... แล้วนายชอบหรือรักล่ะ ฮคคุ...” เลวิสถาม
ไม่มีคำตอบจากลมเหนือ อายุเพิ่งเท่านี้ยังเป็นวัยรุ่น สิ่งที่เกินความเข้าใจคือความรักแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร
______________________...oooooOOOooooo...______________________... ตอน ๑๘
............ลมเหนืออยากลองร่วมทำบุญใส่บาตรตอนเช้ากับกาฬวารด้วย ยายเพียรจึงคอยสอนหลานเขยให้จับทัพพีตามพิธีทางศาสนาพุทธ
“เขาว่าทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขัน จะได้เป็นเนื้อคู่กับไปทุกภพชาติ ให้จับทัพพีเดียวกัน เหนือจับอยู่บนเหนือมือกาฬนั่นแหละ เขาเชื่อกันว่าคนที่จับทัพพีอยู่บนจะเป็นผู้นำครอบครัว”
ลมเหนือทำตามยายเพียรสอน สองคนกับกาฬวารตักข้าวจากในขันข้าวช่วยกันประคองทัพพีใส่บาตรพระ ส่วนเลวิสเป็นชาวคริสต์ใส่บาตรหรือทำพิธีในศาสนาอื่นไม่ได้ จึงได้แต่ยืนสังเกตการณ์อยู่ไม่ไกล
ขณะนั้นบรรยากาศบนท้องฟ้ามืดครึ้มด้วยเมฆหนาช่วงปลายฝนต้นหนาว ลมเย็นพัดแรงชั่วประเดี๋ยวเดียวฝนเริ่มพรำลงมา ทุกคนต่างช่วยกันเก็บถาดเก็บโต๊ะที่ตั้งใส่บาตรกันจ้าละหวั่น ลมเหนือกับเลวิสวิ่งเข้าตึกใหญ่ไปล่วงหน้าก่อนแล้ว กาฬวารประคองยายเพียรขึ้นบันไดตึกใหญ่ เพราะระยะทางห่างจากตึกเล็ก แต่ยายเพียรชราภาพมากมักเดินช้า กว่าจะถึงตึกเล็กเกรงจะเปียกฝนหนาวเย็นไปเสียก่อน
และแล้วฝนกลับเทกระหน่ำแรงขึ้น ยายเพียร เลวิสและลมเหนือนั่งดูสายฝนจากหน้าต่างในห้องรับแขก แต่กาฬวารไม่อยู่เฉย ฉวยร่มกางจะเดินออกไป
“ฝนกำลังตกหนักจะไปไหนกาฬ เดี๋ยวเปียกฝนเป็นหวัด น้ำฝนหน้านี้ยิ่งหนาวเย็นอยู่” ยายเพียรถามหลานสาว
“ไม่เป็นหวัดหรอกจ้าย่า เดี๋ยวกลับมาอาบน้ำก็ไม่เป็นหวัดแล้ว กาฬจะไปชวนจุ๊บแจงรองน้ำฝนใส่โอ่งใหญ่”
“มันมีโอ่งอยู่ที่ไหน” ลมเหนือถาม ตั้งแต่มาอยู่บ้านนี้ยังไม่เคยสังเกตสักทีกับสิ่งที่เรียกว่าโอ่ง เพราะตั้งเขาเกิดเป็นเด็กญี่ปุ่นเคยเดินตากฝน แต่ไม่เคยรองน้ำฝนเพราะไม่รู้จะรองน้ำไปทำไม?
เลวิสยิ่งแล้วใหญ่ไม่รู้จักโอ่ง... เคยอยู่ที่อเมริกาบ้านพ่อยูชิยะของเขาไม่มีสิ่งนี้เลยยิ่งไม่รู้จัก ความอยากรู้ทำให้ไปฉวยร่มมากางอยากไปดูด้วยคน
หน้าบ้านตึกเล็กหันหน้าออกถนนใหญ่ แต่หน้าบ้านตึกใหญ่หันหน้าออกถนนในซอย จึงมีหลังบ้านหันหลังชนกันเป็นสวนส่วนกลางร่วมกัน มีโรงเรือนเพาะเห็ดอยู่ข้างกำแพง ตัวเรือนขนาดกว้างสามเมตรยาวห้าเมตร หลังคากระเบื้องลาดเทเมื่อฝนหล่นจากฟ้าน้ำฝนพากันไหลลงเป็นสาย ข้างล่างมีโอ่งลูกกลมใหญ่ตั้งอยู่สามใบ ใหญ่ขนาดคนลงไปอยู่ข้างในได้สามสี่คน
ลมเหนือเคยดูหนังผีไทย มีคนหนีผีลงโอ่งใบเดียวกันเป็นสิบคน นึกว่าไม่น่าเป็นไปได้ แต่พอมาเห็นโอ่งขนาดใหญ่นี้ คิดว่าถ้าเป็นเด็กตัวเล็กต้องลงไปอยู่ด้วยกันได้สิบคนเลยกระมัง
ทั้งเลวิสและลมเหนือหลบเข้าชายคา แต่ยังกางร่มกันละอองฝนกระเด็นโดน ต่างยืนดูโอ่งอย่างเห็นเป็นของแปลก
จุ๊บแจงอยู่ในชุดกันฝนหอบหิ้วกะละมังพลาสติกใบใหญ่และถังน้ำหูหิ้ว เดินมาพร้อมกับกาฬวาร ต่างช่วยกันตั้งถังวางเรียงกับกะละมังตามแนวชายหลังคาจุดที่สายฝนหล่นลงมา เนื่องจากไม่มีการทำรางรองน้ำฝน ฝนกำลังตกหนักไม่นานได้น้ำฝนเกือบเต็มถังและกะละมัง จึงช่วยกันยกไปเทลงโอ่งใหญ่ จุ๊บแจงไม่ค่อยเปียกฝนนักเพราะใส่เสื้อกันฝน แต่กาฬวารวางร่มทิ้งไว้เลย ยอมเปียกฝนในชุดเสื้อยืดทีเชิ้ตแขนสั้นสีขาวกับกางเกงยีน กำลังสนุกกับการเล่นรองน้ำฝนเทใส่โอ่งจนเต็มไปได้หนึ่งใบ ดีใจเหมือนเล่นเกมชิงรางวัลชนะเลิศ หัวเราะชอบใจกับจุ๊บแจง แล้วต่อด้วยเทน้ำลงโอ่งใบถัดมา
สองคุณชายผู้กลัวฝนทั้งลมเหนือและเลวิสไม่คิดช่วยสาว เอาแต่มองจ้องสาวน้อยเปียกน้ำฝนที่ตกหนัก ชักสนใจมองคนเปียกฝนมากกว่าสนใจมองโอ่ง เพราะเนื้อผ้าที่เปียกบางแนบเนื้อเน้นรูปร่างสมส่วนโค้งเว้า ดูเข้าท่าน่ามองมิใช่น้อย สองพี่น้องยืนตัวติดกันเริ่มซุบซิบนินทา แล้วพากันหัวเราะคิกคัก
“ฮะ ฮะ ฮะ... ตลกดี กาฬคงเล่นรองน้ำฝน นั่นหัวเราะชอบใจใหญ่เลยสนุกเขาล่ะ” ลมเหนือหัวเราะ พลางพูดกับเลวิสฝ่าเสียงสายฝนอื้ออึงพอได้ยินกันสองคนพี่น้อง
“กาฬตอนเปียกน้ำฝนนี่เซ็กซี่ น่ารัก อ้ะ...” เลวิสคิดแต่เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ในสมองเสมอ ซึ่งพอกันกับน้องของเขา
“จริงของนาย... ฉันเห็นด้วย”
ฟ้าหลังฝนปลอดโปร่งหายใจโล่ง อากาศเย็นชุ่มชื้นชื่นใจ กาฬวารยกแก้วน้ำฝนมาตั้งบนโต๊ะอาหาร
“กินได้เหรอน้ำฝนเนี่ย” เลวิสถาม ...ไม่ค่อยมั่นใจ
“กินได้สิ รับรองน้ำสะอาด เพราะเป็นน้ำจากฟ้าเทวดาประทานมาให้ ที่นี่ต่างจังหวัดอากาศดีไม่มีฝุ่นเขม่ารถยนต์มาเจือปนมากเหมือนในเมืองกรุง” กาฬวารออกปากรับรองแทน ‘อย.’ เลยทีเดียว
“รสชาติเป็นไง ไหนขอลองชิมสักหน่อย” ลมเหนือทดลองดื่มน้ำฝนจากแก้วเป็นคนแรก ตามต่อมาด้วยเลวิส
“รสไม่เหมือนน้ำกลั่นจากเครื่องกรองน้ำ ไม่เหมือนน้ำดื่มที่วางขายตามท้องตลาดด้วย” เลวิสบอก
“รสออกหวานหน่อยอร่อยดี ว่าไหมเลวิส” ลมเหนือพูด พยักหน้ายิ้มกับเลวิส ซึ่งพยักหน้ายิ้มรับเช่นกัน
“ฉันเป็นคนจน... รู้จักหาของฟรีตามธรรมชาติกินเพื่ออยู่รอด เพราะไม่มีเงินซื้อกิน ฉันก็เด็กบ้าน ๆ แบบนี้ล่ะ”
คำพูดธรรมดาจากปากเด็กสาวธรรมดาที่ใช้ชีวิตอิงธรรมชาติ ทำให้เด็กหนุ่มทั้งสองเห็นมุมมองชีวิตที่แตกต่างจากพวกเขา ทั้งเลวิสทั้งลมเหนือรู้สึกทึ่งและพึงพอใจกาฬวาร เมื่อได้อยู่ใกล้แล้วพาให้สบายใจ...
............กาฬวารต้องใช้สมาธิในการทำรายงาน และกำลังหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตโดยใช้โน้ตบุ๊ก มันวางอยู่บนตักในขณะเธอนั่งพับเพียบอยู่กับพื้นห้อง
“กำลังทำอะไรเหรอ อ๋อ... ทำรายงาน” ลมเหนือยื่นหน้าเข้ามา ถามเองตอบเองเสร็จสรรพ และลงนั่งข้างหลังเธอ
“ค่ะ... กำลังเร่งทำให้เสร็จจะได้ส่งพรุ่งนี้ มีเวลาเหลือจะได้ไปทำอย่างอื่น”
“นั่นสิ... น่าจะเอาเวลาไปทำอย่างอื่นบ้าง ...ช่วยไหม?” ลมเหนืออาสา และยื่นคางมาเกยบนบ่าข้างซอกคอของกาฬวาร เธอรู้สึกจั๊กจี้แต่พยายามกลั้นหัวเราะไว้
“ไม่ต้องค่ะ ขอบคุณมาก” เธอตอบธรรมดาชาเย็นเป็นมารยาท ใจจดจ่อต่อหน้าโน้ตบุ๊ก แต่เขากลับอยากแกล้ง...
“อยากช่วยนะ” ปากกระซิบแนบข้างใบหู ทำน้ำเสียงพร่า... มือไม้ซุกซนเลื้อยไล้ต้นขาหน้าท้องไปถึงรอบเอว แล้วดึงชายเสื้อ ...ถลกขึ้นเปิดพุงของเธอ
“อย่าเล่น...” เธอส่งเสียงห้ามปรามอย่างช้า... เพราะว่าสมาธิยังจดจ่ออยู่กับรายงานตรงหน้า แต่จับมือเขายื้อไว้ ไม่ให้ไปต่อแล้ว อีกแขนของเขายังว่างจึงวางโอบรอบเอวเธอ
“ใครว่าเล่นล่ะ เอาจริงก็ได้” เขากล่าวกระซิบแนบข้างหูอีกหน
ไออุ่นที่ได้รับสัมผัสจากตัวเขาทำใจให้ใจเธอวูบไหวไปชั่วครู่ ...จึงรีบลุกขึ้นเพื่อหนีเขา
“คุณเหนือ... ฉันไม่ถนัดเรื่องแบบนี้ ยังไม่ถึงเวลาสำหรับฉัน ฉันจะไปคุยกับคุณแม่ ...ขอตัวค่ะ”
“จะเย็นชาไปได้ถึงไหนกันเชียว” ลมเหนือพูดกับตัวเอง ด้วยนึกสนุกกับการได้หยอกเย้า ...ยั่วกาฬวารเล่น
ห้องนั่งเล่นของตึกเล็ก กาฬวารมาถามคุณมิลิน
“เมื่อไหร่คุณเหนือจะไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นคะ”
“เหนือจะกลับไปญี่ปุ่นสัปดาห์หน้า ส่วนเลวิสจะไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่อเมริกา กาฬไปเตรียมตัวเก็บเสื้อผ้าข้าวของใส่กระเป๋าเถอะ พรุ่งนี้พวกเราจะไปพักผ่อนที่บ้านพักตากอากาศชายทะเลของเรา เราจะอยู่ที่นั่นกันสามวันเพื่อเลี้ยงอำลาลูกชายทั้งสองคนของฉัน”
............ในช่วงหัวค่ำ... ณ บ้านพักตากอากาศชายทะเลหัวหินของคุณนายจินตนา
“มานั่งอยู่นี่เอง กาฬ...” เลวิสเอ่ยทักก่อน
กาฬวารนั่งอยู่บนขอบกำแพงหินเตี้ย ๆ เขาเดินมาหยุดยืนตรงหน้าเธอ ความสูงระดับพอดีกัน
“คืนนี้ดาวสวย... ปกติถ้าอยู่บ้าน ป่านนี้ฉันคงเข้านอนแล้ว” กาฬวารแหงนหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า
“อย่าเพิ่งรีบเข้านอนเลย อีกหน่อยเราจะไม่ค่อยได้เจอกันแล้ว คืนนี้อยู่ด้วยกันนานหน่อยได้ไหม” เขาพูดทิ้งเสียงอ้อยอิ่ง...
“ฉันคงเหงา... ถ้าพวกคุณไปกันแล้ว” กาฬวารบอก น้ำเสียงฟังหงอย ๆ ไม่รู้จะคุยอะไรต่อ
แล้วเลวิสก็เข้ามาชิดตัว ท้าวแขนทั้งสองของเขากับกำแพงหิน ...ซึ่งเธอนั่งอยู่ระหว่างสองอ้อมแขนของเขา เมื่อหันมองใบหน้าเขาอีกครั้งจึงอยู่ใกล้กันมาก เขาจ้องมองมานิ่ง ๆ ราวกะจะสะกดจิต หากแต่ตอนนี้เขาไม่มีฤทธิ์อย่างแวมไพร์แล้ว
“ดวงตาของเธอสวย อยากมองนาน ๆ ...จดจำเข้าไปในใจ ฉันจะไม่มีวันลืมเธอ”
“ฉันเหมือนกัน จะไม่มีวันลืมคุณเลวิส และจะเป็นเพื่อนที่ดีของคุณตลอดไป” กาฬวารบอก แล้วหลบสายตาเขา เพราะรู้ว่าเขาชอบ แต่เธอยังไม่พร้อมจะชอบตอบใคร
“ถ้าเวลาผ่านไปจะทำให้เธอเติบโตทางจิตใจ วันข้างหน้าเธอจะมีความรัก...”
“คุณเลวิส...” เธอเงยหน้ามองเขาอีกครั้ง ฝ่ามือแตะบ่าเขาไว้ นึกว่าถ้าเขาโน้มตัวเข้ามาใกล้อีกจะใช้มือยัน
แต่เขากลับวางมือทาบทับบนมือของเธอไว้ ให้วางมือบนบ่าของเขาอยู่อย่างนั้น มองจ้องตากัน...
“เธอเคยจูบใครหรือยัง” เลวิสถาม ทั้งส่งแววตาหวามหวาน ดวงตาของเขาสวยจนเพลินเผลอจ้องมองให้เคลิ้มได้
“ถามอะไรอย่างนั้น ฉันยังเด็กอยู่ไม่เคยหรอก” เธอตอบยิ้มเขินบังเอิญหลุบตาลง มองยังเรียวปากอิ่มของเขา ก่อนจะเบนสายตาเลี่ยงหนีไปมองที่อื่น...
“สักวันเธอต้องเคยมีจูบแรก” เขาพูดเช่นนั้น...
ทำให้เธอมองตาของเขาอีกครั้ง ทั้งใจเต้นแรงขึ้นมาในทันใด หัวเราะแก้เก้อเขิน
“หึ หึ... ฉันคงไม่มีเรื่องอย่างนั้น”
“ชู่ว์...” เลวิสทำเสียง พลางใช้นิ้วชี้แนบปากตนเป็นสัญญาณบอกให้เธอเงียบ
“ฉันมีอะไรดี ๆ จะให้เธอล่ะ” พูดอย่างกับมีลับลมคมนัยน์ ...แถมยิ้มกรุ้มกริ่ม
“อะไรเหรอ” เธอถาม ดวงตาคู่สวยเบิ่งมองอย่างสงสัย...
“...หลับตาสิ” เลวิสสั่งด้วยเสียงอ่อนโยน
กาฬวารเป็นคนว่าง่าย ...จึงทำตามเขา แล้วก็ได้รับสัมผัสแผ่วเบาบริเวณเรียวปาก ...จึงลืมตาขึ้น
“ไหนล่ะ คุณเลวิสจะให้อะไรฉัน” เธอถาม ยังคงสงสัยอยู่อีก
“ให้แล้วไงไม่รู้ตัวเหรอ ...ฉันจูบเธอไงล่ะ” บอกพร้อมยิ้มหวาน...
“หา! คุณเลวิสจูบฉัน? จริงเหรอ ไม่เห็นรู้สึกเลย” เธอบอก ทำตาโตแบบแปลกใจมาก
ทำให้เขากลายเป็นฝ่ายหน้าแดง ...เขินอายเสียเอง
“เธอนี่... ไร้อารมณ์โรแมนติก จริง ๆ เลย หึ หึ...” เลวิสต่อว่าขำ ๆ
“เอ... รู้สึกอุ่น ๆ ที่ปากนิดหน่อย ลองจูบอีกได้ไหม เอ๊ะ! ไม่ดีมั้ง ขอโทษค่ะ คิดว่าฉันพูดเล่นละกัน” กาฬวารเริ่มพูดจาสับสนลุกลี้ลุกลน กระดักกระเดิดเขินอาย... รีบเปลี่ยนใจในทันทีเมื่อคิดได้ว่ามันไม่เหมาะ
“แต่ฉันจริงจังกับเธอ” เลวิสหยุดยิ้ม มองเรียวปากอิ่มของเธอ แล้วลิ้นเลียไล้เรียวปากของตัวเอง ใจอยากจูบกับเธออีกสักครั้ง
“ฉันเป็นแฟนของคุณเหนือ” แม้กาฬวารจะพูดอย่างนั้น แต่ในใจวูบไหวที่ได้เห็นปลายลิ้นของเขา เกิดตื่นเต้นหัวใจสั่นรัว...
“เธอแค่เป็นเพื่อนกับเขา ได้จดทะเบียนสมรสกัน ไม่ได้แปลว่าเป็นผัวเมียกันเสียหน่อย” เลวิสพูดย้ำถึงสถานะที่แท้จริงของเธอ ให้จำนนในเหตุผล เธอจึงนิ่งเงียบไป... ในขณะที่เขายื่นหน้าเข้ามาชิด ริมฝีปากได้ให้สัมผัสความนุ่มละมุนอบอุ่นอีกครั้ง และไล้เรียวปากคลอเคลียให้เธอเคลิบเคลิ้มลืมตัวตน หลงเพลิดเพลินในรสจูบอันนุ่มนวล ชวนให้ซาบซ่านไปถึงในหัวใจ ยิ่งเขาไม่คลายจูบเล้าโลมอันเนิ่นนานนั้น ก็ยังผลให้ใจเธอหวิวเป็นริ้ว ๆ ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แทบลืมหายใจ เหมือนคนกำลังขาดออกซิเจน
“คุณเลวิส...” เธอเอ่ยชื่อเขา หายใจเหมือนเหนื่อยอ่อนอย่างเหลือเกิน จากประสบการณ์ที่เขาเคยผ่านผู้หญิงมา จึงเข้าใจในอาการของเธอ บ่งบอกถึงการมีอารมณ์อ่อนระทวยเผลอใจตอบสนองต่อเขา
“เธอชอบฉัน กาฬ...” เลวิสบอก และจูบเธอซ้ำอีกครั้งอย่างไม่ให้ได้ตั้งตัว หลังจากนั้น...
“พอเถอะคุณเลวิส...” กาฬวารว่า ผลักร่างเขาออกห่าง หวั่นไหวจนสั่นไปทั่วทั้งตัวทั้งหัวใจ เกินฝืนทนอยู่นิ่งจึงรีบวิ่งหนีกลับเข้าที่พัก...
“วิ่งหนีอะไรมาล่ะ กาฬ...” คุณมิลินร้องทัก ...เห็นสาวน้อยหน้าตาตื่นผ่านมา
“เปล่าค่ะ” กาฬวารตอบสั้น ๆ ไม่รู้จะพูดคุยอะไร
“ลูกชายฉันไม่อยู่ในบ้านทั้งคนพี่คนน้องเลย เธอเห็นพวกเขาสองคนไหม?”
“เอ่อ...” กาฬวารยังไม่ทันตอบอะไร มัวแต่อ้ำอึ้ง...
คุณมิลินจึงอมยิ้มอย่างรู้ทัน... มันต้องเกิดอะไรขึ้นแน่
“ไปโดนเล่นแกล้งอะไรแปลก ๆ มาอีกล่ะสิใช่ไหม”
“คงจะอย่างนั้น... ฉันขอตัวไปเข้านอนก่อนนะคะ” กาฬวารไม่กล้าตอบอะไรมาก เพราะมันจริงอย่างคุณมิลินว่า จึงรีบหนีอย่างเดียว
............ตีสองเศษ เพราะนอนไม่ค่อยหลับกาฬวารจึงตื่นตามเวลาปกติ เข้ามานั่งทอดอารมณ์ในห้องรับแขก โดยไม่ได้เปิดไฟ ปล่อยจิตใจล่องลอยไป... เห็นแต่ใบหน้าหล่อเหลาผิวขาวอมชมพูยิ่งนึกดูก็ยิ่งถูกใจ และอดใจเต้นระรัวไม่ได้กับเหตุการณ์เมื่อหัวค่ำ ได้โดนจูบซ้ำแล้วซ้ำเล่า... ปลุกเร้ารันจวนใจในรสจูบนุ่มนวลชวนเคลิบเคลิ้ม ยังคงตรึงติดสนิทแนบบนเรียวปากอิ่มของเธออยู่อย่างไม่จางคลาย
‘จูบนั้น... นึกแล้วใจหวิวไม่หาย...’
“ไปเดินเล่นด้วยกันหน่อยสิ” เสียงลมเหนือดังขึ้น ทลายภวังค์ฝันหวานของกาฬวารพอดี
“ยังมืดอยู่เลย เปลี่ยว... ไม่มีผู้คน เขายังไม่ตื่นกันเลยไม่มีเพื่อนเดิน...” เธอปฏิเสธอย่างไร้กระจิตกระใจ
“มีฉันเป็นเพื่อนเธอนี่ไง ...ไม่ได้เหรอ” เขาชิงถามแทรก ก่อนเธอพูดจบประโยคด้วยซ้ำ
“งั้น... ได้ค่ะ” กาฬวารรับคำ และเดินตามเขาออกไปยังชายหาด
“เธอจูบกับเลวิส ฉันเห็น...” ลมเหนือบอก มองอย่างสังเกตพิจารณาใบหน้าของเธอ
“ฉันไม่เจตนา... ฉันขอโทษ” เสียงอ่อยละอาย รู้ว่าไม่เหมาะไม่ควร เธอเองไม่น่าปล่อยตัวปล่อยใจไปอย่างนั้น
“จะขอโทษทำไม ถ้าใจเธอชอบเขา”
“ฉันยังไม่ได้คิดเรื่องชอบใคร”
“แต่คนอื่นเขาคิดกันแล้ว และเธอปล่อยให้เขาจูบ...” เขาทำเสียงแข็ง เหมือนกำลังไม่พอใจ
“ถ้าฉันรู้ล่วงหน้าว่าเขาจะทำอย่างนั้น ฉันจะหนีไปไม่ให้เขา...” เธอเริ่มเขินอาย เกินจะกล่าวคำว่า ‘จูบ’
“จูบกับเขาแล้วเป็นไงล่ะ” เขาถาม พลางจ้องหน้าหาเรื่อง...
“ถ้าคุณเหนือถามเรื่องไร้สาระ ฉันจะไม่คุยด้วย” เธอพูดเลี่ยงเพื่อจะหนีให้พ้นหน้าเขา
“...กับฉันได้ไหม”
“หือ?... อะไรของคุณเหนือ” เธองงกับคำถามแปลก ๆ ของเขา จึงมองหน้าอย่างสงสัย
“นี่ไง...” ลมเหนือโผเข้ากอด และหอมบริเวณซอกคอของเธอทั้งซ้ายและขวาสลับกัน ...เร็วจนเธอไม่ทันตั้งตัว
“คุณเหนือทำอะไรอย่างนี้ ...ปล่อยฉัน” เธอตกใจ เลยดิ้นทั้งที่ผลักเขาไม่ออกห่างตัวไปได้
“ฉันยังไม่ได้จูบเธอเลย”
“ไม่... อื้อ...” เธอปฏิเสธ แต่กลับถูกบังคับขืนด้วยกำลัง เขาดึงเธอเข้าไปจูบปากอย่างแรง แบบที่ไม่ชอบ...
“เป็นไงล่ะ”
เขาถามด้วยรอยยิ้มเยาะแบบที่เธอไม่ชอบ มือเธอพยายามยันร่างเขาให้ออกห่าง ทั้งแข็งขืนร่างตัวเองไว้เต็มกำลัง แต่แล้วกลับถูกจู่โจมโหมจูบแรง ๆ ย้ำซ้ำอีกคราว
“ทำไมคุณเหนือเป็นคนแบบนี้” เธอตัดพ้อปากคอแดงระเรื่อ เลือดในกายสาวหวิวซ่านให้ร้อนวูบไปทั่วทั้งใบหน้าถึงลำคอ
“แบบไหนหรือ?...” ลมเหนือยังทำหน้าไก๋ ไม่รู้สึกผิดแต่อย่างใด
“ชอบใช้กำลังบังคับคนที่เขาไม่เต็มใจ” เธอต่อว่าทำหน้าง้ำ เขาจึงปล่อยเธอ เธอรีบวิ่งหนีเข้าห้องนอน...
ตอนพระอาทิตย์ขึ้น... ยายเพียรมาเคาะประตู ปลุกหลานสาวให้ออกไปดูบรรยากาศยามเช้า
“กาฬไม่สบายปวดหัวจ้า อยากจะกินยาแล้วนอนพัก เดี๋ยวกาฬจะลงไปตักข้าวขึ้นมากินบนห้องจ้าย่า” กาฬวารบอก ทั้งที่จริงไม่เป็นไรมาก นอกจากอับอายที่ถูกลมเหนือกระทำ และเจ็บใจที่โดนลบรอยจูบอันเคยติดตรึงจากเลวิส ทำให้ต้องจดจำทั้งไม่อยากจำ โดนปู้ยี้ปู้ยำใช้กำลังบังคับจูบอย่างไม่ปรานีปราศรัย ...ใครจะเจ็บช้ำน้ำใจอย่างไร
“คุณเหนือประทับตราความทรงจำที่ย่ำแย่ แย่งจูบจากคุณเลวิสให้หายไปจากฉัน ฉันจะเอาคืนยังไงดีเนี่ย... นี่แน่ะ” บ่นว่าอยู่คนเดียว แล้วมาระบายอารมณ์ลงกับหมอนข้าง ทั้งทุบตบตีมัน ตุ้บตั้บ... ตุบตับอยู่พักหนึ่ง
............เลวิสตามลมเหนือไปประเทศญี่ปุ่น เพื่อไปเยี่ยมบ้านเกิด เมืองชิสุโอกะ
“คริสต์มาสปีก่อน ไม่มาเยี่ยมปู่กับย่า หายเงียบไปเลยนะเลวิส” คุณเรนะต่อว่า หลังหลานชายโถมเข้ามากอดเอว
“ปีนี้มาแล้วนี่ไงครับ ถึงไม่ใช่ช่วงคริสต์มาส แต่จะอยู่กินอาหารอร่อยฝีมือย่าทุกวัน จนย่าเบื่อทำให้ผมกินเลย”
“ย่าไม่เบื่อหรอก มาคราวนี้จะอยู่กี่วันกัน”
“ผมจะอยู่ให้นาน นาน... เลย”
“อย่างมากปู่ว่าไม่เกินสิบวัน” คุณคาโต้ว่ายิ้ม ๆ เอ็นดูหลานชาย เคยคุ้นกันมาแสนนาน เคยเลี้ยงมาตอนเป็นเด็ก
“แหะ ๆ ๆ ...ประมาณนั้นครับ” เลวิสหัวเราะแห้ง ๆ ยอมรับ
“ปีก่อนฉันกับปู่ย่า เตรียมของขวัญไว้ให้นาย ...เก้อเลย เพราะนายไม่มา ฉะนั้นขนเอากลับไปด้วย เอ็มพีสาม”
“เหรอ... ดีจัง กำลังอยากได้พอดี”
“แม่เราเขาเล่าให้ย่าฟัง ฮคคุแต่งงานแล้ว กับสาววัยรุ่นอายุสิบเก้า ...จริงเหรอ” ผู้เริ่มถามเข้าประเด็นอยากรู้
“จริงครับ เธอชื่อกาฬวาร แม่เขาเล่าให้ย่าฟัง เรื่องทั้งหมดแล้วหรือยังครับ”
“ไม่เห็นเล่ารายละเอียด บอกให้ซักถามฮคคุเอง แล้วไปรักไปชอบกันได้ยังไง ทำไมต้องรีบร้อนแต่งงาน ไม่รอให้เรียนจบก่อน เหลืออีกเทอมเดียวเท่านั้น”
“ที่จริง... ไม่เชิงรักกันสักเท่าไหร่ มันเกิดเรื่องเหลือเชื่อ...” แล้วลมเหนือจึงเล่าเรื่องโดยละเอียด ให้คุณเรนะและคุณคาโต้ได้รับฟัง...
แล้วคุณย่าถึงได้พูดสรุปเตือนใจหลานชาย
“นี่แหละนะเป็นเพราะคบเพื่อนไม่ดี เรื่องผู้หญิงก็เหมือนกัน ผู้หญิงสวยใช่ว่าจะเป็นคนดี แล้วสาววัยรุ่นคนที่เหนือแต่งงานด้วยเป็นคนดีจริงหรือ”
“จริงครับ เธอช่วยชีวิตผม ไปตามหาพระธุดงค์ถึงในป่า เราเดินป่าไปด้วยกัน ผมเห็นแล้วสงสาร... เธอยอมลำบากเพื่อผม” ลมเหนือเล่าเรื่องส่วนตัวเฉพาะของตัวเองซึ่งเป็นเรื่องเหลือเชื่อมากแล้ว ส่วนเรื่องของเลวิสต่างปิดเงียบ ไม่มีใครยอมเล่า เพราะต้องการปิดเป็นความลับ มีคนรู้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น
“ผมดูแล้ว กาฬกับฮคคุยังไม่ได้เป็นผัวเมียกันจริงหรอกครับ เพราะฝ่ายนั้นยังเป็นสาวบริสุทธิ์ และยังไม่เคยมีความรักครั้งแรกเลย”
“ย่าไม่อยากเชื่อ...”
“เรายังไม่เคยนอนห้องเดียวกัน ผมไม่เคยล่วงเกินเธอ นอกจาก...” ลมเหนือพูดอย่างลังเล
และเลวิสมองจ้องอยู่ จึงถามคาดคั้น
“นายทำอะไรกาฬ เฮอะ... ฮคคุ”
“แค่ปล้ำจูบไปหน่อยเดียวเอง” เขาสารภาพตามตรง
“ไอ้บ้าฮคคุ แล้วกาฬเป็นไง... ชอบจูบกับนายไหม” เลวิสว่าผู้เป็นน้องชาย อีกทั้งทำตาขวางให้
“ไม่เลยล่ะมั้ง เธอต่อว่าฉันใช้กำลังกับคนที่ไม่เต็มใจ เธอคงไม่ชอบฉัน”
“คงอย่างนั้น... เพราะผู้หญิงส่วนใหญ่ชอบผู้ชายนุ่มนวลและให้เกียรติ์ไม่บังคับเธอ ฉันว่าอย่างนายคงไม่พยายามทำให้ผู้หญิงรัก คงปล่อยตามใจ ไม่รักก็ช่าง เพราะนายชอบผู้หญิงที่เขาเอาใจนายมากกว่านายจะต้องไปเอาใจเขาใช่ไหม” เลวิสสันนิษฐานคาดเดาเอาจากนิสัยเรื่อยเฉื่อยสบาย ๆ ตามปกติของผู้เป็นน้อง
“อืม... ใช่... จริงของนาย”
“แล้วอย่างนี้จะอยู่ร่วมชีวิตกันไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือ? ในอนาคตฮคคุจะทำยังไงกับเมียเรา” คุณคาโต้ถามหลานชายที่ดูท่าจะเอาแน่นอนเรื่องคู่ครองไม่ได้
“กาฬบอกว่าพวกเรายังไม่พร้อมจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน อยากให้พวกเราเรียนจบมหาวิทยาลัย เธอไม่ได้ผูกมัดผม ถ้าเกิดไปเจอใครที่ผมชอบ เธอไม่ว่าครับ แล้วแต่ผมจะเลือกหรือตัดสินใจอีกครั้งหลังเรียนจบ”
“ตอนแรกผมกะจะไม่เรียนต่อมหาวิทยาลัย จะเป็นนักร้องตามบาร์ตามผับ แต่ตอนนี้ผมคิดจะเรียนต่อ และผมจะเรียนทำอาหารด้วย เอาไว้เป็นเสน่ห์... มัดใจสาวคนรักของผมที่สำคัญผมจะเรียนภาษาไทยให้คล่อง เพราะผมชอบผู้หญิงไทย” เลวิสคุยอวดเรื่องความรักของเขาบ้าง
“เลวิสไปชอบใครเข้าล่ะ เล่าให้ย่าฟังบ้างสิ” ผู้เป็นคุณย่าถามพร้อมอมยิ้มเอ็นดูผู้เป็นหลาน
“ผู้หญิงคนนั้น คือ กาฬวาร นั่นแหละครับ สักวันผมจะกลับไปเมืองไทย ผมจะทำให้เธอรักผม ถึงวันนั้นผมเชื่อ... เธอจะรักผม เพราะผมรักเธอจริง ๆ ที่ผมมั่นใจเพราะผมเป็นคนที่ได้เฟิร์สคิสของเธอ” เลวิสกล่าวอย่างภาคภูมิ
ลมเหนือได้แต่มองหน้าพี่ชาย ไม่เอ่ยคัดค้านประการใด
“แบบนี้ปู่ว่ามันจะยุ่งยากภายหลัง เป็นพี่น้องกันแต่ดันมารักผู้หญิงคนเดียวกัน”
“ไม่ยุ่งหรอกครับ กาฬกับฮคคุไม่ได้รักกันอย่างแฟน กาฬให้คำมั่นสัญญาจะเป็นเพื่อนที่ดีของนายตลอดไปไม่ใช่เหรอ ...ฮคคุ” เลวิสบอกคุณคาโต้ แล้วหันมาถามลมเหนือ
“แล้วฮคคุล่ะ รักเมียเราไหม” คุณคาโต้ถามแทรก เลยได้เห็นลมเหนือมีทีท่าลังเลก่อนตอบคำถาม
“ผมชอบครับ”
“ชอบกับรักมันต่างกัน นายรู้ดี... แล้วนายชอบหรือรักล่ะ ฮคคุ...” เลวิสถาม
ไม่มีคำตอบจากลมเหนือ อายุเพิ่งเท่านี้ยังเป็นวัยรุ่น สิ่งที่เกินความเข้าใจคือความรักแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร
______________________...oooooOOOooooo...______________________... ตอน ๑๘
ไตรติมา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 เม.ย. 2559, 23:31:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 เม.ย. 2559, 23:31:18 น.
จำนวนการเข้าชม : 880
<< ตอน 17 | ตอน 19 >> |