จองจำดวงใจ
...ตราบใดที่หัวใจยังมีรักและชิงชัง ตราบนั้นความทรงจำอันแสนสุขและทุกข์เศร้าก็จะเป็นเสมือนเงาที่ติดตามเราไปทุกหนแห่งชั่วนิจนิรันดร์...

ด้วยสายใยแห่งรักและความผูกพันทำให้หัวใจศศิวิมลยืนยันกับตัวเองหนักแน่นว่า ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาในคฤหาสน์วิสุทธิ์สุนทร คือ เด็กหนุ่มคนเดียวกันกับที่เธอเฝ้ารอคอยการกลับมาถึงสิบปีเต็ม แม้ว่าเขาจะแตกต่างจากเดิมไปมากเพียงใด และเมื่อการแต่งงานกะทันหันตามคำสัญญาต้องดำเนินขึ้นศศิวิมลกลับค้นพบว่าชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีแม้จะแค่ในนามกลับเป็นนักธุรกิจหนุ่มไร้หัวใจ ทายาทมหาเศรษฐีสหรัฐที่สวมรอยเข้ามาและใช้เธอเป็นสะพานเพื่อฮุบกิจการทั้งหมดของอังคพิมาน

ทั้งที่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้พ้นเงื้อมือชั่วช้า ทว่าสัญชาตญาณในหัวใจยังเชื่อมั่นและสายสัมพันธ์ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นทีละเล็กละน้อยแต่งดงามที่เกิดขึ้นระหว่างกันกลับกลายเป็นพันธนาที่จองจำเธอไว้มิให้หลุดพ้นไปจากเขา จะทำอย่างไรหากต้องเลือกระหว่างทรยศครอบครัวกับทำร้ายชายผู้เป็นหัวใจ เธอจะเลือกอะไรหากรู้ว่าทุกทางเลือกนั้นต้องจบลงด้วยความเจ็บปวดเท่านั้น

" ต่อให้เป็นนักโทษถูกล่ามโซ่ไว้ในกรงขัง หรือเป็นคนธรรมดาที่ถูกกรอบของสังคมบีบบังคับ ขอเพียงหัวใจยังโบกโบยเป็นอิสระได้ การจองจำเพียงกายนั้นก็ไร้ความหมาย แต่เมื่อใดก็ตามที่หัวใจเราถูกพันธนาการเสียแล้ว ต่อให้ดิ้นรนกระเสือกกระสนอย่างไรก็หลุดพ้นจากการจองจำนี้ไปไม่ได้หรอก เหมือนกับหัวใจของเล็กที่ถูกความรัก ความผูกพัน และความทรงจำที่มีต่อเขามัดแน่น ทั้งที่รู้ดีเหลือเกินว่าควรหนี แต่เท้าทั้งสองข้างกลับก้าวไปไม่พ้นใจเสียที ”

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 4

--- แวะคุยกันนิดหน่อยนะคะ ---

ช่วงนี้ฝนตกแทบทุกวันเลยนะคะ ยังไงก็พกร่มติดตัวแล้วดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะ
บทนี้เลือกเพลง อาลัยรักมาฝาก(http://youtu.be/quKEHMlgKy0)ความจริงแล้วมีเสียงร้องของ
ผู้ชายเยอะกว่า ล่าสุดน้องกันเดอะสตาร์เอามาร้องก็เพราะดี แต่เพราะบทนี้คนร้องเป็นผู้หญิงเลยเอาเวอร์ชั่น
ผู้หญิงมาให้ฟัง ขอให้สนุกกับการอ่านและฟังเพลงคลอตามนะคะ

-----------------------------
บทที่ 4

วัดใหญ่ชานเมืองหลวงแห่งนั้นคึกคักด้วยรถยนต์ที่จอดจนแน่นขนัดทั้งที่มิใช่วันพระ ผู้คนแต่งชุดดำบ้างขาวบ้างหลั่งไหลจากทั่วสารทิศมุ่งหน้าสู่ศาลาวัดหมายเลขหนึ่งเพื่อมาร่วมงานพิธีเผาศพครบร้อยวันของนักธุรกิจเจ้าของบริษัท โชเนน ฟาว แม้ศาลาติดเครื่องปรับอากาศหลังนี้จะใหญ่โตมากหากก็ยังไม่พอรองรับคนจำนวนมาก จนทางวัดต้องแจ้งให้ขยับขยายย้ายไปนั่งใต้เต้นท์พลาสติกใกล้กับเมรุแทน

แขกเหรื่อในงานคลาคล่ำไปด้วยเพื่อนนักธุรกิจ ผู้มีชื่อเสียงในวงการบันเทิง ข้าราชการระดับสูงจนถึงเพื่อนเก่าแก่ที่คบค้าสมาคมกับผู้ตายรวมถึงครอบครัวมานาน...คนรับใช้ที่ถูกเกณฑ์มาช่วยงานศพจึงต้องวิ่งเสิร์ฟน้ำกันให้วุ่น เช่นเดียวกับคนเตรียมดอกไม้จันที่ต้องคอยนับแขกให้พอกับจำนวนดอกไม้อยู่เรื่อยๆ
ทว่างานนี้กลับไร้เงาศรีภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากและทายาทเพียงคนเดียวของผู้ตายมาร่วมงาน มีเพียงสตรีวัยกลางคนสวมแว่นตากรอบเงิน เกล้าผมเก็บไว้เรียบร้อยอยู่ในชุดผ้าไหมสีดำเคียงข้างชายหนุ่มร่างสูงโปร่งผู้มีใบหน้าคมคาย นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มกับผิวขาวจัดของเขาดูราวกับมีเชื้อต่างชาติ ริมฝีปากหยักมีรอยยิ้มกว้างตลอดคอยรับหน้า

แม้จะวุ่นกับการต้อนรับแขกปานใด หากมีเวลาแม้สักครู่สายตาคมจะจดจ่อยังกลุ่มคนที่นั่งล้อมวงทำงานห่างออกไปอยู่เนืองๆ...จุดสนใจของเขาจับนิ่งที่หญิงสาวผมดำขลับยาวจรดกลางหลัง ผิวแลถึงดวงหน้าขาวลออ คิ้วเรียวโค้งสวย ขนตางอนหนาเป็นแพรับกับนัยน์ตาโตอมโศก จมูกโด่งมิถึงกับขึ้นเป็นสันหากก็ได้รูป ริมฝีปากอิ่มอมแดงธรรมชาติแม้นไร้สีสันเครื่องประทินโฉมก็งามหมดจดประหนึ่งภาพวาดนางในวรรณคดี

บ่อยครั้งเข้าแววตาคู่นั้นทำให้หญิงสาวที่รัดผมเป็นพวงหางม้า สวมเสื้อเชิ้ตสีดำพับแขนถึงศอกที่นั่งนับดอกไม้จันใส่พานให้ตรงกับจำนวนแขกเริ่มรำคาญ

“ ถ้าคุณศิระไม่หยุดมองมาทางนี้ เราจะหนีไปทำงานกับพวกคนใช้ของเล็กแทนนะ ”

เสียงแข็งเอ่ยขึ้นทำให้คนฟังละสายตาจากงานตรงหน้า สบสายตาของเพื่อนสนิทที่ออกอาการทนไม่ไหวก่อนจะหันหลังไปยังพี่ชายที่บัดนี้ถูกผู้เป็นป้าลากไปหาแขกกลุ่มใหญ่ที่เดินเข้ามาพร้อมกับพวงหรีดดอกไม้

“ เอ แต่เราเห็นพี่ใหญ่ก็ยุ่งอยู่นะ จะมีเวลามองเล็กตอนไหน ” เสียงหวานจับจิตนั้นร้องถาม

“ ว่างเมื่อไหร่ คุณศิระเขาก็มองเมื่อนั้นแหละ ทำเหมือนกลัวเราจะทำร้ายเล็กอย่างนั้นแหละ ” รสาเลือกใช้สรรพนามในการกล่าวถึงคนที่คอยจ้องมองอย่างห่างเหินทั้งที่ตนเองเป็นเพื่อนสนิทกับหญิงสาวผู้มีศักดิ์เป็นน้องของเขาผู้นั้น

นับแต่คบหากันในรั้วมหาวิทยาลัยจนกระทั่งวันนี้ก็ผ่านมาหลายปีแต่มีหลายอย่างที่รสารู้สึกคับข้องใจในสภาวะที่คนในบ้านเลือกปฏิบัติเพื่อนจนกลายเป็นอคติ แม้แต่พี่ชายของเพื่อนบ่อยครั้งที่สัมผัสได้ถึงความหวงน้องเกินพอดีที่กระทั่งเพื่อนยังรู้สึกอึดอัดและอดไม่ได้ที่จะเรียกพวกเขาเหล่านี้ราวกับคนแปลกหน้า

ศศิวิมลยิ้มอ่อน วางช่อดอกไม้จันที่จัดเป็นพิเศษสำหรับเจ้าภาพและแขกคนสำคัญของผู้ตายลงในพานทอง...กรอบและความห่วงใยมากมายที่ผู้เป็นป้ารวมถึงพี่ชายมีมิใช่จะไม่สร้างความอึดอัด แต่เมื่อหวนคิดว่า ทุกอย่างล้วนมาจากความปรารถนาดีก็ทำให้ยอมจำนนอยู่เช่นนั้น

“ พี่ใหญ่เขาชอบคิดว่าเล็กอ่อนแอนะ ก็เลยกลัวเล็กทำงานหามรุ่งหามค่ำจะเป็นลมก็เลยคอยมองเท่านั้นเอง สาอย่าไปถือพี่ชายเล็กเลย ”

“ วันหลังเล็กไปตรวจสุขภาพแล้วเอาใบรับรองจากแพทย์ให้คุณศิระเขาดูสักรอบสิ เผื่อจะคิดได้ว่า สมควรจะเลิกวิตกกังวลจนเกินพอดีเสียที ”

“ เอาเถอะนะ...ถ้ารู้สึกอึดอัด สามานั่งแทนเราดีกว่า พอมองไม่เห็นจะได้ไม่รำคาญ งานจะได้เสร็จเร็ว” สลับตำแหน่งการนั่งกับเพื่อน แล้วตั้งหน้าตั้งตาเร่งมือทำงานเพราะอีกไม่กี่สิบนาทีก็จะได้ฤกษ์เผา

พอไร้ความรู้สึกถูกรบกวน งานทุกอย่างก็ดำเนินรุดหน้าอย่างรวดเร็ว แต่สักพักสมาธิก็ถูกทำลายด้วยเสียงพูดคุยกันของหญิงวัยกลางคนสองคนซึ่งนั่งบนเก้าอี้ถัดออกไปไม่ไกลนัก

“ ธุรกิจกำลังไปได้ดีแท้ๆ คุณพันธ์ก็มาด่วนจากไปเสียแล้ว คุณพิณเองเธอก็ป่วยหนัก แถมลูกชายก็มาหายตัวไปอีก ไม่รู้เวรกรรมอะไรของบ้านนี้ ”

“ อุตส่าห์ตั้งศพไว้ร้อยวันก็ยังตามหาลูกชายคุณพันธ์ไม่เจอสักที โชคยังดีนะที่คุณพิณมีคุณมล ไม่งั้นป่านนี้งานศพคุณพันธ์คงต้องจัดตามมีตามเกิดแน่ ”

“ ถึงตามตัวลูกชายคุณพันธ์เจอก็ไม่ใช่ว่างานศพจะจัดได้ดีขนาดนี้หรอกนะ ใครๆเขาก็ลือกันทั้งนั้นว่า ลูกชายคุณพันธ์นะเกเรไม่เอาไหนจะตาย ที่คุณพันธ์ส่งลูกชายไปเรียนถึงสหรัฐก็หวังจะดัดนิสัย เพราะไปหาเรื่องซ้อมลูกคุณมลนะสิ ป่านนี้ที่หายไปอาจจะไปเข้ากับพวกค้ายาที่นู้นก็ได้ ”

เรื่องราวของครอบครัวผู้ตายที่ถูกนำมานินทาแม้นจะมีความจริงบ้างหากก็ไม่ใช่ทั้งหมด ตลอดสิบปีที่ภาควัฒน์จากบ้านวิสุทธิ์สุนทรไปจากความเข้าใจผิดของผู้เป็นพ่อ เขาก็ไม่เคยเขียนจดหมายหรือโทรศัพท์กลับมาเลยสักครั้ง มีแต่หญิงสาวที่ยังเพียรเขียนจดหมายและส่งของไปให้เขาเพียงฝ่ายเดียวมาโดยตลอด แม้จะทราบข่าวว่า ภาควัฒน์หายตัวไปเมื่อสี่ปีก่อน หากหล่อนก็ยังเชื่อว่าเขายังมีชีวิตอยู่และทำทุกอย่างเหมือนที่เคยทำด้วยหวังว่าวันหนึ่งเขาจะกลับมา

ทว่าจนถึงตอนนี้ข่าวล่าสุดที่ทราบ คือ ห้องพักของภาควัฒน์ถูกขายให้เจ้าของใหม่ไปแล้ว
ศศิวิมลทนฟังแล้วมีสีหน้าไม่สู้ดี เผลอฉีกเทปกระดาษสีดำอย่างแรง ขณะชะเง้อมองไปยังผู้ใหญ่ไม่รู้กาลเทศะอยากจะเถียงแทนแต่ก็ไม่กล้าเพราะเกรงจะทำให้ผู้เป็นป้าขายหน้ากลางงาน

รสาจัดการเรื่องดอกไม้ในพานเรียบร้อยก็วางมือ...ได้ยินทุกคำนินทาชัดจึงเหลือบมองหน้าเพื่อนครู่หนึ่งจึงหันไปมองแขกที่ยังคุยกันไม่หยุดตลอดการถวายกัณฑ์เทศน์

“ ขนาดพระท่านเพิ่งเทศน์เรื่องนินทากาเลไปหยกๆ ยังมีพวกบาปหนากล้านั่งนินทากระทั่งคนตาย เรื่องจริงหรือไม่จริงไม่รู้ขอแค่ได้พูดสนุกปาก นรกจะกินกบาลไหมหนอ ” ถ้อยคำยาวจงใจส่อเสียด หักข้อนิ้วดังเสียจนเจ้าตัวที่ได้ยินหันมาแล้วรีบปิดปากสนิทไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก

ความเป็นตรงไปตรงมาอาจดูแข็งกระด้างแต่ความเอาใจใส่คนใกล้ชิดของรสาทำให้บ่อยครั้งต้องออกโรงปกป้องเพื่อนที่เคยชินกับการอยู่ในกรอบและเกรงใจผู้อื่นเป็นอาจิณจนไม่กล้าแสดงความรู้สึกในใจให้ใครรับรู้

“ วันหลังเล็กด่าออกไปเลย...คนแก่แต่อายุแบบนี้ ต้องโดนซะบ้าง

“ เรากลัวว่า ถ้าพูดออกไปมีเรื่องขึ้นมา แม่ใหญ่จะลำบาก ”

“ ลำบากอะไร ” เลิกคิ้วสูงเป็นเชิงถาม แม้ในใจจะรู้ดีว่า ความลำบากที่ศศิวิมลกล่าวถึง คือ ลำบากใจที่จะเปิดเผยสถานะให้ใครรู้ว่าตัวเองเป็นหลานหาใช่เด็กในบ้านอย่างที่หลายคนคิด

แต่ไม่ทันเพื่อนจะไขข้อข้องใจ ชายหนุ่มคนเดียวกันกับที่ยืนต้อนรับแขกอยู่เป็นนานก็คลานเข่าเข้ามานั่งเคียงร่างบาง ใบหน้าหล่อเหลาพราวเหงื่อจนคนเป็นน้องต้องสละผ้าเช็ดหน้าสีขาวของตนส่งให้เขาซับ

“ เหนื่อยมากหรือคะ ถึงเหงื่อแตกขนาดนี้ ”

“ ไม่จ๊ะ แต่อากาศมันอบพอใส่สูทเลยยิ่งร้อน ว่าแต่เล็กเถอะคะ ดูหน้าซีดๆเป็นอะไรหรือเปล่าคะ ” มือใหญ่เอื้อมออกไปทาบลงบนหน้าผากนวลวัดอุณหภูมิร่างกายน้องทันที

หญิงสาวดึงมือพี่ชายออกจากหน้าผาก...ไม่ชอบใจกับการตกเป็นเป้าสายตา

“ พี่ใหญ่ชอบทำเหมือนเล็กเป็นเด็ก เล็กไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นสักหน่อย ” บ่นจนหน้าตูม เรียกเสียงหัวเราะจากศิระได้เป็นอย่างดี เขาใช้ข้อนิ้วไล้แก้มขาวของน้องสาวแผ่วเบาแสนทะนุถนอม

“ ถึงเล็กโตกว่านี้...พี่ก็เลิกห่วงไม่ได้หรอกคะ ”

รสาเหลือบแลศิระที่ปฏิบัติต่อศศิวิมลอย่างอ่อนโยนลึกซึ้งแทนที่จะชอบใจกลับรู้สึกตะขิดตะขวง มิใช่ในรูปแบบอาการหญิงหวงชาย หากเป็นหญิงที่ห่วงเพื่อนเสียมากกว่า

“ คุณศิระบอกคุณป้าแล้วเหรอคะ ว่าจะมาพักตรงนี้ ” ถามขณะจ้องเขม็งยังนิ้วมือของเขา

ศิระชะงัก เก็บมือไม้ลงข้างลำตัว หันมาสบสายตากับหญิงสาวอีกคนที่เท้าคางมองอยู่...แววตานั้นหาได้เป็นมิตร ตรงกันข้ามมันเหมือนกับอีกฝ่ายพยายามค้นให้ลึกถึงบางสิ่งที่เขาปกปิดไว้

“ ผมจะพักบ้างแม่ใหญ่คงไม่ว่าหรอกครับ ” เขาแย้มริมฝีปาก ต่างคนต่างรู้สึกถึงความขัดแย้งระหว่างกันเพียงแต่ไม่เผยให้ผู้ใดรู้

“ ดิฉันนึกว่า คุณศิระหนีอะไรมาซะอีก ” ถามพลางยิ้ม และพอพูดขึ้น คนเป็นน้องก็ชะเง้อคอมองไปทางกลุ่มคนที่คุยกับมลธิกาจึงพบว่าหนึ่งในนั้นมีหญิงสาวสวยสง่าท่าทางปราดเปรียวคนหนึ่งร่วมสนทนาก็ถึงบางอ้อได้ในคราวนั้น

“ พี่ใหญ่หนีผู้หญิงคนนั้นมาหรือเปล่าคะ ” เริ่มซักไซ้ยังไม่วางตาจากผู้หญิงสาวในกลุ่ม ครู่หนึ่งก็เกิดประสานสายตากับเจ้าหล่อนเข้า จากใบหน้าสดใสกลับเปลี่ยนเป็นเครียดเคร่งจนต้องละสายตากลับมา

“ จะว่าหนีก็ไม่เชิงหรอก น่าจะเรียกไม่อยากคุยมากกว่า พี่ก็เคยบอกแม่ใหญ่แล้วว่า ถ้าพี่ชอบใครพี่จะพามาให้ดูแต่อย่าจับคลุมถุงชน แต่แม่ใหญ่ก็ไม่ฟัง บอกว่าคนนี้เหมาะกับพี่พาว่าที่คู่หมั้นคนที่สิบมาให้พี่คุยด้วยอีกแล้ว ” ชายหนุ่มระบาย ส่ายหน้าอย่างเบื่อระอาเหลือเกิน

“ ก็เลิกทำตัวเป็นโสดแล้วหาแฟนเป็นตัวเป็นตนกับเขาสักคนสิคะ เล็กเห็นข่าวซุบซิบลือเรื่องพี่กับผู้หญิงออกจะบ่อยไป พามาเปิดตัวที่บ้านสักวัน เดี๋ยวแม่ใหญ่ก็เลิกพาสาวมาให้พี่ดูตัวค่ะ ”

“ ถ้าคบคุยกันเล่นๆมันก็ได้หรอกเล็ก แต่พี่ยังไม่เจอคนที่คิดจริงจังด้วย แล้วจะให้เปิดตัวเป็นแฟนได้ยังไง อย่างนี้ผู้หญิงเขาจะเสียหายนะ ”

“ งั้นจะเป็นไรถ้าจะลองคบกับผู้หญิงที่แม่ใหญ่หามา พี่ใหญ่เองยังไม่ทันจะรู้จักก็ปิดโอกาสเขาเสียแล้ว ทำไมไม่ลองคุยกับเธอสักหน่อยล่ะคะ สมมุติคุยไม่ถูกคอก็ยังเป็นเพื่อนกันได้นี่คะ ”

ชายหนุ่มถอนหายใจหนักหน่วงขณะเบือนหน้าออกมานอกศาลา ทอดสายตายังกอดอกมะลิเพราะมิอยากให้ใครล่วงรู้ความในใจที่ซ่อนไว้ลึกล้ำเพียงลำพัง ก่อนจะหันกลับมาลูบผมน้องเบา

“ เล็กอยากให้พี่ลองคุยกับเขาเหรอ ”

“ ค่ะ...ดูเธอสวยดีออก ไม่แน่คุยไปคุยมาติดใจ เล็กอาจได้พี่สะใภ้ก็ได้ ”

“ ก็ได้ ในเมื่อเล็กบอกแบบนี้ พี่ก็จะลองดู ” เขายอมโอนอ่อนตามความเห็นของน้อง ริมฝีปากยังแย้มละมุนน่าแปลกที่คนนอกอย่างรสากลับสัมผัสถึงความเจ็บปวดที่แฝงในสุ้มเสียงของเขาได้

เสียงตามสายดังผ่านลำโพงประกาศให้ทุกคนในวัดทราบถึงกำหนดการต่อไปที่จะเริ่มนำศพไปเวียน คนที่เฝ้าสังเกตจึงเลิกสนใจอย่างอื่นทันที

“ เขายกศพคุณภาคพันธ์ไปเวียนรอบเมรุแล้วนะเล็ก เราน่าจะเตรียมตัวเอาดอกไม้จันไปวางที่โต๊ะได้แล้วนะ เดี๋ยวไม่ทัน ” รสาร้องเตือน

“ จริงสิ ” ยกนาฬิกาข้อมือดูเวลา “ เล็กต้องไปทำงานต่อแล้ว ส่วนพี่ใหญ่ก็กลับไปทำตามที่เล็กบอกซะนะคะ ” จับแขนพี่ชายบีบแรงให้กำลังใจ หยิบพานทองกับหิ้วถุงพลาสติกใส่อุปกรณ์กับวัสดุทำดอกไม้จันวิ่งไปคล้องแขนรสาอย่างสนิทสนม

ดวงตาคมของศิระมองร่างบอบบางที่ห่างไกลออกไปทุกทีนิ่งนาน รู้สึกเหมือนหัวใจถูกใครบีบอย่างแรงจนปวดแปลบ ได้แต่ยกมือทำคล้ายจะไขว่คว้าบางสิ่งในอากาศแล้วกำแน่น...ชาตินี้ทั้งชีวิตก็ไม่มีสิทธิ์จะเอื้อมถึง

ศพภาคพันธ์ถูกเชิญขึ้นเมรุเรียบร้อย นายทหารระดับนายพลในฐานะเพื่อนสนิทก็กล่าวคำไว้อาลัยต่อมามลธิกาจึงเชิญประธานและแขกผู้ใหญ่ทอดผ้าบังสุกุลก็ได้เวลาวางดอกไม้จัน...ศิระเป็นคนถือพานทองให้ทุกคนบนเมรุหยิบดอกไม้จันไปวาง ส่วนตนเองเป็นคนสุดท้ายที่ได้รับเกียรติใช้ดอกไม้จันที่จัดเป็นช่อพิเศษ จากนั้นจึงปล่อยคนที่ยืนต่อแถวหยิบดอกไม้จันในพานเงินด้านล่างขึ้นมาวางตามลำดับ

แถวยาวเคลื่อนขบวนอย่างช้าๆ พร้อมกับจำนวนดอกไม้ที่ร่อยหรอแต่ยังพอดีคน...ศศิวิมลกับรสายืนอยู่หลังโต๊ะหน้าเมรุ ตั้งใจรอเป็นอันดับสุดท้ายที่ได้วางดอกไม้จัน ด้วยต้องการทำตามเจตนารมณ์ของผู้เป็นภรรยาที่ฝากฝังกระดาษบันทึกคำรักคำอาลัยมาให้หล่อนเผาไปด้วย

นิ้วเรียวลูบสร้อยเงินห้อยจี้เปียโนจิ๋ว...อนุสรณ์เดียวที่คนจากไกลทิ้งไว้ให้

คนเริ่มบางตาจนท้ายแถวมาหยุดยืนกันแถวหน้าโต๊ะ ดอกไม้จันในพานถูกหยิบไปจนเหลือเพียงดอกเดียวให้คนสุดท้าย รสาถือว่าตัวเองไม่สนิทเพียงมาช่วยงานจึงขอไม่ไว้อาลัยหรือขออโหสิและยกดอกไม้จันนั้นให้แล้วบอกให้รีบไปต่อแถว

แต่ไม่ทันที่เท้าจะก้าวไปข้างหน้ากลับมีชายคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า...เขาเป็นชายตัวสูงใหญ่สวมเสื้อยืดสีขาวทับด้วยแจ๊กเก็ตกับกางเกงยีนส์ฟอกสีดำ ใบหน้าเรียวคร้ามแดดมีไรหนวดเขียวตลอดแนวคาง แม้แว่นดำจะบดบังองค์ประกอบสำคัญของหน้า ทว่าเท่านั้นก็ทำให้เขามีเสน่ห์จนตกเป็นเป้าสายตาของคนที่ยืนอยู่ในละแวกนั้นเป็นอย่างดี

ศศิวิมลเหลือบมองผู้มาใหม่ ประหลาดนักที่เพียงพบเขาไม่ถึงเสี้ยววินาที หัวใจที่เต้นเป็นจังหวะปกติกลับรัวเร็วอย่างไร้สาเหตุ

“ ยังเหลือดอกไม้จันไหมเล็ก ” รสาสะกิด คนที่นิ่งอึ้งจึงหันไปกุลีกุจอคว้าหาดอกไม้จากในถุงดู

“ มีดอกหนึ่ง แต่ยังไม่พันก้านเลย ” หยิบออกมาให้ดูว่ายังไม่ได้พันเทปดำเก็บงานให้เรียบร้อยเลย จึงส่งดอกไม้ที่เพื่อนกันไว้ให้ตนเองส่งให้เขาไปใช้ก่อน

“ เอาที่ไม่เสร็จมาก็ได้ ” เขาบอกห้วน ดันดอกไม้สภาพสมบูรณ์กลับไป คว้าอีกดอกในมือเล็กมาแทน

เพียงยินน้ำเสียงทุ้มกังวานประโยคเดียว ห้วงความคิดของหญิงสาวกลับมีแต่ภาพของเด็กหนุ่มที่ห่างร้างไกลผุดพราย ความรู้สึกโหยหาไออุ่นอันคุ้นเคยที่เฝ้ารอมานานพลันบังเกิดได้อย่างน่าอัศจรรย์

กว่าศศิวิมลจะได้สติก็เห็นแผ่นหลังของเขาอยู่บนเมรุ จึงนำดอกไม้ที่ถูกส่งคืนเดินตามหลังเขาขึ้นไป

สัปปะเหร่อที่ยืนรอเวลาข้างเตาเผายิ้มให้เมื่อรู้ว่า ใกล้ได้ฤกษ์เต็มที...หญิงสาวเหลือบเห็นชายหนุ่มที่ขึ้นมาก่อนหน้ายืนพนมมือห่างออกไป อยากเข้าไปถามแต่เห็นควรจะจัดการเรื่องไว้อาลัยร่างคนตายก่อนจึงสูดลมหายใจหยิบเอากระดาษของอรพิณม้วนไปกับดอกไม้จันแล้ววางไว้ใต้โลงศพ

“ วันนี้ป้าพิณกับพี่ภาคมางานเผาคุณลุงไม่ได้ แต่คุณลุงคงรู้ใช่ไหมคะว่าทั้งสองคนมีความจำเป็นถึงมาไม่ได้ ดังนั้นเล็กจะขอเป็นตัวแทนคุณป้ากับพี่ภาคอโหสิทุกอย่างที่คุณลุงเคยกระทำ ขอให้คุณลุงไปสู่สุคตินะคะ ” พนมมือถ่ายทอดความรู้สึกทั้งมวลจากผู้ป่วยที่เดินทางมาไม่ได้ ก่อนจะลืมตารีบหันหลังไปหาคนที่ยืนอยู่เมื่อครู่แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า

วินาทีนั้นคล้ายขาดสติยับยั้งชั่งใจ...ร่างแบบบางวิ่งลงบันไดหลังออกตามหาชายหนุ่มคนนั้น พยายามไล่หลังให้ทันเขาจนมาถึงหน้าป่าช้าที่มีไม้ยืนต้นขึ้นสลับกับเจดีย์เก็บอัฐิ

บรรยากาศวังเวงเงียบเหงาแม้ในตอนกลางวัน ทว่าความรู้สึกในใจกลายเป็นพลังแน่วแน่ที่ทำลายความกลัวของหญิงสาวโดยสิ้นเชิง เท้าก้าวออกไปหมายจะค้นหาให้พบกลับถูกมือแข็งฉวยไว้ก่อน

“ เล็กจะเข้าไปทำไม ” ศิระที่วิ่งตามมาคนแรกร้องถามพลางเขย่าแขนให้น้องรู้สึกตัว

ศศิวิมลกระพริบตาหันมองพี่ชายสลับกับด้านในของป่าช้ายังติดใจสงสัยถึงใครคนหนึ่งที่หายไปรวดเร็วราวกับล่องหน

“ เล็กรู้สึกเหมือนเจอคนรู้จัก ก็เลย... ”

“ ก็เลยวิ่งตามออกมาแบบนี้เหรอ เล็กจะบ้าหรือไง ถึงที่นี่จะเป็นเขตวัด ไม่ได้หมายความว่าตรงไหนเปลี่ยวแล้วจะไม่อันตราย ถ้าเกิดเล็กเข้าใจผิดตามคนโรคจิตแล้วพี่ตามมาไม่ทันจะเกิดอะไรขึ้น คิดบ้างไหม ” ความเป็นห่วงทำให้เผลอตะคอกใส่ สักพักพอรู้สึกตัวก็เสยผมยุ่งจากลมที่ตีใส่ให้เข้าทรง

“ เล็กขอโทษค่ะ ” เสียงระโหยอ่อนสำนึกผิด

“ พี่ก็ขอโทษที่ตะคอกใส่ แต่เล็กต้องเข้าใจนะ ว่าเล็กสำคัญกับพี่ ถ้าเล็กเป็นอะไรขึ้นมา พี่คงทนไม่ได้ ” ปล่อยแขนน้องลงแล้วยื่นมือออกไปอยากจะเชยคางน้อง แต่รสาปราดมาฉุดแขนเพื่อนให้ถอยมาอยู่ข้างหลังตนเองแทน

“ มีอะไรหรือเปล่าเล็ก ” ถามแต่ตาจ้องศิระไว้เขม็ง เห็นเพื่อนส่ายหน้าเบาก็จับไหล่พากลับเข้างาน

ศิระยกมือลูบหน้าลูบตา อึดอัดเหลือเกินกับสถานการณ์ที่ต้องเผชิญอย่างเลี่ยงไม่ได้ ข่มใจเดินกลับเข้างาน โดยไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่า ชายหนุ่มคนที่น้องตามหากำลังถอยพ้นจากที่ซ่อนในป่าช้า

นัยน์ตาคมแลโดดเดี่ยวดุจเดียวกับหมาป่าทอดยังแผ่นหลังของชายหนุ่มอีกคนที่เพิ่งลับหายซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของงานใหม่ในครั้งนี้
**********************

พิธีศพของนายใหญ่แห่งวิสุทธิ์สุนทรผ่านพ้นไปท่ามกลางคำสรรเสริญเยินยอที่มีต่อตระกูลอังคพิมานซึ่งเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงใหญ่จัดการศพแทนเพื่อนสนิทที่ป่วยเกินกว่าจะแบกรับหน้าที่นี้ได้อย่างสมเกียรติ คนในวงการชื่นชมปรบมือ ขณะที่นักข่าวก็นำเรื่องราวนี้ไปลงในนิตยสารและหนังสือพิมพ์แม้จะเป็นเพียงข้อความสั้นๆในคอลัมน์ซุบซิบไฮโซแต่มลธิกาก็พอใจ

รถยนต์ยุโรปหรูคันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดตรงลานกว้างหน้าคฤหาสน์ก่อนที่ร่างระหงสวมเดรสรัดรูปทรงสอบยาวเหนือเข่าสีน้ำเงินทับสวมสูทเนื้อดีสีเดียวกันจะก้าวลงมายืนแหงนหน้ามองสถาปัตยกรรมอันโอ่อาสวยงามที่อังคพิมานภูมิใจอยู่ครู่หนึ่งก็ถูกเชิญให้เข้าไปภายใน

เสียงสวบสาบเหยียบหญ้าดังจากเบื้องหลังทำให้ศศิวิมลที่ยกบัวรดน้ำลงกระถางกล้วยไม้ที่ปลูกไว้บนโต๊ะเป็นแนวยาวใต้ตาข่ายกรองแสงพลาสติกใกล้เรือนชั้นเดียวด้านหลังคฤหาสน์ต้องหยุดมือหันไปมอง

หญิงวัยกลางคนผิวคล้ำออกท้วมๆหิ้วตะกร้าหวายบรรทุกอาหารแห้งและสดจากตลาดตรงเข้ามาจนเห็นคุณหนูของตนอยู่ในระยะใกล้

“ พี่สมบอกคุณเล็กแล้วไม่ใช่หรือคะว่าจะกลับมารดน้ำกล้วยไม้เอง ดูสิ แดดร้อนขนาดนี้ เดี๋ยวคุณเล็กเป็นลมไปพี่สมจะทำยังไงคะ ” สมพรเอ็ดหน้าตาขึงขังจากความเป็นห่วงหญิงสาวที่ตนเองดูแลมาเนิ่นนาน

“ ก็เล็กไม่เห็นพี่สมกลับจากตลาดสักที พอดีเย็บของชำร่วยให้ลูกค้าหมดแล้วก็เลยออกมารดเองดีกว่า แล้วแดดถึงจะร้อนแต่เล็กก็ใส่หมวกกันไว้ไม่เป็นลมเป็นแล้งให้อายใครหรอกค่ะ ” ว่าพลางจับหมวกสานปีกกว้างของตัวเองไว้ “ ว่าแต่ทำไมวันนี้พี่สมไปตลาดนานจังคะ เห็นทุกทีไปแป้บเดียวก็มา ”

“ พอดีตอนเดินผ่านเรือนใหญ่มาเห็นมีผู้หญิงมาหาคุณมล พี่สมเลยแวะไปคุยกับพวกในครัว ถึงได้รู้ว่า วันนี้คุณมลพาผู้หญิงมาให้คุณใหญ่ดูตัวอีกแล้ว แต่คนนี้ทั้งสวยทั้งฉลาดไม่เหมือนคนก่อนๆ สงสัยคุณเล็กจะได้พี่สะใภ้ก็งานนี้ ” สมพรเล่าอย่างออกรสออกชาติ

หญิงสาวฟังแล้วใคร่ครวญถึงลักษณะที่พี่เลี้ยงกล่าวถึงตรงกับผู้หญิงที่เห็นสบสายตาด้วยในงานศพ

“ ไปคุยกับพวกในครัว แล้วขอบิลค่าใช้จ่ายที่เรือนใหญ่มาให้เล็กทำบัญชีไว้หรือเปล่าคะ ”

“ ตาย...ลืมสนิทเลย เดี๋ยวพี่สมกลับไปขอให้คุณเล็กก่อนนะคะ ” ฝากตะกร้าได้ก็วิ่งกระหือกระหอบกลับไปอย่างรวดเร็ว

ศศิวิมลยิ้มอ่อนหยิบตะกร้าวางไว้กับพื้นหญ้าเพื่อจะเก็บอุปกรณ์เพาะปลูกลงในลังไม้...ชีวิตหลังเรียนจบปริญญาตรี นอกจากเรื่องพี่ชายถูกย้ายไปอาศัยที่เรือนใหญ่ก็แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เคยอยู่แต่ในบ้านเช่นไรก็เป็นเช่นนั้น แม้ผู้เป็นป้าจะมอบหมายงานดูแลค่าใช้จ่ายทั้งหมดในบ้านรวมถึงงานรับทำของขวัญของชำร่วยหรือการเพาะกล้วยไม้ส่งขายให้ทำจนหัวหมุนแต่ความรู้สึกโดดเดี่ยวก็ไม่เคยคลายจากหัวใจ

หญิงสาวหิ้วตะกร้ากลับเข้าบ้านโดยไม่รอพี่เลี้ยง...ภายในบ้านชั้นเดียวหลังนี้กว้างขวางเชื่อมต่อถึงกันหมดยกเว้นเพียงห้องน้ำกับห้องนอน แบ่งสัดส่วนการใช้งานโดยอาศัยเครื่องเรือนที่ถูกผู้อาศัยแปลงโฉมใหม่มาจัดจนได้มุม

ชุดห้องครัวขนาดกะทัดรัดแต่ครบครันด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกในการทำอาหารตั้งอยู่ด้านในสุดของตัวบ้าน อาหารสดถูกนำเข้าแช่ในตู้เย็นขนาดกลางที่คลุมผ้าลายดอกไม้ไว้ ส่วนอาหารแห้งจะเรียงไว้ในตู้เหนือเคาน์เตอร์เตรียมอาหาร บนเตาไฟฟ้ามีหม้อตั้งไฟอยู่

“ พี่สมเอารายการค่าใช้จ่ายมาให้คุณเล็กแล้วนะคะ จะให้วางไว้ตรงโต๊ะทำงานเหมือนเดิมใช่ไหมคะ ” สมพรร้องบอกเสียงดังจากห้องประตูขณะที่เจ้าของบ้านหลังนี้กำลังใช้ทัพพีตักต้มจับฉ่ายในหม้อชิมรสชาติ

“ ค่ะ ” ตอบรับ ก้มลงเปิดตู้หยิบหม้อเล็กสองใบออกมาแล้วจึงแบ่งจับฉ่ายใส่ลงไป “ เดี๋ยวเล็กจะไปดูป้าพิณที่บ้านนู้น ยังไงฝากพี่สมเอาจับฉ่ายอีกหม้อไปให้ที่เรือนใหญ่ช่วงมื้อกลางวันแทนเล็กด้วยนะคะ ”

“ แล้วคุณเล็กจะไม่อยู่รอคุณใหญ่มาทานข้าวที่นี่หรือคะ ”

“ ว่าที่คู้หมั้นมาหาพี่ใหญ่ถึงบ้าน พี่สมคิดหรือคะว่า พี่ใหญ่จะได้กลับมากินข้าวที่นี่ ”

พี่เลี้ยงของหล่อนพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะช่วยหยิบซออู้ที่เก็บในถุงแขวนไว้ใกล้เปียโนส่งให้คุณหนูของตนและยกหม้อจับฉ่ายอุ่นร้อนส่งให้เป็นอันดับสุดท้ายเหมือนทุกวัน

“ เล็กอาจจะอยู่กินข้าวเย็นกับป้าพิณนะคะ ” เอ่ยทิ้งท้ายแล้วปิดประตู เดินย่ำเท้าออกจากเขตรั้วอังคพิมานสู่เคหสถานหลังติดกัน

คฤหาสน์วิสุทธิ์สุนทรที่สวยงามตระการตาแต่เงียบเชียบเสมอ ยามไร้ร่มเงานายใหญ่แห่งวิสุทธิ์สุนทรยิ่งสงัดร้างด้วยคนอาศัยก็เหลือเพียงภรรยาเจ้าของบ้านที่ป่วยหนักกับผู้สูงวัยที่ผูกพันกับตระกูลนี้ยาวนานอยู่รับใช้ไม่กี่คน งานไหนที่ทำไม่ไหวก็อาศัยจ้างคนงานที่ไว้ใจได้ให้มาแบบเช้าไปเย็นกลับแทน

ศศิวิมลโผล่หน้าไปในครัวที่ปูหินอ่อน ครบครัวด้วยอุปกรณ์ทำครัวและอำนวยความสะดวก เห็นยายช้อยโขลกพริกแกงส้มจึงวางหม้อที่ติดตัวมาลงบนเคาน์เตอร์แล้วถลาเข้าไปโอบเอวทั้งสองไว้

“ ตาเถรหกตกหมด ” แม่นมเก่าแก่อย่างยายช้อยอุทานลั่น พอหันไปเห็นว่าใครทำให้ตกอกตกใจก็วางสากแกล้งจับคนตัวเล็กมาตีเบาเป็นพัลวัน

“ คุณเล็กก็...เล่นอะไรอย่างนี้ คนแก่หัวใจวายหมด ” นางครวญ แววตาเต็มตื้นด้วยความรักและเอ็นดู

“ โอ๋ๆ เล็กขอโทษนะคะ เล็กเห็นยายช้อยอยู่คนเดียวก็เลยอยากกอดนะคะ ” มือขาวบีบนวดเอาใจสารพัดจนคนแก่อดกอดตอบไม่ได้

กิริยาสนิทสนมที่แสดงออกระหว่างกันเกิดจากความสัมพันธ์ที่เป็นไปฉันท์ยายหลานสายเลือดเดียวกันโดยแท้ทำให้หญิงสาววางใจจะถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดผ่านการกระทำให้รับรู้ ผิดแผกกับยามอยู่ในรั้วอังคพิมานที่ไม่กล้ากระทั่งออกความคิดเห็นใดต่อใครนอกจากพี่ชาย

“ วันนี้เล็กเอาจับฉ่ายมาให้ป้าพิณแล้วก็เอามากินที่นี่ด้วย ว่าแต่ยายช้อยจะทำอะไรให้ป้าพิณกับคนในบ้านนี้กินคะ ”

“ วันก่อนนู้นเห็นคุณเล็กบ่นอยากกินแกงส้มผักรวมไม่ใช่หรือคะ คุณพิณเธอก็อยากกินด้วย แต่เธอรอให้คุณเล็กว่างจากช่วยงานศพก่อน ป้ารู้ว่าเมื่อวานเผาแล้วคุณเล็กคงมาหาได้เลยแกงให้กิน นอกนั้นก็มีผัดผักบุ้งกับไข่เจียวใบตำลึงค่ะ” ยายช้อยรายงานรายการอาหาร มีสีหน้าสลดลงเมื่อจำเป็นต้องเอ่ยถึงงานศพของผู้เป็นนาย

เคราะห์กรรมกระหนำซัดบ้านวิสุทธิ์สุนทรกระหนำซัดวิสุทธิ์สุนทรอย่างไม่ปราณีปราศรัยตลอดสี่ปี เริ่มจากการสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอยของภาควัฒน์ ตามติดมาด้วยความป่วยไข้ของนายหญิง เรื่อยมาจนวันนื้วันที่สูญเสียหัวเรือใหญ่ที่คอยดูแลค้ำจุ้นตระกูลและธุรกิจอย่างไม่มีวันกลับ ทำให้สภาพชีวิตของทุกคนเต็มไปด้วยความหมองเศร้า

“ ดีจังเลยค่ะ เล็กรอกินแกงส้มฝีมือยายช้อยตั้งหลายวัน รู้ไหมคะว่าเล็กยังไม่ใครกินแกงส้มใครที่อร่อยเท่ากับแกงส้มฝีมือยายช้อยเลยนะคะ วันหลังเล็กต้องมาขอสูตรไปทำกินเองบ้าง เอ หรือมาเป็นลูกมือแอบชิมตอนยายช้อยแกงดีจะได้ไม่เหนื่อย ”

หล่อนเปลี่ยนเรื่องคุยเป็นการยกยอพร้อมกอดร่างหญิงชราไว้แน่นออดอ้อนเพราะไม่อยากเห็นคนที่รักเป็นทุกข์

“ คุณเล็กล่ะชอบยอคนแก่ อย่างนี้ยายจะไม่รักคุณเล็กได้ยังไงคะ ”ยายช้อยหอมแก้มคนตัวเล็กฟอดใหญ่ เรียกเสียงหัวเราะสดใสดังคับห้อง

“ แต่ถ้าจะให้เป็นลูกมือยายต้องรอเล็กไปหาป้าพิณก่อนนะคะ ”

“ โอ๊ยไม่ต้องมาช่วยยายหรอกค่ะ เดี๋ยวเรียกพวกเด็กๆมันมาช่วยก็เสร็จแล้ว คุณเล็กขึ้นไปหาคุณผู้หญิงเถอะค่ะ เห็นคุณพิณบ่นคิดถึงคุณเล็กแต่เช้าแล้ว ”

หญิงสาวพยักหน้ารับกอดร่างอ้วนท้วนแน่นอีกคราก่อนจะออกจากครัววิ่งขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็วยังห้องนอนสีขาวสะอาดตา ตกแต่งไว้ด้วยเฟอร์นิเจอร์เลียนแบบยุคกรีก บนเตียงทองเหลืองสี่เสาคลุมผ้าโปร่งสีขาวลายดอกไม้ระโยงระยางคล้ายผ้าม่านมีร่างผ่ายผอมของสตรีนางหนึ่งนอนนิ่งใต้ผ้าห่ม

เสียงแง้มประตูทำให้เปลือกตาขยับ เมื่อลืมตาแสงจากบานหน้าต่างสอดเข้ามาจนต้องกระพริบตาถี่

“ เล็กเหรอลูก ” อรพิณเรียกหาเสียงแหบแห้ง เจ้าของชื่อรีบปราดเข้าไปนั่งพับเพียบข้างเตียง เอื้อมมือขาวไปกุมมือแห้งติดกระดูกไว้

“ ขอโทษนะคะที่เล็กหายไปหลายวัน วันนี้คุณป้าเป็นยังไงบ้างคะ ทานอะไรหรือยัง ”

“ ยังจ๊ะ ป้ารู้ว่าเล็กจะมาเลยรอกินพร้อมเล็ก ” ถ้อยความแต่ละคำลอดจากริมฝีปากเนิบช้า “งานเมื่อวานเป็นยังไงบ้างลูก ”

“ ผ่านไปเรียบร้อยดีค่ะ เล็กทำทุกอย่างตามที่ป้าพิณขอให้ทำทุกอย่างแล้วนะคะ สบายใจได้ ”

นางขยับปากแย้มเพียงนิดเป็นสัญญาณให้รู้ว่ากำลังยิ้มอยู่ครู่หนึ่งจึงหันหน้ามองเพดานสีขาวแล้วน้ำตาอุ่นก็พราวพร่างเป็นสายด้วยหัวใจทุกข์ทรมานที่ไม่อาจดูแลกระทั่งเถ้าสุดท้ายของสามีอย่างที่ปรารถนา อย่างดีก็เพียงไหว้วานให้คนอื่นช่วยจัดการ…ถ้าเพียงสังขารจะไร้โรคภัยแผ้วพาน มิถูกรังสีหรือเคมีใดบำบัดรักษาเป็นนานก็ไม่หายจนกายระโหยอ่อน นางคงได้เป็นคนส่งวิญญาณชายคนรักสู่สรวงสวรรค์ด้วยตัวเอง

“ ความจริงคนที่สมควรไปน่าจะเป็นป้า ป้าอุตส่าห์หยุดรักษานอนรอความตาย แต่กลายเป็นป้าต้องเสียคุณพันธ์ไป ” นางครวญเหมือนคนเพ้อไข้

“ อย่าคิดอย่างนั้นสิคะ ถ้าคุณป้าเป็นอะไรไปอีกคน แล้วพี่ภาคกลับมาคงเสียใจมาก ”
อรพิณถอนหายใจเบา ซุกมือไปใต้หมอนหยิบเอารูปเด็กหนุ่มในชุดเครื่องแบบนักเรียนนานาชาติมาวางแนบอก เพราะคนในรูปนี้ไม่ใช่หรือที่ทำให้มีกำลังใจให้อยู่รอคอยการกลับมา

“ ป้ากลัวจะอยู่ไม่ถึงวันนั้นนะสิเล็ก ” เสียงสั่นเครือยามหวนคิดถึงอดีตหนหลังที่ตนแทบไม่เคยมอบความรักความอบอุ่นให้ลูก แม้ในวันที่ไกลห่างก็ไม่เคยแวะไปเยี่ยมเยียนถามไถ่ความเป็นอยู่ อาจด้วยเหตุนี้ที่ทำให้ลูกชายไม่อยากกลับมาที่นี่อีก…นางยังจำแววตาเย็นชาที่ลูกมองมาเหมือนหมดสิ้นแล้วสายสัมพันธ์ทำให้นางยิ่งเจ็บลึก

“ นั่นสินะ ป้ายังหมดหวังไม่ได้ ” มือผอมลูบมือขาวไปมา “ แต่ที่ป้าอยู่มาได้ทุกวันนี้ไม่ใช่เพราะตาภาคคนเดียวหรอกนะ เล็กเองก็ทำให้ป้ามีความสุขจนไม่อยากจากโลกนี้ไป ”

อรพิณเอ็นดูเด็กคนนี้นับแต่ได้เห็นกันวันแรก ยิ่งสัมผัสได้ถึงความดีที่มีเสมอต้นเสมอปลาย ความรักที่นางมีก็ทับทวี คงน่ายินดีถ้าได้มาเป็นลูกสาวจริงๆ

หญิงสาวปัดเส้นผมจากใบหน้าของอรพิณ ความผูกพันที่มีให้วิสุทธิ์สุนทรแน่นเหนียวดังเกลียวเชือก อาจเพราะภาควัฒน์เป็นแรงดลใจให้หล่อนอยากทำหน้าที่ดูแลคนที่นี่แทนเขา

“ วันนี้เล็กเอาจับฉ่ายมาให้ป้าพิณทานนะคะ แล้วก็หยิบซอมาด้วย คุณป้าอยากฟังเพลงอะไรเป็นพิเศษไหมคะ เล็กจะได้เล็กให้ฟัง ” หยิบซอที่สะพายแขนชูให้เห็น

“ เล็กอยากเล่นอะไรก็เล่นเถอะลูก ป้าฟังได้ทั้งนั้น ”

ศศิวิมลยิ้มอ่อนคลายปมเชือกที่ผูกปากถุงผ้าหยิบเอาซออู้ตัวเก่งออกมา…ยังระลึกถึงคำเขาที่ทำนายทายทักชะตาชีวิตหล่อนได้แม่นยำ ทุกอย่างที่เขาพูดเป็นจริงเสมอ และนั่นทำให้หวั่นเสมอว่า เขาจะลืมทุกอย่างที่นี่ได้จริงตามคำเขา

คันชักเคลื่อนขยับไปพร้อมกับกดปลายนิ้วลงบนบนบรรเลงเป็นเพลงพลิ้วหวานระคนโศก

…ฉันรักเธอ รักเธอด้วยความไหวหวั่น
ว่าสักวัน ฉันคงถูกทอดทิ้ง
ไม่นานเท่าไหร่ แล้วเธอก็ไปจากฉันจริงๆ
เธอทอดทิ้ง ให้อาลัยอยู่กับความรัก
แม้นมีปีกโผบินได้เหมือนนก อกจะต้องธนู เจ็บปวดหนัก
ฉันจะบินมาตายตรงหน้าตัก ให้ยอดรักเช็ดเลือดและน้ำตา…

เนื้อร้องไพเราะงดงามผสมผสานกับเสียงจับจิตที่กลั่นจากดวงใจที่หวาดหวั่นอาลัยดังชื่อเพลง…ไม่เคยมีใครตราตรึงให้อาลัยรักได้มากเท่าแม่ผู้ล่วงลับกับเด็กหนุ่มผู้ห่างไกลอีกแล้ว

เพลงจบลงพร้อมกับหยาดน้ำตาและเสียงปรบมืออย่างซาบซึ้งของอรพิณ ฉับพลันก็มีเสียงเคาะหนักดังขึ้นที่บานประตูจนคนบนเตียงละสายจากดวงหน้านักดนตรีประจำตัวไปทางต้นเสียงด้วยแปลกใจ เพราะยามนี้ในวันธรรมดาไม่น่ามีใครมารบกวนหรือเยี่ยมเยือน

“ คงจะเป็นยายช้อยมาตามไปกินข้าวนะคะ ” ศศิวิมลวางซอลงบนถุงผ้า ค่อยๆขยับเปลี่ยนอิริยาบถจากพับเพียบเป็นคุกเข่าแล้วคลานไปจนพ้นขอบเตียงจึงลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู

หลังบานประตูนั้นมีร่างสูงใหญ่ผิวเข้มของใครคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า เสื้อผ้าที่สวมมีเพียงเสื้อยืดสีขาวพอดีตัวทีทำให้เห็นแผงอกแกร่งกำยำเป็นเงาลางกับกางเกงยีนส์สีซีดเก่าๆ กลิ่นโคโลจญ์ผู้ชายหอมอ่อนลอยจรุงจมูกนั้นช่างเหมือนกลิ่นของชายลึกลับที่หล่อนพบในวัด

เมื่อแหงนสูงยังใบหน้าของคนตรงข้ามเพียงเสี้ยววินาที ริมฝีปากของศศิวิมลก็สั่นระริก…ถึงแม้คนตรงหน้าจะผิวคล้ำเข้ม องค์ประกอบบนใบหน้าและดวงตาจะเปลี่ยนจากเด็กหนุ่มเจ้าอารมณ์เป็นอีกคนที่ดูเรียบเฉยแต่แฝงไว้ซึ่งความดิบ เถื่อนในตัว แต่ก็ไม่อาจลดอัตราการเต้นของหัวใจให้ลดลง

จะด้วยแรงภาวนาหรือปาฏิหาร์ย

วันนี้ชายหนุ่มที่พลัดพรากจากบ้านเกิดไปถึงสิบปี ได้คืนสู่บ้านวิสุทธิ์สุนทรแล้ว...




ปาณณิศา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 ส.ค. 2554, 16:38:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 ส.ค. 2554, 16:38:16 น.

จำนวนการเข้าชม : 2240





<< บทที่ 3   บทที่ 5 >>
anOO 1 ส.ค. 2554, 17:17:58 น.
พี่ภาคย์กลับมาแล้ว
แต่คงจะกลับมาแบบร้ายๆ แน่เลย


violette 1 ส.ค. 2554, 18:11:08 น.
โอยอ่านแล้วกลั้นหายใจไปด้วยตลอดเวลา
ชอบมากนะคะ แต่ก็กลัวจังเลย สางสารหนูเล็กมาก


ปูสีน้ำเงิน 1 ส.ค. 2554, 20:22:28 น.
เย้..เฮียภาคกับมาแล้ว


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account