เพรงพรหมข้ามภพ
บ้านเช่าหลังหนึ่งนำพาหล่อนให้พบกับเขา 'หลวงเดชาอักษร' ผู้ซึ่งกล่าวหาว่าหล่อนเป็นสตรีวิปลาสในคราวแรกที่ได้พบกัน อีกทั้งยังบอกว่าหล่อนหน้าตาเหมือนเจ้าสาวของเขาที่หายตัวไปเมื่อสามปีก่อน!
โชคชะตากำลังกลั่นแกล้งกับหล่อนหรือไร จึงทำให้หล่อนข้ามผ่านกาลเวลา มาโผล่บนเรือนของคุณหลวงผู้นี้ และจำต้องปลอมตัวเป็น 'แม่วาด' เจ้าสาวที่หายตัวไปของเขาอีกด้วย!
โชคชะตากำลังกลั่นแกล้งกับหล่อนหรือไร จึงทำให้หล่อนข้ามผ่านกาลเวลา มาโผล่บนเรือนของคุณหลวงผู้นี้ และจำต้องปลอมตัวเป็น 'แม่วาด' เจ้าสาวที่หายตัวไปของเขาอีกด้วย!
Tags: พีเรียด,รัตนโกสินทร์ตอนต้น,ลิขิตเหนือกาล
ตอน: บทที่ ๓ - ผีขี้เก๊กกับสตรีวิปลาส
ข้าวหอมใจหายวาบ เริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาจริงๆ เมื่อเห็นแววตากึ่งหงุดหงิด กึ่งโมโหของ ‘ผี’ ตนนั้น หล่อนกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ พลางปลอบใจตัวเอง
เอาเถอะ! อย่างน้อยๆ เขาก็ไม่ได้แลบลิ้นปลิ้นตา หรือปรากฏกายในสภาพอันน่าสยดสยองให้หล่อนดูนี่นะ แล้ว...แล้วเขาก็คงไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำอะไร น่าจะพอคุยๆ กันได้ละน่า!
คิดได้ดังนั้น เจ้าหล่อนก็รียหลับตา กลั้นใจพูดโพล่งออกไป
“คุณผีเจ้าขา” หญิงสาวเปลี่ยนถ้อยคำที่ใช้แถมด้วยการออดอ้อนเสียงหวาน “อย่ามาหลอกมาหลอนกันเลย ข้าวไม่ได้มาทำร้ายคุณนะเจ้าคะ ข้าวแค่ขออาศัยอยู่ด้วย”
หล่อนสูดลมหายใจลึก ก่อนเอ่ยต่อด้วยความขบขันกึ่งสมเพชที่ตนเองต้องมานั่งอ้อนวอนผีขออยู่ร่วมบ้านด้วย!
“คือ...เราสองคนอยู่ร่วมบ้านกันดีๆ ก็ได้นี่นา จริงไหมคะ เอ๊ย! เจ้าคะ!”
“ไม่มีทางที่หล่อนจะเป็นแม่วาดไปได้” ‘ผี’ นั่งคุกเข่าตรงหน้าหล่อน และจ้องหล่อนอย่างเป็นจริงเป็นจรัง “ทั้งท่าทาง กิริยามารยาทต่างกันเสียลิบลับ”
แม้ไม่เคยพบ ไม่เคยรู้จักแม่วาดมาก่อน แต่ข้าวหอมกลับรู้สึกเหมือนตัวเองถูกต่อว่าและโดนดูถูกอย่างไม่ทราบได้ หล่อนฉุนกึกขึ้นมา หากต้องข่มอารมณ์เอาไว้ เพราะการทะเลาะหรือมีเรื่องกับผี...ถ้าเขาเป็นผีจริงๆ น่ะนะ ไม่ใช่เรื่องฉลาดเลยแม้แต่น้อย
หล่อนไม่สนใจคำพูดของเขา กลับยกมือไหว้ปะหลกๆ
“คุณพระคุณเจ้า ได้โปรดช่วยลูกช้างด้วยค่ะ อย่าให้ผีตนใดมาหลอกมาหลอนลูกเล้ย!”
“หล่อนนี่...ประหลาดนัก”
‘ผีหน้ายักษ์’ ต่อว่าหล่อนอีก สายตาที่เขามองมามีทั้งแววสมเพชเวทนาและไม่ชอบใจอย่างชัดเจน
“หล่อนสติวิปลาสหรือยังไร ถ้าเป็นเช่นนั้น ฉันก็จักอภัยให้สักครา ประเดี๋ยวฉัน...”
ข่มใจได้แค่นั้น ยังพูดไม่ทันที่อีกฝ่ายจะพูดจบ ‘สตรีสติวิปลาส’ ก็ลุกพรวด แล้วตะโกนใส่หน้าอย่างหมดความอดทน
“ไอ้ผีบ้า! ฉันไม่ใช่คนบ้านะโว้ย! ไปเลย! ไสหัวไปให้พ้นๆ เลย! ฉันไม่ชอบคุยกับผี!”
“หยุดพูดจาเสมือนมิได้รับการอบอบรมเช่นนั้นสักทีได้ฤๅไม่”
“อย่ามาปากเสียแถวนี้นะ! ไอ้ผีขี้เก๊ก!” ข้าวหอมสวนกลับ หน้าแดงก่ำ ตัวสั่นสะท้านเพราะความโกรธ “พูดกันดีๆ ไม่ชอบใช่ไหม ได้!”
ท่าทางของหล่อนราวกับคนกำลังคลุ้มคลั่ง สองมือดึงทึ้งศีรษะ กวาดตามองหาอะไรบางอย่างไปทั่วห้อง ราวกับเขาไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้น
จากความโกรธ แปรเปลี่ยนเป็นความสงสาร
หลวงเดชาอักษรมองผู้บุกรุกด้วยดวงตาที่อ่อนแสงลง ครุ่นคิดหาทางช่วยเหลือเจ้าหล่อน แต่ยังไม่ทันได้ข้อสรุป สตรีวิปลาสที่พยายามคว้าข้าวของในห้องแต่คว้าไม่ได้สักอย่างก็กระโจนเข้าหาเขาเพื่อทำร้ายด้วยมือเปล่าๆ แต่หาได้ไวพอไม่ เขาเบี่ยงตัวหลบอย่างง่ายดายพลางเอ่ยห้ามปรามอย่างหวังดี
“หล่อนจักทำอันใด รู้จักคิดเสียบ้าง แค่โทษทัณฑ์ขึ้นบ้านผู้อื่นโดยมิได้รับอนุญาตก็หนักหนาพอแล้ว ยังคิดหาเรื่องใส่ตัวอีกรึ”
เจ้าของห้องพยายามข่มโทสะ ยืนเอามือไพล่หลังมองจ้องหล่อนแน่วนิ่งพลางเอื้อนเอ่ยอย่างใจเย็น ผิดกับข้าวหอม ตอนนี้ หล่อนทั้งกลัวทั้งโกรธทั้งหงุดหงิดและบ้าดีเดือดด้วย ความเหน็ดเหนื่อยทำให้หล่อนอยากนอนพักแต่ต้องมาผจญกับเรื่องบ้าๆ บอๆ ไร้สาระเช่นนี้ ใครที่ไหนจะทนไหว!
ในเมื่อผีมันไม่ยอมไป หล่อนนี่แหละจะไล่ให้มันหนีกระเจิดกระเจิงแทบไม่ทัน!
“ฉันพูดดีๆ ก็แล้ว ไล่ก็แล้ว ไม่ยอมไปใช่ไหม!” ข้าวหอมไม่ยอมฟังคำของเขาเลย เมื่อโกรธจนเลือดขึ้นหน้า คิดจะต่อกรกับผีท่าเดียว “ไปให้พ้นนะ ไอ้ผีบ้า!”
สิ้นเสียงนั้นเจ้าตัวก็เหวี่ยงหมัดหนักๆ ใส่เขา หลวงเดชาอักษรหลบได้อีก แต่หล่อนไม่เลิกละความพยายาม โถมทั้งตัวเข้าใส่ ผลก็คือ ร่างเล็กทะลุผ่านตัวเขาล้มกระแทกกับพื้นกระดานจนต้องร้องโอดโอย
เมื่อหันขวับไปมองอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง หล่อนจึงได้เห็นความตื่นตระหนกบนใบหน้าดุๆ ของเขาเป็นครั้งแรก
“นี่หล่อน...หล่อนมิมีตัวตนหรอกรึ?”
“บ้าน่ะสิ! ฉันไม่ใช่ผีนะ คุณน่ะสิที่ไม่มีตัวตน! เป็นผีมาหลอกหลอนฉัน!”
หลวงเดชาอักษรพยายามทำความเข้าใจ คิดหาเหตุผลเท่าที่นึกได้ตอนนั้นมาแก้ต่างให้กับสถานการณ์อันแปลกประหลาดที่ตนเองเผชิญอยู่
“นี่ฉันกำลังฝันอยู่หรืออย่างไร?”
ชายหนุ่มรำพันกับตัวเอง กระนั้นคนที่ยืดตัวขึ้นแล้วทำเสียงอืออาเพราะรอยช้ำบนมือและเข่าก็ยังได้ยิน
“ฝันบ้าอะไรเล่า! คุณน่ะเป็นผีนะ!”
เจ้าหล่อนชะงักไป เอียงคอมองเขาอย่างพิจารณา โทสะดูจะหดหายไปกว่าครึ่งเมื่อความสงสัยเข้ามาแทนที่
“อย่าบอกนะว่าคุณไม่รู้ว่าตัวเองตายแล้ว?”
คนถูกถามยืนอึ้ง และนิ่งงันไป ข้าวหอมจึงยึดเอาท่าทางเช่นนั้นเป็นคำตอบรับ
“ตายไปแล้วก็ยอมรับซะเถอะ จะได้ไม่ต้องไปหลอกหลอนใครๆ ให้กลัว เป็นการทำบาปให้ตัวเองเปล่าๆ”
ข้าวหอมเดินกะเผลกเข้ามาหาเขา ตอนนี้หลวงเดชาอักษรต้องเป็นฝ่ายเดินถอย “แล้วนี่ตายมากี่ปีแล้วล่ะ สวมชุดแบบนี้คงนานพอดูแล้วสินะ” เอ่ยพลางส่ายหน้าน้อยๆ “ไปผุดไปเกิดซะทีเถอะคู้ณ! อย่ามาทรมานตัวเองอยู่แบบนี้เลย เอ๊ะ...หรือคุณยังมีห่วงอยู่ ห่วงเรื่องอะไรล่ะ ถ้าฉันช่วยได้ฉันก็ยินดีช่วย ถือว่าเอาบุญก็แล้วกัน”
สิ้นเสียงนั้นมือใหญ่ก็คว้าหมับที่ปลายผมของหล่อน ดวงตาสีนิลซึ่งเบิกกว้างในตอนแรก เปลี่ยนเป็นหรี่ลงเมื่อสัมผัสได้ถึงความนุ่มละมุนบนฝ่ามือ
“ฉันจับหล่อนได้”
คนถูกจับเองก็ดูตกใจไม่แพ้กัน เหลือบมองมือของเขาแล้วอุทาน
“เฮ้ย! จริงอะ!”
ไวเท่าความคิด หล่อนยื่นมือออกไปคว้าข้อมือเขาไว้ทันที
จากที่คิดไว้ว่าคงทะลุผ่านไปเสียเฉยๆ กลับกลายเป็นสัมผัสความร้อนผ่าวและแข็งแกร่งใต้ฝ่ามืออย่างน่าอัศจรรย์
“เฮ้ย! จับได้! ฉันจับตัวคุณได้นี่! คุณก็ไม่ใช่ผีน่ะสิ...เอ...หรือว่าฉันฝันอยู่”
เพียงเสี้ยววินาที จู่ๆ มือหล่อนก็พลัดตกลงข้างลำตัว พร้อมกับเรือนร่างของเขาบิดเบี้ยวหายวับไปกับตา ห้องไม้ขัดมันที่มีแสงตะเกียงไหวเอนไปมาทาบทับบนผนัง กลับมาเป็นห้องมืดทึบอบอ้าวดังเดิม
ข้าวหอมยืนหน้าซีดอยู่กลางห้อง มองรอบกายด้วยหัวใจระทึก
ฝันแน่ๆ เลยไอ้ข้าวเอ๊ย! แกฝันอยู่แน่ๆ!
พลันที่คิดเช่นนั้น หญิงสาวก็ยกมือตบหน้าตัวเองทันที
เผียะ!
ผลที่ได้คือเสียงร้องโอดครวญเพราะความเจ็บ
“ไม่ได้ฝันนี่หว่า แล้วเมื่อกี้...ผีหลอกจริงๆหรือวะเนี่ย!”
เจ้าตัวครางแผ่วเบาในลำคอรีบลนลานไปที่ผนังเปิดสวิตซ์ไฟ จนมันสว่างไสวไปทั่วห้อง
ไงล่ะ! อยากได้บ้านถูกๆ ดีนัก คืนแรกก็เจอดีเลย!
สงสัยพรุ่งนี้ต้องเข้าวัด อุทิศส่วนกุศลให้สักหน่อย...ว่าแต่จะอุทิศให้ใครล่ะ เขาเป็นใครชื่ออะไรก็ยังไม่รู้เลย
ข้าวหอมพ่นลมหายใจทางปาก ทิ้งกายลงนั่งตรงปลายเตียงอย่างงุนงงและสับสน เมื่อยกมือทาบลงบนอกข้างซ้าย ก็สัมผัสถึงแรงเต้นของหัวใจได้อย่างชัดเจน
นั่นไง! หัวใจของเธอไม่ได้ตายด้าน ในที่สุดมันก็เต้นแรงเพราะผู้ชายคนหนึ่ง แต่น่าเสียดาย เขาไม่ใช่คน แต่กลับเป็นผีเสียนี่!
แล้วเจ้าหล่อนก็คิดอุตรีไปไกลทันทีที่ความกลัวหายวับไปครึ่งค่อนแล้ว
“เต้นแรงแบบนี้ คงไม่เผลอไปหลงรักผีเข้าหรอกนะ”
พึมพำกับตัวเองแล้วหัวเราะก้องอย่างเห็นขัน ก่อนจะส่ายหน้าคว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำไป
เช้าวันถัดมา...นับว่าเป็นเช้าที่ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่มารดาเลี้ยงของหล่อนย้ายไปอยู่ต่างประเทศกับสามีใหม่ หล่อนทั้งเพลีย ทั้งเหนื่อยและอิดโรยเพราะนอนไม่หลับ
ถ้าจะโทษคนที่ทำให้หล่อนเป็นแบบนี้ก็คงต้องโทษตาผีขี้เก๊กคนเดียวนั่นแหละ
หล่อนยกมือลูบหน้า ถอนหายใจเฮือก กำลังคิดว่าจะนอนต่อหรือลุกไปอาบน้ำดี เสียงโทรศัพท์มือถือของหล่อนก็ดังขึ้น หญิงสาวลุกจากเตียง เดินงัวเงียตรงไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง ควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋า แต่แทนที่จะหยิบแค่โทรศัพท์ออกมา หล่อนกลับหยิบกล่องกำมะหยี่กล่องหนึ่งออกมาด้วย มันคือของขวัญที่สตีฟมอบให้หล่อน ด้านในเป็นทับทรวงโบราณที่คงจะประเมินค่าไม่ได้ ของสูงค่าเช่นนี้ไม่เหมาะกับหล่อนเลยสักนิดเดียว ข้าวหอมตั้งใจว่าถ้าได้พบกับสตีฟครั้งหน้า หล่อนจะคืนของมีค่าชิ้นนี้ให้เขา คงจะรู้สึกสบายใจมากกว่าเก็บไว้เช่นนี้
ข้าวหอมปิดกล่องกล่องนั้น แล้วนำมันไปวางในลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้ง เวลานั้นเสียงโทรศัพท์มือถือของหล่อนไม่หยุดกรีดร้อง ครั้นหล่อนกำลังจะกดรับ คนทางปลายสายคงรอไม่ไหวจึงวางสายไปเสีย หล่อนจึงกดดูว่าเป็นใคร เมื่อรู้ว่าเป็นเพื่อนสนิทของหล่อนจึงรีบโทร.กลับ
จริงๆ แล้วหล่อนกับปิ่นมณีมีนัดกันวันนี้ หล่อนลืมไปแล้วด้วยซ้ำ เพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ก็ตอนนี้เอง
...ก็เพราะผีขี้เก๊กคนนั้นแท้ๆ ทำให้หล่อนสมองเลอะเลือน ลืมอะไรต่อมิอะไรไปเสียหมด!
“ไอ้ปิ่น ฉันเพิ่งตื่นว่ะ แกจะมากี่โมง อ้อ...สิบโมงเหรอ โอเคๆ แล้วเจอกัน”
นัดแนะเวลากันเสร็จสรรพ หล่อนก็อาบน้ำแต่งตัว ทำอาหารเช้าง่ายๆ สำหรับรับประทาน จากนั้นก็ทำความสะอาดบ้านระหว่างรอให้ผู้เป็นเพื่อนมารับ
ปิ่นมณีมาสายไปครึ่งชั่วโมง หน้าตาของเธอแม้จะดูรีบร้อน แต่สีหน้ากลับสดชื่นแจ่มใสผิดกับข้าวหอมที่ตอนนี้ดวงตาทั้งสองลึกโหล และมีรอบคล้ำใต้ตาชัดเจน
“แกเป็นไรป่าวเนี่ย นอนไม่หลับเหรอวะ”
“อือ”
ข้าวหอมตอบพร้อมกับอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ให้อีกฝ่ายฟังอย่างไม่ปิดบัง ครั้นเล่าจบ ปิ่นมณีถึงกับนิ่งอึ้ง สักพักใหญ่ๆ ทีเดียวกว่าจะได้สติและหาเสียงตัวเองพบ
“ตั้งแต่เมื่อคืนแกก็ไม่ได้เจอเขาอีกเลย”
เธอเอ่ยถามขณะยกต้นกุหลาบสองต้นวางบนหลังรถกระบะ ส่วนข้าวหอมวางต้นชวนชม โมก และชงโคตามลงไป
“อื้อ ไม่เจอ” หล่อนทำหน้านิ่วคิ้วขมวด กึ่งเศร้ากึ่งเสียดาย
“ทำหน้าอย่างกะอยากเจอ!”
คนเป็นเพื่อนแซวขำๆ ชวนให้คนฟังหน้าง้ำ ตวัดสายตาค้อนใส่เล็กน้อยก่อนกระโดดขึ้นรถเสียโดยเร็ว
เมื่อปิ่นมณีขึ้นมานั่งหลังพวงมาลัย สตาร์ทรถและเหยียบคันเร่งพารถออกจากร้านขายต้นไม้แห่งนั้นออกสู่ถนนใหญ่เรียบร้อยแล้ว เจ้าตัวจึงซักถามอย่างคนขี้สงสัย
“แกว่าเขาจะมาให้แกเห็นอีกมั้ยวะ”
“อ้าว! มาถามฉันได้ไงเล่า ต้องไปถามเขาสิ ใครจะไปตรัสรู้ว่าเขาอยากจะมาให้เห็นเมื่อไร ตอนไหนล่ะ”
“เออจริง!”
เงียบกันไปเพียงอึดใจ ปิ่นมณีก็อดใจไม่ไหวโพล่งถามขึ้นมาอีกทั้งๆ ที่รู้ว่าข้าวหอมไม่ค่อยอยากจะตอบคำถามเรื่องนี้เท่าไรนัก
“ขอถามอีกคำถามนะแก...คือ...แกคิดบ้างไหมว่า เขาอาจจะอยู่กับแกตลอดเวลา”
ประโยคนั้นไม่ได้เรียกรอยโทสะจากดวงตากลมโต แต่เป็นความสงสัยที่ฉาบอยู่อย่างชัดเจน
“อยู่กับฉันตลอดเวลา?”
“อื้อ!...แบบเห็นแกตลอดเวลา เพียงแต่แกไม่เห็นเขาน่ะ”
ปิ่นมณีเหมือนจะไม่ต้องการคำตอบ เพราะทันทีที่หักพวงมาลัยเลี้ยวไปทางซ้ายมุ่งหน้าสู่ถนนที่การจราจรติดขัดเป็นชั่วโมงๆ อย่างเบื่อหน่ายก็พร่ำบ่นว่า
“คราวหลังถ้าแกจะซื้อต้นไม้ก็ซื้อแค่ต้นสองต้นก็พอนะ ฉันจะได้ไม่ต้องขับรถบริการแกอย่างนี้”
บ่นอะไรอีกยืดยาว โดยไม่ได้สำเหนียกเลยว่าผู้เป็นเพื่อนเงียบผิดปกติ มารู้ตัวก็ตอนเปิดไฟเลี้ยวเพื่อจะเลี้ยวเข้าบ้านเช่าของข้าวหอมนั่นละ
“เฮ้ย! ไอ้ข้าว เป็นไรไปวะ ลงไปเปิดประตูดิ!”
“เออๆๆ โทษทีๆ” ร่างกลมกลึงรีบกระโดดลงจากรถอย่างคล่องแคล่ว ใช้เวลาไขกุญแจไม่นาน หล่อนก็ผลักประตูให้เปิดอ้าออก โบกไม้โบกมือให้เพื่อนขับเข้ามาจอดในโรงจอดรถด้านใน
เมื่อปิ่นมณีจอดรถเรียบร้อย จึงลงมาช่วยข้าวหอมขนต้นไม้นับสิบต้นลงจากรถ วางไว้ตรงสนามหน้าบ้านตามคำสั่งของเจ้าของบ้าน ก่อนจะเงยหน้ามองสำรวจรอบตัวบ้านทรงโคโลเนียลอย่างหวั่นเกรงนิดๆ
“บ้านแกสวยดี ไม่เห็นจะน่ากลัวอย่างที่แกว่าสักนิด”
“กลางวันแบบนี้ก็ธรรมดา แต่ตอนกลางคืนนี่ดิ วังเวงชะมัด!”
แค่ได้ยิน ปิ่นมณีก็ขนลุกเกรียว ยกมือลูกต้นแขนทั้งสองของตนเองแล้วส่ายหน้า
“วันนี้ไม่อยู่กินข้าวด้วยนะ เปลี่ยนใจกลับไปกินกะแม่ดีกว่า” เห็นสีหน้าหวาดๆ ของผู้เป็นเพื่อนแล้ว ข้าวหอมก็ไม่เซ้าซี้ พยักหน้าและโบกมือลา ก่อนอีกฝ่ายจะขับรถออกจากบ้าน หล่อนรีบตะโกนบอก
“ขอบใจมากนะโว้ย ขับรถดีๆ ล่ะ!”
หญิงสาวมองตามหลังรถกระบะกลางเก่ากลางใหม่คันนั้นจนลับตา จึงย้ายต้นไม้ที่เพิ่งซื้อมาวันนี้ไปวางริมรั้วข้างบ้าน ซึ่งเป็นที่ที่หล่อนตั้งใจว่าจะสร้างสวนหย่อมเล็กๆ ไว้สำหรับนั่งกินลมชมวิวยามมีเวลาว่าง กลิ่นหอมของดอกไม้นานาพันธ์ที่หล่อนลงทุนซื้อมาปลูกในวันนี้คงทำให้หล่อนสดชื่นและมีความสุขไม่มากก็น้อย
แต่หากจะมีอะไรมาฉุดความสุขนั้นให้ดิ่งลงสู่หุบเหวละก็ คงไม่แคล้ว...
ข้าวหอมถอนหายใจเฮือก นั่งแปะลงบนเก้าอี้ไม้ระแนงสีขาวที่เริ่มมีคราบเหลืองๆจั บตามขอบ เอนหลังและเงยหน้าวางท้ายทอยลงบนพนักเก้าอี้ ทอดสายตามองท้องฟ้ายามเย็นที่มีหมู่เมฆลอยอ้อยอิ่งอย่างเหม่อลอย
‘เขาอาจจะอยู่กะแกตลอดเวลา’
คำพูดของปิ่นมณีผุดขึ้นมาในหัว ชวนให้คนฟังคิดเตลิดไปไกลได้หลายแง่
ถ้าผู้ชายที่หล่อนพบเจอในวันนั้นไม่ใช่ภาพหลอน หล่อนไม่ได้คิดไปเอง และเขาเป็นผีจริงๆ...ผีที่มีอิทธิฤทธิ์ กำหนดได้ว่าจะปรากฏกายให้คนเห็นเมื่อใดก็ได้ตามอำเภอใจ นั่นย่อมหมายความว่า...หากเขาไม่อยากให้หล่อนเห็นเขาก็ทำได้น่ะสิ
เจ้าของร่างกลมกลึงเด้งตัวขึ้นมา นั่งหลังตรง ยกสองมือกุมแก้มอันร้อนผ่าวของตัวเองไว้ ด้วยไม่อาจหยุดความคิดบ้าๆ บอๆ ไร้สาระของตนเองได้ทั้งๆ ที่หักห้ามมันอย่างสุดความสามารถแล้ว
บ้าน่า! ไอ้ข้าว! เขาคงไม่ใช่ผู้ชายลามก ที่ชอบแอบดูผู้หญิงอาบน้ำหรอก!
หากอีกเสียงในใจกลับคัดค้านทันควัน
แล้วถ้าใช่ล่ะ แกจะทำยังไง! มองเขาไม่เห็น พูดคุยสื่อสารก็ไม่ได้ มีแต่แกที่เสียเปรียบอยู่ฝ่ายเดียว!
โอ๊ย!! ข้าวหอมชันเข่าขึ้นมากอด ฟุบหน้าลงไปอย่างคนคิดไม่ตก
อยากคิดว่าสิ่งที่หล่อนเห็นเป็นเพียงภาพลวงตา เป็นมโนภาพที่หล่อนสร้างขึ้นมาเพราะอินกับนิยายเรื่องหนึ่งที่เช่ามาอ่านเมื่อเดือนก่อน
หล่อนพยายามแล้ว...พยายามอย่างสุดความสามารถ แต่ก็ไม่อาจลบร่างโตๆ และใบหน้าดุๆของผีขี้เก๊กออกไปจากใจได้เลย
“เฮ้อ! จะบ้าตาย!”
เจ้าตัวเงยหน้ามองหน้าต่างห้องนอนของตน แล้วตัดสินใจเด็ดขาด
“เอาไงก็เอากันวะ ย้ายห้องนอนก็ได้!”
พลันที่ตัดสินใจเช่นนั้น เสียงหนึ่งในใจก็แย้งขึ้นมาว่า
แกแน่ใจหรือว่าห้องอื่นจะไม่เจอ พอย้ายปุ๊บ แกก็ต้องมานั่งปวดหัวแบบนี้อีกตามเดิมละว้า!
แล้วจะเอายังไงล่ะทีนี้! ข้าวหอมนั่งคอตกอีกครั้ง ครุ่นคิดหาหนทางเอาตัวรอดจนพลบค่ำ รอบกายมืดสลัวขมุกขมัว และนำพากลิ่นหอมของดอกชนอดหนึ่งกรุ่นกำจาย มันคงจะไม่แปลกถ้าไม้ดอกที่หล่อนนำมาปลูกในวันนี้มันออกดอกแล้ว แต่นี่...มันมีแต่ใบกับกิ่ง ไม่มีดอกตูม ดอกบานแม้แต่ดอกเดียว แล้วกลิ่นหอมที่หล่อนสูดเข้าเต็มปอดนี้มาจากไหนล่ะ
จะบอกว่ากลิ่นนั้นลอยมาจากข้างบ้าน...เป็นไปไม่ได้แน่นอน เพราะเพื่อนบ้านของหล่อนไม่ได้ปลูกไม้ดอกแม้แต่ต้นเดียว!
หญิงสาวผุดลุก รีบวิ่งถลาเข้าไปในบ้าน กระโดดขึ้นบันไดทีละสองขั้น จนมาถึงห้องนอน สูดลมหายใจลึกยาวหนึ่งครั้งแล้วผลักประตูเข้าไปโดยเร็ว
เอาวะ! ยังไงวันนี้ก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง! แค่ผีขี้เก๊กตัวเดียว ตกลงทำสัญญาอยู่ร่วมกันเสียก็ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว! ไอ้ข้าวจัดการได้สบายน่า! ปลอบใจตัวเองเสร็จสรรพ ก็หยุดยืนอยู่กลางห้อง กวาดสายตาไปรอบตัว เห็นทุกอย่างยังปกติดี จึงตะโกนเรียกเขา
“คุณ คู้ณ! คุณ! ออกมาหน่อย! ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย!”
เรียกจนคอแทบแตก ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม ข้าวหอมชักหงุดหงิด คิดไปเองว่าชายหนุ่มโบราณคนนั้นต้องพยายามหลบหน้าหลบตาหล่อนเป็นแน่ แล้วจะทำยังไง จะเรียกเขาออกมาได้ยังไงล่ะ!
เจ้าตัวยืนกอดอก กัดริมฝีปากครุ่นคิดอยู่สักพักใหญ่ๆ ถอนหายใจอีกเฮือกแล้วป้องปากตะโกนออกไปสุดเสียง
“ไอ้ผีขี้เก๊ก ไอ้ผีสติวิปลาส ไอ้ผีลามก ไอ้ผีตัณหากลับ ออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”
ใครจะคิด...ว่าคำเรียกเหล่านั้นจะทำให้เขามาปรากฏกายต่อหน้าหล่อนได้
ภาพในคลองจักษุซึ่งเป็นผนังฉาบปูนเริ่มบิดเบี้ยวและปรากฏภาพทับซ้อน ลักษณะละม้ายภาพโทรทัศน์เวลามีสัญญาณรบกวน เพียงไม่นานจากห้องที่มีเตียงใหญ่ โต๊ะเครื่องแป้งกับตู้เสื้อผ้า กลับกลายเป็นห้องไม้สัก มีตู้หนังสือวางชิดติดผนัง และโต๊ะตัวเดิมที่หล่อนเมื่อครั้งก่อน มีหนังสือวางกองเรียงรายเป็นตั้งๆ ตะเกียงเจ้าพายุก็ยังคงวางไว้ที่เดิมราวกับผู้เป็นเจ้าของไม่เคยย้ายมันไปไว้ที่อื่นเลย
ห้องว่างเปล่า ไร้วี่แววของผีขี้เก๊กที่หล่อนพยายามจะติดต่อสื่อสารด้วย
ข้าวหอมถอนหายใจหนักๆ อีกครั้ง คิดล้มเลิกความตั้งใจของตน หมุนตัวจะเดินเข้าห้องน้ำก็ต้องสะดุ้งเมื่อเกือบจะชนเข้ากับร่างสูงใหญ่ราวยักษ์ปักหลั่นของตาผีหน้าขรึมคนนั้น
ตาสบตานิ่งนาน ก่อนข้าวหอมจะเห็นความตื่นตระหนก คลางแคลงใจและโทสะวูบไหวในดวงตาสีดำสนิทของเขา
อารมณ์ของเขาฉายชัดอยู่ในดวงตา แต่สีหน้ากลับปกติราวกับฉาบไว้ด้วยหน้ากากอย่างน่าอัศจรรย์
“ฉันมิได้เป็นดังที่หล่อนใส่ความ”
ข้าวหอมอ้าปากจะเถียงแต่เขายกมือห้ามแล้วพูดขึ้นมาโดยเร็ว
“ครั้งก่อนหล่อนถามฉันว่าไยมิไปผุดไปเกิด คราวนี้ฉันคงจักต้องถามหล่อนบ้าง ว่าเหตุไฉนเป็นผีแล้วจึงมิอยู่ส่วนผี ไยจึงมาปรากฏกายให้คนตกใจเล่นเช่นนี้เล่า”
“เอ๊ะ! คุณ! ฉันไม่ใช่ผีนะ?! คุณต่างหากที่เป็นผี!”
“หล่อนตะหากที่หายตัวไปต่อหน้าต่อตาฉัน”
“คุณนั่นแหละ ไม่ใช่ฉัน!”
หล่อนเห็นเขาขบกรามแน่น ดวงตาลุกวาบไม่ต่างจากเปลวไฟยามถูกลมพัดให้โหมฮือ
เขาคงโกรธนั่นละ แต่โกรธเรื่องอะไรล่ะ
“หล่อนเถียงคำมิตกฟาก”
อ้อ...โกรธที่หล่อนเถียงเอาๆ น่ะเอง หญิงสาวยกมือกอดอก เชิดหน้ามองเขาแล้วยักไหล่ด้วยท่าทางกวนๆ
ไฟในดวงตาของเขายิ่งลุกโชนกว่าเดิม คนมองก็ยิ่งสนุก...จนลืมไปว่าคนตรงหน้าเป็นผี ไม่ใช่คน!
ข้าวหอมไม่คิดหยุดแค่นั้น หล่อนเอื้อมมือออกไปหมายใจว่าจะพิสูจน์ให้รู้แน่อีกครั้งว่าแตะต้องตัวเขาได้หรือไม่
“วันนั้นที่ฉันแตะตัวคุณได้ คงเป็นความบังเอิญมากกว่า ถ้าวันนี้ฉันแตะคุณไม่ได้ แสดงว่าคุณเป็นผี”
แต่ตาผีขี้เก๊กไม่ยอมให้หล่อนจับง่ายๆ เขาก้าวถอยหลัง โดยท่วงท่ายังเหมือนเดิมทุกประการคือ หลังไหล่ตั้งตรง สองมือไพล่ไว้ข้างหลัง ทำวางท่าเสียจนคนมองหมั่นไส้
“เอ๊ะ คุณ! จะหนีทำไม”
“พูหญิงแลพูชายมิควรถูกเนื้อต้องตัวกัน หล่อนควรรักษากิริยาด้วย”
“เฮอะ!”
คนตัวเล็กแค่นเสียง นัยน์ตาฉายแววดื้อรั้น อยากแกล้ง อยากเอาชนะ จนไม่เสียเวลาแตะนิดแตะหน่อยอีกต่อไป แต่โถมเข้าใส่อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยจนเขาพลิกหลบไม่ทัน ล้มหงายหลังกระแทกพื้นโดยมีหล่อนตามลงมาทาบทับอยู่ด้านบน
ไม่รู้ว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์หรือเปล่า แทนที่หล่อนจะสัมผัสพื้นกระดานแข็งๆ และเย็นเยียบ กลับกลายเป็นกายเนื้ออุ่นจัดจนถ่ายเทความร้อนมาไว้ที่แก้มทั้งสองของหล่อนไปโดยปริยาย
ข้าวหอมเท้าแขนกับพื้นแล้วผงกศีรษะขึ้นมอง สบตาที่มีแววประหลาดๆ คู่นั้นแล้วก็ขวยเขินขึ้นมาจนรีบลุกพรวด แต่โชคร้าย...เท้าเจ้ากรรมดันไปสะดุดขาของเขา ทำให้ไปไหนไม่รอด ล้มทับเขาอีกครั้ง
ผลัก!
บังเกิดความเงียบอันน่าอึดอัดขึ้นมาทันควัน เมื่อริมฝีปากของหล่อนประทับอย่างสนิทแนบลงบนแก้มสากๆ ของเขา
ข้าวหอมรับรู้ได้ว่าเขาตัวแข็งแถมยังไม่ยอมหายใจราวกับโดนสาปเป็นหินไปเสียแล้ว แน่ละ...เขาคงจะตกใจมากที่จู่ๆ ก็ถูกสตรีวิปลาสอย่างหล่อนถูกเนื้อต้องตัวเช่นนี้
แต่เอ๊ะ! ไม่ใช่สิ เขาจะหายใจทำไม ก็เขาเป็นผีนี่นา...
หญิงสาวลืมความอาย ผงกศีรษะขึ้นมา เท้าแขนบนอกเขาแล้วจับจ้องอย่างตั้งอกตั้งใจ
“คุณไม่หายใจ แสดงว่าคุณเป็นผีน่ะสิ”
ใบหน้าของเขาแดงก่ำ จนหล่อนคิดว่าเขาโกรธที่ถูกจับได้ หากเพียงเสี้ยววินาที ทุกอย่างกลับตาลปัตรเมื่อเขาเปล่งเสียงออกมาอย่างกระท่อนกระแท่นว่า
“หละ...หล่อนลงไปจากตัวฉันได้ฤๅไม่ ฉันหะ...หายใจไม่ออก!”
ข้าวหอมสะดุ้งตกใจรีบถัดกายลงจากเรือนร่างอันใหญ่โตของเขา นั่งพับเพียบเรียบร้อยจ้องมองคนที่กำลังยันกายลุกขึ้นนั่งพลางหอบหายใจแรงด้วยความสังสัยเปี่ยมล้นหัวใจ
“ตกลงว่า...คุณไม่ใช่ผี? แล้วคุณเป็นอะไรล่ะ!”
“แล้วหล่อนเล่า ใช่ผีฤๅไม่”
“บ้า! ฉันยังหายใจอยู่นะ จะเป็นผีได้ไง ไม่เชื่อก็ลองจับดูสิ”
ความลืมตัวทำให้หล่อนคว้ามือเขาหมับ เกือบจะวางมันลงบนหน้าอกของตัวเองอยู่แล้ว ดีที่เจ้าของมือกระชากมันกลับได้ทันท่วงที
“หล่อนเป็นสตรี มิควรทำเช่นนี้!”
คนถูกว่านั่งกะพริบตาปริบๆ ประมวลผลอยู่นานกว่าจะรู้ตัว เจ้าหล่อนอ้าปากค้าง ก่อนจะยกสองมือปิดแก้ม แล้วก้มหน้าจนคางแทบชิดอก
“อ้อ...โทษที ลืมตัวไปหน่อย...ก็คนมันตกใจนี่”
“ถึงจักตกใจเพียงใด หล่อนก็ควรมีสติ มิใช่ลืมตัวทอดสะพานให้พูชายเช่นนี้”
“ทอดสะพาน? ฉันน่ะหรือ?” ข้าวหอมเงยหน้ามองเขาตาวาววับ “บ้าน่ะสิ ใครจะไปทอดสะพานให้คุณ หน้าตาก็ดุ๊ดุอย่างกะคุณครูเจ้าระเบียบตอนฉันอยู่ประถมเปี๊ยบ เห็นหน้าก็รักไม่ลงแล้ว!”
“ฉันมิได้ขอให้หล่อน...” ชายหนุ่มกระแอมกระไอ พร้อมกับลุกขึ้นยืน เดินไปที่หน้าต่าง แล้วจึงเอ่ยต่อ “...รักฉันสักคำ”
“ฉันก็ไม่ได้บอกว่าคุณขอ ฉันแค่บอก...” หญิงสาวทำไม่ทำมือปัดป่ายไปมา กลอกตาขึ้นฟ้าแล้วถอนหายใจเฮือก
“เอาเถอะๆ ขืนพูดเรื่องนี้กันต่อ สามวันสามคืนก็คงไม่จบ” ว่าพลางก้าวอาดๆไปยืนริมหน้าต่างเคียงข้างเขาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“มาพูดเรื่องของเรากันดีกว่า...เอ่อ...ฉันหมายถึงเรื่องที่เราสองคนต่างสงสัยกันว่าเป็นผีน่ะ”
เขาหันหน้ามามองหล่อน แล้วเอ่ยอย่างหนักแน่น
“ฉันหาใช่ผีอย่างที่หล่อนกล่าวหาไม่”
“ฉันก็ไม่ใช่ผีเหมือนกัน!”
“แล้วหล่อนเป็นใคร”
“แล้วคุณล่ะเป็นอะไร!”
ทั้งสองจ้องตากันนานเสียจนภาพในหัวของข้าวหอมกลายเป็นฉากหนึ่งในนิยายเรื่องหนึ่งที่พระเอกนางเอกสารภาพรักกันและกำลัง...กำลัง...
คนที่กำลังฝันเฟื่องรีบสะบัดศีรษะจนผมกระจัดกระจายไปไม่เป็นทรง
ไอ้ข้าวเอ๊ย! แกเป็นคนคิดบ้าบอไร้สาระแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรวะ!

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 พ.ค. 2559, 09:51:05 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 พ.ค. 2559, 09:51:05 น.
จำนวนการเข้าชม : 1315
<< บทที่ ๒ - อีกฟากหนึ่งของกาลเวลา | บทที่ ๔ - ข้ามเวลามาพบกัน >> |

Zephyr 15 พ.ค. 2559, 16:07:28 น.
จะคุยกันรู้เรื่องมั้ยนะ
จะคุยกันรู้เรื่องมั้ยนะ