ลิขิตนครา มนตราบาบิโลน
ในหน้าประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์เเละโกลาหลแห่งอารยธรรมเมโสโปเตเมีย หรือตะวันออกใกล้โบราณ ณ อาณาจักรบาบิโลเนียผุดนามชนชาติหนึ่งที่ปกครองอาณาจักร พวกเขาเรียกตัวเองว่า ชาวคัชดู ขณะชาวกรีกเรียกพวกเขาว่า ชาวคาลเดียน
อาณาจักรของพวกเขายืนยงเพียง 75 ปี แต่กลับสรรค์สร้างสิ่งต่างๆ ให้โลกมากมาย
พวกเขาคือผู้สร้างสวนลอยบาบิโลน พวกเขาคือผู้บุกเบิกดาราศาสตร์ โหราศาสตร์ เเละคณิตศาสตร์ ผลงานของพวกเขาคือต้นเค้าความรุ่งเรืองแห่งอารยธรรมกรีกเเละโรมัน
ทว่าจะเป็นเช่นไร เมื่อนักบวชแห่งมหาเทพมาร์ดุคล่วงรู้ถึงชะตากรรมการล่มสลายเเห่งอาณาจักร
ทางเเก้วิธีเดียวคือ การอ้อนวอนร้องขอต่อทวยเทพประจำนครา
เเละทวยเทพก็มิได้พระทัยร้ายเกินรับฟัง ด้วยเหตุนี้บุรุษและสตรีคู่หนึ่งจึงถูกสรรค์เสกเพื่อสนองต่อคำขอนั้น
หนึ่งบุรุษ...เพชกัลดาราเมช เจ้าชายรัชทายาทแห่งอาณาจักรบาบิโลเนีย
หนึ่งสตรี...นลินนา เทวาสถิต นักศึกษามานุษยวิทยาสาวผู้ถูกส่งข้ามห้วงกาลเวลา
และนี่คือประวัติศาสตร์บทใหม่ที่ถูกถักทอ เรื่องราวของอาณาจักรโบราณอันได้ชื่อว่า เป็นมหานคราที่ใหญ่ที่สุดในโลกยุคโบราณ เเละเกือบได้เป็นเมืองหลวงแห่งจักรวรรดิกรีกของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช
ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ถูกเขียนขึ้นแล้ว!
Tags: โรเเมนติก ดราม่า ย้อนเวลา ประวัติศาสตร์
ตอน: มัตติกาจารึกแผ่นที่ 1
มัตติกาจารึกแผ่นที่ ๑
เมื่อแสงอาทิตย์ฉายฉานขึ้นอีกครา โลกก็ดำเนินไปอย่างที่เป็นราวกับวัฏจักรอันไม่มีจุดสุดสิ้นจนกว่าวันพิพากษาจะมาเยือน
เตียงนอนหลังใหญ่คลุมผ้าห่มขาวขลิบลายผ้าพื้นเมืองขึงตึงเรียบร้อย นลินนาสวมเสื้อแขนยาวสีอ่อน ข้อมือซ้ายปรากฏกำไลเงินถมดำวิจิตร สวมกางเกงยีนรองเท้าผ้าใบเพื่อความคล่องตัว เส้นผมยาวเป็นคลื่นสีน้ำตาลเข้มรวบลวก ๆ หญิงสาวเปิดอ่านจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ในกล่องข้อความที่สหายต่างเเดนส่งมาบอกว่า จะมาเยือนประเทศไทยให้ได้ หลังกลับไปเยี่ยมบ้าน
อ่านจบก็ปิดแล็ปท็อปลง ทว่าแขนกลับเผลอไปปัดหนังสือที่อ่านค้างไว้เมื่อคืนตกลงมา ร่างระหงโค้งตัวลงเก็บ หนังสือตกกางหน้าที่คั่นพอดี เผยข้อความสองประโยคแล่นสู่สายตา
Enki was the Sumerian name for the Mesopotamian god of Fresh waters. He was also worshiped as the god of wisdom and spells.1
เทพเอนกิเป็นพระนามของเทพเจ้าแห่งน้ำจืดในภาษาซูเมอร์ อีกทั้งยังได้รับการเคารพบูชาในฐานะเทพเจ้าแห่งปัญญาและเวทมนตร์คาถาอีกด้วย
นลินนาอ่านพลางขมวดคิ้ว ก่อนเก็บมันวางลงบนโต๊ะไม้จำหลักลายอ่อนช้อย มือบางคว้ากระเป๋าผ้าฝ้ายทอมือจากทางเหนือขึ้นสะพาย ก้มลงตรวจสอบว่า ไม่หลงลืมอะไรซ้ำสองรอบ ก็เดินลงจากห้องไปตามแนวบันไดโค้งทอดสู่โถงกลางเคหาสน์
ณ ที่นั้น...ตรงเพดานกึ่งกลางโถงปรากฏช่องสี่เหลี่ยมปล่อยสุริยแสงฉายลงสู่แท่นสูงประดับต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ควันกำยานอายอวล กระดิ่งทองเหลืองในมืออมันดารีแกว่งไกวส่งเสนาะสำเนียงกังวาน เปลวเพลิงอารตีหรือเพลิงบูชาจากการเผาเกล็ดการบูรโชติช่วง ดอกดาวเรืองสำหรับบูชาต้นตุลสีหรือกระเพราอินเดียนอนนิ่งสงบบนถาดทองเหลือง
ร่างในชุดสวมสบายคล่องตัวชะงักไปครู่ ก่อนเดินไปหาเมื่อมารดาพยักหน้าเชิงเรียกให้เธอไปบูชาด้วยกัน หญิงสาวล้างมือ ทำใจให้สงบนิ่ง ก่อนวักไฟศักดิ์สิทธิ์ขึ้นอังหน้าผาก พิธีบูชาดำเนินต่อไป กรวยกำยานค่อยๆ หดลง เสียงบริกรรมมนตร์ขับขานพร้อมเพรียง บรรยากาศศักดิ์สิทธิ์อวลกำจาย อมันดารียกถาดอารตีให้บุตรีถือ แล้วจึงรดน้ำนมลงสู่พระแม่ตุลสีเทวี ตามด้วยน้ำบริสุทธิ์ ก่อนพนมมือแสดงการคารวะด้วยความศรัทธา
นลินนายื่นถาดบูชาให้สาวใช้นำไปเก็บ อมันดารีขอพรเหยียดยาว ผิดกับนลินนาที่แทบไม่รู้จะขออะไร นอกจากปัญญา และความสุข
“วันนี้นัดหนูเกวกับหนูนาไว้เหรอลูก?” อมันดารีลืมตา คลายการพนมมือ เสียงสงบซ่อนแววกังวล จนนลินนานิ่งอั้นไปครู่ แล้วจึงกลั้นใจพยักหน้ารับ
“ค่ะ พวกหนูว่า จะไปพิพิธภัณฑ์สักหน่อย แล้วหนูก็อยากไปยืมหนังสือที่หอสมุดด้วย วันนี้ยายเกวนัดที่บ้านไว้ คงกลับไม่ดึกค่ะ”
สตรีเจ้าของเคหาสน์ชะงัก แล้วจึงทอดถอนใจ พยายามสะกดกลั้นไม่ให้หวั่นวิตกเกินเหตุ
“หรือจ้ะ...งั้นก็กลับดีๆ ล่ะ ขึ้นรถลงเรือก็ระวังๆ ด้วย”
“ค่ะ...แม่ หนูไปก่อนนะคะ” นลินนารับคำอย่างกระอักกระอ่วนใจ คิดว่าพรุ่งนี้จะไม่ออกนอกบ้านสักวัน ไม่ทันย่างเท้า ชายวัยเฉียดสี่สิบในชุดสูทพนักงานบริษัทท่าทางงกๆ เงิ่นๆ ก็ปรี่เข้ามาในเคหาสน์หินอ่อน เบื้องหลังคือสาวใช้ผู้เดินตามมาส่ง ก่อนค้อมศีรษะแล้วลับหายไป แม้ไม่ค่อยได้ข้องเกี่ยวกับธุรกิจทางบ้าน แต่ทายาทแห่งตระกูลเทวาสถิตจดจำชายผู้นี้ได้ดี เวคิน เลขาของคุณแม่นั่นเอง
“มีอะไรหรือเวคิน? ทำไมมาแต่เช้า”
มารดาของนลินนาถามเสียงขรึมแกมเข้มงวด แปรเป็นนักธุรกิจอย่างรวดเร็ว ทำเอาเลขาคนสนิทชะงัก สาวเท้ามาหาพร้อมยื่นแฟ้มเอกสาร
“คือ...สินค้าที่เราสั่งไว้มาถึงแล้วครับ ของเพิ่งเข้ามาถึงเมื่อวานนี้เอง ตอนนี้กำลังรอเปิดตู้สินค้าอยู่ ผมเพิ่งส่งคนไปเร่ง คิดว่า คงรอไม่นานครับ”
อมันดารีเปิดอ่านประกอบคำพูดของเลขาอย่างถี่ถ้วน ไม่มีสิ่งใดหลุดรอด รายการสินค้าไม่ตกหล่น
ตระกูลเทวาสถิตทำธุรกิจนำเข้าสินค้าพื้นเมืองจำพวกเครื่องเรือน ของประดับตกแต่งอาคาร และสินค้าต่างๆ ในหมวดใกล้เคียงกันจากแถบตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ อินโดนีเซีย และอินเดียเป็นหลัก เน้นกลุ่มลูกค้าผู้มีฐานะและมีรสนิยมในด้านนี้ จึงไม่แปลกนักหากเคหาสน์ของเทวาสถิตจะมีการตกแต่งรสนิยมเดียวกับธุรกิจ
อมันดารีเปิดอ่านจนครบก็ส่งแฟ้มคืน “อืม...ดี...ไม่มีอะไรผิดพลาด จำไว้นะว่า สินค้าล็อตนี้สำคัญมาก ลูกค้าเราเป็นถึงภริยาของท่านรัฐมนตรี เพราะฉะนั้นจะพลาดไม่ได้”
สตรีร่างโปร่งเจ้าของเคหาสน์เน้นย้ำ ส่งสายตาประหนึ่งทะลวงเข้าไปในจิต เปิดโอกาสให้บุตรีเพียงคนเดียวพยักพเยิดหน้าเป็นสัญญาณขอตัว จนกระทั่งมารดาแสดงอาการรับรู้ จึงหันไปยิ้มทักทายให้เลขาของมารดา ก่อนเดินลับหายไป พร้อมความรู้สึกว่า เวคินมองตนด้วยสายตาพิกล
คล้อยเงาร่างบุตรี สตรีเจ้าของเคหาสน์ก็อกโหวงวูบ ดวงใจร่วงหล่นถึงตาตุ่ม คล้ายจะทรุดฮวบ ทำเอาเวคินหน้าเหวอ เลิ่กลั่ก ชั่งใจว่า ควรเข้าไปประคองหรือไม่ กระทั่งได้รับสัญญาณมือบอกว่า ไม่เป็นอะไร จึงยืนนิ่ง รอจนนายหญิงหยัดกายยืนได้
“คุณอมันไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?” เวคินถาม มองดูหน้าซีดจัดของนายหญิงพยักช้าๆ ชายวัยเฉียดสี่สิบอ้าปากอึกอัก กระทั่งได้รับอนุญาตให้พูดก็ยังเปล่งเสียงด้วยความลำบากใจ
“ผมว่า...เอ่อ...มันจะดีหรือครับที่เราปล่อยคุณหนูไว้แบบนี้” เขาเงียบทิ้งช่วง แล้วพูดต่อ “ป่านนี้แล้วคุณหนูลินยังไม่เคยเข้ามาดูธุรกิจของตระกูลเลย ตอนนี้หุ้นส่วนหลายคนของเราก็อ้าปากรองาบอยู่ ขืนปล่อยไว้แบบนี้ สิ้นคุณอมันไป คุณหนูจะแย่นะครับ”
น้ำเสียงโอดครวญนั่น ทำให้อมันดารีอดคิดไม่ได้ แม้จะมั่นใจว่า บุตรีของนางมีหัวทางด้านนี้ไม่ด้อยกว่าคนอื่นๆ ในตระกูล ทว่าแค่ลางสังหรณ์ตอนนี้ก็ก่อกวนจิตใจเกินพอ
“สักวันเด็กคนนั้นก็ต้องทำ เพียงแต่มันยังไม่ถึงเวลา” กล่าวทั้งที่ไม่มั่นใจ
“จะรอจนพร้อมไม่ได้หรอกครับ ถ้าคุณอมันไม่เริ่มเดี๋ยวนี้มันจะไม่ทันกาล แล้วคนที่เสียใจจะเป็นคุณอมันเอง”
สตรีวัยเกือบสี่สิบเช่นกันตวัดตามองเลขาผู้งก ๆ เงิ่น ๆ คนนั้น แต่ครานี้กลับกล่าวได้ราวลิ่มตอกอก
อย่าว่าแต่เวคินเลย แม้แต่นางก็กลัวว่า มันจะสายเกินไป!
การเดินฝ่าคลื่นความร้อนของเมืองไทยทำเอาคนเพิ่งกลับจากเขตหนาวเวียนหัวแทบเป็นลม แลเห็นเปลวแดดเต้นยะยิบบนยางมะตอย นลินนาตัดสินใจกินอาหารเช้าจากร้านสะดวกซื้อ ทั้งที่ปกติไม่ชื่นชอบนัก แต่หิวเกินกว่าจะออกเผชิญโลกกว้างด้วยกระเพาะว่างโหวง ทว่าหลังกินอาหารแช่แข็งที่ไม่ได้กินนาน ท้องไส้หล่อนก็ปั่นป่วน โชคดีได้นั่งทำเลดีๆ บนเรือด่วนฯแล้ว อาการคลื่นเหียนจึงค่อยทุเลา แต่ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าดีนัก
ผ่านไปราวชั่วโมงเรือก็เทียบตรงท่ามหาราช หญิงสาวเดินดุ่มไปยังอาคารเดิมที่พบเพื่อนเมื่อวาน โดยระหว่างนั้นก็สั่งชามะนาวเปรี้ยวจัดมาดื่มแก้คลื่นไส้
เมื่อมาถึงก็พบเกวลินกับลลนากำลังนั่งคุยกันอย่างออกรส ทั้งสองอยู่ในชุดไปรเวท โดยเกวลินสวมชุดกระโปรงดูหวานแหวว ขณะลลนาสวมชุดสีเข้มทะมัดทะแมงดี บนโต๊ะเกลื่อนด้วยขนมนมเนยหลากชนิด บางส่วนมาจากบ้านเกวลินที่มีคนนำมาฝาก ครั้นลลนาเห็นเธอหน้าซีดเดินมา จากจะหยิบขนมให้ ก็อุทานด้วยความเป็นห่วง
“แกเป็นไรวะลิน! ทำไมหน้าซีดอย่างงั้นอ่ะ?” ลลนาถาม จนเกวลินหันขวับมามอง ก็ทำหน้าเป็นห่วง เพราะหน้าของเธอซีดจริง ๆ
“ฉันแค่คลื่นไส้น่ะ นั่งสักหน่อยก็คงหาย” นลินนาตอบพลางดื่มชามะนาวอีกอึก จนลลนาในชุดทะมัดทะแมงต้องควานหายาดมมาให้ ส่วนสาวหวานในชุดกระโปรงอย่างเกวลินพอเห็นว่า เธอมีคนดูแลก็ก้มลงหยิบกล่องพัสดุขนาดเล็กขึ้นมา
“อ่ะนี่ ของที่สั่ง”
หญิงสาวเจ้าของตาโตอย่างชาวมลายูพูดพลางแกะกล่องไปด้วย เผยด้านในที่มีขวดแก้วลูกกลิ้งขนาดย่อม บรรจุของเหลวข้น ๆ สีน้ำตาล โดยสิ่งนั้นก็คือ น้ำปรุงนั่นเอง
ทั้งสามหยิบน้ำปรุงกลิ่นที่ตัวเองสั่งซื้อจากอินเทอร์เน็ตมาผลัดกันดมจนทั่วก็ทดลองใช้ เเล้วเก็บเข้ากระเป๋าอย่างทะนุถนอม โดยของนลินนานั้นเป็นกลิ่นดอกบัวเเละอบเชย เนื่องจากน้ำปรุงสองกลิ่นนี้ไม่มีกุหลาบเป็นส่วนผสม
พวกเธอแวะเข้าไปยืมหนังสือในหอสมุด ก่อนเดินไปพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครซึ่งอยู่ไม่ไกล เเย่อย่างเดียวตรงต้องฝ่าดงนักท่องเที่ยวชาวจีนเท่านั้น ครั้นเชยชมโบราณวัตถุทรงคุณค่าจัดแสงเงางดงาม เเต่กลับมีข้อความประกาศเพียงกระผีกเดียว พลางเดินตากเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำอยู่นั้น เกวลินก็ทักท้วงให้ไปกินข้าวได้แล้ว เพราะตนนัดที่บ้านไว้ จนคู่หูอย่างนลินนาเเละลลนาหน้ามุ่ย นั่งเรือข้ามฟากไปกินก๋วยเตี๋ยวเป็ดร้านประจำ
และระหว่างรออาหารอยู่นั่นเอง นลินนาก็ยื่นแท็ปเล็ตชี้ชวนให้สองสหายดูรูปเพื่อนสนิทในต่างประเทศของตน “เพื่อนคนนี้ไงที่ฉันพูดถึง”
หญิงสาวลูกครึ่งเปอร์เซียเจ้าของโครงหน้างดงามยื่นให้ดู ทว่าสองสหายกลับขมวดคิ้วยุ่ง
“รูปไหนของแกวะ เห็นแต่จอมืดๆ ?”
คำถามของเพื่อน ทำเอาหญิงสาวเลิกคิ้ว หันแท็ปเล็ตกลับมาดูก็พบว่า หน้าจอดับไปเสียแล้ว กดอย่างไรก็ไม่ติด หนำซ้ำยังไม่ได้นำที่ชาร์จมา ทว่าก็ไม่ได้ติดใจ เพราะหลังๆ มานี้มันเริ่มรวนจนหญิงสาวปลดปลง
“สงสัยเครื่องดับอ่ะ ช่วงนี้บ่อยด้วย ไม่รู้เป็นอะไร”
เจ้าของโครงหน้าสวยถึงกับหงอย อยากให้เพื่อนรักของตนเห็นเพื่อนสาวชาวอังกฤษ จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นร่ายยาวให้ฟังว่า ตอนอยู่โน่นได้ร่ำเรียนอะไรมาบ้าง รอยแย้มจากกลีบปากสีแดงระเรื่อนั้นสดใส ชวนให้เกวลินกับลลนาต้องตั้งใจฟัง แม้บางคราจะงุนงงไปบ้างก็ตามที
นักศึกษามานุษยวิทยาสาวเสียพ่อไปแต่ยังเล็ก พอเริ่มจำความได้ก็เหลือแต่แม่ เธอรู้แค่ว่า พ่อชื่นชอบอารยธรรมเมโสโปเตเมียหรือตะวันออกใกล้โบราณเหมือนกัน ซ้ำยังศึกษาอียิปต์วิทยาจนเชี่ยวชาญ ทุกคราที่ได้เปิดอ่านหนังสือในห้องสมุดอันอัดแน่นประหนึ่งหอสมุดอเล็กซานเดรียของพ่อ และประทับใจในสิ่งเดียวกัน มันทำให้หญิงสาวรู้สึกว่า อารยธรรมโบราณนี้เป็นสายใยเชื่อมเธอกับพ่อผู้ล่วงลับไว้ด้วยกัน เเม้เเม่ไม่ได้กล่าวถึงพ่อนัก เเต่หล่อนก็ไม่เคยทวงถาม อีกทั้งญาติฝ่ายพ่อไม่เเม้จะติดต่อมาหรือดูดำดูดี ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับพวกเขาจึงเป็นเพียงลายน้ำรางเลือน
รอจนสหายร่ายจบ เกวลินที่กะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นก็พูดขึ้น
“เฮ้ย ลิน โทรศัพท์ฉันเป็นอะไรก็ไม่รู้ว่ะ อยู่ดีๆ ก็ดับเฉยเลย เพิ่งซื้อมาเดือนเดียวเองนะเว้ย”
เกวลินรัวกดโทรศัพท์ตัวเอง ได้ยินดังนั้น ลลนาก็ควักออกมาดูบ้าง ก็พบว่า ดับเหมือนกัน แต่สำหรับลลนาอาจดับเพราะแบตฯ หมดก็ได้ เนื่องจากเจ้าตัวไม่ยอมไปเปลี่ยนแบตเตอรี่เสื่อมสภาพเสียที เมื่อเกวลินเห็นว่า เครื่องมือสื่อสารของทั้งสามดับพร้อมกัน ก็สรุปได้ทันทีว่า
“โลกเราต้องได้รับคลื่นจากมนุษย์ต่างดาวแน่นอน”
นลินนากับลลนาฟังข้อสันนิษฐานอันชาญฉลาดนั่นด้วยความอึ้ง
“เกว แกก็พูดไปเรื่อย” หญิงสาวทำเสียงแซวๆ ทว่ากลับสังหรณ์ใจไม่ดี หนำซ้ำท้องไส้ยังปั่นป่วน ส่วนลลนานั้นกลับเข้ากับเกว’เป็นปี่เป็นขลุ่ย
“ไม่ใช่หรอก ต้องอย่างที่ยายลินเล่าแน่เลย มหากาพย์กิลกาเมชไง ก่อนน้ำท่วมโลก ก็ต้องส่งคลื่นความร้อนมาละลายน้ำแข็งก่อนใช่ป่ะ เห็นเขาว่า ตำนานน้ำท่วมโลกมีต้นเค้ามาจากมหากาพย์กิลกาเมชใช่ไหม”
ลลนาหันมาถามอย่างตื่นใจ หากนลินนากลับคลื่นไส้วิงเวียน ส่วนมหากาพย์กิลกาเมชที่ลลนากล่าวถึงนั้น คือมหากาพย์อันเก่าแก่ที่สุดในโลก ค้นพบในดินแดนเมโสโปเตเมีย หรือแดนจันทร์เสี้ยวอันไพบูลย์ เนื้อหาส่วนหนึ่งของมหากาพย์กล่าวถึงกษัตริย์กิลกาเมชผู้ตามหาความอมตะ ก่อนจะพบกับอุตนาพิชติม ชายผู้ได้รับหน้าที่ให้ต่อเรือ เพื่อรับมือกับมหาอุทกภัยละม้ายกับโนอาห์ในพระคัมภีร์ของคริสต์ศาสนา
ไม่ทันห้ามสองสหาย ก๋วยเตี๋ยวเป็ดหอมฉุยก็วางลงตรงหน้า สาวไทยเชื้อสายเปอร์เซียพะอืดพะอมกลั้นใจกิน เติมน้ำส้มสายชูกลั่น เพื่อให้กลืนลงคอง่ายขึ้น จนเพื่อนมองตามอย่างเป็นห่วง
เกวลินซื้อทาโกะยากิฝากน้องสาวสุดที่รักแล้วก็รีบกลับ เมื่อเห็นว่า ผิวสีงาช้างของเพื่อนกลายเป็นสีกระดาษเรียบร้อย ทั้งสามเดินมารอลงเรือข้ามฟาก วันนี้แดดร้อนเปรี้ยงราวพายุสุริยะแผ่คลื่นแผดเผาโลก คนรอบตัวพวกเธอเอะอะโวยวายกับโทรศัพท์ติดๆ ดับๆ กันเป็นแถบๆ
และระหว่างรอลงเรือข้ามฟากนั้นเอง
นลินนาคล้ายได้ยินสำเนียงเพรียกหา ได้ยินภาษาอันไม่เคยคุ้น แต่กลับแปลออกอย่างอัศจรรย์ เสียงนั้นกระซิบข้างหูอึงอล จนคลื่นไส้เวียนหัวไปหมด นลินนาก้าวลงลำเรือโคลงเคลง ความจริงแล้ว...นลินนาไม่ชอบแหล่งน้ำธรรมชาติเท่าใดนัก พอๆ กับชาวเมโสโปเตเมียหวาดกลัวกระแสน้ำในฤดูน้ำหลาก สายน้ำให้ชีวิต ขณะเดียวกันก็ยังมาซึ่งหายนะ
เรือข้ามฟากโคลงเคลงกว่าเรือด่วนฯ และยิ่งโคลงหนักในความรู้สึกของคนเวียนหัวคลื่นไส้เป็นทุนเดิม คล้ายบางอย่างดำมืดคืบคลาน คล้ายหัตถ์แห่งปิศาจคว้าไขว่ ร่างหล่อนโงนเงน ได้ยินเสียงกระซิบของใครบางคน ได้ยินเสียงบทสวด กลองหนัง กลิ่นกำยาน เสียงคนสองคนกำลังโต้ตอบบางอย่างในพิธี
ได้ยินเสียงบุรุษกล่าวในภาษาที่หล่อนแปลออกอย่างแปลกประหลาด
กลับมาเถิด...ข้ามารับเจ้าคืน
“ยายลิน!”
เสียงเกวลินตะโกนเรียก ดึงสติของนลินนา ทว่าไม่ทันเสียแล้ว หล่อนคล้ายถูกสายน้ำกระชากลงสู่เบื้องล่าง สู่ความเวิ้งว้างดำมืด เสียงตู้มเรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดจากคนในละแวก แต่สติของนลินนาตอนนี้ไม่เพียงพอให้รับรู้อะไรทั้งสิ้น
ความมืดดำ สกปรก ลึกล้ำ อันตรายขับดันความหวาดกลัวในใจเธอเป็นทบทวี เธอตะเกียกตะกายกลางความเวิ้งว้างมืดมิด แต่สภาพร่างกายไม่อำนวยจนจมดิ่งใต้น้ำ
และเสียงบุรุษผู้นั้นก็มากระซิบข้างหูหล่อนอีกแล้ว!
ไม่ต้องกลัว ข้าแค่พาเจ้าคืนสู่ที่ที่เจ้าจากมา
น่าประหลาด แค่เขากล่าวกระแสน้ำโดยรอบก็อ่อนโยนขึ้น แสงบางอย่างสว่างวาบในโพรงอกเป็นลูกแสงอุ่นๆ คล้ายหล่อนกำลังลอยล่องอยู่ในโอบอุ้มแห่งเทพเจ้า แม้กำลังจมน้ำ แต่กลับรู้สึกสายน้ำหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับลมหายใจ
หญิงสาวหลับตาพริ้มลง สติสัมปชัญญะล่องลอย ไร้ซึ่งความขลาดกลัว รับรู้ได้ว่า กระแสน้ำกำลังพาหล่อนไปอย่างที่ควรเป็น
ตึง ตึง ตึง
เสียงดนตรีพิธีกรรมบรรเลงกระทบโสตประสาท กลิ่นเผาเครื่องหอมบูชาดึงสติหญิงสาวให้ฟื้นคืนอย่างรวดเร็ว หล่อนรู้สึกเปียกแฉะไปทั้งร่าง หนักอึ้งไปทั้งตัว คลื่นไส้จนแทบจะสำรอกของเก่าออกมา เสียงซุบซิบบางอย่างดังระงมจนหล่อนจับไม่ได้ศัพท์ เงาดำแวบวาบเหนือเปลือกตาบ่งจำนวนคนว่า ไม่ใช่น้อยๆ เลยทีเดียว
เมื่อสติสัมปชัญญะหวนคืน หญิงสาวจึงพยายามเบิกตาขึ้นอย่างยากลำบาก ภาพคราแรกพร่ามัว กระทั่งกระจ่างชัดจึงยังมาซึ่งความตกตะลึง ด้วยภาพตรงหน้าคือ บุรุษหัวโล้นในผ้านุ่งขนแกะขาวสะอาด ข้างๆ กันคือ บุรุษวัยกลางคนไว้หนวดเคราทรงอำนาจ สวมมงกุฎทอง แต่งกายด้วยอาภรณ์สีม่วงประดับชายครุย ถือคทามองหล่อนด้วยความตระหนก แก้มทั้งสองแดงจัดเป็นรอยฝ่ามือ
รอบข้างรายล้อมไปด้วยผู้คน พวกเขาแต่งกายต่างกันบ่งบอกสถานะทางสังคมอันแตกต่าง แต่ส่วนใหญ่ล้วนประโคมเครื่องประดับมาเต็มตัว ต่างตรงความหรูหราเท่านั้น
โดยรอบมืดสลัว มีเพียงแสงประทีปวูบไหวคล้ายอยู่ในวิหาร
เสียงตะโกนทรงอำนาจแหวกเข้ามา พาให้กลุ่มชายหัวโล้นรอบกายเธอแหวกออกรวดเร็ว แทนที่ด้วยบุรุษผมเคราหยิกสวมหมวกและเกราะโลหะถืออาวุธครบมือดาหน้าเข้ามา ทว่าสองบุรุษด้านหน้ากลับปราศเครารกเรื้อ เปี่ยมรัศมีต่างจากพวกด้านหลัง อีกคนดวงหน้าอ่อนโยน ขณะอีกคน...คล้ายคนแรก แต่แววตากลับนิ่งสนิทราวสิงโต
เขาจ้องเธอ ดวงตาคมกริบนั้นทรงอำนาจอย่างเหลือล้น เสียงทุ้มนุ่มคำรามถามของเขาก้องดัง ทว่านลินนาจับศัพท์อะไรไม่ได้ทั้งสิ้น สติหล่อนพร่าเลือน ล้มฟุบลงตรงนั้นจนบังเกิดเสียงโหวกเหวกจอแจ
บัดนี้กงล้อแห่งชะตากรรมได้หมุนแล้ว!
*********************************************************************************************************************************
1 มาจากหนังสือ Gods, Goddess and Mythology Vol. 4 โดย Marshall Cavendish
สวัสดีค่ะ มาอัพมาแล้วนะคะ ต่อจากนี้นลินนาของเราก็จะก้าวเข้าสู่บาบิโลนโบราณแล้ว ตื่นเต้นแทนนลินนามากๆ เลยค่ะ อยากรู้เหมือนกันว่า ตัวเองจะเขียนออกมาเป็นยังไง และจะถูกใจคนอ่านหรือเปล่า เพราะส่วนใหญ่เขียนตามอารมณ์จริงๆ เป็นพวกชอบเดินเล่นในสายธารประวัติศาสตร์ ส่วนประโยคภาษาอังกฤษที่ยกมากล่าวถึงเทพเอนกิ ถ้าแปลแปลกๆ ก็ติติงได้นะคะ
สุดท้ายนี้ไรท์เตอร์ขอลาไปอ่านหนังสือสอบก่อนนะ สอบไฟนอลจี้ตูดแล้ว ขอให้มีความสุขในการอ่านค่ะ
เมื่อแสงอาทิตย์ฉายฉานขึ้นอีกครา โลกก็ดำเนินไปอย่างที่เป็นราวกับวัฏจักรอันไม่มีจุดสุดสิ้นจนกว่าวันพิพากษาจะมาเยือน
เตียงนอนหลังใหญ่คลุมผ้าห่มขาวขลิบลายผ้าพื้นเมืองขึงตึงเรียบร้อย นลินนาสวมเสื้อแขนยาวสีอ่อน ข้อมือซ้ายปรากฏกำไลเงินถมดำวิจิตร สวมกางเกงยีนรองเท้าผ้าใบเพื่อความคล่องตัว เส้นผมยาวเป็นคลื่นสีน้ำตาลเข้มรวบลวก ๆ หญิงสาวเปิดอ่านจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ในกล่องข้อความที่สหายต่างเเดนส่งมาบอกว่า จะมาเยือนประเทศไทยให้ได้ หลังกลับไปเยี่ยมบ้าน
อ่านจบก็ปิดแล็ปท็อปลง ทว่าแขนกลับเผลอไปปัดหนังสือที่อ่านค้างไว้เมื่อคืนตกลงมา ร่างระหงโค้งตัวลงเก็บ หนังสือตกกางหน้าที่คั่นพอดี เผยข้อความสองประโยคแล่นสู่สายตา
Enki was the Sumerian name for the Mesopotamian god of Fresh waters. He was also worshiped as the god of wisdom and spells.1
เทพเอนกิเป็นพระนามของเทพเจ้าแห่งน้ำจืดในภาษาซูเมอร์ อีกทั้งยังได้รับการเคารพบูชาในฐานะเทพเจ้าแห่งปัญญาและเวทมนตร์คาถาอีกด้วย
นลินนาอ่านพลางขมวดคิ้ว ก่อนเก็บมันวางลงบนโต๊ะไม้จำหลักลายอ่อนช้อย มือบางคว้ากระเป๋าผ้าฝ้ายทอมือจากทางเหนือขึ้นสะพาย ก้มลงตรวจสอบว่า ไม่หลงลืมอะไรซ้ำสองรอบ ก็เดินลงจากห้องไปตามแนวบันไดโค้งทอดสู่โถงกลางเคหาสน์
ณ ที่นั้น...ตรงเพดานกึ่งกลางโถงปรากฏช่องสี่เหลี่ยมปล่อยสุริยแสงฉายลงสู่แท่นสูงประดับต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ควันกำยานอายอวล กระดิ่งทองเหลืองในมืออมันดารีแกว่งไกวส่งเสนาะสำเนียงกังวาน เปลวเพลิงอารตีหรือเพลิงบูชาจากการเผาเกล็ดการบูรโชติช่วง ดอกดาวเรืองสำหรับบูชาต้นตุลสีหรือกระเพราอินเดียนอนนิ่งสงบบนถาดทองเหลือง
ร่างในชุดสวมสบายคล่องตัวชะงักไปครู่ ก่อนเดินไปหาเมื่อมารดาพยักหน้าเชิงเรียกให้เธอไปบูชาด้วยกัน หญิงสาวล้างมือ ทำใจให้สงบนิ่ง ก่อนวักไฟศักดิ์สิทธิ์ขึ้นอังหน้าผาก พิธีบูชาดำเนินต่อไป กรวยกำยานค่อยๆ หดลง เสียงบริกรรมมนตร์ขับขานพร้อมเพรียง บรรยากาศศักดิ์สิทธิ์อวลกำจาย อมันดารียกถาดอารตีให้บุตรีถือ แล้วจึงรดน้ำนมลงสู่พระแม่ตุลสีเทวี ตามด้วยน้ำบริสุทธิ์ ก่อนพนมมือแสดงการคารวะด้วยความศรัทธา
นลินนายื่นถาดบูชาให้สาวใช้นำไปเก็บ อมันดารีขอพรเหยียดยาว ผิดกับนลินนาที่แทบไม่รู้จะขออะไร นอกจากปัญญา และความสุข
“วันนี้นัดหนูเกวกับหนูนาไว้เหรอลูก?” อมันดารีลืมตา คลายการพนมมือ เสียงสงบซ่อนแววกังวล จนนลินนานิ่งอั้นไปครู่ แล้วจึงกลั้นใจพยักหน้ารับ
“ค่ะ พวกหนูว่า จะไปพิพิธภัณฑ์สักหน่อย แล้วหนูก็อยากไปยืมหนังสือที่หอสมุดด้วย วันนี้ยายเกวนัดที่บ้านไว้ คงกลับไม่ดึกค่ะ”
สตรีเจ้าของเคหาสน์ชะงัก แล้วจึงทอดถอนใจ พยายามสะกดกลั้นไม่ให้หวั่นวิตกเกินเหตุ
“หรือจ้ะ...งั้นก็กลับดีๆ ล่ะ ขึ้นรถลงเรือก็ระวังๆ ด้วย”
“ค่ะ...แม่ หนูไปก่อนนะคะ” นลินนารับคำอย่างกระอักกระอ่วนใจ คิดว่าพรุ่งนี้จะไม่ออกนอกบ้านสักวัน ไม่ทันย่างเท้า ชายวัยเฉียดสี่สิบในชุดสูทพนักงานบริษัทท่าทางงกๆ เงิ่นๆ ก็ปรี่เข้ามาในเคหาสน์หินอ่อน เบื้องหลังคือสาวใช้ผู้เดินตามมาส่ง ก่อนค้อมศีรษะแล้วลับหายไป แม้ไม่ค่อยได้ข้องเกี่ยวกับธุรกิจทางบ้าน แต่ทายาทแห่งตระกูลเทวาสถิตจดจำชายผู้นี้ได้ดี เวคิน เลขาของคุณแม่นั่นเอง
“มีอะไรหรือเวคิน? ทำไมมาแต่เช้า”
มารดาของนลินนาถามเสียงขรึมแกมเข้มงวด แปรเป็นนักธุรกิจอย่างรวดเร็ว ทำเอาเลขาคนสนิทชะงัก สาวเท้ามาหาพร้อมยื่นแฟ้มเอกสาร
“คือ...สินค้าที่เราสั่งไว้มาถึงแล้วครับ ของเพิ่งเข้ามาถึงเมื่อวานนี้เอง ตอนนี้กำลังรอเปิดตู้สินค้าอยู่ ผมเพิ่งส่งคนไปเร่ง คิดว่า คงรอไม่นานครับ”
อมันดารีเปิดอ่านประกอบคำพูดของเลขาอย่างถี่ถ้วน ไม่มีสิ่งใดหลุดรอด รายการสินค้าไม่ตกหล่น
ตระกูลเทวาสถิตทำธุรกิจนำเข้าสินค้าพื้นเมืองจำพวกเครื่องเรือน ของประดับตกแต่งอาคาร และสินค้าต่างๆ ในหมวดใกล้เคียงกันจากแถบตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ อินโดนีเซีย และอินเดียเป็นหลัก เน้นกลุ่มลูกค้าผู้มีฐานะและมีรสนิยมในด้านนี้ จึงไม่แปลกนักหากเคหาสน์ของเทวาสถิตจะมีการตกแต่งรสนิยมเดียวกับธุรกิจ
อมันดารีเปิดอ่านจนครบก็ส่งแฟ้มคืน “อืม...ดี...ไม่มีอะไรผิดพลาด จำไว้นะว่า สินค้าล็อตนี้สำคัญมาก ลูกค้าเราเป็นถึงภริยาของท่านรัฐมนตรี เพราะฉะนั้นจะพลาดไม่ได้”
สตรีร่างโปร่งเจ้าของเคหาสน์เน้นย้ำ ส่งสายตาประหนึ่งทะลวงเข้าไปในจิต เปิดโอกาสให้บุตรีเพียงคนเดียวพยักพเยิดหน้าเป็นสัญญาณขอตัว จนกระทั่งมารดาแสดงอาการรับรู้ จึงหันไปยิ้มทักทายให้เลขาของมารดา ก่อนเดินลับหายไป พร้อมความรู้สึกว่า เวคินมองตนด้วยสายตาพิกล
คล้อยเงาร่างบุตรี สตรีเจ้าของเคหาสน์ก็อกโหวงวูบ ดวงใจร่วงหล่นถึงตาตุ่ม คล้ายจะทรุดฮวบ ทำเอาเวคินหน้าเหวอ เลิ่กลั่ก ชั่งใจว่า ควรเข้าไปประคองหรือไม่ กระทั่งได้รับสัญญาณมือบอกว่า ไม่เป็นอะไร จึงยืนนิ่ง รอจนนายหญิงหยัดกายยืนได้
“คุณอมันไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?” เวคินถาม มองดูหน้าซีดจัดของนายหญิงพยักช้าๆ ชายวัยเฉียดสี่สิบอ้าปากอึกอัก กระทั่งได้รับอนุญาตให้พูดก็ยังเปล่งเสียงด้วยความลำบากใจ
“ผมว่า...เอ่อ...มันจะดีหรือครับที่เราปล่อยคุณหนูไว้แบบนี้” เขาเงียบทิ้งช่วง แล้วพูดต่อ “ป่านนี้แล้วคุณหนูลินยังไม่เคยเข้ามาดูธุรกิจของตระกูลเลย ตอนนี้หุ้นส่วนหลายคนของเราก็อ้าปากรองาบอยู่ ขืนปล่อยไว้แบบนี้ สิ้นคุณอมันไป คุณหนูจะแย่นะครับ”
น้ำเสียงโอดครวญนั่น ทำให้อมันดารีอดคิดไม่ได้ แม้จะมั่นใจว่า บุตรีของนางมีหัวทางด้านนี้ไม่ด้อยกว่าคนอื่นๆ ในตระกูล ทว่าแค่ลางสังหรณ์ตอนนี้ก็ก่อกวนจิตใจเกินพอ
“สักวันเด็กคนนั้นก็ต้องทำ เพียงแต่มันยังไม่ถึงเวลา” กล่าวทั้งที่ไม่มั่นใจ
“จะรอจนพร้อมไม่ได้หรอกครับ ถ้าคุณอมันไม่เริ่มเดี๋ยวนี้มันจะไม่ทันกาล แล้วคนที่เสียใจจะเป็นคุณอมันเอง”
สตรีวัยเกือบสี่สิบเช่นกันตวัดตามองเลขาผู้งก ๆ เงิ่น ๆ คนนั้น แต่ครานี้กลับกล่าวได้ราวลิ่มตอกอก
อย่าว่าแต่เวคินเลย แม้แต่นางก็กลัวว่า มันจะสายเกินไป!
การเดินฝ่าคลื่นความร้อนของเมืองไทยทำเอาคนเพิ่งกลับจากเขตหนาวเวียนหัวแทบเป็นลม แลเห็นเปลวแดดเต้นยะยิบบนยางมะตอย นลินนาตัดสินใจกินอาหารเช้าจากร้านสะดวกซื้อ ทั้งที่ปกติไม่ชื่นชอบนัก แต่หิวเกินกว่าจะออกเผชิญโลกกว้างด้วยกระเพาะว่างโหวง ทว่าหลังกินอาหารแช่แข็งที่ไม่ได้กินนาน ท้องไส้หล่อนก็ปั่นป่วน โชคดีได้นั่งทำเลดีๆ บนเรือด่วนฯแล้ว อาการคลื่นเหียนจึงค่อยทุเลา แต่ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าดีนัก
ผ่านไปราวชั่วโมงเรือก็เทียบตรงท่ามหาราช หญิงสาวเดินดุ่มไปยังอาคารเดิมที่พบเพื่อนเมื่อวาน โดยระหว่างนั้นก็สั่งชามะนาวเปรี้ยวจัดมาดื่มแก้คลื่นไส้
เมื่อมาถึงก็พบเกวลินกับลลนากำลังนั่งคุยกันอย่างออกรส ทั้งสองอยู่ในชุดไปรเวท โดยเกวลินสวมชุดกระโปรงดูหวานแหวว ขณะลลนาสวมชุดสีเข้มทะมัดทะแมงดี บนโต๊ะเกลื่อนด้วยขนมนมเนยหลากชนิด บางส่วนมาจากบ้านเกวลินที่มีคนนำมาฝาก ครั้นลลนาเห็นเธอหน้าซีดเดินมา จากจะหยิบขนมให้ ก็อุทานด้วยความเป็นห่วง
“แกเป็นไรวะลิน! ทำไมหน้าซีดอย่างงั้นอ่ะ?” ลลนาถาม จนเกวลินหันขวับมามอง ก็ทำหน้าเป็นห่วง เพราะหน้าของเธอซีดจริง ๆ
“ฉันแค่คลื่นไส้น่ะ นั่งสักหน่อยก็คงหาย” นลินนาตอบพลางดื่มชามะนาวอีกอึก จนลลนาในชุดทะมัดทะแมงต้องควานหายาดมมาให้ ส่วนสาวหวานในชุดกระโปรงอย่างเกวลินพอเห็นว่า เธอมีคนดูแลก็ก้มลงหยิบกล่องพัสดุขนาดเล็กขึ้นมา
“อ่ะนี่ ของที่สั่ง”
หญิงสาวเจ้าของตาโตอย่างชาวมลายูพูดพลางแกะกล่องไปด้วย เผยด้านในที่มีขวดแก้วลูกกลิ้งขนาดย่อม บรรจุของเหลวข้น ๆ สีน้ำตาล โดยสิ่งนั้นก็คือ น้ำปรุงนั่นเอง
ทั้งสามหยิบน้ำปรุงกลิ่นที่ตัวเองสั่งซื้อจากอินเทอร์เน็ตมาผลัดกันดมจนทั่วก็ทดลองใช้ เเล้วเก็บเข้ากระเป๋าอย่างทะนุถนอม โดยของนลินนานั้นเป็นกลิ่นดอกบัวเเละอบเชย เนื่องจากน้ำปรุงสองกลิ่นนี้ไม่มีกุหลาบเป็นส่วนผสม
พวกเธอแวะเข้าไปยืมหนังสือในหอสมุด ก่อนเดินไปพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนครซึ่งอยู่ไม่ไกล เเย่อย่างเดียวตรงต้องฝ่าดงนักท่องเที่ยวชาวจีนเท่านั้น ครั้นเชยชมโบราณวัตถุทรงคุณค่าจัดแสงเงางดงาม เเต่กลับมีข้อความประกาศเพียงกระผีกเดียว พลางเดินตากเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำอยู่นั้น เกวลินก็ทักท้วงให้ไปกินข้าวได้แล้ว เพราะตนนัดที่บ้านไว้ จนคู่หูอย่างนลินนาเเละลลนาหน้ามุ่ย นั่งเรือข้ามฟากไปกินก๋วยเตี๋ยวเป็ดร้านประจำ
และระหว่างรออาหารอยู่นั่นเอง นลินนาก็ยื่นแท็ปเล็ตชี้ชวนให้สองสหายดูรูปเพื่อนสนิทในต่างประเทศของตน “เพื่อนคนนี้ไงที่ฉันพูดถึง”
หญิงสาวลูกครึ่งเปอร์เซียเจ้าของโครงหน้างดงามยื่นให้ดู ทว่าสองสหายกลับขมวดคิ้วยุ่ง
“รูปไหนของแกวะ เห็นแต่จอมืดๆ ?”
คำถามของเพื่อน ทำเอาหญิงสาวเลิกคิ้ว หันแท็ปเล็ตกลับมาดูก็พบว่า หน้าจอดับไปเสียแล้ว กดอย่างไรก็ไม่ติด หนำซ้ำยังไม่ได้นำที่ชาร์จมา ทว่าก็ไม่ได้ติดใจ เพราะหลังๆ มานี้มันเริ่มรวนจนหญิงสาวปลดปลง
“สงสัยเครื่องดับอ่ะ ช่วงนี้บ่อยด้วย ไม่รู้เป็นอะไร”
เจ้าของโครงหน้าสวยถึงกับหงอย อยากให้เพื่อนรักของตนเห็นเพื่อนสาวชาวอังกฤษ จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นร่ายยาวให้ฟังว่า ตอนอยู่โน่นได้ร่ำเรียนอะไรมาบ้าง รอยแย้มจากกลีบปากสีแดงระเรื่อนั้นสดใส ชวนให้เกวลินกับลลนาต้องตั้งใจฟัง แม้บางคราจะงุนงงไปบ้างก็ตามที
นักศึกษามานุษยวิทยาสาวเสียพ่อไปแต่ยังเล็ก พอเริ่มจำความได้ก็เหลือแต่แม่ เธอรู้แค่ว่า พ่อชื่นชอบอารยธรรมเมโสโปเตเมียหรือตะวันออกใกล้โบราณเหมือนกัน ซ้ำยังศึกษาอียิปต์วิทยาจนเชี่ยวชาญ ทุกคราที่ได้เปิดอ่านหนังสือในห้องสมุดอันอัดแน่นประหนึ่งหอสมุดอเล็กซานเดรียของพ่อ และประทับใจในสิ่งเดียวกัน มันทำให้หญิงสาวรู้สึกว่า อารยธรรมโบราณนี้เป็นสายใยเชื่อมเธอกับพ่อผู้ล่วงลับไว้ด้วยกัน เเม้เเม่ไม่ได้กล่าวถึงพ่อนัก เเต่หล่อนก็ไม่เคยทวงถาม อีกทั้งญาติฝ่ายพ่อไม่เเม้จะติดต่อมาหรือดูดำดูดี ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับพวกเขาจึงเป็นเพียงลายน้ำรางเลือน
รอจนสหายร่ายจบ เกวลินที่กะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นก็พูดขึ้น
“เฮ้ย ลิน โทรศัพท์ฉันเป็นอะไรก็ไม่รู้ว่ะ อยู่ดีๆ ก็ดับเฉยเลย เพิ่งซื้อมาเดือนเดียวเองนะเว้ย”
เกวลินรัวกดโทรศัพท์ตัวเอง ได้ยินดังนั้น ลลนาก็ควักออกมาดูบ้าง ก็พบว่า ดับเหมือนกัน แต่สำหรับลลนาอาจดับเพราะแบตฯ หมดก็ได้ เนื่องจากเจ้าตัวไม่ยอมไปเปลี่ยนแบตเตอรี่เสื่อมสภาพเสียที เมื่อเกวลินเห็นว่า เครื่องมือสื่อสารของทั้งสามดับพร้อมกัน ก็สรุปได้ทันทีว่า
“โลกเราต้องได้รับคลื่นจากมนุษย์ต่างดาวแน่นอน”
นลินนากับลลนาฟังข้อสันนิษฐานอันชาญฉลาดนั่นด้วยความอึ้ง
“เกว แกก็พูดไปเรื่อย” หญิงสาวทำเสียงแซวๆ ทว่ากลับสังหรณ์ใจไม่ดี หนำซ้ำท้องไส้ยังปั่นป่วน ส่วนลลนานั้นกลับเข้ากับเกว’เป็นปี่เป็นขลุ่ย
“ไม่ใช่หรอก ต้องอย่างที่ยายลินเล่าแน่เลย มหากาพย์กิลกาเมชไง ก่อนน้ำท่วมโลก ก็ต้องส่งคลื่นความร้อนมาละลายน้ำแข็งก่อนใช่ป่ะ เห็นเขาว่า ตำนานน้ำท่วมโลกมีต้นเค้ามาจากมหากาพย์กิลกาเมชใช่ไหม”
ลลนาหันมาถามอย่างตื่นใจ หากนลินนากลับคลื่นไส้วิงเวียน ส่วนมหากาพย์กิลกาเมชที่ลลนากล่าวถึงนั้น คือมหากาพย์อันเก่าแก่ที่สุดในโลก ค้นพบในดินแดนเมโสโปเตเมีย หรือแดนจันทร์เสี้ยวอันไพบูลย์ เนื้อหาส่วนหนึ่งของมหากาพย์กล่าวถึงกษัตริย์กิลกาเมชผู้ตามหาความอมตะ ก่อนจะพบกับอุตนาพิชติม ชายผู้ได้รับหน้าที่ให้ต่อเรือ เพื่อรับมือกับมหาอุทกภัยละม้ายกับโนอาห์ในพระคัมภีร์ของคริสต์ศาสนา
ไม่ทันห้ามสองสหาย ก๋วยเตี๋ยวเป็ดหอมฉุยก็วางลงตรงหน้า สาวไทยเชื้อสายเปอร์เซียพะอืดพะอมกลั้นใจกิน เติมน้ำส้มสายชูกลั่น เพื่อให้กลืนลงคอง่ายขึ้น จนเพื่อนมองตามอย่างเป็นห่วง
เกวลินซื้อทาโกะยากิฝากน้องสาวสุดที่รักแล้วก็รีบกลับ เมื่อเห็นว่า ผิวสีงาช้างของเพื่อนกลายเป็นสีกระดาษเรียบร้อย ทั้งสามเดินมารอลงเรือข้ามฟาก วันนี้แดดร้อนเปรี้ยงราวพายุสุริยะแผ่คลื่นแผดเผาโลก คนรอบตัวพวกเธอเอะอะโวยวายกับโทรศัพท์ติดๆ ดับๆ กันเป็นแถบๆ
และระหว่างรอลงเรือข้ามฟากนั้นเอง
นลินนาคล้ายได้ยินสำเนียงเพรียกหา ได้ยินภาษาอันไม่เคยคุ้น แต่กลับแปลออกอย่างอัศจรรย์ เสียงนั้นกระซิบข้างหูอึงอล จนคลื่นไส้เวียนหัวไปหมด นลินนาก้าวลงลำเรือโคลงเคลง ความจริงแล้ว...นลินนาไม่ชอบแหล่งน้ำธรรมชาติเท่าใดนัก พอๆ กับชาวเมโสโปเตเมียหวาดกลัวกระแสน้ำในฤดูน้ำหลาก สายน้ำให้ชีวิต ขณะเดียวกันก็ยังมาซึ่งหายนะ
เรือข้ามฟากโคลงเคลงกว่าเรือด่วนฯ และยิ่งโคลงหนักในความรู้สึกของคนเวียนหัวคลื่นไส้เป็นทุนเดิม คล้ายบางอย่างดำมืดคืบคลาน คล้ายหัตถ์แห่งปิศาจคว้าไขว่ ร่างหล่อนโงนเงน ได้ยินเสียงกระซิบของใครบางคน ได้ยินเสียงบทสวด กลองหนัง กลิ่นกำยาน เสียงคนสองคนกำลังโต้ตอบบางอย่างในพิธี
ได้ยินเสียงบุรุษกล่าวในภาษาที่หล่อนแปลออกอย่างแปลกประหลาด
กลับมาเถิด...ข้ามารับเจ้าคืน
“ยายลิน!”
เสียงเกวลินตะโกนเรียก ดึงสติของนลินนา ทว่าไม่ทันเสียแล้ว หล่อนคล้ายถูกสายน้ำกระชากลงสู่เบื้องล่าง สู่ความเวิ้งว้างดำมืด เสียงตู้มเรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดจากคนในละแวก แต่สติของนลินนาตอนนี้ไม่เพียงพอให้รับรู้อะไรทั้งสิ้น
ความมืดดำ สกปรก ลึกล้ำ อันตรายขับดันความหวาดกลัวในใจเธอเป็นทบทวี เธอตะเกียกตะกายกลางความเวิ้งว้างมืดมิด แต่สภาพร่างกายไม่อำนวยจนจมดิ่งใต้น้ำ
และเสียงบุรุษผู้นั้นก็มากระซิบข้างหูหล่อนอีกแล้ว!
ไม่ต้องกลัว ข้าแค่พาเจ้าคืนสู่ที่ที่เจ้าจากมา
น่าประหลาด แค่เขากล่าวกระแสน้ำโดยรอบก็อ่อนโยนขึ้น แสงบางอย่างสว่างวาบในโพรงอกเป็นลูกแสงอุ่นๆ คล้ายหล่อนกำลังลอยล่องอยู่ในโอบอุ้มแห่งเทพเจ้า แม้กำลังจมน้ำ แต่กลับรู้สึกสายน้ำหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับลมหายใจ
หญิงสาวหลับตาพริ้มลง สติสัมปชัญญะล่องลอย ไร้ซึ่งความขลาดกลัว รับรู้ได้ว่า กระแสน้ำกำลังพาหล่อนไปอย่างที่ควรเป็น
ตึง ตึง ตึง
เสียงดนตรีพิธีกรรมบรรเลงกระทบโสตประสาท กลิ่นเผาเครื่องหอมบูชาดึงสติหญิงสาวให้ฟื้นคืนอย่างรวดเร็ว หล่อนรู้สึกเปียกแฉะไปทั้งร่าง หนักอึ้งไปทั้งตัว คลื่นไส้จนแทบจะสำรอกของเก่าออกมา เสียงซุบซิบบางอย่างดังระงมจนหล่อนจับไม่ได้ศัพท์ เงาดำแวบวาบเหนือเปลือกตาบ่งจำนวนคนว่า ไม่ใช่น้อยๆ เลยทีเดียว
เมื่อสติสัมปชัญญะหวนคืน หญิงสาวจึงพยายามเบิกตาขึ้นอย่างยากลำบาก ภาพคราแรกพร่ามัว กระทั่งกระจ่างชัดจึงยังมาซึ่งความตกตะลึง ด้วยภาพตรงหน้าคือ บุรุษหัวโล้นในผ้านุ่งขนแกะขาวสะอาด ข้างๆ กันคือ บุรุษวัยกลางคนไว้หนวดเคราทรงอำนาจ สวมมงกุฎทอง แต่งกายด้วยอาภรณ์สีม่วงประดับชายครุย ถือคทามองหล่อนด้วยความตระหนก แก้มทั้งสองแดงจัดเป็นรอยฝ่ามือ
รอบข้างรายล้อมไปด้วยผู้คน พวกเขาแต่งกายต่างกันบ่งบอกสถานะทางสังคมอันแตกต่าง แต่ส่วนใหญ่ล้วนประโคมเครื่องประดับมาเต็มตัว ต่างตรงความหรูหราเท่านั้น
โดยรอบมืดสลัว มีเพียงแสงประทีปวูบไหวคล้ายอยู่ในวิหาร
เสียงตะโกนทรงอำนาจแหวกเข้ามา พาให้กลุ่มชายหัวโล้นรอบกายเธอแหวกออกรวดเร็ว แทนที่ด้วยบุรุษผมเคราหยิกสวมหมวกและเกราะโลหะถืออาวุธครบมือดาหน้าเข้ามา ทว่าสองบุรุษด้านหน้ากลับปราศเครารกเรื้อ เปี่ยมรัศมีต่างจากพวกด้านหลัง อีกคนดวงหน้าอ่อนโยน ขณะอีกคน...คล้ายคนแรก แต่แววตากลับนิ่งสนิทราวสิงโต
เขาจ้องเธอ ดวงตาคมกริบนั้นทรงอำนาจอย่างเหลือล้น เสียงทุ้มนุ่มคำรามถามของเขาก้องดัง ทว่านลินนาจับศัพท์อะไรไม่ได้ทั้งสิ้น สติหล่อนพร่าเลือน ล้มฟุบลงตรงนั้นจนบังเกิดเสียงโหวกเหวกจอแจ
บัดนี้กงล้อแห่งชะตากรรมได้หมุนแล้ว!
*********************************************************************************************************************************
1 มาจากหนังสือ Gods, Goddess and Mythology Vol. 4 โดย Marshall Cavendish
สวัสดีค่ะ มาอัพมาแล้วนะคะ ต่อจากนี้นลินนาของเราก็จะก้าวเข้าสู่บาบิโลนโบราณแล้ว ตื่นเต้นแทนนลินนามากๆ เลยค่ะ อยากรู้เหมือนกันว่า ตัวเองจะเขียนออกมาเป็นยังไง และจะถูกใจคนอ่านหรือเปล่า เพราะส่วนใหญ่เขียนตามอารมณ์จริงๆ เป็นพวกชอบเดินเล่นในสายธารประวัติศาสตร์ ส่วนประโยคภาษาอังกฤษที่ยกมากล่าวถึงเทพเอนกิ ถ้าแปลแปลกๆ ก็ติติงได้นะคะ
สุดท้ายนี้ไรท์เตอร์ขอลาไปอ่านหนังสือสอบก่อนนะ สอบไฟนอลจี้ตูดแล้ว ขอให้มีความสุขในการอ่านค่ะ
เซธเวเรท
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 พ.ค. 2559, 21:49:20 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 ก.ค. 2559, 13:03:39 น.
จำนวนการเข้าชม : 1143
<< อารัมภบท | มัตติกาจารึกแผ่นที่ 2 >> |
แว่นใส 2 พ.ค. 2559, 07:05:16 น.
พระ-นางคงได้เจอกันแล้วมั้ง
พระ-นางคงได้เจอกันแล้วมั้ง
Likewizy 9 มิ.ย. 2559, 14:49:37 น.
คืนสู่ที่ที่จากมา นางเอกเป็นคนโบราณรึ แล้วคุณแม่ล่ะ??
คืนสู่ที่ที่จากมา นางเอกเป็นคนโบราณรึ แล้วคุณแม่ล่ะ??