เปลวไฟกลางสายลม
เรื่อง เปลวไฟกลางสายลม
ทักทายเหล่ารีดเดอร์ที่แวะเข้ามา สำหรับเรื่องนี้จะเปิดเรื่องไว้
แล้วจะเริ่มลงให้หลังจากลงเรื่องอื่นแล้ว
ขอเปิดรอไว้ก่อน นิยายตัวเองก็ต้องบอกว่าสนุกแน่นอน
แต่สำหรับเหล่ารีดเดอร์ที่แวะเข้ามาก็ต้องรอติดตามกันนะคะ
สำหรับเขาเธอคือสายลมแห่งชีวิต
และสำหรับเธอ เขาคือเปลวไฟที่จุดประกายความหวังให้กับเธอ
ความรักของสายลมจะโอบอุ้มเปลวไฟ
ดั่งเปลวไฟที่จะมอบแสงสว่างให้กับเธอ ผู้เป็นดั่งสายลมแห่งชีวิตของเขา
เรื่องย่อ
เพลงวาโยได้พบกับผู้ชายที่ทุกคนเรียกว่าเศษสวะของสังคม การพบกันถึงสามครั้งเป็นตัวเชื่อมโยงของโชคชะตา เธอจึงยื่นมือช่วยเหลือเขา รับเขาเข้าสู่อ้อมกอดของสายลม ท่ามกลางความวุ่นวาย เขาคือคนที่ต่อสู่ไปพร้อมกับเธออย่างไม่หวั่นเกรง คือคนที่โอบประคองสายลมให้คงอยู่อย่างมั่นคง เป็นแสงสว่างเล็ก ๆ ที่แม้จะเทียบไม่ได้กับแสงของดวงอาทิตย์ แต่แสงสว่างเล็ก ๆ ของเขา กลับให้ความอบอุ่นกับเธอ เขาทำให้เธอมั่นใจว่าเพียงมีเขาอยู่ เธอจะปลอดภัยไร้กังวล
เขาเป็นเพียงผู้ชายที่ไร้ค่าที่เธอยื่นมือช่วยเหลือเขาถึงสามครั้ง
ในวินาทีที่ชีวิตของเขากำลังจะหลุดลอยไป เธอกลับยื่นมือเข้ามาและรับเขาเข้าสู้อ้อมกอดแห่งสายลม ไฟ คือชื่อใหม่ของเขาที่เธอมอบให้ เธอบอกว่าเขาจะเป็นดวงไฟแห่งชีวิตใหม่ จากนี้เขาคือคนใหม่ ไม่ใช่คนบ้าไร้ที่มา เขาคือคนของไร่สายลม และเขาเชื่อเธอว่าเขาคือไฟ คือคนของไร่สายลม นับจากวินาทีที่ลืมตาตื่นเขาสัญญากับตัวเองว่าทั้งชีวิต ทั้งลมหายใจ เขาจะมีไว้เพื่อเธอ จะดูแลเธอ ปกป้องเธอ หัวใจที่แข็งกระด้างที่มอบให้เธอไปแล้วจะไม่มีทางยกให้ใครอีก
ความรักของทั้งคู่เชื่อมโยงกันไว้ ความรักที่เริ่มจากเจ้านายและลูกน้อง
ก่อนจะแปรเปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ จากคนละลมหายใจ
จะกลายเป็นลมหายใจเดียวกัน เปลวไฟจะอยู่ในอ้อมกอดของสายลม
และสายลมจะคอยพัดหาดวงไฟให้ลุกโชติช่วงตลอดไป
ทักทายเหล่ารีดเดอร์ที่แวะเข้ามา สำหรับเรื่องนี้จะเปิดเรื่องไว้
แล้วจะเริ่มลงให้หลังจากลงเรื่องอื่นแล้ว
ขอเปิดรอไว้ก่อน นิยายตัวเองก็ต้องบอกว่าสนุกแน่นอน
แต่สำหรับเหล่ารีดเดอร์ที่แวะเข้ามาก็ต้องรอติดตามกันนะคะ
สำหรับเขาเธอคือสายลมแห่งชีวิต
และสำหรับเธอ เขาคือเปลวไฟที่จุดประกายความหวังให้กับเธอ
ความรักของสายลมจะโอบอุ้มเปลวไฟ
ดั่งเปลวไฟที่จะมอบแสงสว่างให้กับเธอ ผู้เป็นดั่งสายลมแห่งชีวิตของเขา
เรื่องย่อ
เพลงวาโยได้พบกับผู้ชายที่ทุกคนเรียกว่าเศษสวะของสังคม การพบกันถึงสามครั้งเป็นตัวเชื่อมโยงของโชคชะตา เธอจึงยื่นมือช่วยเหลือเขา รับเขาเข้าสู่อ้อมกอดของสายลม ท่ามกลางความวุ่นวาย เขาคือคนที่ต่อสู่ไปพร้อมกับเธออย่างไม่หวั่นเกรง คือคนที่โอบประคองสายลมให้คงอยู่อย่างมั่นคง เป็นแสงสว่างเล็ก ๆ ที่แม้จะเทียบไม่ได้กับแสงของดวงอาทิตย์ แต่แสงสว่างเล็ก ๆ ของเขา กลับให้ความอบอุ่นกับเธอ เขาทำให้เธอมั่นใจว่าเพียงมีเขาอยู่ เธอจะปลอดภัยไร้กังวล
เขาเป็นเพียงผู้ชายที่ไร้ค่าที่เธอยื่นมือช่วยเหลือเขาถึงสามครั้ง
ในวินาทีที่ชีวิตของเขากำลังจะหลุดลอยไป เธอกลับยื่นมือเข้ามาและรับเขาเข้าสู้อ้อมกอดแห่งสายลม ไฟ คือชื่อใหม่ของเขาที่เธอมอบให้ เธอบอกว่าเขาจะเป็นดวงไฟแห่งชีวิตใหม่ จากนี้เขาคือคนใหม่ ไม่ใช่คนบ้าไร้ที่มา เขาคือคนของไร่สายลม และเขาเชื่อเธอว่าเขาคือไฟ คือคนของไร่สายลม นับจากวินาทีที่ลืมตาตื่นเขาสัญญากับตัวเองว่าทั้งชีวิต ทั้งลมหายใจ เขาจะมีไว้เพื่อเธอ จะดูแลเธอ ปกป้องเธอ หัวใจที่แข็งกระด้างที่มอบให้เธอไปแล้วจะไม่มีทางยกให้ใครอีก
ความรักของทั้งคู่เชื่อมโยงกันไว้ ความรักที่เริ่มจากเจ้านายและลูกน้อง
ก่อนจะแปรเปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ จากคนละลมหายใจ
จะกลายเป็นลมหายใจเดียวกัน เปลวไฟจะอยู่ในอ้อมกอดของสายลม
และสายลมจะคอยพัดหาดวงไฟให้ลุกโชติช่วงตลอดไป
Tags: ไร่สายลม ความรัก การตามหา
ตอน: ตอนที่ ๑ (๕๐%)
๑
กว่าแปดชั่วโมงที่สองสาวขับรถมุ่งตรงจากกรุงเทพสู่จังหวัดพิษณุโลก โดยขับบ้างพักบ้างเพื่อให้ผ่อนคลายความเมื่อยล้า เพราะเส้นทางที่ใช้เดินทางมานั้นค่อนข้างอันตรายมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อยจนในที่สุดสองสาวก็มาถึงพิษณุโลก แต่ก็เสียเวลาในการหาเส้นทางมาที่ไร่สายลมทำให้กว่าจะขับรถเข้าสู่เส้นทางได้ก็ใช้เวลาอีกเป็นชั่วโมง ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงกว่าแล้ว ดวงอาทิตย์กำลังจะลาลับจากขอบฟ้า ทำให้ท้องฟ้าเปลี่ยนจากสว่างไสวเป็นสีส้มตัดกับความมืดสลัว รถของสองสาวเข้าสู่อำเภอเนินมะปรางได้พักใหญ่แล้ว แต่ยังไม่ถึงจุดหมายที่พวกเธอสองคนกำลังจะไป ยิ่งขับลึกเข้ามาไกลมากเท่าไหร่บ้านเรือนสองข้างทางเริ่มน้อยลงเท่านั้น จนเข้าสู่เส้นทางที่เป็นป่า บนเส้นทางถนนลูกลังที่ทอดยาวไกลออกไปปกคลุมไปด้วยวามมืดสลัว สองข้างทางที่ไม่ว่าจะมองไปตรงไหนก็มีเพียงต้นไม้ที่ขึ้นหนาทึบ แสงสว่างจากเสาไฟไม่สามารถหวังพึ่งได้ เมื่อมันเปิดใช้ได้เพียงบางต้น และเมื่อเจอเสาไฟฟ้าต้นหนึ่งต้องขับไปอีกสักพักจะเจอกับอีกต้น จากสภาพโดยรวมทำให้รู้ว่าที่นี่ห่างไกลความเจริญเข้ามาทุกขณะ หลังจากรถวิ่งเข้ามาเส้นถนนลูกรุงนี่เธอไม่เห็นรถวิ่งสวนไปมาเลย จึงแอบคิดว่าใบหม่อนพาเธอหลงทางมหรือเปล่า
“พี่ไม่ชอบที่นี่เลย” ใบหม่อนพูดเพื่อทำลายบรรยากาศที่เงียบชวนพิศวง
“เราอยู่ในเมืองจนชิน พอมาเจอแบบนี้มันก็ไม่ชินเป็นธรรมดา เดี๋ยวพอใบหม่อนปรับตัวได้ ใบหม่อนอาจจะชอบที่นี่ก็ได้นะ”
“พี่ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น ไม่อย่างนั้นพี่คงอยู่อย่างทรมานใจแน่ ๆ”
“เราใกล้ถึงหมู่บ้านเนินทุ่งทองหรือยังใบหม่อน”
“พี่ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะคุณหนู พี่มาตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อน แต่พี่จำได้ว่าคุณวาขับรถเข้าไปไกลพอสมควรค่ะ พี่ไม่อยากจะเชื่อเลยนะคะผ่านมาตั้งห้าปี ที่นี่ไม่เปลี่ยนไปเลย ไม่พัฒนาขึ้นสักนิด ถนนเป็นดินลูกรังยังไงก็อย่างนั้น นี่ถ้าวิ่งอีกสักพักพี่คงได้อ้วกใส่รถเพราะหลุมบ่อพวกนี้”
“เอาน่าขับไป ๆ แถวนี้มันนอกตัวเมือง จะให้ถนนเรียบเสมอกันก็ไม่ได้หรอกนะคะ ถ้าเมื่อยก็บอกฉันนะหม่อ เดี๋ยวฉันขับต่อเอง อย่าฝืน”
“พี่ขับไหวคะ ที่สำคัญพี่จะไม่จอดรถแถวนี้แน่ เกิดมีโจรมาดักปล้นล่ะยุ่ง”
“โจรจะมาดักปล้นเส้นที่มันไม่มีรถผ่านทำไมกัน”
“ก็ปลอดภัยไว้ก่อนไงคะคุณหนู” เพลงวาโยยิ้มกับท่าทีระวังระแวงภัยของใบหม่อน พี่เลี้ยงที่อายุห่างกับเธอหกปี สำหรับใบหม่อนอาจจะมองเธอเป็นเจ้านาย แต่สำหรับเธอใบหม่อนคือครอบครัว เธอรู้จักใบหม่อนเท่ากับอายุของเธอ เพราะปีที่เธอเกิด เป็นปีที่ใบหม่อนเสียพ่อแม่ไปเพราะอุบัติเหตุ คู่กรณีขับรถหนีไปทิ้งแม่ของใบหม่อนไว้ข้างทาง กว่าจะมีคนพบแม่ของใบหม่อนก็เสียชีวิตไปแล้ว และคนที่มาพบก็คือมารดาของเพลงวาโย บิดามารดาของเธอสงสารและเวทนาเด็กที่สูญเสียครอบครัวไปอย่างกะทันหัน จึงรับใบหม่อนไว้ในการเลี้ยงดูเพื่อจะได้ไม่ต้องถูกส่งไปบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้า และเมื่อเธอเกิด แม่ของเธอก็ให้ใบหม่อนช่วยดูแลเธอ เธอเชื่อว่านอกจากนอกจากพ่อแม่ที่เสียชีวิตไป ใบหม่อนเป็นคนสุดท้ายที่คิดจะหันหลังให้เธอ ซึ่งอาจจะไม่มีวันเลยก็ได้
“คุณหนูคะ นั่นป้ายหมู่บ้านค่ะคุณหนู เรามาถูกทางแล้วค่ะ” ใบหม่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจเมื่อเห็นป้ายเหล็กสีเขียวปักอยู่ข้างทาง บนแผ่นป้ายเขียนบอกเส้นทางไว้ว่า
...หมู่บ้านเนินทุ่งทอง...
รถเก๋งสีดำขับผ่านป้ายชื่อหมู่บ้านเข้าสู่เขตของหมู่บ้านเนินทุ่งทอง หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในตำบลเนินมะปราง หมู่บ้านเนินทุ่งทองแห่งนี้อยู่ใกล้กับเขตห้ามล่าสัตว์ป่า เส้นทางเข้าสู่ตัวหมู่บ้านจึงเต็มไปด้วยต้นไม้สองข้างทาง ช่วงมีโครงการปลูกป่าสถานที่แถวนี้ก็มีการมาปลูกเพิ่ม ต้นไม้เรานี้เติบโตตามธรรมชาติ ใบยามกลางวันมันช่วยให้ความร่มรื่นแกถนน แต่ยามกลางคืนมันอำพรางแสงสว่างจากท้องฟ้าเอาไว้ ชวนให้บรรยากาศยิ่งวังเวงและน่ากลัวเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะแสงที่ช่วยทำให้มองเห็นมีเพียงแสงจากไฟหน้ารถเท่านั้น นอกนั้นเมื่อมองไปก็มีแต่ความมืด จนเมื่อใบหม่อนเลี้ยวรถหลุดพ้นเส้นทางของแนวต้นไม้นั้นออกมา ก็เริ่มเห็นทุ่งหญ้าโล่งเตียน ไล่ไปตามเส้นทางเริ่มเป็นไร่สวนของชาวบ้าน เห็นบ้านคนอาศัยเป็นระยะห่าง ๆ กัน ช่วยให้สองสาวอุ่นใจขึ้น
“ใกล้ถึงหรือยังหม่อน”
“ใกล้แล้วค่ะ พี่จำได้ว่าปากทางเข้าไร่อยู่ก่อนถึงทางเลี้ยวเข้าชุมชน จำได้ว่าด้านหน้าทางเข้าไร่มีป้ายเขียนบอกไว้ว่าไร่สายลม คุณหนูช่วยพี่มองหาหน่อยสิคะ” เพลงวาโยมองหาป้ายทางเข้าไร่สายลม และขณะที่กำลังมองชะเง้อหาอยู่ ๆ รถเก๋งสีดำคันใหม่ก็ดับลงกลางทางเอาเสียดื้อ ๆ
“เกิดอะไรขึ้นหม่อน”
“เอ่อ...พี่ก็ไม่รู้ คุณหนูอยู่บนรถนะคะเดี๋ยวพี่จะลงไปดูเอง” ใบหม่อนเปิดประตูลงจากรถ และเดินไปเปิดฝากระโปรงรถขึ้น ทันทีที่ฝากระโปรงรถถูกเปิดออกควันสีขาวก็พุ่งกระจายออกมา ใบหม่อนถอยหลังหลบ มีอาการกระแอมไอออกมาเล็กน้อย เธอหยิบโทรศัพท์รุ่นเก่าแต่มีระบบไฟฉายขึ้นมา และขยับเข้าไปส่องตัวเครื่องยนต์ดู
“เป็นยังไงบ้างหม่อน” เพลงวาโยเปิดกระจกรถออกมาและเอ่ยถาม
“เหมือนหม้อน้ำรถจะแห้งค่ะ”
“หม้อน้ำแห้งหรอ”
“ค่ะคุณหนู เราคงไปไหนไม่ได้ตอนนี้แล้วค่ะ คงต้องรอคนแถวนี้ผ่านมาแล้วขอติดรถไป นี่ก็มืดด้วยแล้ว ชาวบ้านจะผ่านมาหรือเปล่าก็ไม่รู้ พี่ขอโทษนะคะที่ไม่เช็คสภาพรถก่อนออกมา เลยทำให้คุณหนูพลอยเดือดร้อนไปด้วย”
“ไม่เป็นไรน่า ฉันเองก็ผิดที่ไม่เตือนหม่อนก่อน เราลองรอสักพักเผื่อจะมีชาวบ้านผ่านมา”
“ถ้าไม่มีคนผ่านมาเราไม่ต้องนอนข้างถนนเหรอคะ”
“ถ้าไม่มีเราก็ลองเดินไปอีกนิด แถวนี้เป็นสวนผลไม้น่าจะมีบ้านคนอยู่ไม่ไกลหรอก อย่าคิดมากน่า ปัญหาเล็กนิดเดียวเอง ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรหม่อนสักหน่อย ดีเสียอีก ท้องฟ้าพึ่งหัวค่ำเห็นดาวชัดด้วย ถือว่าเราแวะพักดูดาวกันก่อนไง ดูสิท้องฟ้าสวยมากเลยนะ” เพลงวาโยชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าไร้กังวล
“คุณหนู” ใบหม่อนเอ่ยเสียงอ่อนใจกับการมองโลกในแง่ดีของเจ้านายสาว
“คุณหนูปิดหน้าต่างเข้าไปนั่งรอในรถเถอะค่ะ แถวนี้ยุงเยอะ”
“ปิดหน้าต่างก็หายใจไม่ออกสิ อย่าลืมสิเครื่องดับแอร์ในรถก็ไม่ทำงานด้วยนะ”
“พี่ทำให้คุณหนูลำบาก”
“คิดมากน่าหม่อน เดี๋ยวฉันลงไปยืนเป็นเพื่อน” เพลงวาโยหยิบถุงขนมและแกะยื่นให้ใบหม่อน
“กินซะจะได้ไม่เครียด เดี๋ยวก็มีคนผ่านมาแล้ว” ใบหม่อนมองขนมที่เพลงวาโยยัดใส่มือให้ และเงยหน้ามองคุณหนูที่แม้จะอยู่ในช่วงเวลาขับขันหรือยุ่งยากใจคุณหนูก็ยังใจเย็น มองทุกอย่างในแง่บวก และยังเอ่ยปลอบใจคนอื่นได้อย่างไร้กังวล นิสัยแบบนี้ก็ดีอยู่หรอก แต่ข้อเสียคือเวลาไม่สบายใจจะไม่ยอมพูดออกมาให้ใครได้ยิน นี่แหละที่ถ้าเป็นห่วง
“คุณหนูคิดไว้ไหมคะว่าถ้าคุณตาคุณหนูไม่ยกโทษให้คุณหนูจะทำยังไง”
“ยังไม่ไม่ได้คิด”
“คิดไว้หน่อยก็ดีนะคะ เวลาไปเผชิญหน้าความจริงคุณหนูจะได้หาทางแก้ไขได้ทันเวลา”
“ฉันตัดสินใจจะกลับมาแล้ว ฉันจะทำให้คุณตายอมรับให้ได้ คุณแม่เคยบอกว่าคุณตาอาจจะดุไปบ้างแต่ก็ใจดีมากนะ ท่านคงไม่ใจร้ายไล่เราหรอก ฉันตั้งใจแล้ว ฉันไม่ถอยหรอกนะถ้าคุณตาจะไล่ฉันจริง ๆ น่ะ” เพลงวาโยเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่กำลังส่องสงระยิบระยับ แสงของดวงดาวเมื่อได้มองในที่มืดมันสวยต่างจากในเมืองใหญ่มาก กลิ่นไอดิน สายลม ต้นหญ้าหอมอวลสดชื่น ทำให้จิตใจของคนที่อยู่ในเมืองวุ่นวายมาตลอดยี่สิบกว่าปีสงบลงได้อย่างง่ายดาย
“คุณหนูก็เป็นอย่างนี้ตลอด” ใบหม่อนเอ่ยและมองใบหน้าคุณหนูที่ดูสงบแต่ไม่เยือกเย็น ถ้าไม่นับบิดามารดาของเพลงวาโยที่เสียไป ใบหม่อนคือคนที่อยู่กับเพลงวาโยในทุกช่วงชีวิต คุณหนูของเธอเหมือนกับคุณวายุตามารดาของเธอทุกระเบียบนิ้ว ทั้งความใจดี มีเมตตา ความใจเย็นที่ไม่เยือกเย็น เป็นคนที่เหมือนจะคิดบวก แต่ความจริงแล้ว คุณหนูเป็นคนมองโลกตามความเป็นจริง มองอย่างที่มันเป็นไป ด้านนิสัยของคุณหนูเธอเชื่อเลยว่าคนที่ได้รู้จักจะตกหลุมรักได้ไม่ยาก ด้านรูปลักษณ์ คุณหนูของเธออาจไม่ได้หน้าตาสวยจับตาจับใจเหมือนสาวชาวกรุงคนอื่น ออกจะหน้าตาธรรมดาที่ค่อนไปทางน่ารักเสียมากกว่าสวย ดวงตาคู่หวานของคุณหนูเมื่อสบมองจะรู้ว่าไม่เหมือนใคร ในเมื่อดวงตาสีน้ำตาลนั้นมีประกายของความสุขอยู่ตลอดเวลา ยามสบมองใครคนนั้นก็รู้สึกสงบและอบอุ่นใจ จมูกโด่งเล็กเข้ากับใบหน้าเล็ก ๆ ของเธอ ริมฝีปากบางสีแดงอมชมพู ที่มุมแก้มขาวนวลมีลักยิ้ม ที่เวลาแย้มยิ้มดูมีเอกลักษณ์ชวนมอง คุณหนูของเธอไม่ได้สวยโดดเด่น แต่ก็มีเสน่ห์บางอย่างดึงดูดให้คนเข้ามาใกล้ อาจเพราะบรรยากาศรอบ ๆ ตัวของคุณหนูที่ส่งออกมามันมีแต่ความนุ่มนวล อ่อนโยน สงบและอบอุ่นใจ อย่างที่ตัวเธอเองรู้สึกเวลาอยู่กับคุณหนู
“ถ้าคุณวากับคุณภรพไม่สั่งเสียคุณหนูไว้ คุณหนูจะกลับมาที่นี่ไหมคะ” เพลงวาโยไม่ได้หันกลับมามองพี่เลี้ยงสาว แต่เงยหน้ามองท้องฟ้าและยิ้มออกมา
“กลับสิ ประทีปทองไม่ใช่บ้านของฉัน แต่ที่นี่คือบ้านของฉัน คุณตาคือบ้านของฉัน”
“เพราะไม่มีใครเหรอคะ” ใบหม่อนถามกลับไป
“บ้านในความหมายของฉันไม่ใช่ที่อยู่อาศัยหรอกนะหม่อน” ใบหม่อนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“บ้านในความหมายของฉันคือครอบครัว คุณตามีครอบครัวคือคุณยายกับแม่ หลังจากคุณแม่หนีไป ท่านก็เศร้าใจ แต่มาเสียคุณยายไปท่านก็ยิ่งเสียศูนย์ คุณแม่เคยบอกฉันนะคุณตาเป็นคนแข็งแรงมาก แต่หลังจากสูญเสียคุณยายไปอาการซึมเศร้าทำให้คุณตาอ่อนแอลง จนสุดท้ายร่างกายก็ได้รับผลกระทบไปด้วย คุณตาสูญเสียครอบครัวไปแล้ว”
“คนในไร่เยอะแยะ”
“มันไม่เหมือนกันนะหม่อน คนในไร่ก็เป็นครอบครัวคุณตา แต่คุณตาคงไม่มีทางเอาความเสียใจถ่ายทอดออกไปให้คนเหล่านั้นเห็นแน่ ยิ่งคุณตาเป็นคนเข้มแข็งภายนอก แต่ภายในของท่านคงไม่แข็งแน่ คุณตาอาจจะรักคนงายในไร่เหมือนคนในครอบครัว แต่ท่านคงไม่ถึงกับไว้ใจจะระบายเรื่องราวในใจไปได้ คุณตาต้องการใครสักคนแน่ ต้องการใครสักคนที่ท่านจะพูดคุยเรื่องเก่า ๆ ได้ ต้องการระบายความทุกข์ในใจทุกอย่างได้ เหมือนฉันไง”
“คุณหนูมีเรื่องทุกข์”
“ใครบ้างไม่ทุกข์ แต่ฉันมีหม่อน ที่คอยรับฟังความไม่สบายใจของฉัน แต่คุณตาไม่มี คุณตาน่าสงสารมากนะ ต่อให้คุณพ่อคุณแม่ไม่สั่ง ฉันก็จะกลับมาที่นี่อยู่ดี และมันยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ครอบครัวเรายังไม่เคยชดใช้ให้กับคุณตา ถึงคุณพ่อคุณแม่ไม่สั่งไว้ ฉันก็จะกลับมา เพราะครอบครัวสุดท้ายของฉันอยู่ที่นี่”
“คุณหนูนั่นรถนี่ค่ะ มีรถผ่านมาแล้วค่ะ” เพลงวาโยหันไปมองรถกระบะที่กำลังวิ่งตรงมาหาพวกเธอ ใบหม่อนตื่นเต้นและดีใจมากรีบโบกมือเรียกรถคันนั้นให้หยุดจอด รถกระบะสีดำชะลอจอดลงใบหม่อนถลาวิ่งไปยืนข้างประตูรถ กระจกข้างคนขับเลื่อนลง เปิดให้เห็นใบหน้าของคนที่อยู่ในรถเป็นชายหนุ่มสองคน คนหนึ่งเป็นผู้ชายหน้าตาใจดีท่าทางเป็นมิตร หน้าตาไม่ได้หล่อมากแต่ก็เป็นผู้ชายที่ดูดีคนหนึ่ง ด้วยรูปร่างที่สูง และหุ่นก็ไม่ได้ผอมอย่างผู้ชายออฟฟิศ แต่ก็ไม่ได้ล่ำสันเนื้อแน่นอย่างคนที่เล่นเข้าสปอร์ตคลับบ่อย ๆ รูปร่างบวกผิวสีแทนที่ดูสะอาดตา เขามีมาดของผู้ชายอบอุ่นใจดีจากบุคลิกภายนอกแต่บุคลิกภายในคงต้องรอดูกันไป ส่วนผู้ชายอีกคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขามีใบหน้านิ่ง ๆ หน้าตาค่อนไปทางดุ คิ้วเข้มที่เฉียงขึ้นเสริมให้ดวงตาของเขาดูดุขึ้นไปอีก สีผิวของเขาเข้มกว่าชายหนุ่มที่ขับรถ คล้ายคนที่ทำงานกลางแดดเป็นเวลานาน ท่าทางนิ่งเงียบขรึมไม่พูดไม่จายิ่งทำให้ชายคนนี้ดูไม่เป็นมิตร ใบหม่อนสำรวจสองหนุ่มเพื่อตรวจสอบความปลอดภัยของพวกเธอว่าถ้าไปกับเขา เขาจะไม่ทำร้ายพวกเธอระหว่างทาง ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรชายหนุ่มหน้าตาใจดีก็เอ่ยขึ้น
“มีอะไรให้ช่วยไหมครับ”
“คือรถเราเสียค่ะ เรากำลังจะไปไร่สายลม พวกเราจะขอติดรถคุณไปลงหน้าไร่ได้ไหมคะ” ใบหม่อนถาม ทั้งที่สายตายังมองสองหนุ่มอย่างสำรวจตรวจตรา ชายหนุ่มทั้งสองมองหน้าสองสาวเมืองกรุงและหันไปมองหน้ากันเหมือนปรึกษาอะไรบางอย่าง
“ผมคงไปส่งคุณหน้าไร่ไม่ได้”
...จบ ๕๐%)
กว่าแปดชั่วโมงที่สองสาวขับรถมุ่งตรงจากกรุงเทพสู่จังหวัดพิษณุโลก โดยขับบ้างพักบ้างเพื่อให้ผ่อนคลายความเมื่อยล้า เพราะเส้นทางที่ใช้เดินทางมานั้นค่อนข้างอันตรายมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อยจนในที่สุดสองสาวก็มาถึงพิษณุโลก แต่ก็เสียเวลาในการหาเส้นทางมาที่ไร่สายลมทำให้กว่าจะขับรถเข้าสู่เส้นทางได้ก็ใช้เวลาอีกเป็นชั่วโมง ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงกว่าแล้ว ดวงอาทิตย์กำลังจะลาลับจากขอบฟ้า ทำให้ท้องฟ้าเปลี่ยนจากสว่างไสวเป็นสีส้มตัดกับความมืดสลัว รถของสองสาวเข้าสู่อำเภอเนินมะปรางได้พักใหญ่แล้ว แต่ยังไม่ถึงจุดหมายที่พวกเธอสองคนกำลังจะไป ยิ่งขับลึกเข้ามาไกลมากเท่าไหร่บ้านเรือนสองข้างทางเริ่มน้อยลงเท่านั้น จนเข้าสู่เส้นทางที่เป็นป่า บนเส้นทางถนนลูกลังที่ทอดยาวไกลออกไปปกคลุมไปด้วยวามมืดสลัว สองข้างทางที่ไม่ว่าจะมองไปตรงไหนก็มีเพียงต้นไม้ที่ขึ้นหนาทึบ แสงสว่างจากเสาไฟไม่สามารถหวังพึ่งได้ เมื่อมันเปิดใช้ได้เพียงบางต้น และเมื่อเจอเสาไฟฟ้าต้นหนึ่งต้องขับไปอีกสักพักจะเจอกับอีกต้น จากสภาพโดยรวมทำให้รู้ว่าที่นี่ห่างไกลความเจริญเข้ามาทุกขณะ หลังจากรถวิ่งเข้ามาเส้นถนนลูกรุงนี่เธอไม่เห็นรถวิ่งสวนไปมาเลย จึงแอบคิดว่าใบหม่อนพาเธอหลงทางมหรือเปล่า
“พี่ไม่ชอบที่นี่เลย” ใบหม่อนพูดเพื่อทำลายบรรยากาศที่เงียบชวนพิศวง
“เราอยู่ในเมืองจนชิน พอมาเจอแบบนี้มันก็ไม่ชินเป็นธรรมดา เดี๋ยวพอใบหม่อนปรับตัวได้ ใบหม่อนอาจจะชอบที่นี่ก็ได้นะ”
“พี่ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น ไม่อย่างนั้นพี่คงอยู่อย่างทรมานใจแน่ ๆ”
“เราใกล้ถึงหมู่บ้านเนินทุ่งทองหรือยังใบหม่อน”
“พี่ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะคุณหนู พี่มาตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อน แต่พี่จำได้ว่าคุณวาขับรถเข้าไปไกลพอสมควรค่ะ พี่ไม่อยากจะเชื่อเลยนะคะผ่านมาตั้งห้าปี ที่นี่ไม่เปลี่ยนไปเลย ไม่พัฒนาขึ้นสักนิด ถนนเป็นดินลูกรังยังไงก็อย่างนั้น นี่ถ้าวิ่งอีกสักพักพี่คงได้อ้วกใส่รถเพราะหลุมบ่อพวกนี้”
“เอาน่าขับไป ๆ แถวนี้มันนอกตัวเมือง จะให้ถนนเรียบเสมอกันก็ไม่ได้หรอกนะคะ ถ้าเมื่อยก็บอกฉันนะหม่อ เดี๋ยวฉันขับต่อเอง อย่าฝืน”
“พี่ขับไหวคะ ที่สำคัญพี่จะไม่จอดรถแถวนี้แน่ เกิดมีโจรมาดักปล้นล่ะยุ่ง”
“โจรจะมาดักปล้นเส้นที่มันไม่มีรถผ่านทำไมกัน”
“ก็ปลอดภัยไว้ก่อนไงคะคุณหนู” เพลงวาโยยิ้มกับท่าทีระวังระแวงภัยของใบหม่อน พี่เลี้ยงที่อายุห่างกับเธอหกปี สำหรับใบหม่อนอาจจะมองเธอเป็นเจ้านาย แต่สำหรับเธอใบหม่อนคือครอบครัว เธอรู้จักใบหม่อนเท่ากับอายุของเธอ เพราะปีที่เธอเกิด เป็นปีที่ใบหม่อนเสียพ่อแม่ไปเพราะอุบัติเหตุ คู่กรณีขับรถหนีไปทิ้งแม่ของใบหม่อนไว้ข้างทาง กว่าจะมีคนพบแม่ของใบหม่อนก็เสียชีวิตไปแล้ว และคนที่มาพบก็คือมารดาของเพลงวาโย บิดามารดาของเธอสงสารและเวทนาเด็กที่สูญเสียครอบครัวไปอย่างกะทันหัน จึงรับใบหม่อนไว้ในการเลี้ยงดูเพื่อจะได้ไม่ต้องถูกส่งไปบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้า และเมื่อเธอเกิด แม่ของเธอก็ให้ใบหม่อนช่วยดูแลเธอ เธอเชื่อว่านอกจากนอกจากพ่อแม่ที่เสียชีวิตไป ใบหม่อนเป็นคนสุดท้ายที่คิดจะหันหลังให้เธอ ซึ่งอาจจะไม่มีวันเลยก็ได้
“คุณหนูคะ นั่นป้ายหมู่บ้านค่ะคุณหนู เรามาถูกทางแล้วค่ะ” ใบหม่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจเมื่อเห็นป้ายเหล็กสีเขียวปักอยู่ข้างทาง บนแผ่นป้ายเขียนบอกเส้นทางไว้ว่า
...หมู่บ้านเนินทุ่งทอง...
รถเก๋งสีดำขับผ่านป้ายชื่อหมู่บ้านเข้าสู่เขตของหมู่บ้านเนินทุ่งทอง หมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในตำบลเนินมะปราง หมู่บ้านเนินทุ่งทองแห่งนี้อยู่ใกล้กับเขตห้ามล่าสัตว์ป่า เส้นทางเข้าสู่ตัวหมู่บ้านจึงเต็มไปด้วยต้นไม้สองข้างทาง ช่วงมีโครงการปลูกป่าสถานที่แถวนี้ก็มีการมาปลูกเพิ่ม ต้นไม้เรานี้เติบโตตามธรรมชาติ ใบยามกลางวันมันช่วยให้ความร่มรื่นแกถนน แต่ยามกลางคืนมันอำพรางแสงสว่างจากท้องฟ้าเอาไว้ ชวนให้บรรยากาศยิ่งวังเวงและน่ากลัวเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะแสงที่ช่วยทำให้มองเห็นมีเพียงแสงจากไฟหน้ารถเท่านั้น นอกนั้นเมื่อมองไปก็มีแต่ความมืด จนเมื่อใบหม่อนเลี้ยวรถหลุดพ้นเส้นทางของแนวต้นไม้นั้นออกมา ก็เริ่มเห็นทุ่งหญ้าโล่งเตียน ไล่ไปตามเส้นทางเริ่มเป็นไร่สวนของชาวบ้าน เห็นบ้านคนอาศัยเป็นระยะห่าง ๆ กัน ช่วยให้สองสาวอุ่นใจขึ้น
“ใกล้ถึงหรือยังหม่อน”
“ใกล้แล้วค่ะ พี่จำได้ว่าปากทางเข้าไร่อยู่ก่อนถึงทางเลี้ยวเข้าชุมชน จำได้ว่าด้านหน้าทางเข้าไร่มีป้ายเขียนบอกไว้ว่าไร่สายลม คุณหนูช่วยพี่มองหาหน่อยสิคะ” เพลงวาโยมองหาป้ายทางเข้าไร่สายลม และขณะที่กำลังมองชะเง้อหาอยู่ ๆ รถเก๋งสีดำคันใหม่ก็ดับลงกลางทางเอาเสียดื้อ ๆ
“เกิดอะไรขึ้นหม่อน”
“เอ่อ...พี่ก็ไม่รู้ คุณหนูอยู่บนรถนะคะเดี๋ยวพี่จะลงไปดูเอง” ใบหม่อนเปิดประตูลงจากรถ และเดินไปเปิดฝากระโปรงรถขึ้น ทันทีที่ฝากระโปรงรถถูกเปิดออกควันสีขาวก็พุ่งกระจายออกมา ใบหม่อนถอยหลังหลบ มีอาการกระแอมไอออกมาเล็กน้อย เธอหยิบโทรศัพท์รุ่นเก่าแต่มีระบบไฟฉายขึ้นมา และขยับเข้าไปส่องตัวเครื่องยนต์ดู
“เป็นยังไงบ้างหม่อน” เพลงวาโยเปิดกระจกรถออกมาและเอ่ยถาม
“เหมือนหม้อน้ำรถจะแห้งค่ะ”
“หม้อน้ำแห้งหรอ”
“ค่ะคุณหนู เราคงไปไหนไม่ได้ตอนนี้แล้วค่ะ คงต้องรอคนแถวนี้ผ่านมาแล้วขอติดรถไป นี่ก็มืดด้วยแล้ว ชาวบ้านจะผ่านมาหรือเปล่าก็ไม่รู้ พี่ขอโทษนะคะที่ไม่เช็คสภาพรถก่อนออกมา เลยทำให้คุณหนูพลอยเดือดร้อนไปด้วย”
“ไม่เป็นไรน่า ฉันเองก็ผิดที่ไม่เตือนหม่อนก่อน เราลองรอสักพักเผื่อจะมีชาวบ้านผ่านมา”
“ถ้าไม่มีคนผ่านมาเราไม่ต้องนอนข้างถนนเหรอคะ”
“ถ้าไม่มีเราก็ลองเดินไปอีกนิด แถวนี้เป็นสวนผลไม้น่าจะมีบ้านคนอยู่ไม่ไกลหรอก อย่าคิดมากน่า ปัญหาเล็กนิดเดียวเอง ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรหม่อนสักหน่อย ดีเสียอีก ท้องฟ้าพึ่งหัวค่ำเห็นดาวชัดด้วย ถือว่าเราแวะพักดูดาวกันก่อนไง ดูสิท้องฟ้าสวยมากเลยนะ” เพลงวาโยชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าไร้กังวล
“คุณหนู” ใบหม่อนเอ่ยเสียงอ่อนใจกับการมองโลกในแง่ดีของเจ้านายสาว
“คุณหนูปิดหน้าต่างเข้าไปนั่งรอในรถเถอะค่ะ แถวนี้ยุงเยอะ”
“ปิดหน้าต่างก็หายใจไม่ออกสิ อย่าลืมสิเครื่องดับแอร์ในรถก็ไม่ทำงานด้วยนะ”
“พี่ทำให้คุณหนูลำบาก”
“คิดมากน่าหม่อน เดี๋ยวฉันลงไปยืนเป็นเพื่อน” เพลงวาโยหยิบถุงขนมและแกะยื่นให้ใบหม่อน
“กินซะจะได้ไม่เครียด เดี๋ยวก็มีคนผ่านมาแล้ว” ใบหม่อนมองขนมที่เพลงวาโยยัดใส่มือให้ และเงยหน้ามองคุณหนูที่แม้จะอยู่ในช่วงเวลาขับขันหรือยุ่งยากใจคุณหนูก็ยังใจเย็น มองทุกอย่างในแง่บวก และยังเอ่ยปลอบใจคนอื่นได้อย่างไร้กังวล นิสัยแบบนี้ก็ดีอยู่หรอก แต่ข้อเสียคือเวลาไม่สบายใจจะไม่ยอมพูดออกมาให้ใครได้ยิน นี่แหละที่ถ้าเป็นห่วง
“คุณหนูคิดไว้ไหมคะว่าถ้าคุณตาคุณหนูไม่ยกโทษให้คุณหนูจะทำยังไง”
“ยังไม่ไม่ได้คิด”
“คิดไว้หน่อยก็ดีนะคะ เวลาไปเผชิญหน้าความจริงคุณหนูจะได้หาทางแก้ไขได้ทันเวลา”
“ฉันตัดสินใจจะกลับมาแล้ว ฉันจะทำให้คุณตายอมรับให้ได้ คุณแม่เคยบอกว่าคุณตาอาจจะดุไปบ้างแต่ก็ใจดีมากนะ ท่านคงไม่ใจร้ายไล่เราหรอก ฉันตั้งใจแล้ว ฉันไม่ถอยหรอกนะถ้าคุณตาจะไล่ฉันจริง ๆ น่ะ” เพลงวาโยเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่กำลังส่องสงระยิบระยับ แสงของดวงดาวเมื่อได้มองในที่มืดมันสวยต่างจากในเมืองใหญ่มาก กลิ่นไอดิน สายลม ต้นหญ้าหอมอวลสดชื่น ทำให้จิตใจของคนที่อยู่ในเมืองวุ่นวายมาตลอดยี่สิบกว่าปีสงบลงได้อย่างง่ายดาย
“คุณหนูก็เป็นอย่างนี้ตลอด” ใบหม่อนเอ่ยและมองใบหน้าคุณหนูที่ดูสงบแต่ไม่เยือกเย็น ถ้าไม่นับบิดามารดาของเพลงวาโยที่เสียไป ใบหม่อนคือคนที่อยู่กับเพลงวาโยในทุกช่วงชีวิต คุณหนูของเธอเหมือนกับคุณวายุตามารดาของเธอทุกระเบียบนิ้ว ทั้งความใจดี มีเมตตา ความใจเย็นที่ไม่เยือกเย็น เป็นคนที่เหมือนจะคิดบวก แต่ความจริงแล้ว คุณหนูเป็นคนมองโลกตามความเป็นจริง มองอย่างที่มันเป็นไป ด้านนิสัยของคุณหนูเธอเชื่อเลยว่าคนที่ได้รู้จักจะตกหลุมรักได้ไม่ยาก ด้านรูปลักษณ์ คุณหนูของเธออาจไม่ได้หน้าตาสวยจับตาจับใจเหมือนสาวชาวกรุงคนอื่น ออกจะหน้าตาธรรมดาที่ค่อนไปทางน่ารักเสียมากกว่าสวย ดวงตาคู่หวานของคุณหนูเมื่อสบมองจะรู้ว่าไม่เหมือนใคร ในเมื่อดวงตาสีน้ำตาลนั้นมีประกายของความสุขอยู่ตลอดเวลา ยามสบมองใครคนนั้นก็รู้สึกสงบและอบอุ่นใจ จมูกโด่งเล็กเข้ากับใบหน้าเล็ก ๆ ของเธอ ริมฝีปากบางสีแดงอมชมพู ที่มุมแก้มขาวนวลมีลักยิ้ม ที่เวลาแย้มยิ้มดูมีเอกลักษณ์ชวนมอง คุณหนูของเธอไม่ได้สวยโดดเด่น แต่ก็มีเสน่ห์บางอย่างดึงดูดให้คนเข้ามาใกล้ อาจเพราะบรรยากาศรอบ ๆ ตัวของคุณหนูที่ส่งออกมามันมีแต่ความนุ่มนวล อ่อนโยน สงบและอบอุ่นใจ อย่างที่ตัวเธอเองรู้สึกเวลาอยู่กับคุณหนู
“ถ้าคุณวากับคุณภรพไม่สั่งเสียคุณหนูไว้ คุณหนูจะกลับมาที่นี่ไหมคะ” เพลงวาโยไม่ได้หันกลับมามองพี่เลี้ยงสาว แต่เงยหน้ามองท้องฟ้าและยิ้มออกมา
“กลับสิ ประทีปทองไม่ใช่บ้านของฉัน แต่ที่นี่คือบ้านของฉัน คุณตาคือบ้านของฉัน”
“เพราะไม่มีใครเหรอคะ” ใบหม่อนถามกลับไป
“บ้านในความหมายของฉันไม่ใช่ที่อยู่อาศัยหรอกนะหม่อน” ใบหม่อนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“บ้านในความหมายของฉันคือครอบครัว คุณตามีครอบครัวคือคุณยายกับแม่ หลังจากคุณแม่หนีไป ท่านก็เศร้าใจ แต่มาเสียคุณยายไปท่านก็ยิ่งเสียศูนย์ คุณแม่เคยบอกฉันนะคุณตาเป็นคนแข็งแรงมาก แต่หลังจากสูญเสียคุณยายไปอาการซึมเศร้าทำให้คุณตาอ่อนแอลง จนสุดท้ายร่างกายก็ได้รับผลกระทบไปด้วย คุณตาสูญเสียครอบครัวไปแล้ว”
“คนในไร่เยอะแยะ”
“มันไม่เหมือนกันนะหม่อน คนในไร่ก็เป็นครอบครัวคุณตา แต่คุณตาคงไม่มีทางเอาความเสียใจถ่ายทอดออกไปให้คนเหล่านั้นเห็นแน่ ยิ่งคุณตาเป็นคนเข้มแข็งภายนอก แต่ภายในของท่านคงไม่แข็งแน่ คุณตาอาจจะรักคนงายในไร่เหมือนคนในครอบครัว แต่ท่านคงไม่ถึงกับไว้ใจจะระบายเรื่องราวในใจไปได้ คุณตาต้องการใครสักคนแน่ ต้องการใครสักคนที่ท่านจะพูดคุยเรื่องเก่า ๆ ได้ ต้องการระบายความทุกข์ในใจทุกอย่างได้ เหมือนฉันไง”
“คุณหนูมีเรื่องทุกข์”
“ใครบ้างไม่ทุกข์ แต่ฉันมีหม่อน ที่คอยรับฟังความไม่สบายใจของฉัน แต่คุณตาไม่มี คุณตาน่าสงสารมากนะ ต่อให้คุณพ่อคุณแม่ไม่สั่ง ฉันก็จะกลับมาที่นี่อยู่ดี และมันยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ครอบครัวเรายังไม่เคยชดใช้ให้กับคุณตา ถึงคุณพ่อคุณแม่ไม่สั่งไว้ ฉันก็จะกลับมา เพราะครอบครัวสุดท้ายของฉันอยู่ที่นี่”
“คุณหนูนั่นรถนี่ค่ะ มีรถผ่านมาแล้วค่ะ” เพลงวาโยหันไปมองรถกระบะที่กำลังวิ่งตรงมาหาพวกเธอ ใบหม่อนตื่นเต้นและดีใจมากรีบโบกมือเรียกรถคันนั้นให้หยุดจอด รถกระบะสีดำชะลอจอดลงใบหม่อนถลาวิ่งไปยืนข้างประตูรถ กระจกข้างคนขับเลื่อนลง เปิดให้เห็นใบหน้าของคนที่อยู่ในรถเป็นชายหนุ่มสองคน คนหนึ่งเป็นผู้ชายหน้าตาใจดีท่าทางเป็นมิตร หน้าตาไม่ได้หล่อมากแต่ก็เป็นผู้ชายที่ดูดีคนหนึ่ง ด้วยรูปร่างที่สูง และหุ่นก็ไม่ได้ผอมอย่างผู้ชายออฟฟิศ แต่ก็ไม่ได้ล่ำสันเนื้อแน่นอย่างคนที่เล่นเข้าสปอร์ตคลับบ่อย ๆ รูปร่างบวกผิวสีแทนที่ดูสะอาดตา เขามีมาดของผู้ชายอบอุ่นใจดีจากบุคลิกภายนอกแต่บุคลิกภายในคงต้องรอดูกันไป ส่วนผู้ชายอีกคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เขามีใบหน้านิ่ง ๆ หน้าตาค่อนไปทางดุ คิ้วเข้มที่เฉียงขึ้นเสริมให้ดวงตาของเขาดูดุขึ้นไปอีก สีผิวของเขาเข้มกว่าชายหนุ่มที่ขับรถ คล้ายคนที่ทำงานกลางแดดเป็นเวลานาน ท่าทางนิ่งเงียบขรึมไม่พูดไม่จายิ่งทำให้ชายคนนี้ดูไม่เป็นมิตร ใบหม่อนสำรวจสองหนุ่มเพื่อตรวจสอบความปลอดภัยของพวกเธอว่าถ้าไปกับเขา เขาจะไม่ทำร้ายพวกเธอระหว่างทาง ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรชายหนุ่มหน้าตาใจดีก็เอ่ยขึ้น
“มีอะไรให้ช่วยไหมครับ”
“คือรถเราเสียค่ะ เรากำลังจะไปไร่สายลม พวกเราจะขอติดรถคุณไปลงหน้าไร่ได้ไหมคะ” ใบหม่อนถาม ทั้งที่สายตายังมองสองหนุ่มอย่างสำรวจตรวจตรา ชายหนุ่มทั้งสองมองหน้าสองสาวเมืองกรุงและหันไปมองหน้ากันเหมือนปรึกษาอะไรบางอย่าง
“ผมคงไปส่งคุณหน้าไร่ไม่ได้”
...จบ ๕๐%)
พัชรีพร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 เม.ย. 2559, 00:36:37 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 เม.ย. 2559, 18:11:42 น.
จำนวนการเข้าชม : 840
<< บทนำ (๑๐๐%) | บทที่ ๑ (๑๐๐%) >> |