ลิขิตนครา มนตราบาบิโลน
ในหน้าประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์เเละโกลาหลแห่งอารยธรรมเมโสโปเตเมีย หรือตะวันออกใกล้โบราณ ณ อาณาจักรบาบิโลเนียผุดนามชนชาติหนึ่งที่ปกครองอาณาจักร พวกเขาเรียกตัวเองว่า ชาวคัชดู ขณะชาวกรีกเรียกพวกเขาว่า ชาวคาลเดียน
อาณาจักรของพวกเขายืนยงเพียง 75 ปี แต่กลับสรรค์สร้างสิ่งต่างๆ ให้โลกมากมาย
พวกเขาคือผู้สร้างสวนลอยบาบิโลน พวกเขาคือผู้บุกเบิกดาราศาสตร์ โหราศาสตร์ เเละคณิตศาสตร์ ผลงานของพวกเขาคือต้นเค้าความรุ่งเรืองแห่งอารยธรรมกรีกเเละโรมัน
ทว่าจะเป็นเช่นไร เมื่อนักบวชแห่งมหาเทพมาร์ดุคล่วงรู้ถึงชะตากรรมการล่มสลายเเห่งอาณาจักร
ทางเเก้วิธีเดียวคือ การอ้อนวอนร้องขอต่อทวยเทพประจำนครา
เเละทวยเทพก็มิได้พระทัยร้ายเกินรับฟัง ด้วยเหตุนี้บุรุษและสตรีคู่หนึ่งจึงถูกสรรค์เสกเพื่อสนองต่อคำขอนั้น
หนึ่งบุรุษ...เพชกัลดาราเมช เจ้าชายรัชทายาทแห่งอาณาจักรบาบิโลเนีย
หนึ่งสตรี...นลินนา เทวาสถิต นักศึกษามานุษยวิทยาสาวผู้ถูกส่งข้ามห้วงกาลเวลา
และนี่คือประวัติศาสตร์บทใหม่ที่ถูกถักทอ เรื่องราวของอาณาจักรโบราณอันได้ชื่อว่า เป็นมหานคราที่ใหญ่ที่สุดในโลกยุคโบราณ เเละเกือบได้เป็นเมืองหลวงแห่งจักรวรรดิกรีกของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช
ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ถูกเขียนขึ้นแล้ว!
Tags: โรเเมนติก ดราม่า ย้อนเวลา ประวัติศาสตร์
ตอน: มัตติกาจารึกแผ่นที่ 2
มัตติกาจารึกแผ่นที่ ๒
กลิ่นบางอย่างคล้าย ๆ กลิ่นเผาเครื่องหอมฉุนอวลจ่อจมูก ทำให้ผู้กำลังอยู่ในห้วงนิทราลึกเร้นค่อยฟื้นสติ หล่อนพยายามลืมตา รู้สึกบางอย่างกดทับบริเวณทรวงอก รวดร้าวไปทั้งกาย ดวงตาเรียวงามสีน้ำตาลเข้มหรี่ปรือ คล้ายเห็นมือขาว ๆ ของใครบางคนกำลังแกว่งไกวโถกำยานเบื้องหน้าตน สติหล่อนพลันฟื้นคืน แล้วจึงได้ยินเสียงถามอันสงบนิ่ง แต่แฝงแววเฉียบขาด
“เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง?”
นลินนาฟังคำนั้นอย่างงงงัน เมื่อปรับภาพชัดจึงเห็นว่า สตรีตรงหน้าอยู่ในชุดสีขาว โกนศีรษะเกลี้ยงเกลาอย่างนักบวช สวมหมวกทรงสูงปิดทับ ข้าง ๆ กันคือสตรีที่คาดว่าน่าจะเป็นสาวใช้
หล่อนส่ายหน้า สีหน้าบ่งชัดว่า ไม่เข้าใจในสิ่งที่สตรีตรงหน้าพยายามสื่อ
สตรีนางนั้นจึงลองใหม่
“เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง?”
ครานี้เปลี่ยนภาษา นลินนาเชื่อว่า สตรีตรงหน้ายังคงถามคำถามเดิม หล่อนเข้าใจเพิ่มมาคำสองคำ มันคล้าย ๆ ภาษาอาหรับพิกล แต่ยังคงจับประโยคไม่ได้ สตรีตรงหน้าลองใหม่อีกหน
“เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง?”
รอบนี้นลินนาฟังชัด พยักหน้าหงึก พยายามตอบคล้ายคุ้นเคยภาษานี้ แต่คิดคำไม่ค่อยออก คล้ายคนห่างเหินจากการพูดภาษาหนึ่งมานาน
“เวียนหัวกับปวดเนื้อปวดตัวนิดหน่อยค่ะ” เสียงของนลินนาแหบแห้ง สตรีผู้เป็นสาวใช้จึงรินน้ำใส่ภาชนะดินเผามาให้ หล่อนรับมาดื่มอึกสองอึก รู้สึกน้ำรสชาติแปลก ๆ
“งั้นหรือ...เจ้าชื่ออะไร?” สตรีผู้นลินนาคาดว่าเป็นนักบวชเอ่ยถาม ดวงหน้าของสตรีนางนี้คล้าย ๆ ชนเผ่าเร่ร่อนในแถบทะเลทราย แต่ผิวพรรณนวลเนียนราวแทบไม่เคยออกแดด
“นะ-ลิน-นา ค่ะ”
“อืม...นลินนา เจ้ามาจากที่ใด?”
คำนั้นชวนหล่อนใจหายวูบ...เกวลิน ลลนา แม่!
หญิงสาวดวงตาเบิกโพลง พยายามดิ้นรนลงจากเตียง แต่กลับถูกนักบวชสตรีแลนางรับใช้กักไว้
“ตอนนี้เจ้าไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น” นักบวชสตรีกล่าวเสียงเข้ม หากนลินนายังคงพยายามขัดขืน น้ำตาเอ่อคลอหน่วย
“แต่...แม่ของฉัน!” หญิงสาวพยายามอธิบาย แต่ด้วยอารมณ์และภาษาเป็นอุปสรรคจึงชะงักค้างคา
“ไม่ได้!” นางย้ำ ช้า ชัด “ตอนนี้เจ้าต้องอยู่ในการปกปักของมหาเทพี หากเจ้าขืนทะเล่อทะล่าออกไปตอนนี้ รับรองได้เลยว่า เจ้าจะกลับมาแบบไม่เหลือแม้กระทั่งวิญญาณ”
นลินนาตะลึง ถูกกดลงกับเตียง นางรับใช้นางเดิมออกไปนำสำรับมาวางบนโต๊ะเตี้ยข้างเตียงตั่ง นักบวชสตรีนางนั้นกล่าวกำชับว่า หล่อนควรกินอาหารให้อิ่มท้อง แลดื่มยาซะ แล้วรอเวลาอยู่ในนี้ โดยไม่บอกกล่าวเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น แต่ก่อนนักบวชสตรีจะคล้อยหลังจากไป นลินนาก็รีบตะโกนถาม
“บอกฉันหน่อยได้ไหมคะว่า ที่นี่คือที่ไหน?” แม้จะพอรู้อยู่แก่อก แต่หญิงสาวยังคงต้องการคำตอกย้ำ
นักบวชสตรียืนค้างอยู่ช่องประตู บอกกล่าวชัดเจน
“ที่นี่คือ บาบิลิม ทวาราแห่งทวยเทวัญ!”
นลินนานิ่งงัน รู้ว่า บาบิลิมคือนครบาบิโลนในภาษาอัคคัด
อย่าบอกนะว่า หล่อนย้อนกาลมาสมัยเมโสโปเตเมียโบราณ!
นักบวชสตรีแห่งมหาเทพีอิชทาร์ก้าวยาวออกจากห้องของสตรีผู้ปรากฏกายกลางวิหารแห่งมหาเทพมาร์ดุค ท่ามกลางเทศกาลอคิตู เทศกาลแสดงความเคารพต่อเทพเจ้าอันจัดขึ้นก่อนการเพาะปลูก และทำนายความอุดมสมบูรณ์ของแต่ละปี นักบวชสตรีเร่งร้อนสู่ห้องพักของนักบวชสูงสุดแห่งมหาเทพีอิชทาร์ นางขออนุญาตก่อนผลักบานประตูไม้สนซีดาร์ จึ่งพบสตรีศีรษะโกนเกลี้ยงเช่นเดียวกันในชุดลินินขาวโพลน ดวงหน้านั้นสงบนิ่งนัก
“นางเป็นเช่นไรบ้าง?” คำถามของนักบวชสูงสุดแห่งมหาเทพี ทำให้ผู้ด้อยศักดิ์กว่าค้อมศีรษะตอบ
“ตอนนี้ดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ...” ปลายเสียงขาดหายไป คล้ายมีบางอย่างค้างคา
“เจ้าต้องการพูดสิ่งใด?” หัวหน้านักบวชแห่งอิชทาร์เอื้อนเอ่ยวาจา
“ข้าคุยกับนางแล้ว นางมิใช่คนแถบนี้” หัวหน้านักบวชสตรีชะงัก มิได้แปลกประหลาดใจเท่าใดนัก
“เป็นเช่นไรเจ้าจงว่ามา?”
“คราแรก ข้าพูดกับนางด้วยภาษาอราเมอิก ภาษาของชาวอราเมียนที่ชาวเมืองนิยมใช้กัน แต่นางกลับฟังไม่เข้าใจ คราที่สอง ข้าพูดกับนางด้วยภาษาอัคคัด ภาษาของชนชั้นสูง นางฟังออกแค่บางคำ จนกระทั่งสุดท้ายข้าพูดด้วยภาษาซูเมอร์...นางฟังรู้เรื่อง!”
หัวหน้านักบวชสตรีเข้าใจทันควัน ภาษาอัคคัดนั้นใช้เป็นภาษากลางในแถบนี้มาเนิ่นนาน ส่วนใหญ่นิยมใช้ในหมู่ชนชั้นสูง ส่วนอราเมอิกของชาวอราเมียนนั้นเป็นภาษากำเนิดใหม่ไม่นานมานี้ และเป็นภาษาทางการค้า บาบิโลนเองก็เป็นศูนย์กลางทางการค้าเช่นกันจึ่งมิแปลกที่ชาวเมืองจักพูดกันได้หมด เหลือเพียงซูเมอร์ ภาษาโบราณอันศักดิ์สิทธิ์ ใช้ในการจารึกวรรณกรรม ปกรณัม สหศาสตร์ แลบทสวด อีกทั้งตอนนี้บาบิลิมกำลังพยายามรวบรวมมัตติกาจารึกโบราณ แลขุดค้นหาสิ่งที่ชนก่อนหน้าทอดทิ้งไว้มารวบรวมในพิพิธภัณฑ์อันอยู่ในพระราชวังเหนือ ทำให้ภาษาซูเมอร์เริ่มกลับมานิยมอีกครั้ง ทว่าก็เฉพาะในหมู่นักปราชญ์ แลชนชั้นสูงทั้งสิ้น
“ถ้าเช่นนั้นลางนั้นคงเป็นจริง นางคือสตรีผู้ถือกำเนิดจากโลหิตแห่งมหาเทพีอิชทาร์”
“ถ้าเช่นนั้น...” นักบวชสตรีอึกอัก
“ใช่ นินซา..ตราบใดคำพิพากษาชะตาแห่งบาบิลิมในเทศกาลอคิตูยังไม่ปรากฏ เจ้าต้องปกปักดูแลนางจนถึงวันนั้น ตอนนี้นักบวชแห่งมหาเทพมาร์ดุค แลราชสำนักยังไม่วางใจ หากสตรีนางนั้นคือผู้ถือกำเนิดจากโลหิตแห่งมหาเทพีอิชทาร์จริง หลังวันพิพากษา เงาร้ายก็จะผ่านพ้นไปเอง”
นักบวชสตรีนินซาน้อมกายรับคำ ใครจะคิดเล่าว่า เรื่องเล่านั้นจักเป็นจริง ข่าวลือการล่มสลายแห่งบาบิลิม และบุรุษสตรีผู้ถือกำเนิดจากโลหิตแห่งมหาเทพเทพีทั้งสอง ตอนนี้บาบิลิมผ่านพ้นยุครุ่งเรืองแห่งรัชสมัยพระเจ้าเนบูคัดเนสซาร์มาแล้ว ชนทุกอารยธรรม โดยเฉพาะดินแดนจันทร์เสี้ยวอันไพบูลย์ย่อมรู้ดี อารยธรรมเมื่อพ้นผ่านจุดขีดสุดแห่งการเรืองอำนาจ อารยธรรมนั้นความล่มสลายย่อมมาเยือน
พระราชวังใต้ หนึ่งในสามพระราชวัง ทิศตะวันตกของประตูเมืองอิชทาร์
ณ ห้องบรรทมมลังเมลืองด้วยเครื่องเรือนทองคำแลงาช้างโอ่อ่า บานทวารสรรค์จากไม้สนซีดาร์เผยออกกว้างรับสุริยแสงจากเทพชามาช เนื่องด้วยอาคารเคหสถานแถบนี้ไม่มีการสร้างหน้าต่าง แต่จะทำเป็นอาคารทรงป้อมให้ทุกห้องหันหน้าเข้าหาลานกว้างไร้เพดานเพื่อรับแสงแทน
ล้อมรอบพระวรกายสูงใหญ่ดั่งแท่งศิลาของเจ้าชายรัชทายาทแห่งบาบิลิม มหาดเล็กพากันรายล้อมสวมพระภูษาผ้าขนสัตว์สีน้ำเงินเข้มขลิบชายครุยทองอร่ามถวาย ต่อจากนั้นจึงยกหีบพระภูษณหรือเครื่องประดับจากหินคาร์เนเลียน ลาพิส ลาซูรี อะเกต แลทองคำอันมีทั้งพระธำมรงค์ ทองพระกร สร้อยพระศอ พระกุณฑล ตลอดจนมงกุฎเตี้ยทรงกระบอกบ่งบอกพระอิสริยยศมาประโคม
ถวายงานเสร็จ มหาดเล็กก็พากันถอยกรูดลาลับ ทิ้งห้องบรรทมให้ตกอยู่ในความสงัด ก่อนวรกายสูงขาว พระพักตร์ละม้ายคล้ายคลึงกัน หากมีเค้าอ่อนโยนนุ่มนวลกว่าจักกรายเข้ามา สุรเสียงนุ่มหวานอ่อนโยนเร่งขัน ๆ
“รีบเสด็จเร็ว ๆ เถิดพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพี่เพชกัลดาราเมช ตอนนี้เสด็จพี่ซามูลาเอลกริ้วใหญ่แล้ว”
รับสั่งนั้น ทำให้ผู้ถูกขานพระนามเบือนไปหา เผยให้เห็นพระพักตร์สิริโฉมคมคาย พระขนงเข้มพาดผ่านเหนือดวงเนตรเรียวคมสีสนิม พระนาสิกโด่งเป็นสันรับกับพระโอษฐ์อิ่มหนาแดงดั่งผลมะเดื่อสุกปริ พระเกศาหยักศกยาวระต้นพระศอ เจ้าชายผู้ได้รับสมญานามว่า งามเทียบเทียมกิลกาเมช บุรุษผู้รูปงามที่สุดในโลกา แลบัดนี้โอษฐ์งามดั่งผลมะเดื่อกำลังเอื้อยเอ่ยวาจา
“ฮะๆๆ นาโบนัสซาร์” สุรเสียงสรวลเผยแววขันๆ “ถามตัวเจ้าเองก่อนเถิดว่า มีอะไรบ้างที่ซามูลาเอลไม่กริ้ว เขาก็เป็นเช่นนี้ทุกที เหลือเวลาอีกนานก่อนพิธีจะเริ่ม”
เจ้าชายรัชทายาททอดพระเนตรนาฬิกาวารีอันเป็นกระถางน้ำเจาะรูก้นสอบ พลางจัดพระองค์ให้เรียบร้อย เหน็บพระแสงดาบแลพระแสงกริชโลหะไว้ตรงบั้นพระองค์
ทว่าพระอนุชากลับไม่นำพาต่อถ้อยรับสั่งเปี่ยมอารมณ์ขัน
“ปกติ...ก็กริ้วอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่ครานี้กริ้วหนักกว่าเดิม เพราะสตรีนางนั้น”
ถ้อยทูล ทำให้เจ้าชายรูปงามถึงกับทรงชะงัก ดำริถึงภาพเจ้าของเกศาสีน้ำตาลเข้มราวคลื่น นัยน์ตาเรียวสีเดียวกับเกศาที่เงยมองพระองค์ด้วยความตระหนกนั้น หยุดสรรพสิ่งในโลกาได้ชะงัด ภาพนางวนเวียนอยู่ในพระเศียร มันมิใช่สิเน่หา หากลึกล้ำยิ่งกว่านั้น
“บอกเชษฐาของเจ้าด้วย นาโบนัสซาร์ ตราบใดยังไม่สิ้นเทศกาลอคิตูเขาจะกระทำการใดไม่ได้ทั้งสิ้น วันนี้เพิ่งวันที่ ๖ อีกนานกว่าจักถึงวันที่ทวยเทพจักประกาศชะตาแห่งนคร ตราบใดยังไม่รู้เหตุการมาแห่งนาง เขาไม่มีสิทธิ์ตัดสินว่า นางเป็นกาลกิณีต่อเรา”
เจ้าชายนาโบนัสซาร์สดับด้วยความหดหู่พระทัย ตอนนี้ประชาราษฎร์ ศาสนจักร แลราชสำนักล้วนปั่นป่วน การปรากฏกายกลางแท่นพิธีของสตรีนางนั้น ณ วิหารอีซากีลาแห่งมหาเทพมาร์ดุค ยังมาซึ่งความสับสนของชาวคัชดู1 ซ้ำนางยังมาในวันที่ ๕ วันที่พระบิดาของพระองค์ กษัตริย์บาบิโลเนียจักได้รับอำนาจการปกครองจากมหาเทพโดยชอบธรรม
ยามนี้ประดานักบวชต้องอัญเชิญทวยเทพเข้าร่วมพิธี ไม่มีผู้ใดสามารถให้คำพยากรณ์ได้ นับแต่สิ้นพระอัยกาเนบูคัดเนสซาร์ แม้บาบิโลเนียจักคงอำนาจอยู่ได้ แลมีผู้ประทานคำทำนายว่า เจ้าชายเพชกัลดาราเมช โอรสองค์โตแห่งกษัตริย์‘อาเคอร์ดูอานา’จักเป็นผู้กอบกู้อาณาจักร กระนั้นคำทำนายการล่มสลายก็ยังก่อกวนใจผู้คน
เจ้าชายนาโบนัสซาร์ถอนพระทัย
“แล้วถ้าเกิดคำพิพากษาของทวยเทพบอกว่า นางคือกาลกิณีเล่าพ่ะย่ะค่ะ?”
ถ้อยทูลนั้น ทำให้โอรสองค์โตแห่งกษัตริย์บาบิโลเนียสะอึก กระนั้นด้วยแรงผลักดันในพระหทัยบางอย่างกลับทรงเชื่อมั่นว่า
“นัสซาร์ ข้าเชื่อว่า นางมิมีทางเป็นตัวกาลกิณี นาง...จะนำความรุ่งโรจน์มาสู่อาณาจักรของเรา”
เจ้าชายหนุ่มสดับด้วยความแปลกพระทัย ด้วยมิเคยทอดพระเนตรว่า พระเชษฐาแห่งพระองค์จักทรงเชื่อมั่นในสิ่งใดหนักแน่นถึงเพียงนี้
วิหารแห่งมหาเทพีอิชทาร์ ทิศตะวันออกของซิกกูแรตอิเตเมนันกิ
นลินนาจัดการสำรับอันประกอบด้วยขนมปังธัญพืชราดน้ำผึ้ง เนื้อแกะย่างปรุงเครื่องเทศ เบียร์ข้าวบาร์เลย์หอมหวานในเหยือกดินเผา มีหลอดโลหะสำหรับดูดกรองตะกอนบางอย่าง รวมทั้งผลไม้อย่างอินทผลัม มะเดื่อ และทับทิมจนอิ่ม ตามด้วยยา...อันเป็นน้ำนมผสมสมุนไพร เธอทำได้เพียงอยู่ในห้องอับทึบไร้บานหน้าต่างใต้แสงตะเกียงน้ำมันไหววูบ
หญิงสาวเดินวนรอบห้อง สำรวจทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อย้ำเตือนตนว่า ตอนนี้ตนกำลังอยู่ที่ใด และในสถานการณ์แบบไหน หล่อนลูบไล้ผนังอิฐดิบ ทราบว่า มันสร้างง่าย ไม่คงทน แต่กันความร้อนได้ดี ชนเผ่าต่าง ๆ ในแถบสภาพอากาศแบบทะเลทรายจึงนิยมสร้างบ้านด้วยวัสดุนี้ เมโสโปเตเมียเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ทว่า...ยังเร็วเกินด่วนสรุป
ประตู...หล่อนถลาจับ เคาะ พลางดมกลิ่น เป็นไม้เนื้อแข็ง ซ้ำยังมีกลิ่นหอม มันคือ ไม้สนซีดาร์!
ในฐานะทายาทแห่งเทวาสถิต เหตุใดนลินนาจะมิทราบว่า ไม้สนซีดาร์เป็นที่ต้องการเพียงไร มันเป็นไม้มีกลิ่นหอม คงทน ไม่ขึ้นรา ใช้งานได้ทั้งที่ร่มที่แจ้ง เป็นยอดแห่งไม้ แต่ในบาบิโลนไม่มีไม้ใดนอกจากปาล์ม ต้องสั่งซื้อจากชาวฟินิเชียน พ่อค้าทางทะเลผู้ครอบครองป่าสนซีดาร์ในเทือกเขาเลบานอน แต่ถ้าเป็นยุคบาบิโลนใหม่ ในรัชสมัยของพระเจ้าเนบูคัดเนสซาร์ที่ ๒ ทรงยึดเมืองของชาวฟินิเชียนมาได้ แลครอบครองชายฝั่งตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไว้ทั้งหมด เท่ากับตอนนี้กษัตริย์บาบิโลเนียทรงกำลังครอบครองไม้ล้ำค่าจำนวนมหาศาล
นอกนั้นในห้องก็มีแค่พวกหีบจากไม้และกก พื้นและผนังประดับพรมขนสัตว์ ภาชนะทุกอย่างในห้องล้วนเป็นภาชนะดินเผาประทับตราบางอย่าง
นลินนาเดินวนไปมา สำรวจสรรพสิ่งเพื่อยืนยันสถานการณ์ของตน
เป็นไปได้เช่นไร เป็นไปได้หรือที่หล่อนจะย้อนเวลามาถึง ๒,๕๐๐ ปี หรือว่านี่จะเป็นลางสังหรณ์ของแม่ แล้วเกวลินกับลลนาเล่า ตอนนี้จะเป็นอย่างไร
หญิงสาวอยากออกไปข้างนอก เพื่อดูว่าที่นี่คือที่ไหน ทว่าสาวรับใช้ หรืออาจเป็นทาสยังคงนั่งเฝ้าอยู่ด้านหน้า กันไม่ให้เธอออกไป
หล่อนสับสน กลัดกลุ้ม ร้อนรน
คำของสตรีศีรษะโล้นเลี่ยนยังดังก้องอึงอล
นลินนาไม่เข้าใจ หล่อนเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดา เพิ่งจบมัธยมฯมาสองปี เรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่งซ้ำถึงสองหน บ้านเธอถึงฐานะร่ำรวยพอควร แต่ก็ไม่ได้มีอิทธิพลมากมายอะไร
แล้วเหตุใดจึงเป็นเธอที่ประสบชะตากรรม
ไม่มีอะไรบ่งบอกว่า เธอยังอยู่ในยุคปัจจุบัน และสายน้ำพัดพาเธอมาได้เช่นไร
หญิงสาวทรุดกายหมดแรงบนเตียง ร่างในชุดผ้าลินินขาวสะอาดพันหลวม ๆ รู้สึกโหวงเหวง หล่อนพนมมือขึ้นเหนือเศียรเกล้า ร้องหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์
โอ พระแม่ปารวตี นี่มันเรื่องอะไรกัน!
1 คำเรียกชาวคาลเดียนในภาษาอัคคัด
****************************************************************************************************************
สวัสดีค่า นี่ตอนที่ 2 แล้วนะคะ อ่านแล้วเป็นยังไงก็บอกกันได้นะคะ จะได้ปรับเเก้เพื่อให้มีความบกพร่องน้อยที่สุด รอบนี้หายนานขอโทษด้วยนะคะ เพราะกำลังปั่นตอนอื่นๆ อยู่ พร้อมกับปรับเเก้อะไรอีกหลายอย่าง กำลังอยู่ในช่วงสอบด้วย ถึงอย่างไรก็คอมเมนต์เป็นกำลังใจ รวมทั้งเเสดงความคิดเห็นได้นะคะ
กลิ่นบางอย่างคล้าย ๆ กลิ่นเผาเครื่องหอมฉุนอวลจ่อจมูก ทำให้ผู้กำลังอยู่ในห้วงนิทราลึกเร้นค่อยฟื้นสติ หล่อนพยายามลืมตา รู้สึกบางอย่างกดทับบริเวณทรวงอก รวดร้าวไปทั้งกาย ดวงตาเรียวงามสีน้ำตาลเข้มหรี่ปรือ คล้ายเห็นมือขาว ๆ ของใครบางคนกำลังแกว่งไกวโถกำยานเบื้องหน้าตน สติหล่อนพลันฟื้นคืน แล้วจึงได้ยินเสียงถามอันสงบนิ่ง แต่แฝงแววเฉียบขาด
“เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง?”
นลินนาฟังคำนั้นอย่างงงงัน เมื่อปรับภาพชัดจึงเห็นว่า สตรีตรงหน้าอยู่ในชุดสีขาว โกนศีรษะเกลี้ยงเกลาอย่างนักบวช สวมหมวกทรงสูงปิดทับ ข้าง ๆ กันคือสตรีที่คาดว่าน่าจะเป็นสาวใช้
หล่อนส่ายหน้า สีหน้าบ่งชัดว่า ไม่เข้าใจในสิ่งที่สตรีตรงหน้าพยายามสื่อ
สตรีนางนั้นจึงลองใหม่
“เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง?”
ครานี้เปลี่ยนภาษา นลินนาเชื่อว่า สตรีตรงหน้ายังคงถามคำถามเดิม หล่อนเข้าใจเพิ่มมาคำสองคำ มันคล้าย ๆ ภาษาอาหรับพิกล แต่ยังคงจับประโยคไม่ได้ สตรีตรงหน้าลองใหม่อีกหน
“เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง?”
รอบนี้นลินนาฟังชัด พยักหน้าหงึก พยายามตอบคล้ายคุ้นเคยภาษานี้ แต่คิดคำไม่ค่อยออก คล้ายคนห่างเหินจากการพูดภาษาหนึ่งมานาน
“เวียนหัวกับปวดเนื้อปวดตัวนิดหน่อยค่ะ” เสียงของนลินนาแหบแห้ง สตรีผู้เป็นสาวใช้จึงรินน้ำใส่ภาชนะดินเผามาให้ หล่อนรับมาดื่มอึกสองอึก รู้สึกน้ำรสชาติแปลก ๆ
“งั้นหรือ...เจ้าชื่ออะไร?” สตรีผู้นลินนาคาดว่าเป็นนักบวชเอ่ยถาม ดวงหน้าของสตรีนางนี้คล้าย ๆ ชนเผ่าเร่ร่อนในแถบทะเลทราย แต่ผิวพรรณนวลเนียนราวแทบไม่เคยออกแดด
“นะ-ลิน-นา ค่ะ”
“อืม...นลินนา เจ้ามาจากที่ใด?”
คำนั้นชวนหล่อนใจหายวูบ...เกวลิน ลลนา แม่!
หญิงสาวดวงตาเบิกโพลง พยายามดิ้นรนลงจากเตียง แต่กลับถูกนักบวชสตรีแลนางรับใช้กักไว้
“ตอนนี้เจ้าไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น” นักบวชสตรีกล่าวเสียงเข้ม หากนลินนายังคงพยายามขัดขืน น้ำตาเอ่อคลอหน่วย
“แต่...แม่ของฉัน!” หญิงสาวพยายามอธิบาย แต่ด้วยอารมณ์และภาษาเป็นอุปสรรคจึงชะงักค้างคา
“ไม่ได้!” นางย้ำ ช้า ชัด “ตอนนี้เจ้าต้องอยู่ในการปกปักของมหาเทพี หากเจ้าขืนทะเล่อทะล่าออกไปตอนนี้ รับรองได้เลยว่า เจ้าจะกลับมาแบบไม่เหลือแม้กระทั่งวิญญาณ”
นลินนาตะลึง ถูกกดลงกับเตียง นางรับใช้นางเดิมออกไปนำสำรับมาวางบนโต๊ะเตี้ยข้างเตียงตั่ง นักบวชสตรีนางนั้นกล่าวกำชับว่า หล่อนควรกินอาหารให้อิ่มท้อง แลดื่มยาซะ แล้วรอเวลาอยู่ในนี้ โดยไม่บอกกล่าวเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น แต่ก่อนนักบวชสตรีจะคล้อยหลังจากไป นลินนาก็รีบตะโกนถาม
“บอกฉันหน่อยได้ไหมคะว่า ที่นี่คือที่ไหน?” แม้จะพอรู้อยู่แก่อก แต่หญิงสาวยังคงต้องการคำตอกย้ำ
นักบวชสตรียืนค้างอยู่ช่องประตู บอกกล่าวชัดเจน
“ที่นี่คือ บาบิลิม ทวาราแห่งทวยเทวัญ!”
นลินนานิ่งงัน รู้ว่า บาบิลิมคือนครบาบิโลนในภาษาอัคคัด
อย่าบอกนะว่า หล่อนย้อนกาลมาสมัยเมโสโปเตเมียโบราณ!
นักบวชสตรีแห่งมหาเทพีอิชทาร์ก้าวยาวออกจากห้องของสตรีผู้ปรากฏกายกลางวิหารแห่งมหาเทพมาร์ดุค ท่ามกลางเทศกาลอคิตู เทศกาลแสดงความเคารพต่อเทพเจ้าอันจัดขึ้นก่อนการเพาะปลูก และทำนายความอุดมสมบูรณ์ของแต่ละปี นักบวชสตรีเร่งร้อนสู่ห้องพักของนักบวชสูงสุดแห่งมหาเทพีอิชทาร์ นางขออนุญาตก่อนผลักบานประตูไม้สนซีดาร์ จึ่งพบสตรีศีรษะโกนเกลี้ยงเช่นเดียวกันในชุดลินินขาวโพลน ดวงหน้านั้นสงบนิ่งนัก
“นางเป็นเช่นไรบ้าง?” คำถามของนักบวชสูงสุดแห่งมหาเทพี ทำให้ผู้ด้อยศักดิ์กว่าค้อมศีรษะตอบ
“ตอนนี้ดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ...” ปลายเสียงขาดหายไป คล้ายมีบางอย่างค้างคา
“เจ้าต้องการพูดสิ่งใด?” หัวหน้านักบวชแห่งอิชทาร์เอื้อนเอ่ยวาจา
“ข้าคุยกับนางแล้ว นางมิใช่คนแถบนี้” หัวหน้านักบวชสตรีชะงัก มิได้แปลกประหลาดใจเท่าใดนัก
“เป็นเช่นไรเจ้าจงว่ามา?”
“คราแรก ข้าพูดกับนางด้วยภาษาอราเมอิก ภาษาของชาวอราเมียนที่ชาวเมืองนิยมใช้กัน แต่นางกลับฟังไม่เข้าใจ คราที่สอง ข้าพูดกับนางด้วยภาษาอัคคัด ภาษาของชนชั้นสูง นางฟังออกแค่บางคำ จนกระทั่งสุดท้ายข้าพูดด้วยภาษาซูเมอร์...นางฟังรู้เรื่อง!”
หัวหน้านักบวชสตรีเข้าใจทันควัน ภาษาอัคคัดนั้นใช้เป็นภาษากลางในแถบนี้มาเนิ่นนาน ส่วนใหญ่นิยมใช้ในหมู่ชนชั้นสูง ส่วนอราเมอิกของชาวอราเมียนนั้นเป็นภาษากำเนิดใหม่ไม่นานมานี้ และเป็นภาษาทางการค้า บาบิโลนเองก็เป็นศูนย์กลางทางการค้าเช่นกันจึ่งมิแปลกที่ชาวเมืองจักพูดกันได้หมด เหลือเพียงซูเมอร์ ภาษาโบราณอันศักดิ์สิทธิ์ ใช้ในการจารึกวรรณกรรม ปกรณัม สหศาสตร์ แลบทสวด อีกทั้งตอนนี้บาบิลิมกำลังพยายามรวบรวมมัตติกาจารึกโบราณ แลขุดค้นหาสิ่งที่ชนก่อนหน้าทอดทิ้งไว้มารวบรวมในพิพิธภัณฑ์อันอยู่ในพระราชวังเหนือ ทำให้ภาษาซูเมอร์เริ่มกลับมานิยมอีกครั้ง ทว่าก็เฉพาะในหมู่นักปราชญ์ แลชนชั้นสูงทั้งสิ้น
“ถ้าเช่นนั้นลางนั้นคงเป็นจริง นางคือสตรีผู้ถือกำเนิดจากโลหิตแห่งมหาเทพีอิชทาร์”
“ถ้าเช่นนั้น...” นักบวชสตรีอึกอัก
“ใช่ นินซา..ตราบใดคำพิพากษาชะตาแห่งบาบิลิมในเทศกาลอคิตูยังไม่ปรากฏ เจ้าต้องปกปักดูแลนางจนถึงวันนั้น ตอนนี้นักบวชแห่งมหาเทพมาร์ดุค แลราชสำนักยังไม่วางใจ หากสตรีนางนั้นคือผู้ถือกำเนิดจากโลหิตแห่งมหาเทพีอิชทาร์จริง หลังวันพิพากษา เงาร้ายก็จะผ่านพ้นไปเอง”
นักบวชสตรีนินซาน้อมกายรับคำ ใครจะคิดเล่าว่า เรื่องเล่านั้นจักเป็นจริง ข่าวลือการล่มสลายแห่งบาบิลิม และบุรุษสตรีผู้ถือกำเนิดจากโลหิตแห่งมหาเทพเทพีทั้งสอง ตอนนี้บาบิลิมผ่านพ้นยุครุ่งเรืองแห่งรัชสมัยพระเจ้าเนบูคัดเนสซาร์มาแล้ว ชนทุกอารยธรรม โดยเฉพาะดินแดนจันทร์เสี้ยวอันไพบูลย์ย่อมรู้ดี อารยธรรมเมื่อพ้นผ่านจุดขีดสุดแห่งการเรืองอำนาจ อารยธรรมนั้นความล่มสลายย่อมมาเยือน
พระราชวังใต้ หนึ่งในสามพระราชวัง ทิศตะวันตกของประตูเมืองอิชทาร์
ณ ห้องบรรทมมลังเมลืองด้วยเครื่องเรือนทองคำแลงาช้างโอ่อ่า บานทวารสรรค์จากไม้สนซีดาร์เผยออกกว้างรับสุริยแสงจากเทพชามาช เนื่องด้วยอาคารเคหสถานแถบนี้ไม่มีการสร้างหน้าต่าง แต่จะทำเป็นอาคารทรงป้อมให้ทุกห้องหันหน้าเข้าหาลานกว้างไร้เพดานเพื่อรับแสงแทน
ล้อมรอบพระวรกายสูงใหญ่ดั่งแท่งศิลาของเจ้าชายรัชทายาทแห่งบาบิลิม มหาดเล็กพากันรายล้อมสวมพระภูษาผ้าขนสัตว์สีน้ำเงินเข้มขลิบชายครุยทองอร่ามถวาย ต่อจากนั้นจึงยกหีบพระภูษณหรือเครื่องประดับจากหินคาร์เนเลียน ลาพิส ลาซูรี อะเกต แลทองคำอันมีทั้งพระธำมรงค์ ทองพระกร สร้อยพระศอ พระกุณฑล ตลอดจนมงกุฎเตี้ยทรงกระบอกบ่งบอกพระอิสริยยศมาประโคม
ถวายงานเสร็จ มหาดเล็กก็พากันถอยกรูดลาลับ ทิ้งห้องบรรทมให้ตกอยู่ในความสงัด ก่อนวรกายสูงขาว พระพักตร์ละม้ายคล้ายคลึงกัน หากมีเค้าอ่อนโยนนุ่มนวลกว่าจักกรายเข้ามา สุรเสียงนุ่มหวานอ่อนโยนเร่งขัน ๆ
“รีบเสด็จเร็ว ๆ เถิดพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพี่เพชกัลดาราเมช ตอนนี้เสด็จพี่ซามูลาเอลกริ้วใหญ่แล้ว”
รับสั่งนั้น ทำให้ผู้ถูกขานพระนามเบือนไปหา เผยให้เห็นพระพักตร์สิริโฉมคมคาย พระขนงเข้มพาดผ่านเหนือดวงเนตรเรียวคมสีสนิม พระนาสิกโด่งเป็นสันรับกับพระโอษฐ์อิ่มหนาแดงดั่งผลมะเดื่อสุกปริ พระเกศาหยักศกยาวระต้นพระศอ เจ้าชายผู้ได้รับสมญานามว่า งามเทียบเทียมกิลกาเมช บุรุษผู้รูปงามที่สุดในโลกา แลบัดนี้โอษฐ์งามดั่งผลมะเดื่อกำลังเอื้อยเอ่ยวาจา
“ฮะๆๆ นาโบนัสซาร์” สุรเสียงสรวลเผยแววขันๆ “ถามตัวเจ้าเองก่อนเถิดว่า มีอะไรบ้างที่ซามูลาเอลไม่กริ้ว เขาก็เป็นเช่นนี้ทุกที เหลือเวลาอีกนานก่อนพิธีจะเริ่ม”
เจ้าชายรัชทายาททอดพระเนตรนาฬิกาวารีอันเป็นกระถางน้ำเจาะรูก้นสอบ พลางจัดพระองค์ให้เรียบร้อย เหน็บพระแสงดาบแลพระแสงกริชโลหะไว้ตรงบั้นพระองค์
ทว่าพระอนุชากลับไม่นำพาต่อถ้อยรับสั่งเปี่ยมอารมณ์ขัน
“ปกติ...ก็กริ้วอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่ครานี้กริ้วหนักกว่าเดิม เพราะสตรีนางนั้น”
ถ้อยทูล ทำให้เจ้าชายรูปงามถึงกับทรงชะงัก ดำริถึงภาพเจ้าของเกศาสีน้ำตาลเข้มราวคลื่น นัยน์ตาเรียวสีเดียวกับเกศาที่เงยมองพระองค์ด้วยความตระหนกนั้น หยุดสรรพสิ่งในโลกาได้ชะงัด ภาพนางวนเวียนอยู่ในพระเศียร มันมิใช่สิเน่หา หากลึกล้ำยิ่งกว่านั้น
“บอกเชษฐาของเจ้าด้วย นาโบนัสซาร์ ตราบใดยังไม่สิ้นเทศกาลอคิตูเขาจะกระทำการใดไม่ได้ทั้งสิ้น วันนี้เพิ่งวันที่ ๖ อีกนานกว่าจักถึงวันที่ทวยเทพจักประกาศชะตาแห่งนคร ตราบใดยังไม่รู้เหตุการมาแห่งนาง เขาไม่มีสิทธิ์ตัดสินว่า นางเป็นกาลกิณีต่อเรา”
เจ้าชายนาโบนัสซาร์สดับด้วยความหดหู่พระทัย ตอนนี้ประชาราษฎร์ ศาสนจักร แลราชสำนักล้วนปั่นป่วน การปรากฏกายกลางแท่นพิธีของสตรีนางนั้น ณ วิหารอีซากีลาแห่งมหาเทพมาร์ดุค ยังมาซึ่งความสับสนของชาวคัชดู1 ซ้ำนางยังมาในวันที่ ๕ วันที่พระบิดาของพระองค์ กษัตริย์บาบิโลเนียจักได้รับอำนาจการปกครองจากมหาเทพโดยชอบธรรม
ยามนี้ประดานักบวชต้องอัญเชิญทวยเทพเข้าร่วมพิธี ไม่มีผู้ใดสามารถให้คำพยากรณ์ได้ นับแต่สิ้นพระอัยกาเนบูคัดเนสซาร์ แม้บาบิโลเนียจักคงอำนาจอยู่ได้ แลมีผู้ประทานคำทำนายว่า เจ้าชายเพชกัลดาราเมช โอรสองค์โตแห่งกษัตริย์‘อาเคอร์ดูอานา’จักเป็นผู้กอบกู้อาณาจักร กระนั้นคำทำนายการล่มสลายก็ยังก่อกวนใจผู้คน
เจ้าชายนาโบนัสซาร์ถอนพระทัย
“แล้วถ้าเกิดคำพิพากษาของทวยเทพบอกว่า นางคือกาลกิณีเล่าพ่ะย่ะค่ะ?”
ถ้อยทูลนั้น ทำให้โอรสองค์โตแห่งกษัตริย์บาบิโลเนียสะอึก กระนั้นด้วยแรงผลักดันในพระหทัยบางอย่างกลับทรงเชื่อมั่นว่า
“นัสซาร์ ข้าเชื่อว่า นางมิมีทางเป็นตัวกาลกิณี นาง...จะนำความรุ่งโรจน์มาสู่อาณาจักรของเรา”
เจ้าชายหนุ่มสดับด้วยความแปลกพระทัย ด้วยมิเคยทอดพระเนตรว่า พระเชษฐาแห่งพระองค์จักทรงเชื่อมั่นในสิ่งใดหนักแน่นถึงเพียงนี้
วิหารแห่งมหาเทพีอิชทาร์ ทิศตะวันออกของซิกกูแรตอิเตเมนันกิ
นลินนาจัดการสำรับอันประกอบด้วยขนมปังธัญพืชราดน้ำผึ้ง เนื้อแกะย่างปรุงเครื่องเทศ เบียร์ข้าวบาร์เลย์หอมหวานในเหยือกดินเผา มีหลอดโลหะสำหรับดูดกรองตะกอนบางอย่าง รวมทั้งผลไม้อย่างอินทผลัม มะเดื่อ และทับทิมจนอิ่ม ตามด้วยยา...อันเป็นน้ำนมผสมสมุนไพร เธอทำได้เพียงอยู่ในห้องอับทึบไร้บานหน้าต่างใต้แสงตะเกียงน้ำมันไหววูบ
หญิงสาวเดินวนรอบห้อง สำรวจทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อย้ำเตือนตนว่า ตอนนี้ตนกำลังอยู่ที่ใด และในสถานการณ์แบบไหน หล่อนลูบไล้ผนังอิฐดิบ ทราบว่า มันสร้างง่าย ไม่คงทน แต่กันความร้อนได้ดี ชนเผ่าต่าง ๆ ในแถบสภาพอากาศแบบทะเลทรายจึงนิยมสร้างบ้านด้วยวัสดุนี้ เมโสโปเตเมียเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ทว่า...ยังเร็วเกินด่วนสรุป
ประตู...หล่อนถลาจับ เคาะ พลางดมกลิ่น เป็นไม้เนื้อแข็ง ซ้ำยังมีกลิ่นหอม มันคือ ไม้สนซีดาร์!
ในฐานะทายาทแห่งเทวาสถิต เหตุใดนลินนาจะมิทราบว่า ไม้สนซีดาร์เป็นที่ต้องการเพียงไร มันเป็นไม้มีกลิ่นหอม คงทน ไม่ขึ้นรา ใช้งานได้ทั้งที่ร่มที่แจ้ง เป็นยอดแห่งไม้ แต่ในบาบิโลนไม่มีไม้ใดนอกจากปาล์ม ต้องสั่งซื้อจากชาวฟินิเชียน พ่อค้าทางทะเลผู้ครอบครองป่าสนซีดาร์ในเทือกเขาเลบานอน แต่ถ้าเป็นยุคบาบิโลนใหม่ ในรัชสมัยของพระเจ้าเนบูคัดเนสซาร์ที่ ๒ ทรงยึดเมืองของชาวฟินิเชียนมาได้ แลครอบครองชายฝั่งตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไว้ทั้งหมด เท่ากับตอนนี้กษัตริย์บาบิโลเนียทรงกำลังครอบครองไม้ล้ำค่าจำนวนมหาศาล
นอกนั้นในห้องก็มีแค่พวกหีบจากไม้และกก พื้นและผนังประดับพรมขนสัตว์ ภาชนะทุกอย่างในห้องล้วนเป็นภาชนะดินเผาประทับตราบางอย่าง
นลินนาเดินวนไปมา สำรวจสรรพสิ่งเพื่อยืนยันสถานการณ์ของตน
เป็นไปได้เช่นไร เป็นไปได้หรือที่หล่อนจะย้อนเวลามาถึง ๒,๕๐๐ ปี หรือว่านี่จะเป็นลางสังหรณ์ของแม่ แล้วเกวลินกับลลนาเล่า ตอนนี้จะเป็นอย่างไร
หญิงสาวอยากออกไปข้างนอก เพื่อดูว่าที่นี่คือที่ไหน ทว่าสาวรับใช้ หรืออาจเป็นทาสยังคงนั่งเฝ้าอยู่ด้านหน้า กันไม่ให้เธอออกไป
หล่อนสับสน กลัดกลุ้ม ร้อนรน
คำของสตรีศีรษะโล้นเลี่ยนยังดังก้องอึงอล
นลินนาไม่เข้าใจ หล่อนเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดา เพิ่งจบมัธยมฯมาสองปี เรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่งซ้ำถึงสองหน บ้านเธอถึงฐานะร่ำรวยพอควร แต่ก็ไม่ได้มีอิทธิพลมากมายอะไร
แล้วเหตุใดจึงเป็นเธอที่ประสบชะตากรรม
ไม่มีอะไรบ่งบอกว่า เธอยังอยู่ในยุคปัจจุบัน และสายน้ำพัดพาเธอมาได้เช่นไร
หญิงสาวทรุดกายหมดแรงบนเตียง ร่างในชุดผ้าลินินขาวสะอาดพันหลวม ๆ รู้สึกโหวงเหวง หล่อนพนมมือขึ้นเหนือเศียรเกล้า ร้องหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์
โอ พระแม่ปารวตี นี่มันเรื่องอะไรกัน!
1 คำเรียกชาวคาลเดียนในภาษาอัคคัด
****************************************************************************************************************
สวัสดีค่า นี่ตอนที่ 2 แล้วนะคะ อ่านแล้วเป็นยังไงก็บอกกันได้นะคะ จะได้ปรับเเก้เพื่อให้มีความบกพร่องน้อยที่สุด รอบนี้หายนานขอโทษด้วยนะคะ เพราะกำลังปั่นตอนอื่นๆ อยู่ พร้อมกับปรับเเก้อะไรอีกหลายอย่าง กำลังอยู่ในช่วงสอบด้วย ถึงอย่างไรก็คอมเมนต์เป็นกำลังใจ รวมทั้งเเสดงความคิดเห็นได้นะคะ
เซธเวเรท
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 พ.ค. 2559, 13:07:21 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 ก.ค. 2559, 13:18:37 น.
จำนวนการเข้าชม : 1107
<< มัตติกาจารึกแผ่นที่ 1 | มัตติกาจารึกแผ่นที่ 3 >> |
แว่นใส 9 พ.ค. 2559, 14:47:50 น.
รอฟังคำพยากรณ์จ้า
รอฟังคำพยากรณ์จ้า
Likewizy 12 มิ.ย. 2559, 10:50:35 น.
รอฟังคำพยากรณ์ขอรับ
รอฟังคำพยากรณ์ขอรับ