ความรัก...สีหมอก

Tags: ความรัก...สีหมอก,อิง,เอย,แก้วกุดั่น,กรรณิการ์,พัสสน,ก้องภพ

ตอน: บทที่ 29

บทที่ 29


“แน่ใจหรือว่าพี่สาวของเอยเป็นแค่โรคกระเพาะจริง ๆ”

หนึ่งอาทิตย์ต่อมา เมื่อพัสสนเข้ามาเป็นแขกประจำบ้านในเย็นวันนั้นแล้วรู้จากกรรณิการ์ว่าแก้วกุดั่นยังเอาแต่นอนซม กินอะไรก็อาเจียนออกมาจนหมด ชายหนุ่มก็นิ่วหน้าแล้วตั้งคำถามนั้นออกไปอย่างข้องใจ

“ก็...พี่อิงบอกเอยแบบนั้นนี่คะ”

พัสสนยังคงนิ่วหน้าหากดวงตาฉายแววครุ่นคิด

“หรือคุณพอลคิดว่าพี่อิงไม่ได้เป็นแค่โรคกระเพาะ แต่ยังมีอะไรอีกใช่ไหมคะ”

เห็นสีหน้าแววตาบอกความกังวลของคนที่เป็นเจ้าของหัวใจ ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนท่าทีแล้วส่งยิ้มให้ก่อนเอื้อมมือไปลูบคิ้วที่ขมวดเป็นปมของเด็กสาว แล้วออกปากกระเซ้า

“ทำแบบนี้เดี๋ยวหน้าก็แก่เร็วหรอก”

เด็กสาวทำปากยื่น ก่อนบอกอย่างไม่พอใจ

“ก็คุณพอลพูดให้เอยไม่สบายใจทำไมล่ะ”

“ขอโทษที คุณพอลไม่ได้ตั้งใจทำให้เอยไม่สบายใจ”

ชายหนุ่มบอก นิ่งไปครู่จึงเปลี่ยนเรื่องพูด

“เราไปดูของที่คุณพอลซื้อมากันดีกว่า พอดีวันนี้ขับรถผ่านร้านโจ๊กเจ้าอร่อย เอยลองเอาไปให้อิงกินดูนะ เผื่อจะพอกินได้”

ความตั้งใจเบี่ยงเบนของพัสสนได้ผล เมื่อดูจากท่าทีกระตือรือร้นของกรรณิการ์

“ถ้างั้น เอยขอเอาโจ๊กไปให้พี่อิงก่อนนะคะ แล้วเดี๋ยวจะลงมากินข้าวด้วย”

คำบอกตอนท้ายคงทำให้คนฟังพอใจเมื่อดูจากรอยยิ้มขยายกว้าง และการยอมปล่อยให้เด็กสาวไปทำอย่างที่ตั้งใจ


สามวันต่อมา

รายงานจากสายฟ้าคนสนิทซึ่งเขาสั่งให้ไปสืบเรื่องที่นึกสงสัยเมื่อสองวันก่อน ส่งผลให้พัสสนต้องเคาะนิ้วลงกับโต๊ะทำงานพลางครุ่นคิด

เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ

ขณะยังคิดไม่ตกว่าจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไงเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ครั้นมองชื่อผู้โทร. เข้ามา ชายหนุ่มก็ส่ายหน้าหากยิ้มอย่างชอบใจ

“ตัวต้นเหตุโทร. มาพอดี แสนรู้จริง ๆ เลย”

ขณะจะเอื้อมมือไปกดรับ วูบนั้นประโยคหนึ่งก็ผุดขึ้นในความคิด

โชคชะตา

ชายหนุ่มยิ้มมากขึ้น เมื่อนึกถึงคนสองคนที่กำลังอยู่ในความคิดของเขา ก่อนหัวเราะเบา ๆ

บางที นี่ก็อาจเป็นเรื่องของโชคชะตา

พัสสนสรุปกับตัวเอง ก่อนกดรับแล้วกรอกเสียง

“ไง...นึกยังไงวันนี้ถึงโทร. หาได้”


เย็นวันนั้น เมื่อเดินออกมาจากตึกของคณะหลังเลิกเรียนแล้วพบว่ามีคนคนหนึ่งยืนอิงตัวอยู่ข้างรถยนต์ที่แสนคุ้นตา กรรณิการ์ก็ออกปาก

“วันนี้คุณพอลนึกยังไงคะถึงโทร. มาบอกเอยว่าจะมารับ”

“ไม่นึกยังไง แค่...คิดถึง”

ประกายวาววับจากดวงตาสีน้ำทะเลนั้นทำให้คนมองไม่กล้าสานสบด้วยนานเพราะเกรงจะเป็นโรคเบาหวานกะทันหัน

“เอยไปกินข้าวเป็นเพื่อนคุณพอลนะ”

คำบอกของคนที่เข้านั่งประจำที่คนขับ ส่งผลให้กรรณิการ์ชะงักมือที่กำลังคาดเข็มขัดนิรภัยแล้วตั้งคำถาม

“วันนี้เราจะไปกินข้าวนอกบ้านกันหรือคะ”

“ใช่”

“แต่เอยเป็นห่วงพี่อิง ไม่อยาก...”

พูดยังไม่ทันจบ คนข้างตัวก็ยื่นนิ้วชี้มาปิดปากแล้วบอกเสียงนุ่ม

“ไม่ต้องห่วง คุณพอลส่งคนไปดูแลแล้ว”

เด็กสาวทำหน้าฉงนเมื่อออกปากถาม

“คุณพอลส่งใครไปคะ”

ครั้งนี้ไม่มีคำตอบ นอกจากรอยยิ้มที่ทำให้คนมองรู้สึกเหมือนมีความลับซุกซ่อนอยู่


เย็นวันนั้น เมื่อแก้วกุดั่นรู้สึกตัวจากการนอนหลับเกือบค่อนวันก็พบว่าไม่ได้อยู่เพียงลำพัง แวบแรกเมื่อเห็นหน้าคนที่นั่งอยู่ใกล้เตียง เธอยังเชื่อว่ากำลังฝันกระทั่งได้ยินเสียง

“ตื่นแล้วหรืออิง”

เขาอยู่ที่นี่จริง ๆ

ในสภาวะที่ร่างกายอ่อนแอ จิตใจก็ยิ่งเปราะบางจนแก้วกุดั่นไม่อาจห้ามน้ำตาได้ต้องปล่อยให้มันไหลออกมาฟ้องความอ่อนไหวของตน

ก้องภพจุกในอก เมื่อแก้วกุดั่นร้องไห้ทันทีที่เห็นหน้าเขา ถึงก่อนหน้านี้ทำใจแล้วว่าอาจเจอปฏิกิริยาไม่พอใจ หรือไม่ก็ถึงขั้นขับไล่ แต่เขาไม่ได้เตรียมใจว่าจะเจอกับน้ำตาของเธอ

“ขอโทษที่มารบกวน” ความรู้สึกตื้อในอกส่งผลให้ลำคอตีบตัน ทั้งที่อยากบอกว่ามาเพราะห่วง วินาทีที่รู้ว่าเธอไม่สบายมาก เขาก็นึกอยากให้ตัวเองมีปีกเพื่อจะได้บินมาหาไว ๆ

“พอดีฉันโทร. หาพี่พอล เลยรู้ว่าเธอไม่สบาย”

ชายหนุ่มบอกแค่นั้น โดยละรายละเอียดที่เหลือว่าตั้งแต่เธอกับน้องสาวก้าวออกไปจากบ้าน เขาก็จ้างคนคอยติดตามสืบความเคลื่อนไหว รู้ตั้งแต่แรกว่าพัสสนเป็นคนจัดหาที่อยู่ใหม่ให้ทำให้เบาใจไม่น้อย แต่เพราะละอายใจทำให้ไม่กล้ามาหาทั้งที่หลายครั้งหลายคราคิดถึงจนอยากเป็นบ้า ต้องทนข่มอกข่มใจจนวันที่รู้ว่าพัสสนพาแก้วกุดั่นไปหาหมอ

ถึงห่วงแสนห่วง อยากรู้ว่าเธอเป็นอะไร แต่เขาก็ไม่กล้าติดต่อ ไม่กล้าไปหาอย่างที่ใจร่ำร้อง กระทั่งความคิดถึงห่วงหาผลักดันจนทนไม่ไหวต้องโทรศัพท์หาพัสสน

“อิงไม่สบายมาก นี่ก็คิดอยู่ว่าจะพาไปหาหมออีกรอบเพราะคิดว่าคงไม่ได้เป็นแค่โรคกระเพาะ”

เพียงแค่นั้น เขาก็นึกอยากมีมนต์หายตัวจะได้แวบมาหาเธอในวินาทีนั้น

“หิวหรือยัง อยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า ฉันจะไปซื้อให้”

ก้องภพถามอย่างนึกห่วง เกือบสองชั่วโมงที่เขามาถึงที่นี่แล้วพบว่าแก้วกุดั่นหลับสนิท เพราะไม่อยากปลุกจึงได้แต่นั่งคอย

“คุณก้องเข้ามาได้ยังไงคะ”

ชายหนุ่มนิ่งไปอย่างนึกไม่ถึงว่าจะถูกย้อนถามในเรื่องไม่เกี่ยวกับที่กำลังพูด ก่อนตอบเสียงเรียบ

“พี่พอลให้คนเอากุญแจสำรองมาให้”

แก้วกุดั่นฟังแล้วหลับตาทั้งอ่อนใจและอ่อนล้า เธอควรคิดเผื่อเรื่องนี้ไว้แล้วตั้งแต่ยอมให้พัสสนเข้ามาข้องเกี่ยว

แต่ถึงปฏิเสธ เธอเชื่อว่าคนอย่างเขาก็คงไม่ยอมเหมือนกัน

เห็นแก้วกุดั่นหลับตานอนนิ่ง ก้องภพก็เข้าใจไปอีกทาง

“ถ้าอยากนอนก็นอนเถอะฉันไม่กวนแล้ว ฉันจะรอจนกว่าเธอตื่นก็แล้วกัน”

คำบอกนั้นทำให้หญิงสาวลืมตาขึ้นทันที สานสบกับดวงตาที่ทอดมองมาอย่างอ่อนโยนได้ครู่เดียวก็เบือนหน้า

“ทำไมต้องทำแบบนี้คะ”

คนถูกถามนิ่งงัน คำตอบนั้นมีอยู่ในใจแล้ว แต่เพราะไม่เห็นประโยชน์จะพูด อีกทั้งที่ผ่านมาเขาทำร้ายแก้วกุดั่นมากแล้ว จนเธอทนไม่ไหวต้องขออิสระ แล้วอย่างนี้เขายังจะฉุดรั้งเธอไว้เพราะความเห็นแก่ตัวอีกเหรอ

“ฉัน...” ความเจ็บเสียดในอกทำให้ต้องใช้เวลาครู่หนึ่ง และเพื่อมีเวลาคิดหาคำตอบ “ฉันอยากไถ่โทษที่เคยทำไม่ดีกับเธอ”

แก้วกุดั่นยิ้มทั้งน้ำตา ถึงที่ผ่านมาถูกเขาทำร้ายจิตใจมากแค่ไหน และเธอเคยหวังให้เขามาทำดีด้วย อยากให้รู้สึกดี ๆ กับเธอสักนิดถึงแม้นั่นไม่ใช่ความรัก แต่มาถึงตอนนี้ในวันที่หัวใจถูกปันไปแล้วเธอกลับนึกกลัวว่าหากเขารู้ เขาจะมาแย่งชิงหัวใจอีกครึ่งหนึ่งของเธอไป

หัวใจครึ่งแรกที่ให้กับเขา ถึงแม้มันแหลกสลายไปแล้ว แต่เธอก็ยังมีชีวิตอยู่ได้ แต่ถ้าหัวใจที่เหลือยังถูกแย่งไป ถึงตอนนั้นเธอคงอยู่ไม่ได้

“อย่า...” คำขอร้องไม่ให้เขาแย่งลูกไปถูกยั้งไว้ทันเมื่อฉุกใจคิดว่าก้องภพไม่ได้พูดเรื่องนี้เลย แล้วเธอก็ยังไม่ได้บอกใคร ดังนั้นก็ไม่น่ามีใครรู้เรื่องนี้

วูบหนึ่ง หญิงสาวนึกขอบคุณแพทย์หญิงที่สั่งยาให้ เพราะหลังจากวันนั้นเธอแทบไม่ได้อาเจียนอย่างหนัก นอกจากนาน ๆ ครั้งเวลาได้กลิ่นอาหารค่อนข้างฉุน ทำให้เธอพอกินอะไรได้บ้าง

“ไม่ต้องหรอกค่ะ อิงถือว่าที่ผ่านมาอิงชดใช้ให้ที่คุณก้องช่วยให้อิงกับน้องมีที่อาศัย มีข้าวกิน แล้วยังได้เรียน ถ้าไม่มีคุณลุงไม่มีคุณก้อง อิงกับเอยอาจเจอเรื่องเลวร้ายกว่านี้ก็ได้”

คำบอกจริงใจที่ไม่ได้แฝงวี่แววประชดประชันทำให้ก้องภพสะอึกในอก ความละอายใจยิ่งแผ่ซ่านจนแทบไม่กล้าสู้หน้า นึกสงสัยว่าทำไมเมื่อก่อนเขาถึงทำเรื่องเลวร้ายได้โดยไม่ละอายใจ

หรือเพราะตอนนั้น ความอยากได้ อยากใช้เธอตอบสนองอารมณ์ดิบบดบังสามัญสำนึกผิดชอบชั่วดี

“ถ้าอย่างนั้น ฉันไม่รบกวนเธอแล้ว”

ชายหนุ่มเค้นเสียงบอก ทั้งที่ยังห่วงไม่อยากให้เธออยู่นอกสายตา แต่ท่าทีของแก้วกุดั่นที่เหมือนไม่อยากให้เขามาอยู่ใกล้ทำให้ละอายใจจนไม่กล้าดึงดันทำตามใจต้องการ

เพราะแก้วกุดั่นไม่รู้ว่าก้องภพไม่ได้ไปไหน เพียงแต่ลงมานั่งในโถงกลางชั้นล่าง หญิงสาวจึงเอาแต่นอนร้องไห้จากความรู้สึกโหยหาและขมขื่นใจ

เกือบครึ่งชั่วโมงที่แก้วกุดั่นปล่อยให้ตัวเองเวียนว่ายในทะเลน้ำตา กว่าจะลุกจากเตียงเพราะตั้งใจลงไปหาอะไรกินเพื่อลูกในท้อง ดังนั้นเมื่อพบว่าก้องภพยังอยู่และขณะนี้นั่งหลับตาอยู่บนโซฟาพลางอิงศีรษะกับพนักพิงด้วยท่าทางเหนื่อยล้า ทำให้อึ้งไปอย่างนึกไม่ถึง

“คุณก้องยังไม่กลับอีกหรือคะ”

ก้องภพลืมตาขึ้นมามอง ใจแกว่งกับคำถามที่เหมือนอยากผลักไส ก่อนฝืนยิ้มแล้วลุกขึ้นเดินเข้าไปหา

“หิวแล้วใช่ไหม อยากกินอะไรฉันจะไปซื้อมาให้”

แก้วกุดั่นฟังแล้วนิ่งงัน การที่เห็นก้องภพยังอยู่ในบ้านทำให้แปลกใจแล้ว แต่การที่เขายังอาสาตัวด้วยอีกทำให้แทบไม่อยากเชื่อ

“ฉันอยากไถ่โทษที่เคยทำไม่ดีกับเธอ”

เมื่อนึกถึงคำบอกก่อนหน้านั้นของเขา หญิงสาวก็ยิ้มอย่างเศร้าใจและเจ็บปวด

“คุณก้องกลับไปเถอะค่ะ แล้วก็...อย่ามาที่นี่อีกเลย”

“เธอ...ให้อภัยฉันไม่ได้หรือ”

ชายหนุ่มถามเสียงแห้ง วินาทีนั้นเหมือนอยู่ท่ามกลางความมืดมิดมองไม่เห็นแสงสว่าง ไร้ซึ่งความหวังใด ๆ

เขาไม่มีโอกาสแก้ตัวเลยหรือ

แก้วกุดั่นฝืนยิ้ม เพราะไม่รู้ว่าก้องภพยกให้เธอเป็นผู้กุมชะตาชีวิตของเขาแล้ว หญิงสาวจึงให้คำตอบอย่างที่คิดว่าชายหนุ่มน่าจะพอใจ

“อิงให้อภัยคุณก้องค่ะ ดังนั้นเราไม่ติดค้างกันแล้ว คุณก้อง...ไม่จำเป็นต้องมาที่นี่แล้วค่ะ”


อีกสองชั่วโมงต่อมา เมื่อพัสสนพากรรณิการ์มาส่งบ้าน ชายหนุ่มก็พบว่าบนโซฟายาวในโถงกลางมีร่างของก้องภพนอนเหยียดยาวเอามือก่ายหน้าผากอยู่

“คุณก้อง” แวบแรกกรรณิการ์แทบไม่เชื่อตา “ทำไมถึงมาที่นี่ได้คะ แล้วมาตั้งแต่เมื่อไร”

“มานานแล้ว”

ชายหนุ่มตอบคำถามเพียงข้อหลัง ก่อนนึกถึงสาเหตุที่ทำให้ยังคงอยู่ตรงนี้

ถ้าไม่อ้างพัสสนด้วยการบอกว่ามีนัด เขาก็ไม่แน่ใจว่าแก้วกุดั่นจะยอมให้อยู่ในบ้านต่อไปหรือเปล่า

“อิงให้อภัยคุณก้องค่ะ ดังนั้นเราไม่ติดค้างกันแล้ว คุณก้อง...ไม่จำเป็นต้องมาที่นี่แล้วค่ะ”

ก้องภพหลับตา รู้สึกล้าไปทั้งกายใจเมื่อหวนนึกถึงคำพูดก่อนหน้านั้นของแก้วกุดั่น

ถ้าเธอแสดงความโกรธหรือเกลียดเขาเชื่อว่าพอรับมือได้ แต่เมื่อเจอท่าทีให้อภัย ไม่แม้แต่โกรธหรือชิงชัง แล้วยังท่าทางเศร้าสร้อยของเธออีก ทั้งหมดนั้นกลับทำให้เขาเจ็บปวดทำอะไรไม่ได้ นอกจาก...ต้องยอมรับ

เขาไม่มีสิทธิ์มาที่นี่

พัสสนมองท่าไหล่ลู่คอตกของคนที่เป็นเหมือนเพื่อนและน้องชายอย่างนึกเห็นใจ ก่อนบอกเด็กสาว

“เอย ขึ้นไปดูอิงเถอะ”

ราวกับกรรณิการ์รับสัญญาณบางอย่างได้ จึงทำตามอย่างว่าง่าย ปล่อยให้สองหนุ่มอยู่กันตามลำพัง

“เป็นไง ถูกอิงไล่หรือ งั้นเขาก็คงโกรธนายมาก”

ก้องภพส่ายหน้า ท่าทางท้อแท้จนพัสสนยิ่งเห็นใจ

“เปล่าครับ เธอไม่แม้แต่โกรธผมด้วยซ้ำ ทั้งที่ผมทำร้ายเธอมาตลอด”

น้ำเสียงตอนท้ายของชายหนุ่มแหบแห้งราวกับกำลังรู้สึกผิดและละอายใจกับสิ่งที่เคยทำลงไป

“อ้าว! ถ้าเธอไม่โกรธก็ดีสิ แล้วทำไมนายถึงมานั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ตรงนี้”

“ผม...” ก้องภพเงียบไปครู่ เมื่อมีท่าทางเหมือนกำลังสับสน “ผมอยากให้อิงโกรธเกลียดผมมากกว่า เพราะผมอาจไม่ยิ่งรู้สึกผิด ไม่เจ็บปวดมากขึ้นกว่าเดิม แล้วก็...ไม่ต้องละอายใจจนไม่กล้าสู้หน้าเธอแบบนี้”

พัสสนเลิกคิ้ว มองหนุ่มรุ่นน้องอย่างครุ่นคิด

ก้องภพควรมีสิทธิ์ได้รู้เรื่องนั้น แต่ก่อนอื่นเขาต้องแน่ใจก่อน

ชายหนุ่มตัดสินใจ ก่อนตั้งคำถามด้วยน้ำเสียงไม่บอกความรู้สึก

“ที่นายเป็นห่วงจนอยากมาดูเธอให้เห็นกับตา เป็นเพราะรู้สึกผิดเท่านั้นหรือ”

ก้องภพนิ่งไปนานจนพัสสนคิดว่าคงไม่ได้คำตอบ กระทั่งได้ยินน้ำเสียงแหบแห้งของอีกฝ่าย

“ผมรู้สึกผิด”

วูบนั้นพัสสนนึกผิดหวัง หากก้องภพรู้สึกเพียงแค่นี้ก็คงไม่ยุติธรรมกับแก้วกุดั่น

ชีวิตคู่ที่เกิดจากความรู้สึกผิดและต้องรับผิดชอบอีกหนึ่งชีวิต คงไม่ต่างอะไรกับโซ่ตรวนที่กักขังคนทั้งคู่เอาไว้

พัสสนเก็บความคิดนั้นไว้ในใจ ขณะรับฟังก้องภพต่อ

“ที่ผ่านมา ผมคิดแต่จะใช้เธอตอบสนองความต้องการ ไม่เคยสนใจไม่เคยหยุดคิดว่าเธอก็มีชีวิตมีจิตใจ คิดเพียงว่าเธอเป็นเหมือนตัวแทนของคนที่ผมไม่มีวันเอื้อมถึง”

ฟังมาถึงตรงนี้ พัสสนก็นิ่วหน้าเริ่มรู้สึกว่าเรื่องระหว่างก้องภพกับแก้วกุดั่นน่าจะมีอะไรซับซ้อนเกินกว่าการอยากได้ผู้หญิงสักคนอย่างที่เคยคิดไว้

“ผมเคยคิด...หากได้ตัวเธอแล้ว ความใฝ่ฝันลึก ๆ ในใจคงหายไป แต่เอาเข้าจริงมันกลับให้ผลตรงกันข้าม”

ก้องภพเงียบไปนิดเมื่อแค่นยิ้มเหมือนหยันโชคชะตาหรือไม่ก็ตัวเขาเอง ก่อนพูดต่อเสียงแปร่งปร่า

“ผมไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นตอนไหน รู้ตัวอีกทีผมก็อยากมีเธออยู่ใกล้ อยากเห็นเธอมีความสุข แต่...” ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ ราวนึกขำหากแววตาสะท้อนความเจ็บปวด “ดูเหมือนผมจะถนัดแต่ทำให้เธอเจ็บปวดและเสียน้ำตา”

พัสสนยิ้มเมื่อคิดเอาเองว่าพอเดาความรู้สึกของอีกฝ่ายได้แล้ว จึงสรุป

“นายกำลังจะบอกใช่ไหมว่านาย...รักเธอ”

พูดไปแล้ว ชายหนุ่มก็ลุ้น นึกขำเพราะคาดว่าคงได้เห็นท่าทางขัดเขิน แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็นการนิ่งงันและแววตาที่สลดลง หากนั่นยังไม่ทำให้งงเท่ากับคำตอบที่ได้

“ไม่”

เขาเข้าใจผิดไปหรือ

ในขณะที่พัสสนอึ้งงันเริ่มสับสน หูก็ได้ยินคำพูดต่อมา

“คนอย่างผมไม่มีสิทธิ์พูดคำนั้น”



--------------------------------------------------------------------------------------------



ขอบคุณสำหรับทุก LIKE ที่มอบให้กันค่ะ


เรื่องนี้ใกล้ถึงบทสรุปแล้วค่ะ เพราะงั้นสบายใจได้ว่าถึงจะช้าแบบเต่าคลาน แต่คนแต่งก็จะพยายามกระดื้บ ๆ ไปจนถึงเส้นชัยให้จงได้ (ถึงจะช้าจนข้ามปีก็เถอะ 555)



ขอบคุณอีกครั้งสำหรับคอมเม้นท์ที่ให้กันค่ะ



konhin : ทั้งสองอย่างเลยค่ะ ^^



wane : รู้สึกว่าตัวเองใจร้ายจังที่ทำให้คนอ่านเสียน้ำตา



ปิ่นนลิน : ถึงอยากทำแบบนั้น แต่ก็อาจไม่ใช่เรื่องง่ายน๊า






พันวลี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 เม.ย. 2559, 13:48:38 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 เม.ย. 2559, 13:48:38 น.

จำนวนการเข้าชม : 1301





<< บทที่ 28   บทที่ 30 >>
ปิ่นนลิน 24 เม.ย. 2559, 23:39:31 น.
โอ๊ยยย พูด ๆ บอก ๆ ไปเถอะค่าา จะได้หวาน ๆ บ้างงง


konhin 25 เม.ย. 2559, 08:48:54 น.
รู้ตัววันที่พูดไม่ออก น่าสงสาร


wane 26 เม.ย. 2559, 03:01:54 น.
หมั่นไส้ก้องภพ ยังท่าเยอะ อยู่เหมือนเดิม รู้ว่าผิด รู้ว่ารัก ทำไมไม่ทำอะไรบ้างหล่ะ ละอายใจแล้วอยู่นิ่งๆ ใครจะรู้หล่ะ ชิส์!


LAM 26 เม.ย. 2559, 10:37:13 น.
หมั่นไส้ก่องภพอ่ะ กลับมาอิัพต่อเร็ว ๆ นะคะ เป็นกำลังใจให้พันวลีเสมอค่ะ


Zephyr 9 พ.ค. 2559, 18:12:24 น.
โฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย เล่นตัวจริงคุณก้อง
ลุ้นจนตับจะออกมานอกพุงละ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account