เปลวไฟกลางสายลม
เรื่อง เปลวไฟกลางสายลม
ทักทายเหล่ารีดเดอร์ที่แวะเข้ามา สำหรับเรื่องนี้จะเปิดเรื่องไว้
แล้วจะเริ่มลงให้หลังจากลงเรื่องอื่นแล้ว
ขอเปิดรอไว้ก่อน นิยายตัวเองก็ต้องบอกว่าสนุกแน่นอน
แต่สำหรับเหล่ารีดเดอร์ที่แวะเข้ามาก็ต้องรอติดตามกันนะคะ
สำหรับเขาเธอคือสายลมแห่งชีวิต
และสำหรับเธอ เขาคือเปลวไฟที่จุดประกายความหวังให้กับเธอ
ความรักของสายลมจะโอบอุ้มเปลวไฟ
ดั่งเปลวไฟที่จะมอบแสงสว่างให้กับเธอ ผู้เป็นดั่งสายลมแห่งชีวิตของเขา
เรื่องย่อ
เพลงวาโยได้พบกับผู้ชายที่ทุกคนเรียกว่าเศษสวะของสังคม การพบกันถึงสามครั้งเป็นตัวเชื่อมโยงของโชคชะตา เธอจึงยื่นมือช่วยเหลือเขา รับเขาเข้าสู่อ้อมกอดของสายลม ท่ามกลางความวุ่นวาย เขาคือคนที่ต่อสู่ไปพร้อมกับเธออย่างไม่หวั่นเกรง คือคนที่โอบประคองสายลมให้คงอยู่อย่างมั่นคง เป็นแสงสว่างเล็ก ๆ ที่แม้จะเทียบไม่ได้กับแสงของดวงอาทิตย์ แต่แสงสว่างเล็ก ๆ ของเขา กลับให้ความอบอุ่นกับเธอ เขาทำให้เธอมั่นใจว่าเพียงมีเขาอยู่ เธอจะปลอดภัยไร้กังวล
เขาเป็นเพียงผู้ชายที่ไร้ค่าที่เธอยื่นมือช่วยเหลือเขาถึงสามครั้ง
ในวินาทีที่ชีวิตของเขากำลังจะหลุดลอยไป เธอกลับยื่นมือเข้ามาและรับเขาเข้าสู้อ้อมกอดแห่งสายลม ไฟ คือชื่อใหม่ของเขาที่เธอมอบให้ เธอบอกว่าเขาจะเป็นดวงไฟแห่งชีวิตใหม่ จากนี้เขาคือคนใหม่ ไม่ใช่คนบ้าไร้ที่มา เขาคือคนของไร่สายลม และเขาเชื่อเธอว่าเขาคือไฟ คือคนของไร่สายลม นับจากวินาทีที่ลืมตาตื่นเขาสัญญากับตัวเองว่าทั้งชีวิต ทั้งลมหายใจ เขาจะมีไว้เพื่อเธอ จะดูแลเธอ ปกป้องเธอ หัวใจที่แข็งกระด้างที่มอบให้เธอไปแล้วจะไม่มีทางยกให้ใครอีก
ความรักของทั้งคู่เชื่อมโยงกันไว้ ความรักที่เริ่มจากเจ้านายและลูกน้อง
ก่อนจะแปรเปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ จากคนละลมหายใจ
จะกลายเป็นลมหายใจเดียวกัน เปลวไฟจะอยู่ในอ้อมกอดของสายลม
และสายลมจะคอยพัดหาดวงไฟให้ลุกโชติช่วงตลอดไป
ทักทายเหล่ารีดเดอร์ที่แวะเข้ามา สำหรับเรื่องนี้จะเปิดเรื่องไว้
แล้วจะเริ่มลงให้หลังจากลงเรื่องอื่นแล้ว
ขอเปิดรอไว้ก่อน นิยายตัวเองก็ต้องบอกว่าสนุกแน่นอน
แต่สำหรับเหล่ารีดเดอร์ที่แวะเข้ามาก็ต้องรอติดตามกันนะคะ
สำหรับเขาเธอคือสายลมแห่งชีวิต
และสำหรับเธอ เขาคือเปลวไฟที่จุดประกายความหวังให้กับเธอ
ความรักของสายลมจะโอบอุ้มเปลวไฟ
ดั่งเปลวไฟที่จะมอบแสงสว่างให้กับเธอ ผู้เป็นดั่งสายลมแห่งชีวิตของเขา
เรื่องย่อ
เพลงวาโยได้พบกับผู้ชายที่ทุกคนเรียกว่าเศษสวะของสังคม การพบกันถึงสามครั้งเป็นตัวเชื่อมโยงของโชคชะตา เธอจึงยื่นมือช่วยเหลือเขา รับเขาเข้าสู่อ้อมกอดของสายลม ท่ามกลางความวุ่นวาย เขาคือคนที่ต่อสู่ไปพร้อมกับเธออย่างไม่หวั่นเกรง คือคนที่โอบประคองสายลมให้คงอยู่อย่างมั่นคง เป็นแสงสว่างเล็ก ๆ ที่แม้จะเทียบไม่ได้กับแสงของดวงอาทิตย์ แต่แสงสว่างเล็ก ๆ ของเขา กลับให้ความอบอุ่นกับเธอ เขาทำให้เธอมั่นใจว่าเพียงมีเขาอยู่ เธอจะปลอดภัยไร้กังวล
เขาเป็นเพียงผู้ชายที่ไร้ค่าที่เธอยื่นมือช่วยเหลือเขาถึงสามครั้ง
ในวินาทีที่ชีวิตของเขากำลังจะหลุดลอยไป เธอกลับยื่นมือเข้ามาและรับเขาเข้าสู้อ้อมกอดแห่งสายลม ไฟ คือชื่อใหม่ของเขาที่เธอมอบให้ เธอบอกว่าเขาจะเป็นดวงไฟแห่งชีวิตใหม่ จากนี้เขาคือคนใหม่ ไม่ใช่คนบ้าไร้ที่มา เขาคือคนของไร่สายลม และเขาเชื่อเธอว่าเขาคือไฟ คือคนของไร่สายลม นับจากวินาทีที่ลืมตาตื่นเขาสัญญากับตัวเองว่าทั้งชีวิต ทั้งลมหายใจ เขาจะมีไว้เพื่อเธอ จะดูแลเธอ ปกป้องเธอ หัวใจที่แข็งกระด้างที่มอบให้เธอไปแล้วจะไม่มีทางยกให้ใครอีก
ความรักของทั้งคู่เชื่อมโยงกันไว้ ความรักที่เริ่มจากเจ้านายและลูกน้อง
ก่อนจะแปรเปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ จากคนละลมหายใจ
จะกลายเป็นลมหายใจเดียวกัน เปลวไฟจะอยู่ในอ้อมกอดของสายลม
และสายลมจะคอยพัดหาดวงไฟให้ลุกโชติช่วงตลอดไป
Tags: ไร่สายลม ความรัก การตามหา
ตอน: ตอนที่ ๒ (๕๐%)
๒
เจอกันอีกครั้ง
แสงจากไฟฉายถูกสาดส่องไปตามทางเดินที่ลัดสู่บ้านพักหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ไม่ห่างจากบ้านใหญ่นัก ใบหม่อนจับแขนคุณหนูให้เดินตาม โดนข้างหน้ามีพายัพที่ถือไฟฉายอยู่ในมือเดินนำทางไปข้างหน้า หนุ่มชาวไร่มาสองสาวมาหยุดที่หน้าบ้านพักเล็ก ๆ หลังหนึ่งที่ด้านหลังบ้านพักเมื่อเดินตรงไปไม่ไกลจะเจอกับไร่ข้าวโพด หนึ่งในผลผลิตของไร่สายลม
หลังจากการเจรจาของพายัพและป้าน้อยจบลง มารุตยอมให้สองสาวอยู่ในไร่ได้ต่อ แต่ไม่ต้องการให้สองสาวอยู่ในบ้านใหญ่ พายัพจึงเสนอบ้านพักผู้จัดการที่สร้างทิ้งไว้และไม่มีคนอยู่หลังนี้ สองสาวที่ดีใจอย่างน้อยก็มีที่ซุกหัวนอนสำหรับคืนนี้ แต่เมื่อมาเจอกับสภาพบ้านที่ดูรกร้าง เพราะไม่ได้ถูกใช้งานมาแรมปี ก็ทำเอาสองสาวรู้สึกหนาววูบขึ้นมาทันที พายัพเล่าว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านพักของผู้จัดการคนเก่าที่ลาออกไป หลังจากผู้จัดการคนเก่าลาออกไปบ้านหลังนี้ก็ถูกปล่อยทิ้งร้างไม่ได้รับการดูแล บริเวณหน้าบ้านรวมถึงรอบ ๆ บ้านมีหญ้าและวัชพืชขึ้นเต็มพื้นที่จนมองไม่เห็นพื้นผิวที่เคยเป็นพื้นดินเรียบ ๆ สภาพหญ้าที่เบียดเสียดกันขึ้นมาทำให้ใบหม่อนกลัวว่ามันจะมีงูเข้าไปอาศัยอยู่ นอกจากนั้นบนพื้นปูนบริเวณหน้าประตูรวมถึงระเบียงพักยังมีเศษกิ่งไม้ ใบไม้หล่นเกลื่อนตามพื้น แม้สภาพบ้านจะไม่ได้เก่าโทรมมาก แต่สภาพบรรยากาศบวกความรกร้างมันก็ชวนให้หลอนได้เหมือนกัน
“ฉันกับคุณหนูต้องอยู่ที่นี่หรอคะคุณพายัพ” ใบหม่อนเปลี่ยนคำเรียกนำหน้า เพราะพายัพมีศักดิ์หลานของมารุตซึ่งเป็นคุณตาของเจ้านายเธอ ดังนั้นพายัพก็ถือเป็นญาติคุณหนูเธอก็ควรให้เกียรติเขาสักนิดหนึ่ง
“ครับ ผมกับป้าน้อยพยายามเกลี้ยกล่อมคุณตาแล้ว ท่านบอกว่าถ้าคืนนี้จะพัก คุณสองคนก็ต้องพักที่นี่”
“ฉันเข้าใจค่ะ คุณตายังโกรธพวกฉันอยู่ ถ้าให้พวกเราไปพักบนเรือนใหญ่ก็จะขวางหูขวางตาท่าน พาลจะโกรธหนักกว่าเดิมอีก”
“แต่ผมควรจะหาที่ที่มันสะดวกสบายกว่านี้ให้พวกคุณ ที่นี่ยังไม่ได้ทำความสะอาด แล้วไฟก็ถูกตัดไปแล้ว คุณสองคนจะอยู่ได้เหรอครับ”
“ได้สิคะ แค่นี้ก็ดีแล้ว ดีกว่าต้องไปนอนตบยุงที่หน้าบ้านเยอะเลย จริงไหมหม่อน” เพลงวาโยหันไปขอความเห็นกับพี่เลี้ยงสาวที่ยืนตีหน้ายุงตบยุงเปาะแปะไม่สนใจจะตอบคำถามเจ้านายสักนิด ในใจกำลังคิดและบ่นมารุตผู้เป็นตาของเจ้านายที่บีบบังคับให้เจ้านายต้องมาอยู่ที่นี่ และถ้าเจ้านายทนไม่ไหวก็จะหอบเสื้อผ้าหนีกลับกรุงเทพ แต่เหมือนคุณมารุตจะประเมินหลานสาวต่ำไปนิดตรงที่เพลงวาโยไม่ใช่คนที่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ
“ที่นี่ก็ไม่เลวนะคะ สงบดี จัดเก็บนิดหน่อย ฉันอยู่ที่นี่ได้สบายเลย”
“ไม่อยากเชื่อว่าคุณลงเป็นคนกรุงเทพจะปรับตัวกับสภาพนี้ได้นะครับ”
“มันไม่ได้เลวร้ายอะไรขนาดนั้นนี่คะ”
“คุณหนูคะ เรานอนที่นี่ไม่ได้นะคะ น้ำไฟก็ถูกตัด ไม่มีอะไรสักอย่าง เกิดมีงูมันหลุดเข้าไปในบ้านจะทำยังไงกันคะ ไม่ไว้สภาพบ้านแบบนี้เลยจริง ๆ”
“เรื่องน้ำไฟพรุ่งนี้ผมจะให้คนมาจัดการให้ รวมถึงหญ้าหน้าบ้านด้วย จะให้คนมาตรวจดูให้ว่างูมาทำรังอยู่แถวนี้ไหม พวกคุณจะได้สบายใจครับ ส่วนเรื่องทำความสะอาดคืนนี้พวกคุณอาจต้องจัดการเองบางส่วนสำหรับนอน แล้วพรุ่งนี้เช้าผมจะให้คนงานมาจัดเก็บ...”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวเรื่องทำความสะอาดฉันกับใบหม่อนเราจัดการเอง แค่นี้ก็รบกวนทุกคนมากแล้ว พวกเราอยากจะอยู่ที่นี่ก็ควรจะทำตัวให้คุ้นชินกับที่นี่ค่ะ”
“เอาอย่างนั้นเหรอครับ”
“ค่ะ แค่นี้ก็พอ ยังไงก็ขอบคุณมากอีกครั้งนะคะคุณพายัพ วันนี้คุณช่วยพวกเราไว้ตั้งเยอะ รวมถึงเรื่องที่พัก เรารู้จักกันแล้วคุณเรียกฉันว่าลมเหมือนคนอื่นก็ได้ค่ะ”
“ครับคุณลม เอ่อ...ผมเป็นเด็กที่คุณตาขอมาเลี้ยง ถ้าไม่รังเกียจเรียกผมว่าพี่พายัพก็ได้” เพลงวาโยยิ้มมองผู้ชายท่าทางใจดีอบอุ่นอย่างไม่รังเกียจ
“ค่ะ พี่พายัพ พี่พายัพเป็นหลานคุณตา เราก็เหมือนญาติกันแล้ว ลมไม่เคยมีพี่ชายมีพี่พายัพมาเป็นพี่อีกคนก็ดีเหมือนกัน พี่พายัพเองก็ไม่ต้องเรียกลมว่าคุณก็ได้ เรียกลมเฉย ๆ ก็ได้ ยังไงก็ฝากตัวด้วยนะคะ”
“ครับ”
“เรื่องรถของเรา”
“พรุ่งนี้พี่จะให้นายดินไปจัดการให้ ถ้ามันไม่เสียหายอะไรมากคนงานเราน่าจะพอซ่อมได้ แต่ถ้ามันหนักจริง ๆ เดี๋ยวเรียกรถมาลากไปในเมืองให้ครับ ลมอยากได้อะไรอีกไหม”
“คือ...พรุ่งนี้ลมอาจจะเข้าไปซื้อของในเมือง รบกวนขอติดรถพี่พายัพไปด้วยได้ไหมคะ”
“ได้สิครับ ถ้าจะออกไปสักเที่ยง พี่จะแวะเข้าไปในเมืองพอดี”
“ขอบคุณค่ะ พี่พายัพกลับไปก่อนก็ได้ค่ะ เดี๋ยวคุณตาจะโกรธเอาหายมานานแบบนี้”
“เจอกันพรุ่งนี้เช้านะครับ”
“ค่ะ” พายัพหันหลังเดินกลับไปที่บ้านใหญ่ บ้านพักผู้จัดการหลังนี้ตั้งอยู่ไม่ไกลจากบ้านใหญ่มากนัก แต่สร้างแยกออกมาเพื่อความเป็นส่วนตัวของเจ้าของบ้านพัก รอบ ๆ บ้านปลูกต้นไม้หลากหลายชนิด เป็นต้นไม้จำพวกให้ร่มเงา ด้านหลังบ้านเป็นแปลงดอกไม้ที่เหี่ยวแห้งตาย มีซุ้มเล็ก ๆ สำหรับนั่งพักผ่อน รวม ๆ บ้านพักหลังนี้ถ้าจัดใหม่มันก็น่าอยู่เหมือนพักส่วนตัว ยิ่งแยกเอกเทศออกมาจากบ้านใหญ่และไกลจากบ้านพักคนงานก็ให้ความรู้สึกส่วนตัวมาก
“เราจะนอนยังไงล่ะคะคุณหนู ดูสภาพบ้าน”
“ไปไขกุญแจเราจะได้สำรวจดูก่อน เราจะได้ดูที่นอนสำหรับคืนนี้” ใบหม่อนตีหนาไม่ชอบใจ แต่ก็ยอมเดินไปไขกุญแจเปิด
ประตูบ้านพัก ภายในบ้านมืดสนิท ใบหม่อนสาดไฟฉายไปตามส่วนต่าง ๆ ของภายในบ้านเพื่อสำรวจความปลอดภัย เฟอร์นิเจอร์ภายในบ้านวางเรียงครบครับ ของทุกชิ้นถูกคลุมไว้ด้วยผ้าสีขาว ใบหม่อนดึงให้คุณหนูไปหลบด้านหลังและเดินนำเข้าไปในบ้านด้วยความระมัดระวัง เพลงวาโยแอบยิ้มกับท่าทีระแวดระวังภัยของแม่เสือ ตัวเธอไม่ได้หวาดกลัวอะไรเลยสักนิดในตอนนี้ ก็เพราะคนที่ที่เดินนำหน้าเธอเล่นกลัวแทนเธอเสียหมดแล้ว
“พี่ไม่ชอบที่นี่เลย ทำไมคุณตาของคุณหนูใจดำจังคะ บ้านยังไม่ได้ทำความสะอาดจะให้เรามาค้าง สภาพบ้านห่างไกลบ้านผู้คน แล้วถ้าเกิดมีงูเงี้ยวเขี้ยวขอขึ้นมาจะทำยังไงล่ะคะ”
“เรามีที่พักก็ดีเท่าไหร่แล้วหม่อน”
“เราไปพักโฮมสเตย์ในหมู่บ้านสักคืนดีไหมคะ พรุ่งนี้เราค่อยมาจัดการทำความสะอาดก็ยังไง คุณพายัพเธอต้องพาเราไปแน่ค่ะ”
“ถ้าเราไปเราจะไม่ได้กลับเข้ามาในไร่อีกเลยนะหม่อน”
“ทำไมคะ”
“คุณแม่บอกว่าคุณตาเกลียดคนที่ไม่อดทน เกลียดคนที่ทิ้งอะไรง่าย ๆ และตัวฉันก็ไม่ใช่คนที่จะยอมอะไรง่าย ๆ ฉันจะพิสูจน์ให้คุณตาเห็นว่าฉันไม่ใช่คนเหลาะแหละไม่เอาไหน เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ”
“แต่...”
“แทนที่เราจะมายืนคุยกัน เราไปหาไม้กวาดไม้ถูกพื้นมาทำความสะอาดตรงที่เราจะนอนคืนนี้ดีไหมหม่อน”
“เดี๋ยวพี่หาเอง”
“ช่วยกันหาดีกว่า เดี๋ยวฉันจะไปดูทางห้องครัว ใบหม่อนลองหาแถว ๆ นี้นะ”
“แต่คุณหนูไม่มีไฟฉาย ให้พี่เดินไปแล้วคุณหนูยืนรออยู่นี่ดีกว่า”
“ฉันไม่มีไฟฉาย แต่ฉันมีนี่” เพลงวาโยหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าก่อนจะกดเปิดเครื่อง ทำให้ภายในห้องสว่างขึ้นมาอีกนิด สายตาใบหม่อนเป็นกังวลกับการต้องให้คุณหนูทำอะไรด้วยตัวเองแบบนี้
“ให้พี่...”
“เราแยก...”
แกรก
สองสาวมีหน้าที่สะดุ้งตกใจหันไปมองที่บานประตูหน้าทางเข้าที่ยังไม่ถูกปิด ใบหม่อนหันมามองคุณหนู เหมือนต้องการบอกว่าเธอจะไม่ยอมแยกจากคุณหนูแน่นอน
“แค่เสียงกิ่งไม้หักเอง เอาล่ะรีบแยกกันดีกว่า ก่อนที่เราจะเสียเวลาไปมากกว่านี้”
“แต่ว่า...” เพลงวาโยไม่รอฟังพี่เลี้ยงสาว เลือกจะก้าวเท้าแยกตัวไปที่ห้องครับ พร้อมกับกวาดสายตาสำรวจมองบ้านหลังใบของเธอไปด้วย มองจากด้านนอกบ้านหลังนี้ดูเหมือนจะแคบและพื้นที่น้อย แต่เมื่อเข้ามาในตัวบ้านบ้านหลังนี้ก็ไม่เล็กจนเกินไปหรือใหญ่จนเกินไปความกว้างของบ้านเหมาะสำหรับการอยู่สองคน ภายในบ้านหลังนี้ประกอบด้วยห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว และห้องนั่งเล่นที่อยู่ด้านหน้าขอตัวบ้าน และมีมุมโต๊ะเล็ก ๆ ไว้สำหรับทานข้าว ถ้าตัดเรื่อไฟฟ้าออ บ้านหลังนี้ถือเป็นบ้านที่สะดวกสบายมากอีกหลังหนึ่งของไร่แห่งนี้
“หมับ
“ว้าย” เพลงวาโยร้องและหันไปมองคนที่คว้าไหล่เธอด้วยสีหน้าตกใจ แต่พอเห็นหน้าคนที่ทำเธอใจเสีย เพลงวาโยก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“ใบหม่อน ทำอะไรน่ะ ตกใจหมดเลยรู้ไหม”
“พี่ขอโทษ พี่จะบอกว่าพี่ขอหาแถวนี้ด้วยนะคะ”
“มีอะไรหรือเปล่า”
“พี่ได้ยินเสียงเหมือนคนเดินรอบ ๆ บ้าน ที่นี่มีผีหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“ผีเผออะไร ใครเขาให้พูด ถ้าไม่หาหน้าบ้านก็ช่วยกันหาตรงนี้ก็ได้ แล้วช่วยปล่อยแขนฉันด้วย หม่อนกอดแขนฉันแน่นไปแล้วนะ” เพลงวาโยพยายามดึงแขนออก แต่ใบหม่อนเหมือนจะไม่ยอม
“หม่อน”
“พี่เห็นเงาเดินผ่านแวบไปตรงหน้าต่าง พี่ว่าบ้านหลังนี้ต้องมีผีแน่ ๆ เลยคุณหนู”
“บ้าน่า คิดมากใหญ่แล้ว ฉันอยู่ในนี้ตั้งนานแล้วยังไม่เห็นเงาอะไรที่หม่อนว่าเลย”
“แต่พี่เห็นตอนที่หันไปมองจริง ๆ นะคะ พี่ว่าเราไปหาที่อื่นอยู่เถอะ คุณพายัพเธอก็บอกว่าบ้านหลังนี้ปล่อยทิ้งไว้นานเป็นปีไม่มีคนมาพัก บางทีอาจมีสัมภเวสีมาอาศัยอยู่”
“หม่อนกลัวผีจนมันขึ้นสมองไปแล้วนะ เอาอย่างนี้หม่อนเห็นเงาตรงไหนเราออกไปดูกันไหม หม่อนจะได้สบายใจ” เพลงวาโยถาม ใบหม่อนรีบส่ายหน้าอยู่ในนี้ก็ดีอยู่แล้วจะออกให้รู้ทำไมว่าข้างนอกเป็นอะไร
“ไม่ พี่ไม่ออก”
“ถ้าไม่ออกก็ปล่อย เราต้องรีบทำความสะอาดนะหม่อน ดูนั่นสิหม่อน ข้าง ๆ บานหน้าต่างมันมีต้นไม้ บางทีหม่อนอาจจะตาฝาดเห็นเงาต้นไม้มันขยับตามแรงลม หม่อนก็เลยคิดไปเอง เอาอย่างนี้ หม่อนยืนเฉย ๆ เดี๋ยวฉันหาเอง” เพลงวาโยมองใบหม่อนและส่ายหน้าอย่างยิ้ม ๆ พี่เลี้ยงสาวที่เก่งไปทุกเรื่อง มาตกม้าตายเพราะกลัวผีนี่แหละ ทั้งที่เกิดมาพี่เลี้ยงสาวคนนี้ก็ไม่เคยเห็นผีตัวเป็น ๆ สักครั้ง มีแต่นั่งดูหนังผี แล้วเก็บไปจินตนาการเองเสียมากกว่า
แกรก
แกรก
แกรก
“คะ...คุณหนูคะ คุณหนูได้ยินอย่างที่พี่ได้ยินไหมคะ เสียงมามาจากบานหน้าต่างนั่นจริง ๆ ด้วย พี่บอกแล้วว่าพี่ไม่ได้ตาฝาด เงานั่นต้องเป็นเงาของ...ผี”
“ผีมีเงาที่ไหน หม่อนคิดมากแล้ว เอาอย่างนี้เราออกไปดูให้รู้เรื่อง บางทีอาจจะเป็นคนแถวนี้ก็ได้”
“ใครจะมาเดินแถวนี้ตอนกลางคืนกันคะคุณหนู คุณพายัพก็บอกแล้วที่นี่ไม่เคยมีคนอยู่ ไม่มีทางที่จะมีคนที่ไหนมาที่นี่นอกจากเรา แล้วถ้าคนไม่มาที่นี่อะไรจะมาคะ”
“เอาอย่างนี้ เราออกไปดูกันจะได้หายข้องใจกัน หม่อนจะได้ไม่รู้สึกคลุมเครือกับตัวเองจนนอนไม่หลับด้วย” เพลงวาโยหยิบไม้ปัดฝุ่นขนไก่ที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาถือ
“คุณหนูจะเอาไม้ขนไก่ไปไหนคะ”
“ถ้าเกิดที่หม่อนเห็นไม่ใช่ผี แล้วมันเป็นโจร เราจะได้ใช้ตีโจรไง” ใบหม่อนมองไม้ปัดฝุ่นขนไก่แล้วอยากจะบอกคุณหนูเหลือเกิน ไอ้ไม้ปัดฝุ่นขนไก่แค่นี้จะไปทุบโจรให้สลบได้อย่างไร แต่เมื่อเห็นคุณหนูเดินนำหน้าออกไป ด้วยความกลัวสิ่งที่อาจซ่อนตัวในความมืด รวมถึงเริ่มห่วงความปลอดภัยของคุณหนู ถ้าข้างนอกไม่ใช่ผี แต่เป็นโจรคุณหนูเธออาจได้รับอันตราย คิดได้ดังนั้นใบหม่อนก็รีบวิ่งตามคุณหนูออกไป
“คุณหนู”
“ชู่ว์” เพลงวาโยส่งเสียงสั่งให้ใบหม่อนเงียบเสียง และเดินย่องไปที่บานหน้าต่างที่อยู่ข้างครัว เพลงวาโยวางเท้าลงแผ่นเบา มือจับไม้กวาดปัดฝุ่นขนไก่ไว้แน่น แต่เมื่อเดินมาถึงบานหน้าต่างข้างครัวกลัวไม่เห็นสิ่งผิดปกติอะไร
“ไม่เห็นมี....อะไรเลย”
แกรก
....ติดตามตอนต่อไป....
เจอกันอีกครั้ง
แสงจากไฟฉายถูกสาดส่องไปตามทางเดินที่ลัดสู่บ้านพักหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ไม่ห่างจากบ้านใหญ่นัก ใบหม่อนจับแขนคุณหนูให้เดินตาม โดนข้างหน้ามีพายัพที่ถือไฟฉายอยู่ในมือเดินนำทางไปข้างหน้า หนุ่มชาวไร่มาสองสาวมาหยุดที่หน้าบ้านพักเล็ก ๆ หลังหนึ่งที่ด้านหลังบ้านพักเมื่อเดินตรงไปไม่ไกลจะเจอกับไร่ข้าวโพด หนึ่งในผลผลิตของไร่สายลม
หลังจากการเจรจาของพายัพและป้าน้อยจบลง มารุตยอมให้สองสาวอยู่ในไร่ได้ต่อ แต่ไม่ต้องการให้สองสาวอยู่ในบ้านใหญ่ พายัพจึงเสนอบ้านพักผู้จัดการที่สร้างทิ้งไว้และไม่มีคนอยู่หลังนี้ สองสาวที่ดีใจอย่างน้อยก็มีที่ซุกหัวนอนสำหรับคืนนี้ แต่เมื่อมาเจอกับสภาพบ้านที่ดูรกร้าง เพราะไม่ได้ถูกใช้งานมาแรมปี ก็ทำเอาสองสาวรู้สึกหนาววูบขึ้นมาทันที พายัพเล่าว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านพักของผู้จัดการคนเก่าที่ลาออกไป หลังจากผู้จัดการคนเก่าลาออกไปบ้านหลังนี้ก็ถูกปล่อยทิ้งร้างไม่ได้รับการดูแล บริเวณหน้าบ้านรวมถึงรอบ ๆ บ้านมีหญ้าและวัชพืชขึ้นเต็มพื้นที่จนมองไม่เห็นพื้นผิวที่เคยเป็นพื้นดินเรียบ ๆ สภาพหญ้าที่เบียดเสียดกันขึ้นมาทำให้ใบหม่อนกลัวว่ามันจะมีงูเข้าไปอาศัยอยู่ นอกจากนั้นบนพื้นปูนบริเวณหน้าประตูรวมถึงระเบียงพักยังมีเศษกิ่งไม้ ใบไม้หล่นเกลื่อนตามพื้น แม้สภาพบ้านจะไม่ได้เก่าโทรมมาก แต่สภาพบรรยากาศบวกความรกร้างมันก็ชวนให้หลอนได้เหมือนกัน
“ฉันกับคุณหนูต้องอยู่ที่นี่หรอคะคุณพายัพ” ใบหม่อนเปลี่ยนคำเรียกนำหน้า เพราะพายัพมีศักดิ์หลานของมารุตซึ่งเป็นคุณตาของเจ้านายเธอ ดังนั้นพายัพก็ถือเป็นญาติคุณหนูเธอก็ควรให้เกียรติเขาสักนิดหนึ่ง
“ครับ ผมกับป้าน้อยพยายามเกลี้ยกล่อมคุณตาแล้ว ท่านบอกว่าถ้าคืนนี้จะพัก คุณสองคนก็ต้องพักที่นี่”
“ฉันเข้าใจค่ะ คุณตายังโกรธพวกฉันอยู่ ถ้าให้พวกเราไปพักบนเรือนใหญ่ก็จะขวางหูขวางตาท่าน พาลจะโกรธหนักกว่าเดิมอีก”
“แต่ผมควรจะหาที่ที่มันสะดวกสบายกว่านี้ให้พวกคุณ ที่นี่ยังไม่ได้ทำความสะอาด แล้วไฟก็ถูกตัดไปแล้ว คุณสองคนจะอยู่ได้เหรอครับ”
“ได้สิคะ แค่นี้ก็ดีแล้ว ดีกว่าต้องไปนอนตบยุงที่หน้าบ้านเยอะเลย จริงไหมหม่อน” เพลงวาโยหันไปขอความเห็นกับพี่เลี้ยงสาวที่ยืนตีหน้ายุงตบยุงเปาะแปะไม่สนใจจะตอบคำถามเจ้านายสักนิด ในใจกำลังคิดและบ่นมารุตผู้เป็นตาของเจ้านายที่บีบบังคับให้เจ้านายต้องมาอยู่ที่นี่ และถ้าเจ้านายทนไม่ไหวก็จะหอบเสื้อผ้าหนีกลับกรุงเทพ แต่เหมือนคุณมารุตจะประเมินหลานสาวต่ำไปนิดตรงที่เพลงวาโยไม่ใช่คนที่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ
“ที่นี่ก็ไม่เลวนะคะ สงบดี จัดเก็บนิดหน่อย ฉันอยู่ที่นี่ได้สบายเลย”
“ไม่อยากเชื่อว่าคุณลงเป็นคนกรุงเทพจะปรับตัวกับสภาพนี้ได้นะครับ”
“มันไม่ได้เลวร้ายอะไรขนาดนั้นนี่คะ”
“คุณหนูคะ เรานอนที่นี่ไม่ได้นะคะ น้ำไฟก็ถูกตัด ไม่มีอะไรสักอย่าง เกิดมีงูมันหลุดเข้าไปในบ้านจะทำยังไงกันคะ ไม่ไว้สภาพบ้านแบบนี้เลยจริง ๆ”
“เรื่องน้ำไฟพรุ่งนี้ผมจะให้คนมาจัดการให้ รวมถึงหญ้าหน้าบ้านด้วย จะให้คนมาตรวจดูให้ว่างูมาทำรังอยู่แถวนี้ไหม พวกคุณจะได้สบายใจครับ ส่วนเรื่องทำความสะอาดคืนนี้พวกคุณอาจต้องจัดการเองบางส่วนสำหรับนอน แล้วพรุ่งนี้เช้าผมจะให้คนงานมาจัดเก็บ...”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวเรื่องทำความสะอาดฉันกับใบหม่อนเราจัดการเอง แค่นี้ก็รบกวนทุกคนมากแล้ว พวกเราอยากจะอยู่ที่นี่ก็ควรจะทำตัวให้คุ้นชินกับที่นี่ค่ะ”
“เอาอย่างนั้นเหรอครับ”
“ค่ะ แค่นี้ก็พอ ยังไงก็ขอบคุณมากอีกครั้งนะคะคุณพายัพ วันนี้คุณช่วยพวกเราไว้ตั้งเยอะ รวมถึงเรื่องที่พัก เรารู้จักกันแล้วคุณเรียกฉันว่าลมเหมือนคนอื่นก็ได้ค่ะ”
“ครับคุณลม เอ่อ...ผมเป็นเด็กที่คุณตาขอมาเลี้ยง ถ้าไม่รังเกียจเรียกผมว่าพี่พายัพก็ได้” เพลงวาโยยิ้มมองผู้ชายท่าทางใจดีอบอุ่นอย่างไม่รังเกียจ
“ค่ะ พี่พายัพ พี่พายัพเป็นหลานคุณตา เราก็เหมือนญาติกันแล้ว ลมไม่เคยมีพี่ชายมีพี่พายัพมาเป็นพี่อีกคนก็ดีเหมือนกัน พี่พายัพเองก็ไม่ต้องเรียกลมว่าคุณก็ได้ เรียกลมเฉย ๆ ก็ได้ ยังไงก็ฝากตัวด้วยนะคะ”
“ครับ”
“เรื่องรถของเรา”
“พรุ่งนี้พี่จะให้นายดินไปจัดการให้ ถ้ามันไม่เสียหายอะไรมากคนงานเราน่าจะพอซ่อมได้ แต่ถ้ามันหนักจริง ๆ เดี๋ยวเรียกรถมาลากไปในเมืองให้ครับ ลมอยากได้อะไรอีกไหม”
“คือ...พรุ่งนี้ลมอาจจะเข้าไปซื้อของในเมือง รบกวนขอติดรถพี่พายัพไปด้วยได้ไหมคะ”
“ได้สิครับ ถ้าจะออกไปสักเที่ยง พี่จะแวะเข้าไปในเมืองพอดี”
“ขอบคุณค่ะ พี่พายัพกลับไปก่อนก็ได้ค่ะ เดี๋ยวคุณตาจะโกรธเอาหายมานานแบบนี้”
“เจอกันพรุ่งนี้เช้านะครับ”
“ค่ะ” พายัพหันหลังเดินกลับไปที่บ้านใหญ่ บ้านพักผู้จัดการหลังนี้ตั้งอยู่ไม่ไกลจากบ้านใหญ่มากนัก แต่สร้างแยกออกมาเพื่อความเป็นส่วนตัวของเจ้าของบ้านพัก รอบ ๆ บ้านปลูกต้นไม้หลากหลายชนิด เป็นต้นไม้จำพวกให้ร่มเงา ด้านหลังบ้านเป็นแปลงดอกไม้ที่เหี่ยวแห้งตาย มีซุ้มเล็ก ๆ สำหรับนั่งพักผ่อน รวม ๆ บ้านพักหลังนี้ถ้าจัดใหม่มันก็น่าอยู่เหมือนพักส่วนตัว ยิ่งแยกเอกเทศออกมาจากบ้านใหญ่และไกลจากบ้านพักคนงานก็ให้ความรู้สึกส่วนตัวมาก
“เราจะนอนยังไงล่ะคะคุณหนู ดูสภาพบ้าน”
“ไปไขกุญแจเราจะได้สำรวจดูก่อน เราจะได้ดูที่นอนสำหรับคืนนี้” ใบหม่อนตีหนาไม่ชอบใจ แต่ก็ยอมเดินไปไขกุญแจเปิด
ประตูบ้านพัก ภายในบ้านมืดสนิท ใบหม่อนสาดไฟฉายไปตามส่วนต่าง ๆ ของภายในบ้านเพื่อสำรวจความปลอดภัย เฟอร์นิเจอร์ภายในบ้านวางเรียงครบครับ ของทุกชิ้นถูกคลุมไว้ด้วยผ้าสีขาว ใบหม่อนดึงให้คุณหนูไปหลบด้านหลังและเดินนำเข้าไปในบ้านด้วยความระมัดระวัง เพลงวาโยแอบยิ้มกับท่าทีระแวดระวังภัยของแม่เสือ ตัวเธอไม่ได้หวาดกลัวอะไรเลยสักนิดในตอนนี้ ก็เพราะคนที่ที่เดินนำหน้าเธอเล่นกลัวแทนเธอเสียหมดแล้ว
“พี่ไม่ชอบที่นี่เลย ทำไมคุณตาของคุณหนูใจดำจังคะ บ้านยังไม่ได้ทำความสะอาดจะให้เรามาค้าง สภาพบ้านห่างไกลบ้านผู้คน แล้วถ้าเกิดมีงูเงี้ยวเขี้ยวขอขึ้นมาจะทำยังไงล่ะคะ”
“เรามีที่พักก็ดีเท่าไหร่แล้วหม่อน”
“เราไปพักโฮมสเตย์ในหมู่บ้านสักคืนดีไหมคะ พรุ่งนี้เราค่อยมาจัดการทำความสะอาดก็ยังไง คุณพายัพเธอต้องพาเราไปแน่ค่ะ”
“ถ้าเราไปเราจะไม่ได้กลับเข้ามาในไร่อีกเลยนะหม่อน”
“ทำไมคะ”
“คุณแม่บอกว่าคุณตาเกลียดคนที่ไม่อดทน เกลียดคนที่ทิ้งอะไรง่าย ๆ และตัวฉันก็ไม่ใช่คนที่จะยอมอะไรง่าย ๆ ฉันจะพิสูจน์ให้คุณตาเห็นว่าฉันไม่ใช่คนเหลาะแหละไม่เอาไหน เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ”
“แต่...”
“แทนที่เราจะมายืนคุยกัน เราไปหาไม้กวาดไม้ถูกพื้นมาทำความสะอาดตรงที่เราจะนอนคืนนี้ดีไหมหม่อน”
“เดี๋ยวพี่หาเอง”
“ช่วยกันหาดีกว่า เดี๋ยวฉันจะไปดูทางห้องครัว ใบหม่อนลองหาแถว ๆ นี้นะ”
“แต่คุณหนูไม่มีไฟฉาย ให้พี่เดินไปแล้วคุณหนูยืนรออยู่นี่ดีกว่า”
“ฉันไม่มีไฟฉาย แต่ฉันมีนี่” เพลงวาโยหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าก่อนจะกดเปิดเครื่อง ทำให้ภายในห้องสว่างขึ้นมาอีกนิด สายตาใบหม่อนเป็นกังวลกับการต้องให้คุณหนูทำอะไรด้วยตัวเองแบบนี้
“ให้พี่...”
“เราแยก...”
แกรก
สองสาวมีหน้าที่สะดุ้งตกใจหันไปมองที่บานประตูหน้าทางเข้าที่ยังไม่ถูกปิด ใบหม่อนหันมามองคุณหนู เหมือนต้องการบอกว่าเธอจะไม่ยอมแยกจากคุณหนูแน่นอน
“แค่เสียงกิ่งไม้หักเอง เอาล่ะรีบแยกกันดีกว่า ก่อนที่เราจะเสียเวลาไปมากกว่านี้”
“แต่ว่า...” เพลงวาโยไม่รอฟังพี่เลี้ยงสาว เลือกจะก้าวเท้าแยกตัวไปที่ห้องครับ พร้อมกับกวาดสายตาสำรวจมองบ้านหลังใบของเธอไปด้วย มองจากด้านนอกบ้านหลังนี้ดูเหมือนจะแคบและพื้นที่น้อย แต่เมื่อเข้ามาในตัวบ้านบ้านหลังนี้ก็ไม่เล็กจนเกินไปหรือใหญ่จนเกินไปความกว้างของบ้านเหมาะสำหรับการอยู่สองคน ภายในบ้านหลังนี้ประกอบด้วยห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว และห้องนั่งเล่นที่อยู่ด้านหน้าขอตัวบ้าน และมีมุมโต๊ะเล็ก ๆ ไว้สำหรับทานข้าว ถ้าตัดเรื่อไฟฟ้าออ บ้านหลังนี้ถือเป็นบ้านที่สะดวกสบายมากอีกหลังหนึ่งของไร่แห่งนี้
“หมับ
“ว้าย” เพลงวาโยร้องและหันไปมองคนที่คว้าไหล่เธอด้วยสีหน้าตกใจ แต่พอเห็นหน้าคนที่ทำเธอใจเสีย เพลงวาโยก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“ใบหม่อน ทำอะไรน่ะ ตกใจหมดเลยรู้ไหม”
“พี่ขอโทษ พี่จะบอกว่าพี่ขอหาแถวนี้ด้วยนะคะ”
“มีอะไรหรือเปล่า”
“พี่ได้ยินเสียงเหมือนคนเดินรอบ ๆ บ้าน ที่นี่มีผีหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“ผีเผออะไร ใครเขาให้พูด ถ้าไม่หาหน้าบ้านก็ช่วยกันหาตรงนี้ก็ได้ แล้วช่วยปล่อยแขนฉันด้วย หม่อนกอดแขนฉันแน่นไปแล้วนะ” เพลงวาโยพยายามดึงแขนออก แต่ใบหม่อนเหมือนจะไม่ยอม
“หม่อน”
“พี่เห็นเงาเดินผ่านแวบไปตรงหน้าต่าง พี่ว่าบ้านหลังนี้ต้องมีผีแน่ ๆ เลยคุณหนู”
“บ้าน่า คิดมากใหญ่แล้ว ฉันอยู่ในนี้ตั้งนานแล้วยังไม่เห็นเงาอะไรที่หม่อนว่าเลย”
“แต่พี่เห็นตอนที่หันไปมองจริง ๆ นะคะ พี่ว่าเราไปหาที่อื่นอยู่เถอะ คุณพายัพเธอก็บอกว่าบ้านหลังนี้ปล่อยทิ้งไว้นานเป็นปีไม่มีคนมาพัก บางทีอาจมีสัมภเวสีมาอาศัยอยู่”
“หม่อนกลัวผีจนมันขึ้นสมองไปแล้วนะ เอาอย่างนี้หม่อนเห็นเงาตรงไหนเราออกไปดูกันไหม หม่อนจะได้สบายใจ” เพลงวาโยถาม ใบหม่อนรีบส่ายหน้าอยู่ในนี้ก็ดีอยู่แล้วจะออกให้รู้ทำไมว่าข้างนอกเป็นอะไร
“ไม่ พี่ไม่ออก”
“ถ้าไม่ออกก็ปล่อย เราต้องรีบทำความสะอาดนะหม่อน ดูนั่นสิหม่อน ข้าง ๆ บานหน้าต่างมันมีต้นไม้ บางทีหม่อนอาจจะตาฝาดเห็นเงาต้นไม้มันขยับตามแรงลม หม่อนก็เลยคิดไปเอง เอาอย่างนี้ หม่อนยืนเฉย ๆ เดี๋ยวฉันหาเอง” เพลงวาโยมองใบหม่อนและส่ายหน้าอย่างยิ้ม ๆ พี่เลี้ยงสาวที่เก่งไปทุกเรื่อง มาตกม้าตายเพราะกลัวผีนี่แหละ ทั้งที่เกิดมาพี่เลี้ยงสาวคนนี้ก็ไม่เคยเห็นผีตัวเป็น ๆ สักครั้ง มีแต่นั่งดูหนังผี แล้วเก็บไปจินตนาการเองเสียมากกว่า
แกรก
แกรก
แกรก
“คะ...คุณหนูคะ คุณหนูได้ยินอย่างที่พี่ได้ยินไหมคะ เสียงมามาจากบานหน้าต่างนั่นจริง ๆ ด้วย พี่บอกแล้วว่าพี่ไม่ได้ตาฝาด เงานั่นต้องเป็นเงาของ...ผี”
“ผีมีเงาที่ไหน หม่อนคิดมากแล้ว เอาอย่างนี้เราออกไปดูให้รู้เรื่อง บางทีอาจจะเป็นคนแถวนี้ก็ได้”
“ใครจะมาเดินแถวนี้ตอนกลางคืนกันคะคุณหนู คุณพายัพก็บอกแล้วที่นี่ไม่เคยมีคนอยู่ ไม่มีทางที่จะมีคนที่ไหนมาที่นี่นอกจากเรา แล้วถ้าคนไม่มาที่นี่อะไรจะมาคะ”
“เอาอย่างนี้ เราออกไปดูกันจะได้หายข้องใจกัน หม่อนจะได้ไม่รู้สึกคลุมเครือกับตัวเองจนนอนไม่หลับด้วย” เพลงวาโยหยิบไม้ปัดฝุ่นขนไก่ที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาถือ
“คุณหนูจะเอาไม้ขนไก่ไปไหนคะ”
“ถ้าเกิดที่หม่อนเห็นไม่ใช่ผี แล้วมันเป็นโจร เราจะได้ใช้ตีโจรไง” ใบหม่อนมองไม้ปัดฝุ่นขนไก่แล้วอยากจะบอกคุณหนูเหลือเกิน ไอ้ไม้ปัดฝุ่นขนไก่แค่นี้จะไปทุบโจรให้สลบได้อย่างไร แต่เมื่อเห็นคุณหนูเดินนำหน้าออกไป ด้วยความกลัวสิ่งที่อาจซ่อนตัวในความมืด รวมถึงเริ่มห่วงความปลอดภัยของคุณหนู ถ้าข้างนอกไม่ใช่ผี แต่เป็นโจรคุณหนูเธออาจได้รับอันตราย คิดได้ดังนั้นใบหม่อนก็รีบวิ่งตามคุณหนูออกไป
“คุณหนู”
“ชู่ว์” เพลงวาโยส่งเสียงสั่งให้ใบหม่อนเงียบเสียง และเดินย่องไปที่บานหน้าต่างที่อยู่ข้างครัว เพลงวาโยวางเท้าลงแผ่นเบา มือจับไม้กวาดปัดฝุ่นขนไก่ไว้แน่น แต่เมื่อเดินมาถึงบานหน้าต่างข้างครัวกลัวไม่เห็นสิ่งผิดปกติอะไร
“ไม่เห็นมี....อะไรเลย”
แกรก
....ติดตามตอนต่อไป....
พัชรีพร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 เม.ย. 2559, 11:04:41 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 เม.ย. 2559, 18:11:03 น.
จำนวนการเข้าชม : 813
<< บทที่ ๑ (๑๐๐%) | ตอนที่ ๒ (๑๐๐%) >> |