เปลวไฟกลางสายลม
เรื่อง เปลวไฟกลางสายลม
ทักทายเหล่ารีดเดอร์ที่แวะเข้ามา สำหรับเรื่องนี้จะเปิดเรื่องไว้
แล้วจะเริ่มลงให้หลังจากลงเรื่องอื่นแล้ว
ขอเปิดรอไว้ก่อน นิยายตัวเองก็ต้องบอกว่าสนุกแน่นอน
แต่สำหรับเหล่ารีดเดอร์ที่แวะเข้ามาก็ต้องรอติดตามกันนะคะ
สำหรับเขาเธอคือสายลมแห่งชีวิต
และสำหรับเธอ เขาคือเปลวไฟที่จุดประกายความหวังให้กับเธอ
ความรักของสายลมจะโอบอุ้มเปลวไฟ
ดั่งเปลวไฟที่จะมอบแสงสว่างให้กับเธอ ผู้เป็นดั่งสายลมแห่งชีวิตของเขา
เรื่องย่อ
เพลงวาโยได้พบกับผู้ชายที่ทุกคนเรียกว่าเศษสวะของสังคม การพบกันถึงสามครั้งเป็นตัวเชื่อมโยงของโชคชะตา เธอจึงยื่นมือช่วยเหลือเขา รับเขาเข้าสู่อ้อมกอดของสายลม ท่ามกลางความวุ่นวาย เขาคือคนที่ต่อสู่ไปพร้อมกับเธออย่างไม่หวั่นเกรง คือคนที่โอบประคองสายลมให้คงอยู่อย่างมั่นคง เป็นแสงสว่างเล็ก ๆ ที่แม้จะเทียบไม่ได้กับแสงของดวงอาทิตย์ แต่แสงสว่างเล็ก ๆ ของเขา กลับให้ความอบอุ่นกับเธอ เขาทำให้เธอมั่นใจว่าเพียงมีเขาอยู่ เธอจะปลอดภัยไร้กังวล
เขาเป็นเพียงผู้ชายที่ไร้ค่าที่เธอยื่นมือช่วยเหลือเขาถึงสามครั้ง
ในวินาทีที่ชีวิตของเขากำลังจะหลุดลอยไป เธอกลับยื่นมือเข้ามาและรับเขาเข้าสู้อ้อมกอดแห่งสายลม ไฟ คือชื่อใหม่ของเขาที่เธอมอบให้ เธอบอกว่าเขาจะเป็นดวงไฟแห่งชีวิตใหม่ จากนี้เขาคือคนใหม่ ไม่ใช่คนบ้าไร้ที่มา เขาคือคนของไร่สายลม และเขาเชื่อเธอว่าเขาคือไฟ คือคนของไร่สายลม นับจากวินาทีที่ลืมตาตื่นเขาสัญญากับตัวเองว่าทั้งชีวิต ทั้งลมหายใจ เขาจะมีไว้เพื่อเธอ จะดูแลเธอ ปกป้องเธอ หัวใจที่แข็งกระด้างที่มอบให้เธอไปแล้วจะไม่มีทางยกให้ใครอีก
ความรักของทั้งคู่เชื่อมโยงกันไว้ ความรักที่เริ่มจากเจ้านายและลูกน้อง
ก่อนจะแปรเปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ จากคนละลมหายใจ
จะกลายเป็นลมหายใจเดียวกัน เปลวไฟจะอยู่ในอ้อมกอดของสายลม
และสายลมจะคอยพัดหาดวงไฟให้ลุกโชติช่วงตลอดไป
ทักทายเหล่ารีดเดอร์ที่แวะเข้ามา สำหรับเรื่องนี้จะเปิดเรื่องไว้
แล้วจะเริ่มลงให้หลังจากลงเรื่องอื่นแล้ว
ขอเปิดรอไว้ก่อน นิยายตัวเองก็ต้องบอกว่าสนุกแน่นอน
แต่สำหรับเหล่ารีดเดอร์ที่แวะเข้ามาก็ต้องรอติดตามกันนะคะ
สำหรับเขาเธอคือสายลมแห่งชีวิต
และสำหรับเธอ เขาคือเปลวไฟที่จุดประกายความหวังให้กับเธอ
ความรักของสายลมจะโอบอุ้มเปลวไฟ
ดั่งเปลวไฟที่จะมอบแสงสว่างให้กับเธอ ผู้เป็นดั่งสายลมแห่งชีวิตของเขา
เรื่องย่อ
เพลงวาโยได้พบกับผู้ชายที่ทุกคนเรียกว่าเศษสวะของสังคม การพบกันถึงสามครั้งเป็นตัวเชื่อมโยงของโชคชะตา เธอจึงยื่นมือช่วยเหลือเขา รับเขาเข้าสู่อ้อมกอดของสายลม ท่ามกลางความวุ่นวาย เขาคือคนที่ต่อสู่ไปพร้อมกับเธออย่างไม่หวั่นเกรง คือคนที่โอบประคองสายลมให้คงอยู่อย่างมั่นคง เป็นแสงสว่างเล็ก ๆ ที่แม้จะเทียบไม่ได้กับแสงของดวงอาทิตย์ แต่แสงสว่างเล็ก ๆ ของเขา กลับให้ความอบอุ่นกับเธอ เขาทำให้เธอมั่นใจว่าเพียงมีเขาอยู่ เธอจะปลอดภัยไร้กังวล
เขาเป็นเพียงผู้ชายที่ไร้ค่าที่เธอยื่นมือช่วยเหลือเขาถึงสามครั้ง
ในวินาทีที่ชีวิตของเขากำลังจะหลุดลอยไป เธอกลับยื่นมือเข้ามาและรับเขาเข้าสู้อ้อมกอดแห่งสายลม ไฟ คือชื่อใหม่ของเขาที่เธอมอบให้ เธอบอกว่าเขาจะเป็นดวงไฟแห่งชีวิตใหม่ จากนี้เขาคือคนใหม่ ไม่ใช่คนบ้าไร้ที่มา เขาคือคนของไร่สายลม และเขาเชื่อเธอว่าเขาคือไฟ คือคนของไร่สายลม นับจากวินาทีที่ลืมตาตื่นเขาสัญญากับตัวเองว่าทั้งชีวิต ทั้งลมหายใจ เขาจะมีไว้เพื่อเธอ จะดูแลเธอ ปกป้องเธอ หัวใจที่แข็งกระด้างที่มอบให้เธอไปแล้วจะไม่มีทางยกให้ใครอีก
ความรักของทั้งคู่เชื่อมโยงกันไว้ ความรักที่เริ่มจากเจ้านายและลูกน้อง
ก่อนจะแปรเปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ จากคนละลมหายใจ
จะกลายเป็นลมหายใจเดียวกัน เปลวไฟจะอยู่ในอ้อมกอดของสายลม
และสายลมจะคอยพัดหาดวงไฟให้ลุกโชติช่วงตลอดไป
Tags: ไร่สายลม ความรัก การตามหา
ตอน: บทที่ ๑ (๑๐๐%)
“อ้าว ไหนใครบอกคนบ้านนอกมีน้ำใจ แค่ขอติดลงไปลงหน้าไร่ไม่ได้หรอ ไม่มีน้ำใจเลย” คำว่าบ้านนอกทำเอาหนุ่มที่นั่งอยู่ข้าง ๆ คนขับตวัดตามองคนพูดทันที เพลงวาโยยิ้มและรับจับมือใบหม่อนไว้ก่อนจะพูดอะไรไปมากกว่านี้
“หม่อน ใจเย็นสิ เขาอาจจะไปไม่ถึงไร่สายลมก็ได้ ขอโทษแล้วก็ขอบคุณมากนะคะ” เพลงวาโยเอ่ยเสียงเบา น้ำเสียงนิ่ม ๆ ทำให้หนุ่มหล่อผู้เป็นสารถีหันไปยิ้มและสบตากับเธอ และเขาก็พูดประโยคต่อมาที่เขายังพูดไม่จบ
“ผมบอกว่าไม่ไปส่งที่หน้าไร่ แต่จะไปส่งในไร่ได้ครับ ผมกำลังจะกลับเข้าไปในไร่พอดี ติดรถไปด้วยกันก็ได้ครับ” เพลงวาโยยิ้ม ใบหม่อนมองหนุ่มหน้าคมด้วยความรู้สึกดีขึ้น
“คือแล้วรถเรา”
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะโทรให้ช่างมาเอาไปซ่อมที่อู่ในตัวเมืองให้ คุณไม่ต้องห่วงล็อครถให้ดีก็พอครับ”
“ที่นี่มีขโมยเหรอคะ”
“ไม่มีหรอกครับ คนที่นี่ดึก ๆ ไม่ค่อยออกไปไหนกันถ้าไม่มีงานประจำปีที่วัด หัวค่ำก็ปิดไฟนอนกันแล้ว ถ้าไม่มีคนแปลกหน้าผ่านเข้ามารับรองว่ารถคุณปลอดภัยครับ แต่ก็ป้องกันไว้ก่อน” เพลงวาโยยิ้มและหันไปมองใบหม่อนที่เดินไปเปิดกระโปรงรถยกกระเป๋าเดินทางออกมา
“ดินนายลงไปช่วยคุณสองคนเขายกกระเป๋าไว้หลังรถที” ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่หน้าตาดุเดินลงจากรถไปช่วยยกกระเป๋าขึ้นไว้หลังรถให้ พร้อมเดินกลับมาเปิดประตูให้เพลงวาโยและใบหม่อนขึ้นไปนั่งเบาะหลัง เมื่อสองสาวขึ้นนั่งบนรถหนุ่มหล่อหน้าตาคมคายก็ขับรถมุ่งหน้าตรงไปยังไร่สายลม
“ผมชื่อพายัพครับ ส่วนนั่นดิน คุณสองคนชื่ออะไรครับ” พายัพชวนคุยเพื่อไม่ให้บรรยากาศภายในรถเงียบจนเกินไป และช่วยให้สองสาวคลายความวิตกในสีหน้าลง เพลงวาโยที่มองข้างทางคล้ายสำรวจเส้นทาง และกำลังเพ่งมองหาป้ายไร่สายลม เมื่อได้ยินคำถามก็หันหน้ากลับมาแต่ยังไม่ทันได้ตอบอะไรออกมา ใบหม่อนก็คว้าจับมือเธอไว้และบีบมือเธอเบา ๆ เหมือนจะบอกกับเธอว่าขอตอบเอง เพลงวาโยจึงเก็บเสียงตัวเองไว้ และปล่อยให้ใบหม่อนเป็นคนเจรจากับพายัพแทน ส่วนตัวเธอก็คอยสำรวจมองสองข้างทางอย่างระแวดระวัง
“ฉันชื่อใบหม่อน มาจากในเมือง พวกนายสองคนเป็นคนที่นี่หรอ” ใบหม่อนถามขณะสำรวจมองภายในรถ แม้จะขึ้นรถมาแล้ว ชายสองคนดูน่าไว้ใจ แต่ก็ยังแอบกลัวชายสองที่นั่งอยู่เบาะหน้าที่อาจจะเป็นภัยกับเธอและคุณหนูของเธอในภายหลัง
“ครับผมสองคนเป็นคนที่นี่ คุณบอกว่าจะไปธุระไร่สายลม มีญาติอยู่ที่ไร่เหรอครับ”
“ใช่ ญาติอยู่ที่ไร่ แล้วนายสองคนไปทำอะไรที่ไร่”
“ผมทำงานอยู่ที่ไร่ แวะเอาผลไม้ไปส่งตลาดในถตัวเมืองพึ่งกลับมาครับ” เขาเอ่ยตอบเสร็จศัพท์ และสังเกตมองสีหน้าของสองสาวผ่านกระจกมองหลัง
“ไม่ต้องทำสีหน้าเหมือนระแวงผมก็ได้ อีกนิดเดียวก็ถึงไร่แล้วครับ รับรองว่าปลอดภัย นั่นป้ายทางเข้าไร่ครับ” พายัพหนุ่มหล่อหน้าตาคมผิวสองสีชี้มือไปที่ป้ายไม้ที่ปักอยู่ข้างประตูไม้เก่า ๆ ตัวอักษรที่เขียนเริ่มซีดจางไปแลวแต่ก็ยังพอเห็นว่ามันเขียนว่าอะไร พายัพหักรถเลี้ยวเข้าไปในไร่ พื้นถนนเป็นพื้นลูกรังไม่ได้เรียบมากนักคล้ายผ่านการใช้งานมานานแรมปี เมื่อมองไปสองข้างทางก็จะเห็นไร่ข้าวโพดที่ปลูกไว้สองข้างทางทอดไปเป็นแนวยาว ภายในไร่มีหลอดไฟติดไว้ตามจุดต่าง ๆ เป็นระยะเพื่อไม่ให้เส้นทางเข้าไร่มืดสลัว เมื่อผ่านไร่ข้าวโพดเข้ามาด้านในของไร่ก็เจอกับเรือนพักหลังใหญ่ที่ไม่ถึงกับโอ่อ่า ตัวเรือนสร้างจากไม้สักทอง รอบ ๆ บ้านปลูกต้นไม้หลานหลายชินให้ความร่มรื่นแก่ตัวบ้าน
“ถึงแล้วครับ” พายัพพูด โดยมีดินเดินลงไปเปิดประตูให้สองสาวลงจากรถ
“ขอบคุณค่ะ ที่นี่...”
“ไร่สายลม พวกคุณสองคนต้องการพบใครครับ ผมจะได้ช่วยตามหาให้” เพลงวาโยและใบหม่อนหันหน้าปรึกษากัน แต่เมื่อพิจารณาดูแล้ว เขาพาเธอมาส่งถึงที่ ท่าทางก็ไม่ใช่คนไม่ดี
“ฉันมาพบคุณมารุตค่ะ” พายัพเลิกคิ้วขึ้นสูงเป็นคำถาม
“ฉันเพลงวาโย เป็นลูกของคุณวายุตา ลูกสาวของคุณมารุตค่ะ” พายัพทำหน้านึกก่อนจะยิ้มออกมา
“ผมจำได้แล้ว คุณสองคนแวะมาเยี่ยมท่านสินะครับ”
“เอ่อ...ค่ะ ดิฉันจะขอผมคุณมารุต”
“ได้สิครับ เดี๋ยวผมพาเข้าไป นี่พึ่งหัวค่ำท่านน่าจะยังไม่หลับ ดิน ช่วยถือกระเป๋าให้คุณผู้หญิงสองคนขึ้นไปด้วย ส่วนคุณสองคนเชิญตามผมมาครับ” พายัพพาสองสาวเข้าไปในบ้าน ยามย่ำค่ำบรรยากาศในไร่ค่อยข้างเงียบสงบ เรือนใหญ่ตั้งอยู่ห่างจากบ้านพักคนงานอยู่พอสมควร ไกลออกไปมีแสดงไฟจากบ้านพักคนงานที่ยังเปิดไฟ มีเสียงสนทนาและเสียงหัวเราะดังแว่วมาตามลม
“ที่นี่มีแต่น้ำเปล่า ทานได้นะครับ”
“ขอบคุณมากค่ะ
“ถ้าอย่างนั้นทานน้ำเย็น ๆ รอก่อนนะครับ เดี๋ยวผมจะขึ้นไปตามคุณตาให้” พายัพพูดจบก็เดินขึ้นไปชั้นสองของตัวบ้าน ทิ้งให้สองสาวนั่งอยู่ในห้องรับแขกด้วยท่าทีแปลกใจระคนสงสัย
“อีตาพายัพนี่เขาเป็นอะไรกับคุณมารุตคะ” ใบหม่อนหันมาถามเพลงวาโย ทั้งเพลงวาโยก็พึ่งมาถึงเช่นกัน
“ทำไมไปเรียกเขาอย่างนั้นล่ะ”
“ดูเจ้ากี้เจ้าการแปลก ๆ หรือเขาจะเป็นหลานชายคุณมารุตคะ”
“คุณตามีลูกคนเดียวก็คือแม่ฉัน เดี๋ยว...”
“แกสองคนมาทางไหนก็กลับไปทางนั้น” เพลงวาโยที่กำลังพูดอยู่กับใบหม่อนเงียบเสียงลง เมื่อเสียงแหบห้าวที่ดูดุเข้มเอ่ยขึ้นมาจากตีนบันได คุณมารุตชายชรารูปร่างผอมสูงท่าทางอ่อนแอ อมโรค ต่างจากรูปถ่ายที่แม่เคยนำมาให้เธอดูเมื่อสามปีก่อนลิบลับ ใบหน้าของคุณตามีร่องรอยเหี่ยวย่นตามกาลเวลา แผ่นหลังที่เคยเหยียดตรงค้อมลงมาเล็กน้อย ดวงตาคมกริบสีดำสนิทมีความไม่พอใจปรากฏออกมา แม้สภาพร่างกายของชายชราอายุร่วมเจ็ดสิบจะเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา แต่สิ่งที่ยังคงมองความน่าเกรงขามที่ไม่เปลี่ยนแปลง คุณมารุตเป็นคนกรุงเทพที่ทิ้งความศิวิไลซ์มาอยู่ทำสวนอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้หลังจากเสียเสาหลักของบ้านไป อาชีพเกษตรกรสร้างรายได้เลี้ยงชีพเขาจนได้พบกับภรรยา แต่งงานมีลูกด้วยกัน วายุตาเป็นลูกสาวสุดรัดสุดหวง ที่มารุตรักดั่งแก้วตาดวงใจ จนมีหนุ่มกรุงเทพที่เข้ามาอยู่ในหมู่บ้าน วายุตากับหนุ่มชาวกรุงคนนั้นตกหลุมรักกันก่อนจะได้เสียกันโดยที่มารุตไม่เคยรู้ จนมีคนคาบข่าวมาบอก มารุตอคติกับหนุ่มขาวกรุงท่าทางสำอางค์อย่างภรพมาก เขาเองก็เป็นคนกรุงเทพรู้ว่าเล่ห์เหลี่ยมของคนกรุงแพรวพราวแค่ไหน เขาไม่ต้องการให้ลูกสาวโดนหลอกจึงจับลูกสาวจะแต่งงาน เขาทะเลาะกับวายุตาจนพลั้งมือตบหน้าวายุตา และไม่คิดว่าลูกสาวที่เชื่อฟังเขามาตลอดจะกล้าหอบเสื้อผ้าหนีตามผู้ชายไป พร้อมบอกเรื่องงามหน้าว่าตัวเองท้องเอาไว้ ภรรยาของเขาพยายามจะห้ามปราม แต่ลูกสาวกลับตัดสินใจแน่วแน่และเลือกจะทิ้งทุกอย่างและหนีไป กัลยาที่ป่วยเป็นโรคหัวใจการการทรุดลง มารุตกลับมาถึงบ้านก็พบว่าภรรยาของตนเสียชีวิตไปแล้ว เพราะพยายามห้ามวายุตาจนโรคหัวใจเกิดกำเริบขึ้นมา เขาโทษวายุตามาตลอดชีวิต ถ้าวายุตาไม่ทิ้งกัลยาไปในวินาทีนั้น กัลยาก็คงไม่ต้องมาตาย ในงานศพเขากัลยาไม่เห็นเงาของลูกสาว ถ้าในวันนั้นวายุตากลับมาเขาอาจจะยอมให้อภัยในความผิดไปแล้ว แต่วายุตาเลือกจะกลับมาหลังจากผ่านไปห้าปี ความแค้นใจ ความอับอาย ทำเขาเลือกจะตัดพ่อตัดลูกกับวายุตาแม้วายุตาพยายามจะมาที่นี่ในอีกหลาย ๆ ครั้ง
“คุณตา” มารุตเดินลงมายืนในห้องนั่งเล่น แต่ยังเว้นระยะห่างจากเธอพอสมควร ข้าง ๆ มารุตคือพายัพที่คอยประคองมารุตไว้ไม่ให้ล้ม
“ฉันไม่มีหลาน พวกแกสองคนออกไปจากบ้านฉันได้แล้ว”
“แต่พวกเราพึ่งมาถึงนะคะคุณตา”
“ฉันไม่ได้สั่งให้พวกแกมา มาจากทางไหนก็กลับไปทางนั้น”
“ใจเย็น ๆ สิคะคุณมารุต” ป้าน้อย แม่บ้าน ซึ่งเป็นคนเก่าคนแก่ของบ้านเอ่ยปรามเจ้านายไว้
“แต่ลมมีเรื่องจะคุยกับคุณตานะคะ”
“ฉันไม่มี”
“คุณมารุตคะ ฟังคุณหนูก่อนเถอะค่ะ”
“พี่น้อยไม่ต้องยุ่ง”
“ก่อนคุณแม่เสียคุณแม่ฝากจดหมายฉบับหนึ่งไว้กับคุณพ่อ ก่อนคุณพ่อเสียเมื่อสามเดือนก่อน คุณพ่อได้นำมันมาให้กับลม ท่านบอกว่าอยากให้ลมมาที่ไร่ แต่เพราะงานศพคุณพ่อลมต้องอยู่จัดการเคลียร์เรื่องบ้านให้เรียบร้อย ในจดหมายคุณแม่อยากให้ลมกลับมาดูแลคุณตาแทนคุณแม่นะคะ”
“ฉันดูแลตัวเองได้”
“คุณตาคะ”
“ฉันไม่มีวันอภัยให้กับแม่แก รวมถึงครอบครัวของแก ออไปจากบ้านฉันได้แล้ว” ใบหน้าของเพลงวาโยไม่ได้มีรอยยิ้ม แต่ก็ไม่ได้กลัว
“ลมกลับไม่ได้ค่ะ ลมอยากอยู่ที่นี่”
“แก...” มารุตชี้หน้าอยากจะอ้าปากด่าทอหลานสาว แต่ก็พูดไม่ออก ยิ่งมองหน้าเพลงวาโย ใบหน้าของลูกสาวก็ลอยขึ้นมา ความเจ็บปวดที่ลูกสาวทิ้งไป แม้จะกลับมา แต่วายุตาก็ยังเป็นต้นเหตุทำให้กัลยา เมียของเขาต้องเสียใจ และหัวใจล้มเหลวและเสียชีวิตลง ทุกอย่างเพราะลูกสาวไม่รักดี เขาไม่มีวันลืม
“ใจเย็น ๆ นะคะคุณรุต คุณรุตคิดดูนะคะ ตอนนี้คุณหนูไม่มีใครแล้ว ญาติฝั่งพ่อก็ไม่ชอบคุณหนู แล้วคุณรุตจะให้คุณหนูไปอยู่ที่ไหนคะ” ป้าน้อยช่วยพูดเกลี้ยกล่อม
“เรื่องของมัน ไม่ใช่เรื่องของฉัน”
“แต่คุณหนูลมเธอเป็นลูกสาวของคุณวายุตา คุณวายุตาเป็นลูกของคุณรุต เป็นสายเลือดคุณรุต คุณรุตจะทิ้งสายเลือดของลูกสาวเหรอคะ”
“ลูกสาวฉันตายไปแล้ว ตายไปในวันที่มันทิ้งฉันกับแม่ยาไป”
“ลมอยากชดเชย ชดใช้ทุกอย่างแทนแม่ แม่ไม่มีทางหลับตาได้อย่างสบาย ลมรู้สึกได้นะคะแม่ยังอยู่กับลม เพราะแม่ยังห่วงคุณตา ยังห่วงลม”
“หุบปากของแกได้แล้ว ออกไปจากบ้านฉัน ฉันไม่อยากเห็นหน้าพวกแกที่นี่”
“ลมขอโทษ ขอโทษสำหรับทุกอย่าง ลมรู้นะคะคุณตาโกรธคุณแม่มาก คุณแม่เองก็ไม่อยากให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้ ทั้งคุณพ่อและคุณแม่รู้สึกผิดมาตลอดที่เลือกจะหนีไป แต่ท่านไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้ แม่อยากจะมายืนตรงนี้เอง แต่แม่ไม่มีโอกาสนั้นแล้ว แต่ลมขอโอกาสแทนแม่ ขอโอกาสให้ลมได้ชด..”
ซ่า!!!
“แกพูดจบแล้วก็ออกจากบ้านฉันไป” น้ำจากเหยือกน้ำในมือมารุตถูกสาดใส่หน้าของเพลงวาโยในจังหวะที่เพลงวาโยก้มหน้าลง เพลงวาโยไม่รู้ว่ามารุตเดินเข้ามาใกล้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่รู้อีกทีคือตอนมาหยุดอยู่ตรงหน้าและสาดน้ำในเหยือกที่วางอยู่บนโต๊ะนั่นใส่เธอแล้ว เพลงวาโยปาดน้ำบนหน้าและยิ้มเศร้า ๆ ส่งให้คุณตา ไม่มีแววตากรุ่นโกรธโมโห ไม่มีความเฉยชา แต่ดวงตามีความเสียใจอยู่วูบหนึ่งก่อนมันจะนิ่งสงบลงเช่นเดิม
“ลมอยากอยู่ที่นี่ ไม่ใช่แค่เพราะการชดเชย ไม่ใช่แค่เพราะคำสั่งเสีย แต่ลมคิดว่าคุณตาเป็นครอบครัวของลม ลมอยากดูแลคุณตาจริง ๆ สำหรับลม คุณตาเป็นครอบครัวของลม ลมเลือกที่จะมาอยู่ที่นี่เพราะลมคิดว่าที่นี่จะเป็นบ้านที่ปลอดภัยของลม ลมอยากจะอยู่ที่นี่กับคุณตาจริง ๆ นะคะ”
“พี่น้อย ถ้าสองคนนี้ยังไม่ไปก็เอาน้ำร้อนมาราดไล่ไป ฉันไม่ต้องการเห็นคนพวกนี้ในวันพรุ่งนี้”
“คุณตาครับ” พายัพพยายามจะช่วยเกลี้ยกล่อม แต่มารุตกลับดึงแขนตัวเองออกและหันไปมองพายัพไม่แม้แต่จะปลายตาไปมองหลานสาวที่ยืนอยู่
“เราเองก็ไปนอนได้แล้วพายัพ ไม่ต้องไปสนใจ” ชายชราเดินขึ้นไปชั้นบนเป็นที่เรียบร้อย ทิ้งให้สองสาวชาวกรุง พายัพและป้าน้อยยืนนิ่งอยู่กลางห้องนั่งเล่น ใบหม่อนจับแขนคุณหนูเหมือนกำลังต้องการความเห็น
“เราจะไม่กลับหม่อน”
“แต่คุณตาของคุณหนูไล่เราแล้วนะคะ ถ้าไม่กลับเราจะไปนอนที่ไหน”
“ฉันจะอยู่ที่นี่”
“คุณหนู...” ใบหม่อนเอ่ยเสียงอ่อนเมื่อเห็นสายตาไม่ยอมแพ้ของเพลงวาโย
“ฉันจะไม่กลับไปไหน ฉันอยากอยู่ที่นี่” ป้าน้อยมองเพลงวาโยอย่างเห็นใจ เธอเองก็สนิทกับกัลยาภรรยาของมารุต เธอรู้ว่าในวันนั้นวายุตาหนีไป แต่วายุตาไม่ได้ตั้งใจจะให้กัลยาเสียชีวิต วายุตาเองก็เสียใจไม่แพ้กันที่เป็นสาเหตุ เธอเองก็แอบติดต่อวายุตาอยู่บ่อยครั้ง คอยรายงานเรื่องของมารุตให้วายุตารู้ ดังนั้นทุกครั้งที่มารุตป่วยวายุตาจะแวะมาเยี่ยมเสมอ แม้จะไม่ได้รับการต้อนรับ
“คุณหนูรอป้าตรงนี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวป้าจะช่วยไปพูดให้”
“ไม่ต้องห่วงนะครับ คุณตาท่านไม่ใช่คนใจแข็ง ผมกับป้าน้อยจะช่วยกันพูด รับรองว่าคุณตาต้องใจอ่อนแน่ครับ” เพลงวาโยพยักหน้าและกล่าวขอบคุณทั้งสอง
“คุณหนูเช็ดหน้าหน่อยค่ะ ตัวเปียกหมดเลย”
“แค่นี้เอง อย่างน้อยคุณตาก็ปรานีฉันสาดแค่น้ำจากเหยือก และมันก็เป็นน้ำเย็น ถ้าคุณตาเกลียดเรามากจริง ๆ เราคงโดนน้ำร้อนไปแล้ว
“พี่ตกใจขนนี้ลุกไปหมดตอนได้ยินเสียง พี่ไม่คิดว่าจะมีคนที่น่าเกรงขามขนาดนี้ ขนาดท่าทางดูอ่อนแอ ไม่น่ามีพิศภัยเหมือนเมื่อห้าปีก่อนนะ แต่ยังให้ความรู้สึกเดินเปี๊ยบ คุณหนูโชคดีที่คุณท่านไม่ถือปืนติดมาแล้วชี้ใส่หน้า”
“ก็นั่นไง ถ้าท่านเกลียดเราจริง คนที่โกรธเกลียดแรงอย่างคุณตาคงเอาปืนมายิงไล่เราแล้ว”
“คุณหนูคิดว่าเราจะได้อยู่ที่นี่ต่อเหรอคะ” เพลงวาโยไม่ได้ตอบเพลงยิ้มส่งกลับมาให้ใบหม่อนเท่านั้น มันไม่ได้ช่วยให้ใบหม่อนรู้สึกดีขึ้นเลยสักนิดในเวลานี้
...ติดตามตอนต่อไป....
“หม่อน ใจเย็นสิ เขาอาจจะไปไม่ถึงไร่สายลมก็ได้ ขอโทษแล้วก็ขอบคุณมากนะคะ” เพลงวาโยเอ่ยเสียงเบา น้ำเสียงนิ่ม ๆ ทำให้หนุ่มหล่อผู้เป็นสารถีหันไปยิ้มและสบตากับเธอ และเขาก็พูดประโยคต่อมาที่เขายังพูดไม่จบ
“ผมบอกว่าไม่ไปส่งที่หน้าไร่ แต่จะไปส่งในไร่ได้ครับ ผมกำลังจะกลับเข้าไปในไร่พอดี ติดรถไปด้วยกันก็ได้ครับ” เพลงวาโยยิ้ม ใบหม่อนมองหนุ่มหน้าคมด้วยความรู้สึกดีขึ้น
“คือแล้วรถเรา”
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะโทรให้ช่างมาเอาไปซ่อมที่อู่ในตัวเมืองให้ คุณไม่ต้องห่วงล็อครถให้ดีก็พอครับ”
“ที่นี่มีขโมยเหรอคะ”
“ไม่มีหรอกครับ คนที่นี่ดึก ๆ ไม่ค่อยออกไปไหนกันถ้าไม่มีงานประจำปีที่วัด หัวค่ำก็ปิดไฟนอนกันแล้ว ถ้าไม่มีคนแปลกหน้าผ่านเข้ามารับรองว่ารถคุณปลอดภัยครับ แต่ก็ป้องกันไว้ก่อน” เพลงวาโยยิ้มและหันไปมองใบหม่อนที่เดินไปเปิดกระโปรงรถยกกระเป๋าเดินทางออกมา
“ดินนายลงไปช่วยคุณสองคนเขายกกระเป๋าไว้หลังรถที” ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่หน้าตาดุเดินลงจากรถไปช่วยยกกระเป๋าขึ้นไว้หลังรถให้ พร้อมเดินกลับมาเปิดประตูให้เพลงวาโยและใบหม่อนขึ้นไปนั่งเบาะหลัง เมื่อสองสาวขึ้นนั่งบนรถหนุ่มหล่อหน้าตาคมคายก็ขับรถมุ่งหน้าตรงไปยังไร่สายลม
“ผมชื่อพายัพครับ ส่วนนั่นดิน คุณสองคนชื่ออะไรครับ” พายัพชวนคุยเพื่อไม่ให้บรรยากาศภายในรถเงียบจนเกินไป และช่วยให้สองสาวคลายความวิตกในสีหน้าลง เพลงวาโยที่มองข้างทางคล้ายสำรวจเส้นทาง และกำลังเพ่งมองหาป้ายไร่สายลม เมื่อได้ยินคำถามก็หันหน้ากลับมาแต่ยังไม่ทันได้ตอบอะไรออกมา ใบหม่อนก็คว้าจับมือเธอไว้และบีบมือเธอเบา ๆ เหมือนจะบอกกับเธอว่าขอตอบเอง เพลงวาโยจึงเก็บเสียงตัวเองไว้ และปล่อยให้ใบหม่อนเป็นคนเจรจากับพายัพแทน ส่วนตัวเธอก็คอยสำรวจมองสองข้างทางอย่างระแวดระวัง
“ฉันชื่อใบหม่อน มาจากในเมือง พวกนายสองคนเป็นคนที่นี่หรอ” ใบหม่อนถามขณะสำรวจมองภายในรถ แม้จะขึ้นรถมาแล้ว ชายสองคนดูน่าไว้ใจ แต่ก็ยังแอบกลัวชายสองที่นั่งอยู่เบาะหน้าที่อาจจะเป็นภัยกับเธอและคุณหนูของเธอในภายหลัง
“ครับผมสองคนเป็นคนที่นี่ คุณบอกว่าจะไปธุระไร่สายลม มีญาติอยู่ที่ไร่เหรอครับ”
“ใช่ ญาติอยู่ที่ไร่ แล้วนายสองคนไปทำอะไรที่ไร่”
“ผมทำงานอยู่ที่ไร่ แวะเอาผลไม้ไปส่งตลาดในถตัวเมืองพึ่งกลับมาครับ” เขาเอ่ยตอบเสร็จศัพท์ และสังเกตมองสีหน้าของสองสาวผ่านกระจกมองหลัง
“ไม่ต้องทำสีหน้าเหมือนระแวงผมก็ได้ อีกนิดเดียวก็ถึงไร่แล้วครับ รับรองว่าปลอดภัย นั่นป้ายทางเข้าไร่ครับ” พายัพหนุ่มหล่อหน้าตาคมผิวสองสีชี้มือไปที่ป้ายไม้ที่ปักอยู่ข้างประตูไม้เก่า ๆ ตัวอักษรที่เขียนเริ่มซีดจางไปแลวแต่ก็ยังพอเห็นว่ามันเขียนว่าอะไร พายัพหักรถเลี้ยวเข้าไปในไร่ พื้นถนนเป็นพื้นลูกรังไม่ได้เรียบมากนักคล้ายผ่านการใช้งานมานานแรมปี เมื่อมองไปสองข้างทางก็จะเห็นไร่ข้าวโพดที่ปลูกไว้สองข้างทางทอดไปเป็นแนวยาว ภายในไร่มีหลอดไฟติดไว้ตามจุดต่าง ๆ เป็นระยะเพื่อไม่ให้เส้นทางเข้าไร่มืดสลัว เมื่อผ่านไร่ข้าวโพดเข้ามาด้านในของไร่ก็เจอกับเรือนพักหลังใหญ่ที่ไม่ถึงกับโอ่อ่า ตัวเรือนสร้างจากไม้สักทอง รอบ ๆ บ้านปลูกต้นไม้หลานหลายชินให้ความร่มรื่นแก่ตัวบ้าน
“ถึงแล้วครับ” พายัพพูด โดยมีดินเดินลงไปเปิดประตูให้สองสาวลงจากรถ
“ขอบคุณค่ะ ที่นี่...”
“ไร่สายลม พวกคุณสองคนต้องการพบใครครับ ผมจะได้ช่วยตามหาให้” เพลงวาโยและใบหม่อนหันหน้าปรึกษากัน แต่เมื่อพิจารณาดูแล้ว เขาพาเธอมาส่งถึงที่ ท่าทางก็ไม่ใช่คนไม่ดี
“ฉันมาพบคุณมารุตค่ะ” พายัพเลิกคิ้วขึ้นสูงเป็นคำถาม
“ฉันเพลงวาโย เป็นลูกของคุณวายุตา ลูกสาวของคุณมารุตค่ะ” พายัพทำหน้านึกก่อนจะยิ้มออกมา
“ผมจำได้แล้ว คุณสองคนแวะมาเยี่ยมท่านสินะครับ”
“เอ่อ...ค่ะ ดิฉันจะขอผมคุณมารุต”
“ได้สิครับ เดี๋ยวผมพาเข้าไป นี่พึ่งหัวค่ำท่านน่าจะยังไม่หลับ ดิน ช่วยถือกระเป๋าให้คุณผู้หญิงสองคนขึ้นไปด้วย ส่วนคุณสองคนเชิญตามผมมาครับ” พายัพพาสองสาวเข้าไปในบ้าน ยามย่ำค่ำบรรยากาศในไร่ค่อยข้างเงียบสงบ เรือนใหญ่ตั้งอยู่ห่างจากบ้านพักคนงานอยู่พอสมควร ไกลออกไปมีแสดงไฟจากบ้านพักคนงานที่ยังเปิดไฟ มีเสียงสนทนาและเสียงหัวเราะดังแว่วมาตามลม
“ที่นี่มีแต่น้ำเปล่า ทานได้นะครับ”
“ขอบคุณมากค่ะ
“ถ้าอย่างนั้นทานน้ำเย็น ๆ รอก่อนนะครับ เดี๋ยวผมจะขึ้นไปตามคุณตาให้” พายัพพูดจบก็เดินขึ้นไปชั้นสองของตัวบ้าน ทิ้งให้สองสาวนั่งอยู่ในห้องรับแขกด้วยท่าทีแปลกใจระคนสงสัย
“อีตาพายัพนี่เขาเป็นอะไรกับคุณมารุตคะ” ใบหม่อนหันมาถามเพลงวาโย ทั้งเพลงวาโยก็พึ่งมาถึงเช่นกัน
“ทำไมไปเรียกเขาอย่างนั้นล่ะ”
“ดูเจ้ากี้เจ้าการแปลก ๆ หรือเขาจะเป็นหลานชายคุณมารุตคะ”
“คุณตามีลูกคนเดียวก็คือแม่ฉัน เดี๋ยว...”
“แกสองคนมาทางไหนก็กลับไปทางนั้น” เพลงวาโยที่กำลังพูดอยู่กับใบหม่อนเงียบเสียงลง เมื่อเสียงแหบห้าวที่ดูดุเข้มเอ่ยขึ้นมาจากตีนบันได คุณมารุตชายชรารูปร่างผอมสูงท่าทางอ่อนแอ อมโรค ต่างจากรูปถ่ายที่แม่เคยนำมาให้เธอดูเมื่อสามปีก่อนลิบลับ ใบหน้าของคุณตามีร่องรอยเหี่ยวย่นตามกาลเวลา แผ่นหลังที่เคยเหยียดตรงค้อมลงมาเล็กน้อย ดวงตาคมกริบสีดำสนิทมีความไม่พอใจปรากฏออกมา แม้สภาพร่างกายของชายชราอายุร่วมเจ็ดสิบจะเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา แต่สิ่งที่ยังคงมองความน่าเกรงขามที่ไม่เปลี่ยนแปลง คุณมารุตเป็นคนกรุงเทพที่ทิ้งความศิวิไลซ์มาอยู่ทำสวนอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้หลังจากเสียเสาหลักของบ้านไป อาชีพเกษตรกรสร้างรายได้เลี้ยงชีพเขาจนได้พบกับภรรยา แต่งงานมีลูกด้วยกัน วายุตาเป็นลูกสาวสุดรัดสุดหวง ที่มารุตรักดั่งแก้วตาดวงใจ จนมีหนุ่มกรุงเทพที่เข้ามาอยู่ในหมู่บ้าน วายุตากับหนุ่มชาวกรุงคนนั้นตกหลุมรักกันก่อนจะได้เสียกันโดยที่มารุตไม่เคยรู้ จนมีคนคาบข่าวมาบอก มารุตอคติกับหนุ่มขาวกรุงท่าทางสำอางค์อย่างภรพมาก เขาเองก็เป็นคนกรุงเทพรู้ว่าเล่ห์เหลี่ยมของคนกรุงแพรวพราวแค่ไหน เขาไม่ต้องการให้ลูกสาวโดนหลอกจึงจับลูกสาวจะแต่งงาน เขาทะเลาะกับวายุตาจนพลั้งมือตบหน้าวายุตา และไม่คิดว่าลูกสาวที่เชื่อฟังเขามาตลอดจะกล้าหอบเสื้อผ้าหนีตามผู้ชายไป พร้อมบอกเรื่องงามหน้าว่าตัวเองท้องเอาไว้ ภรรยาของเขาพยายามจะห้ามปราม แต่ลูกสาวกลับตัดสินใจแน่วแน่และเลือกจะทิ้งทุกอย่างและหนีไป กัลยาที่ป่วยเป็นโรคหัวใจการการทรุดลง มารุตกลับมาถึงบ้านก็พบว่าภรรยาของตนเสียชีวิตไปแล้ว เพราะพยายามห้ามวายุตาจนโรคหัวใจเกิดกำเริบขึ้นมา เขาโทษวายุตามาตลอดชีวิต ถ้าวายุตาไม่ทิ้งกัลยาไปในวินาทีนั้น กัลยาก็คงไม่ต้องมาตาย ในงานศพเขากัลยาไม่เห็นเงาของลูกสาว ถ้าในวันนั้นวายุตากลับมาเขาอาจจะยอมให้อภัยในความผิดไปแล้ว แต่วายุตาเลือกจะกลับมาหลังจากผ่านไปห้าปี ความแค้นใจ ความอับอาย ทำเขาเลือกจะตัดพ่อตัดลูกกับวายุตาแม้วายุตาพยายามจะมาที่นี่ในอีกหลาย ๆ ครั้ง
“คุณตา” มารุตเดินลงมายืนในห้องนั่งเล่น แต่ยังเว้นระยะห่างจากเธอพอสมควร ข้าง ๆ มารุตคือพายัพที่คอยประคองมารุตไว้ไม่ให้ล้ม
“ฉันไม่มีหลาน พวกแกสองคนออกไปจากบ้านฉันได้แล้ว”
“แต่พวกเราพึ่งมาถึงนะคะคุณตา”
“ฉันไม่ได้สั่งให้พวกแกมา มาจากทางไหนก็กลับไปทางนั้น”
“ใจเย็น ๆ สิคะคุณมารุต” ป้าน้อย แม่บ้าน ซึ่งเป็นคนเก่าคนแก่ของบ้านเอ่ยปรามเจ้านายไว้
“แต่ลมมีเรื่องจะคุยกับคุณตานะคะ”
“ฉันไม่มี”
“คุณมารุตคะ ฟังคุณหนูก่อนเถอะค่ะ”
“พี่น้อยไม่ต้องยุ่ง”
“ก่อนคุณแม่เสียคุณแม่ฝากจดหมายฉบับหนึ่งไว้กับคุณพ่อ ก่อนคุณพ่อเสียเมื่อสามเดือนก่อน คุณพ่อได้นำมันมาให้กับลม ท่านบอกว่าอยากให้ลมมาที่ไร่ แต่เพราะงานศพคุณพ่อลมต้องอยู่จัดการเคลียร์เรื่องบ้านให้เรียบร้อย ในจดหมายคุณแม่อยากให้ลมกลับมาดูแลคุณตาแทนคุณแม่นะคะ”
“ฉันดูแลตัวเองได้”
“คุณตาคะ”
“ฉันไม่มีวันอภัยให้กับแม่แก รวมถึงครอบครัวของแก ออไปจากบ้านฉันได้แล้ว” ใบหน้าของเพลงวาโยไม่ได้มีรอยยิ้ม แต่ก็ไม่ได้กลัว
“ลมกลับไม่ได้ค่ะ ลมอยากอยู่ที่นี่”
“แก...” มารุตชี้หน้าอยากจะอ้าปากด่าทอหลานสาว แต่ก็พูดไม่ออก ยิ่งมองหน้าเพลงวาโย ใบหน้าของลูกสาวก็ลอยขึ้นมา ความเจ็บปวดที่ลูกสาวทิ้งไป แม้จะกลับมา แต่วายุตาก็ยังเป็นต้นเหตุทำให้กัลยา เมียของเขาต้องเสียใจ และหัวใจล้มเหลวและเสียชีวิตลง ทุกอย่างเพราะลูกสาวไม่รักดี เขาไม่มีวันลืม
“ใจเย็น ๆ นะคะคุณรุต คุณรุตคิดดูนะคะ ตอนนี้คุณหนูไม่มีใครแล้ว ญาติฝั่งพ่อก็ไม่ชอบคุณหนู แล้วคุณรุตจะให้คุณหนูไปอยู่ที่ไหนคะ” ป้าน้อยช่วยพูดเกลี้ยกล่อม
“เรื่องของมัน ไม่ใช่เรื่องของฉัน”
“แต่คุณหนูลมเธอเป็นลูกสาวของคุณวายุตา คุณวายุตาเป็นลูกของคุณรุต เป็นสายเลือดคุณรุต คุณรุตจะทิ้งสายเลือดของลูกสาวเหรอคะ”
“ลูกสาวฉันตายไปแล้ว ตายไปในวันที่มันทิ้งฉันกับแม่ยาไป”
“ลมอยากชดเชย ชดใช้ทุกอย่างแทนแม่ แม่ไม่มีทางหลับตาได้อย่างสบาย ลมรู้สึกได้นะคะแม่ยังอยู่กับลม เพราะแม่ยังห่วงคุณตา ยังห่วงลม”
“หุบปากของแกได้แล้ว ออกไปจากบ้านฉัน ฉันไม่อยากเห็นหน้าพวกแกที่นี่”
“ลมขอโทษ ขอโทษสำหรับทุกอย่าง ลมรู้นะคะคุณตาโกรธคุณแม่มาก คุณแม่เองก็ไม่อยากให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้ ทั้งคุณพ่อและคุณแม่รู้สึกผิดมาตลอดที่เลือกจะหนีไป แต่ท่านไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้ แม่อยากจะมายืนตรงนี้เอง แต่แม่ไม่มีโอกาสนั้นแล้ว แต่ลมขอโอกาสแทนแม่ ขอโอกาสให้ลมได้ชด..”
ซ่า!!!
“แกพูดจบแล้วก็ออกจากบ้านฉันไป” น้ำจากเหยือกน้ำในมือมารุตถูกสาดใส่หน้าของเพลงวาโยในจังหวะที่เพลงวาโยก้มหน้าลง เพลงวาโยไม่รู้ว่ามารุตเดินเข้ามาใกล้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่รู้อีกทีคือตอนมาหยุดอยู่ตรงหน้าและสาดน้ำในเหยือกที่วางอยู่บนโต๊ะนั่นใส่เธอแล้ว เพลงวาโยปาดน้ำบนหน้าและยิ้มเศร้า ๆ ส่งให้คุณตา ไม่มีแววตากรุ่นโกรธโมโห ไม่มีความเฉยชา แต่ดวงตามีความเสียใจอยู่วูบหนึ่งก่อนมันจะนิ่งสงบลงเช่นเดิม
“ลมอยากอยู่ที่นี่ ไม่ใช่แค่เพราะการชดเชย ไม่ใช่แค่เพราะคำสั่งเสีย แต่ลมคิดว่าคุณตาเป็นครอบครัวของลม ลมอยากดูแลคุณตาจริง ๆ สำหรับลม คุณตาเป็นครอบครัวของลม ลมเลือกที่จะมาอยู่ที่นี่เพราะลมคิดว่าที่นี่จะเป็นบ้านที่ปลอดภัยของลม ลมอยากจะอยู่ที่นี่กับคุณตาจริง ๆ นะคะ”
“พี่น้อย ถ้าสองคนนี้ยังไม่ไปก็เอาน้ำร้อนมาราดไล่ไป ฉันไม่ต้องการเห็นคนพวกนี้ในวันพรุ่งนี้”
“คุณตาครับ” พายัพพยายามจะช่วยเกลี้ยกล่อม แต่มารุตกลับดึงแขนตัวเองออกและหันไปมองพายัพไม่แม้แต่จะปลายตาไปมองหลานสาวที่ยืนอยู่
“เราเองก็ไปนอนได้แล้วพายัพ ไม่ต้องไปสนใจ” ชายชราเดินขึ้นไปชั้นบนเป็นที่เรียบร้อย ทิ้งให้สองสาวชาวกรุง พายัพและป้าน้อยยืนนิ่งอยู่กลางห้องนั่งเล่น ใบหม่อนจับแขนคุณหนูเหมือนกำลังต้องการความเห็น
“เราจะไม่กลับหม่อน”
“แต่คุณตาของคุณหนูไล่เราแล้วนะคะ ถ้าไม่กลับเราจะไปนอนที่ไหน”
“ฉันจะอยู่ที่นี่”
“คุณหนู...” ใบหม่อนเอ่ยเสียงอ่อนเมื่อเห็นสายตาไม่ยอมแพ้ของเพลงวาโย
“ฉันจะไม่กลับไปไหน ฉันอยากอยู่ที่นี่” ป้าน้อยมองเพลงวาโยอย่างเห็นใจ เธอเองก็สนิทกับกัลยาภรรยาของมารุต เธอรู้ว่าในวันนั้นวายุตาหนีไป แต่วายุตาไม่ได้ตั้งใจจะให้กัลยาเสียชีวิต วายุตาเองก็เสียใจไม่แพ้กันที่เป็นสาเหตุ เธอเองก็แอบติดต่อวายุตาอยู่บ่อยครั้ง คอยรายงานเรื่องของมารุตให้วายุตารู้ ดังนั้นทุกครั้งที่มารุตป่วยวายุตาจะแวะมาเยี่ยมเสมอ แม้จะไม่ได้รับการต้อนรับ
“คุณหนูรอป้าตรงนี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวป้าจะช่วยไปพูดให้”
“ไม่ต้องห่วงนะครับ คุณตาท่านไม่ใช่คนใจแข็ง ผมกับป้าน้อยจะช่วยกันพูด รับรองว่าคุณตาต้องใจอ่อนแน่ครับ” เพลงวาโยพยักหน้าและกล่าวขอบคุณทั้งสอง
“คุณหนูเช็ดหน้าหน่อยค่ะ ตัวเปียกหมดเลย”
“แค่นี้เอง อย่างน้อยคุณตาก็ปรานีฉันสาดแค่น้ำจากเหยือก และมันก็เป็นน้ำเย็น ถ้าคุณตาเกลียดเรามากจริง ๆ เราคงโดนน้ำร้อนไปแล้ว
“พี่ตกใจขนนี้ลุกไปหมดตอนได้ยินเสียง พี่ไม่คิดว่าจะมีคนที่น่าเกรงขามขนาดนี้ ขนาดท่าทางดูอ่อนแอ ไม่น่ามีพิศภัยเหมือนเมื่อห้าปีก่อนนะ แต่ยังให้ความรู้สึกเดินเปี๊ยบ คุณหนูโชคดีที่คุณท่านไม่ถือปืนติดมาแล้วชี้ใส่หน้า”
“ก็นั่นไง ถ้าท่านเกลียดเราจริง คนที่โกรธเกลียดแรงอย่างคุณตาคงเอาปืนมายิงไล่เราแล้ว”
“คุณหนูคิดว่าเราจะได้อยู่ที่นี่ต่อเหรอคะ” เพลงวาโยไม่ได้ตอบเพลงยิ้มส่งกลับมาให้ใบหม่อนเท่านั้น มันไม่ได้ช่วยให้ใบหม่อนรู้สึกดีขึ้นเลยสักนิดในเวลานี้
...ติดตามตอนต่อไป....
พัชรีพร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 เม.ย. 2559, 00:40:00 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 เม.ย. 2559, 00:40:00 น.
จำนวนการเข้าชม : 820
<< ตอนที่ ๑ (๕๐%) | ตอนที่ ๒ (๕๐%) >> |