เพรงพรหมข้ามภพ
บ้านเช่าหลังหนึ่งนำพาหล่อนให้พบกับเขา 'หลวงเดชาอักษร' ผู้ซึ่งกล่าวหาว่าหล่อนเป็นสตรีวิปลาสในคราวแรกที่ได้พบกัน อีกทั้งยังบอกว่าหล่อนหน้าตาเหมือนเจ้าสาวของเขาที่หายตัวไปเมื่อสามปีก่อน!
โชคชะตากำลังกลั่นแกล้งกับหล่อนหรือไร จึงทำให้หล่อนข้ามผ่านกาลเวลา มาโผล่บนเรือนของคุณหลวงผู้นี้ และจำต้องปลอมตัวเป็น 'แม่วาด' เจ้าสาวที่หายตัวไปของเขาอีกด้วย!

Tags: พีเรียด,รัตนโกสินทร์ตอนต้น,ลิขิตเหนือกาล

ตอน: บทที่ ๔ - ข้ามเวลามาพบกัน




‘ตาผีขี้เก๊ก’ คงสะดุ้งตกใจกับอากัปกิริยาการสะบัดศีรษะราวกับคนบ้าของหล่อนกระมัง จึงค่อยๆ ก้าวถอยหลังไปยืนติดผนังอีกด้าน และจ้องหล่อนตาแทบไม่กะพริบเลยทีเดียว

“คู้ณ! ไปยืนไกลขนาดนั้นจะคุยกันรู้เรื่องไหม! ขยับเข้ามาใกล้ๆ มา ฉันไม่กัดคุณหรอก!”

เห็นอีกฝ่ายยังยืนนิ่ง ข้าวหอมจึงเป็นฝ่ายเดินเข้าหาเสียเอง ทว่าก้าวได้เพียงสามก้าว ตาผีขี้เก๊กก็ยกมือห้ามในทันใด

“บุรุษแลสตรีมิควรใกล้ชิดกันเกินไป”

“บุรุษสตรีอะไรกัน น่ารำคาญจริง! เดี๋ยวนี้ใครๆ เขาก็นั่งแนบชิดจนแทบจะเกยกันอยู่บนตักต่อหน้าสาธารณชนอยู่แล้ว!” พูดจบก็ก้าวอาดๆ เข้าไปหาเขาโดยไม่ยอมฟังเสียงห้ามปราม มาหยุดยืนตรงหน้าคนที่ถ้ากลืนหายเข้าไปในผนังได้คงทำไปนานแล้ว

“กลัวอะไรฉันนักหนาเนี่ย”

สบถคำอย่างหัวเสีย พลางเท้าแขนลงบนขอบหน้าต่าง ด้วยท่วงท่าที่คิดว่าน่าจะ ‘ข่ม’ คนชอบวางท่าอย่างเขาได้

อ้าว วืด!

มือเล็กทะลุขอบหน้าต่างทำให้หน้าแทบคะมำ

เออ! เอาเข้าไป! ทีนี้ละหล่อนคงกลายเป็นผีเต็มตัวในสายตาเขาเสียแล้วละมัง!

ข้าวหอมถอนใจเฮือก เหลือบมองสบตาดุๆ ของคนตรงหน้าแล้วก็เห็นชัดว่ามีความคลางแคลงใจอยู่ในนั้น

“ฉันไม่ใช่ผีจริงๆ นะคุณ” ว่าพลางเอื้อมมือออกไป ไม่ได้ตั้งใจว่าจะวางลงบนอกกำยำหรอก แต่มือมันไปเองนี่ ทำไงได้!

ร่างสูงใหญ่ถึงกับสะดุ้งเฮือก คงไม่เคยถูกผู้หญิงคนไหนจับต้องมาก่อน หนำซ้ำ จูบแรกของเขา หล่อนก็คงเป็นคนแรกเหมือนกันนั่นละ!

เจ้าตัวคิดพลางหัวเราะพลางอย่างลืมตัว กระทั่งตาผีขี้เก๊กเอ่ยว่า

“หล่อนสติวิปลาสอีกแล้วรึ”

รอยยิ้มหุบฉับ หน้าตาบูดบึ้งขึ้นมาทันควัน!

“ทำไมถึงชอบว่าฉันบ้านักนะ! ฉันไม่ได้บ้า ยังสติดีอยู่ แต่...” คำอธิบายชะงักไปเมื่อคนตรงหน้าใช้นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือแตะลงบนข้อมือของหล่อนอย่างระมัดระวัง พยายามจะดึงมือหล่อนออกจากอก ด้วยท่วงท่าเสมือนแตะต้องอะไรบางอย่างที่น่าขยะแขยงก็ไม่ปาน!

ข้าวหอมกัดฟันกรอด กระชากมือกลับทันที พยายามทำลืมๆ เรื่องที่เขาทำเพื่อจะได้คุยกันให้จบๆ กันไปเสียที

“แต่ฉันไม่รู้ว่าทำไมถึงเกิดเรื่องราวบ้าๆ นี้ขึ้นมาได้ คุณรู้ไหม ฉันยืนอยู่ในห้องฉันดีๆ จู่ๆ คุณก็ปรากฏตัวให้ฉันเห็น ไหนจะห้องนี้ที่กลายเป็นห้องอื่น...ไม่ใช่ห้องของฉันอีกล่ะ”

สบตาเขาแล้ว ข้าวหอมรู้ว่าเขาไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก แต่ยังดีที่ไม่อาละวาดโวยวาย หรือเอ่ยขัดขึ้นตอนที่หล่อนอธิบาย

“ฉันพูดจริงนะคุณ คุณเชื่อฉันรึเปล่า”

คราวนี้ข้าวหอมลองใช้เสียงอ่อนดูบ้าง มองเขาด้วยแววตาอ้อนวอนระคนเหนื่อยหน่าย

“ยังไม่เชื่อว่าฉันเป็นคนใช่ไหม” หล่อนกระเถิบเข้าไปหาเขาอีกนิด เขย่งปลายเท้าอีกหน่อยแล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้เขา “ฉันหายใจอยู่นะ คุณลองดูสิ”

แม้จะไม่ได้แตะเนื้อต้องตัวเขาเลยแม้แต่ปลายเล็บ แต่การกระทำเช่นนั้นก็ทำให้ชายที่ไม่เคยคุ้นกับการใกล้ชิดอิสตรีเช่นนี้ถึงกับปั้นหน้าไม่ถูก ข้าวหอมแน่ใจว่าเห็นเลือดซ่านขึ้นใต้ผิวคร้ามคมนั้น กำลังจะพูดแซวอยู่แล้วเชียวถ้าเขาไม่เอ่ยขึ้นมาเสียก่อน

“หล่อน...ออกไปยืนห่างๆ ฉันได้ฤๅไม่”

ยังไม่ทันที่หล่อนจะตอบก็แว่วเสียงห้าวๆ ของใครคนหนึ่งดังอยู่เบื้องล่าง

“คุณหลวงคุยกับกระผมหรือขอรับ”

ข้าวหอมตวัดสายตาไปมอง ทันเห็นชายร่างท้วมนุ่งโจงกระเบนสีตุ่นถือตะเกียงยืนเงยหน้ามองมาจากด้านล่าง ด้วยสัญชาตญาณหญิงสาวรีบคุกเข่าลงบนพื้น ซ่อนตัวไม่ให้อีกฝ่ายเห็นทันที

“มิใช่ดอก...เอ็งจักไปทำการอันใดก็ไปเถิด”

ครั้นได้ยินฝ่ายนั้นรับคำ ข้าวหอมจึงค่อยๆ เงยหน้าให้โผล่พ้นขอบหน้าต่างอย่างช้าๆ เมื่อมองลงไปเบื้องล่าง ภาพที่เห็นทำให้หัวใจของหล่อนกระตุกวูบ

นั่นมันอะไร?

ลำคลองกว้างขวางกับต้นไม้ใหญ่น้อยเขียวครึ้มที่หล่อนเห็น มันคืออะไร...นี่หล่อนกำลังอยู่ที่ไหนกันแน่ แล้วหนุ่มวัยฉกรรจ์ที่เดินถือตะเกียงผ่านไปมานั่นอีก มันหมายความว่าอย่างไรกัน!

หรือว่าหล่อนหลงยุคมาหรืออย่างไร!

“หล่อนเป็นกระไรฤๅไม่”

“ฝัน...ฉันคิดว่าฉันฝัน”

เจ้าตัวตอบราวกับละเมอขณะยันกายลุกขึ้นยืน สองตาจับจ้องทิวทัศน์นอกหน้าต่างอย่างตื่นตาตื่นใจ อีกฟากของคลองสายใหญ่ที่หล่อนเห็น มีไฟวอบๆ แวมๆ วูบไหวไปมา เห็นเรือนไทยหลายหลังตั้งเรียงรายท่ามกลางหมู่แมกไม้ ไหนจะยังเรือแจวที่จอดอยู่ตรงท่าน้ำหลายลำนั่นอีก...ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่หล่อนอาศัยอยู่แน่ แต่เป็นที่ไหนล่ะ?

เป็นความฝันของหล่อนหรือเปล่า

หรือหล่อนเห็นภาพหลอน และกลายเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ

ข้าวหอมมองทุกอย่างจนตาแทบถลน โดยเฉพาะเรือแจวที่มีคนขับผ่านไปมาอย่างเชื่องช้า ผิดกับรถราทุกวันนี้ที่ขับกันปรูดปราดอย่างน่าปวดเศียรเวียนเกล้า

“หล่อนเป็นกระไรรึ จู่ๆ ไยจึงเป็นเบื้อเป็นใบ้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น”

เอาเข้าไป! นอกจากหาว่าหล่อนสติวิปลาสแล้ว ยังหาว่าหล่อนเป็นใบ้เสียด้วย!

หญิงสาวพ่นลมออกจากปาก ท่าทางรำคาญกึ่งกลัดกลุ้ม ก่อนจะละสายตาจากเรือลำนั้นก็หันไปมองสบตาเขา แล้วตอบไปตามตรง

“ฉันกำลังคิด”

“คิดอันใด?”

“คิดว่าตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหน อยู่ที่บ้าน อยู่ในห้อง หรือฉันสร้างภาพพวกนี้ขึ้นมาเอง”

จู่ๆ หญิงสาวก็ยื่นแก้มให้ ทำแก้มป่องเสียด้วย คนมองถึงกับผงะ

“ตบหน้าฉันหน่อยสิ จะได้แน่ใจว่าฉันไม่ได้ฝันไป”

“บุรุษจักตบตีสตรีได้เยี่ยงไร”

“เถอะน่า! ฉันยอมให้คุณตบเอง ถึงฉันจะเจ็บหรือเลือดตกยางออก ฉันก็ไม่ว่าคุณหรอก!”

“ไม่ได้”

“ได้สิ!”

“ฉันไม่มีวันทำเช่นนั้น”

“ฉันบอกให้คุณทำเอง แค่ครั้งเดียวน่า”

คงทุ่มเถียงกันเช่นนี้ไม่รู้จบถ้าลมไม่หอบเอาฝุ่นผ่านหน้าต่างเข้ามากระทบตาข้างหนึ่งของหล่อนเข้า

“โอ๊ย!” ข้าวหอมยกมือปิดตาข้างขวาพร้อมกับร้องโอดครวญ

“เป็นกระไรไป! เจ็บตรงไหนรึ!”

“ฝุ่น...ฝุ่นมันเข้าตา เจ็บชะมัด! คุณมีน้ำไหม”

“รอประเดี๋ยว ฉันจักให้บ่าวตักน้ำมาให้”

แว่วเสียงฝีเท้าเดินจากไป หากยังไม่ทันถึงประตูข้าวหอมก็ร้องห้าม

“ไม่ต้องแล้วคุณ หายแล้ว”

“หายแล้วจริงรึ”

“อื้อ...” หญิงสาวเช็ดน้ำตาที่ร่วงลงตกต้องพวงแก้ม ขณะเงยหน้าให้เขามองชัดๆ “มันออกมากับน้ำตาหมดแล้ว”

เห็นสีหน้ากังวลของเขาแปรเปลี่ยนเป็นโล่งใจ ข้าวหอมก็อดยิ้มไม่ได้ เธอเอ่ยแซวเล่นๆว่ า

“คุณห่วงฉันด้วย!”

รอยยิ้มอันกระจ่างตา เต็มไปด้วยความสดใสและเปิดเผยทำให้คนมองต้องเมินหน้าไปทางอื่น ชวนให้คนแซวอารมณ์บูดขึ้นมาอีกรอบ

“แหม! ห่วงก็บอกห่วงสิ! จะเก๊กเอาโล่รึไง” ประโยคหลังหล่อนพึมพำกับตัวเอง แน่ใจว่าเขาไม่ได้ยินเพราะเจ้าตัวเหม่อมองพระจันทร์บนฟากฟ้าอย่างเพลิดเพลินเสียแล้ว ข้าวหอมเงยหน้ามองตามก็ต้องอุทานเบาๆ เมื่อเห็นความงามนวลตากว่าที่เคยเห็นมาทั้งชีวิต

“สวยจัง”

“หล่อนชอบมองจันทร์รึ”

“ก็ไม่เชิง แค่ชอบดูบางครั้ง” หล่อนเขยิบเข้าใกล้หน้าต่างมากขึ้น ชะโงกหน้าออกไปเล็กน้อยเพื่อให้เห็นดวงจันทร์ทรงกลดบนฟากฟ้าได้ชัดเจนขึ้น “พระจันทร์วันนี้สวยจริงๆ”

หญิงสาวชะงักเล็กน้อยเมื่อสัมผัสความอุ่นจัดจากมือใหญ่ซึ่งวางลงบนต้นแขน

“ประเดี๋ยวหล่อนจักตกลงไป”

หญิงสาวรีบก้าวถอยหลัง เอ่ยขอบคุณเบาๆ ก่อนจะมองขอบหน้าต่างอย่างชั่งใจ

เพียงอึดใจ หล่อนค่อยๆ เอื้อมมือไปแตะมัน ผลปรากฏว่าหล่อนแตะมันได้ มิได้จับเพียงแค่ความว่างเปล่าเช่นก่อนหน้านี้

“คู้ณ! ฉันจับได้ละ”

ความแข็งสากๆ ใต้ฝ่ามือนั้นหล่อนรับรู้ได้แล้ว นั่นย่อมหมายความว่ายิ่งหล่อนอยู่นานเท่าไหร่ หล่อนจะยิ่งมีตัวตนมากขึ้นงั้นหรือ?!

เมื่อหันไปมองคนข้างกายก็พบว่าเขาจับจ้องอยู่ก่อนแล้ว

“หล่อนเป็นใคร ชื่อว่ากระไรรึ” เขาทำคิ้วขมวด พลางพิจารณาหล่อนอย่างจริงจัง “หล่อนเหมือนใครคนหนึ่งยิ่งนัก”

“ใคร? อ้อ...แม่...แม่อะไรนะ แม่วาดใช่หรือเปล่า”

“ใช่...แม่วาด หน้าตาหล่อนกับแม่วาดช่างคล้ายกันเสียจริง”

“อืม...ผู้หญิงนั้นเป็น...แฟนคุณหรือ”

“แฟน? แฟนคือกระไร หมายความว่าอย่างไร”

ข้าวหอมแทบจะยกมือตีหน้าผากตัวเอง...หล่อนลืมไปได้อย่างไรว่าคุณหลวงขี้เก๊กผู้นี้เป็นคนโบราณ คงไม่อาจเข้าใจภาษาปัจจุบันของหล่อนหรอก

“หมายถึงคนรักน่ะ เธอคนนั้นใช่คนรักของคุณหรือเปล่า”

คนถูกถามนิ่งเงียบไปนาน...นานเสียจนหล่อนนึกว่าจะไม่ได้คำตอบแล้ว ทว่าสุดท้าย หลังจากเขาถอนหายใจยาวก็ยอมตอบหล่อน

“จักเรียกเช่นนั้นก็คงได้”

อ้าว...ตอบแบบนี้ จะให้หล่อนเข้าใจว่าอย่างไร ใช่หรือไม่ใช่กันล่ะ

ไม่ให้หล่อนได้ซักไซ้ไล่เลียง เมื่อเขาถามย้ำอีกครั้งอย่างจริงจัง

“ตกลงว่าหล่อนเป็นใคร”

“คุณก็ตอบมาก่อนสิว่าคุณเป็นใคร ชื่ออะไร”

คราวนี้ตาผีขี้เก๊กไม่ต่อความยาวสาวความยืด ยอมตอบคำถามของหล่อนแต่โดยดี

“หลวงเดชาอักษร”

“โห...เป็นคุณหลวงซะด้วย!”

ข้าวหอมทำตาโต เอ่ยด้วยน้ำเสียงชื่นชมเล็กๆ ก่อนแนะนำตัวเองสั้นๆ ว่า

“ฉันชื่อข้าวหอม” เจ้าหล่อนกลัวว่าจะถูกหาว่าเป็นผีอีก จึงรีบเอ่ยต่อว่า “เป็นคนนะไม่ได้เป็นผี”

“แล้วหล่อนขึ้นมาบนเรือนนี้ได้เยี่ยงไร ผ้าผ่อนที่หล่อนสวมก็หาใช่ชุดของชาวสยามไม่”

“ไม่รู้สิ ฉันก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น” หญิงสาวทอดถอนใจ ก่อนมองสบตาเขาด้วยความสับสน นานเท่านานกว่าหล่อนจะเอื้อนเอ่ย

“คุณรู้จักคำว่ามิติเวลาไหม” คำถามนั้นหล่อนไม่ได้ต้องการคำตอบเพราะเอ่ยต่อทันทีว่า “ฉันคิดว่าฉันข้ามมิติมา”




ข้าวหอมกำลังจะอธิบายให้คุณหลวงเข้าใจเรื่องมิติเวลา แต่จู่ๆ ภาพของเขากลับหายวับไปต่อหน้าต่อตาหล่อน ห้องไม้กลายมาเป็นห้องฉาบปูนตามเดิม เครื่องเรือนและข้าวของเครื่องใช้ก็กลับคืนสภาพปกติ นั่นย่อมหมายความว่าหล่อนยังไม่ได้ข้ามมิติ...ไม่ได้ย้อนกลับไปอยู่ในอดีตดังเช่นเคยอ่านในนิยายหลายเรื่อง หล่อนเพียงแค่บังเอิญไปอยู่ในช่วงที่มิติเวลาซ้อนทับกันเท่านั้นเอง

ข้าวหอมเคยอ่านเรื่องพวกนี้มาบ้าง แต่ก็ไม่ได้ปักใจเชื่อว่ามันเป็นความจริง

หล่อนยังจำได้ เมื่อห้าหกปีก่อน ตอนหล่อนอายุสิบหก หล่อนต้องค้นคว้าหาข้อมูลที่ห้องสมุดเพื่อทำรายงานส่งคคุณครู ในวันนั้นหล่อนได้พบหนังสือเล่มหนึ่งเกี่ยวกับมิติเวลา มันมาอยู่ผิดที่ผิดทางอย่างไรไม่ทราบได้...อยู่ตรงหน้าหล่อนและดึดดูดให้หล่อนอยากหยิบมันขึ้นมาอ่านอย่างน่าอัศจรรย์ ตอนแรกหญิงสาวกะจะอ่านผ่านๆ แต่เรื่องราวในนั้นน่าสนใจอยู่ไม่น้อยจึงเผลอจนจบเล่ม

ในนั้นมีเหตุการณ์มากมายที่มีคนอ้างว่าได้ประสบพบเจอกับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการเดินเข้าไปซื้อขนมปังในร้านเบเกอรี่แห่งหนึ่ง แต่พอก้าวเข้าไปร้านนั้นกลับกลายเป็นร้านขายของเก่าไปเสีย แถมผู้คนในร้านยังแต่งกายย้อนกลับไปเมื่อร้อยกว่าปีก่อนอีกด้วย หรืออีกเหตุการณ์หนึ่งคือภาพถ่ายติดวิญญาณ...ที่แท้จริงแล้วอาจจะเป็นเพียงการเหลื่อมซ้อนของมิติเวลาในช่วงเวลาสั้นๆ ก็เป็นได้

ในวันนั้นข้าวหอมอ่านจบแล้วก็จบกันไป ลืมๆ ไปแล้วด้วยซ้ำ มานึกถึงมันอีกครั้งก็ตอนได้พบเหตุการณ์ประหลาดนี้ด้วยตัวเองนั่นละ

แต่มีเรื่องน่าแปลกอยู่อย่างหนึ่ง...คือหล่อนอยู่ในช่วงเวลาทับซ้อนนั้นค่อนข้างนานทั้งที่ความจริงแล้วการเหลื่อมซ้อนนั้นมักเกิดในช่วงสั้นๆ เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็มองเห็นหล่อน พูดคุยสนทนากันได้ หนำซ้ำยังแตะต้องสัมผัสกันและกันได้อีกด้วย! มันไม่แปลกไปหน่อยหรือ?!

หล่อนให้คำตอบตัวเองในเรื่องนี้ไม่ได้ เพราะไม่เคยพบเจอข้อมูล หรือบันทึกใดที่บ่งบอกว่าสามารถพูดคุยกับคนในอดีตตอนที่อยู่ใช้ช่วงเวลาอันซ้อนทับกันได้เลยแม้สักครั้งเดียว

หญิงสาวนั่งแปะลงกับพื้น เอนกายพิงขอบเตียง แล้วเงยหน้ามองเพดานก่อนถอนหายใจเฮือก

นี่หล่อนไม่ได้ฝันไปจริงๆ ใช่ไหม?

ข้าวหอมหยิกแก้มของตัวของสองสามครั้ง เมื่อพบว่าไม่ได้ฝันจึงถอนหายใจอีกเฮือกเป็นคำรบสอง

เอาเถอะ! อย่างน้อยๆ เขาก็ไม่ใช่ผี แค่จะโผล่มาให้เห็นบางช่วงบางเวลาเท่านั้นเอง ไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับชีวิตของหล่อนเลยนี่นะ คิดได้ดังนั้นเจ้าตัวก็ค่อยสบายใจขึ้น เหยียดมือขึ้นสูงเหนือศีรษะบิดขี้เกียจ และอ้าปากหาว พลันต้องสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อแว่วเสียงห้าวลึกที่เริ่มจะคุ้นหูดังขึ้นว่า

“กิริยามิน่าดู”

“เฮ้ย!” ร่างเล็กอุทานอย่างตกใจ กวาดตามองรอบห้องไม่เห็นแม้แต่เงาของเจ้าของเสียง “คุณเห็นฉันเหรอ?!”

เงียบ...

ไม่มีสัญญาณตอบรับใดๆ จากเขาอีก

ความหวาดระแวงเริ่มก่อตัวอีกระลอก หญิงสาวค่อยลุกขึ้นยืน หมุนตัวรอบห้อง แล้วตะโกนบอกเขาเสียงเข้มว่า

“อย่าแอบดูฉันในห้องน้ำนะคุณ อย่าทำตัวทุเรศๆ แบบผู้ชายสมัยนี้ละ” หล่อนเดินไปคว้าผ้าเช็ดตัวที่แขวนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า วิ่งผลุบหายเข้าไปในห้องน้ำ แต่ก็ยังไม่วายตะโกนกำชับว่า

“ถ้าฉันจับได้ว่าคุณแอบมองละก็ ฉันเอาคุณตายแน่ คุณหลวง!”



อีกหนึ่งอาทิตย์ถัดมา หล่อนไม่ได้พบหน้าคุณหลวงอีกเลย ชีวิตหล่อนดำเนินไปตามปกติ เสมือนว่าไม่เคยพบเขา หรือพบเหตุการณ์อันแสนประหลาดมาก่อน ข้าวหอมไม่อยากยอมรับว่าหล่อนรู้สึก ‘เหงา’ ขึ้นมานิดๆ...เป็นความเหงาที่หล่อนไม่รู้ว่าเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเหตุใดหล่อนจึงรู้สึกเช่นนี้ได้

วันนี้ข้าวหอมตื่นสายกว่าปกติ ตะวันเกือบตรงศีรษะแล้วตอนที่หล่อนอาบน้ำแต่งตัว หญิงสาวรีบรับประทานอาหารเช้าควบอาหารกลางวันซึ่งก็คือไข่เจียวหมูสับราดข้าว เสร็จเรียบร้อยก็ออกไปหาซื้อหนังสือเกี่ยวกับมิติเวลามาอ่าน ได้มาสองสามเล่มก็ตรงดิ่งกลับบ้าน กะจะใช้เวลาช่วงบ่ายก่อนออกไปทำงานนั่งอ่านหนังสือที่ซื้อมาสักเล็กน้อย หากยังไม่ทันเปิด เสียงโทรศัพท์ก็กรีดร้องแทรกผ่านความเงียบสงัดภายในบ้านขึ้นมา

หญิงสาวหยิบขึ้นมาดูหน้าจอเมื่อพบว่าเป็นคุณสุพรรณีก็รีบกดรับทันที

“เป็นยังไงบ้างคะคุณน้อง สบายดีใช่ไหมค้า”

เสียงแหลมๆ ที่ดังมาตามสายแสบแก้วหูเสียจนหล่อนต้องดึงโทรศัพท์ออกห่างเล็กน้อย

“สบายดีค่ะ”

“สบายดี? จริงหรือคะ? คุณน้องไม่ได้เจอ...” จู่ๆ อีกฝ่ายก็หยุดไป ราวกับรู้ว่าเกือบจะหลุดปากพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด

“เจอ? เจออะไรคะ?“

แม้จะรู้คำตอบ ข้าวหอมก็นึกอยากแกล้งคุณป้าคนนี้นัก ถามกลับไปโดยทำน้ำเสียงใสซื่อให้มากที่สุด

“ปละ...เปล่าจ้ะ ไม่มีอะไรหรอก คุณพี่แค่โทร.มาถามสารทุกข์สุกดิบเท่านั้นแหละ ถ้าคุณน้องอยู่สุขสบายดี คุณพี่ก็สบายใจ” ดูท่าสุพรรณีจะพูดอะไรต่อมิอะไรอีกยืดยาว ข้าวหอมจึงรีบตัดบท ซักถามในสิ่งที่ตนสงสัยทันที

“คุณป้าพอจะบอกได้ไหมคะว่าเจ้าของเดิมของบ้านหลังนี้เป็นใคร”

“เจ้าของเดิมหรือคะ? อยากรู้ไปทำไมคะคุณน้อง?”

“คือหนูชอบการตกแต่งด้านในค่ะเลยอยากรู้ว่าจ้างสถาปนิกที่ไหนมาออกแบบให้ เพื่อนหนูกำลังจะสร้างบ้านใหม่พอดีค่ะ หนูก็เลยช่วยมันหาสถาปนิกเก่งๆ อยู่ค่ะ”

“อ้อ...งั้นหรือจ๊ะ?” สุ้มเสียงดูไม่เชื่อถือแม้แต่น้อย กระนั้นก็ยังยอมตอบคำถามของหล่อนแต่โดยดี “คนที่ขายบ้านนี้ให้คุณพี่ชื่อคุณศักดิ์สิทธิ์จ้ะ เพิ่งสร้างบ้านเสร็จแค่ปีเดียวก็ขายเสียแล้วเพราะครอบครัวจะย้ายไปอยู่เชียงใหม่กันหมดน่ะ แต่อย่าถามนะว่ามีเบอร์ติดต่อรึเปล่า เพราะคุณพี่ไม่ได้เก็บไว้แล้วล่ะจ้ะ เพราะขายบ้านกันเสร็จก็ไม่ได้ติดต่ออะไรกันอีก”

เป็นอันว่าการสืบหาต้นตอของบ้านหลังนี้ไม่อาจเป็นไปได้อย่างที่หวัง ข้าวหอมทำสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย เอ่ยขอบคุณอีกฝ่าย คุยกันอีกสองสามคำจึงกดวาง

หญิงสาวนั่งมองหนังสือที่วางอยู่บนตัก ถอนใจเฮือก หมดอารมณ์อ่านเสียอย่างนั้น สุดท้ายจึงตัดสินใจวางมันไว้บนโต๊ะแล้วเปลี่ยนใจขึ้นไปทำความสะอาดห้อง จนเย็นย่ำ หล่อนก็อาบน้ำแต่งตัวเตรียมออกไปทำงาน



ข้าวหอมกลับมาถึงบ้านเช่าในเวลาเกือบเที่ยงคืน ระหว่างทางแม้จะวังเวง แต่หล่อนไม่ได้นึกกลัว เพราะใจหล่อนจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และสิ่งนั้นก็คือ...ผู้ชายตัวโตราวกับยักษ์ปักหลั่นและแสนหัวโบราณผู้นั้น

หล่อนหวังไว้อยู่ลึกๆ ว่าหล่อนอาจจะได้พบเจอเขา พบเพื่อพูดคุยซักถาม หรือพิสูจน์อะไรก็แล้วแต่เพื่อให้คลายสงสัย จนป่านนี้หล่อนก็ยังไม่แน่ใจว่าสิ่งที่หล่อนพบเจอนั้นเป็นความจริงหรือไม่ หากมันคือภาพหลอน หล่อนก็ควรรีบไปพบจิตแพทย์เสียโดยเร็ว

หญิงสาวรีบไขกุญแจประตูแล้วเดินเข้าไปด้านใน กลิ่นผัดไทยที่หล่อนหิ้วอยู่ในมือข้างหนึ่งทำให้กระเพราะร้องโครกครากประท้วง จึงรีบตรงรี่เข้าไปในห้องครัว เทผัดไทยใส่จานแล้วถือมาที่ห้องรับแขก เปิดโทรทัศน์เสร็จสรรพก็ก้มหน้าก้มตารับประทานอย่างเอร็ดอร่อยจนหมดในเวลาอันรวดเร็ว หล่อนนำจานไปล้าง ทานน้ำเรียบร้อยจึงกลับมานั่งดูโทรทัศน์ต่อ

รายการวันนี้ไม่มีอะไรน่าสนใจ ดูได้เพียงครู่เดียว ข้าวหอมก็ง่วงเหงาหาวนอนตาแทบจะปิดอยู่รอมร่อ จึงตัดสินใจกดปุ่มพาวเวอร์ปิดแล้วเดินขึ้นห้อง ใช้เวลาอาบน้ำเร็วกว่าปกติ

ออกจากห้องน้ำในชุดนอนผ้าฝ้ายลายหมี ตรงไปที่เตียง ล้มตัวลงนอน ห่มผ้าห่มเรียบร้อย ก่อนจะผล็อยหลับไปในเวลาอันรวดเร็ว

หลับไปนานเท่าใดไม่ทราบได้ มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงฟ้าร้องครืนครัน ไม่แน่ใจว่าฟ้าผ่าด้วยรึเปล่าเพราะหล่อนกำลังสะลึมสะลือ หญิงสาวยกมือขยี้ตา ก่อนงัวเงียยันตัวลุกขึ้นนั่ง เสียงเครื่องปรับอากาศครางกระหึ่ม ภายนอกฝนสาดกระทบฝาหนัง บรรยากาศช่างน่าพรั่นพรึงสิ้นดี อะไรก็ไม่ร้ายเท่ากับ...เงาตะคุ่มๆ ข้างเตียง

“เฮ้ยยย!...”

หล่อนตะโกนเสียงหลง กระเถิบกายออกห่างเงาตะคุ้มๆ นั้น แล้วยกมือสองมือปิดตา...แม้จะยังมองเห็นไม่ชัดว่าเงานั้นคือสิ่งใด แต่คาดเดาได้ไม่ยาก หากหล่อนไม่ได้ตาฝาด...สิ่งที่หล่อนเห็นคงเป็นผีนั่นแหละ!

จริงอยู่ที่หล่อนไม่กลัวผีจนขึ้นสมองเหมือนผู้เป็นเพื่อนสนิท แต่ยามต้องเผชิญหน้ากับมัน คงไม่มีใครไม่กลัวหรอกกระมัง

“หล่อน...หล่อน...” เสียงนั้นเบามาก หล่อนได้ยินไม่ถนัด เพราะเสียงฝนด้านนอก รวมถึงเสียงพึมพำสวดมนต์ของหล่อนที่ดังขึ้นมาเป็นระยะๆ อีกด้วย

“หล่อน...หล่อน...” เสียงนั้นดังขึ้นอีกนิด จนหล่อนจับกระแสเสียงได้ว่ามันคุ้นเหมือนเคยได้ยินมาก่อน

“จักร้องห่มร้องไห้ไปไย”

เสียงห้าวลึกก้องกังวาน เนิบนาบ หากเต็มไปด้วยพลัง

“มีกระไรก็พูดกันก่อนเถิด ลืมตาขึ้นมาเสียก่อน”

ลมอุ่นๆ รินรดอยู่บนพวงแก้มของหล่อน ข้าวหอมไม่แน่ใจว่ามันมาจากไหน กระทั่งเปิดเปลือกตาขึ้นมาข้างหนึ่ง หล่อนจึงได้รู้...ใบหน้าของคุณหลวงอยู่ห่างจากใบหน้าของหล่อนไม่ถึงคืบ หัวใจข้าวหอมกระตุกวาบ อยากกระเถิบหนีให้ไกล แต่อะไรบางอย่างกลับตรึงหล่อนไว้ให้นั่งอยู่ที่เดิม สานสบสายตากับเขา...สายตาที่เคร่งขรึม หากมีบางอย่างวูบไหวแปลกๆ อยู่ภายใน

“ฉันมองหน้าหล่อนมิค่อยเห็น หล่อนมิมีตะเกียงดอกรึ”

ยามนั้นฟ้าฝนคะนองเบื้องนอกเริ่มซาลงแล้ว น่าแปลกมันมาอย่างปุบปับ และซาลงอย่างรวดเร็วเหลือเกิน ราวกับต้องการจะปลุกหล่อนมาคุยกับเขาอย่างไรอย่างนั้น!

“ถึงจะมองไม่เห็น แต่คุณหลวงก็ไม่ควรจะยื่นหน้าเข้าใกล้ขนาดนี้นะคะ”

“ฉันอยากให้หล่อนรู้ว่าฉันมิใช่คนร้ายจึงจำต้องให้หล่อนเห็นหน้าฉันชัดๆ จักได้หายตกใจ”

ข้าวหอมสูดลมหายใจลึก โบกมือเป็นสัญญาณให้เขาถอยออกไปก่อน

“ถอยออกไปก่อนสิคะ ฉันจะได้ไปเปิดไฟให้”

คุณหลวงยอมถอยแต่โดยดี ในความสลัวรางหล่อนเห็นเขายืนตัวตรง อกผายไหล่ผึ่ง สองมือไพล่ไว้ทางด้านหลัง และจับจ้องมองหล่อนทุกอิริยาบถอย่างจริงๆ จังๆ ข้าวหอมไม่ใช่คนขี้อาย ไม่ใช่คนที่ขวยเขินกับสายตาของผู้ชายง่ายๆ แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุผลใด หล่อนจึงรู้สึกขัดเขินจนเดินสะดุดขาตัวเอง...โชคดีที่ทรงตัวได้ทันการณ์ ไม่เช่นนั้นละก็ คงขายหน้าไปสามวันเจ็ดวัน!

ไฟนีออนกะพริบสองสามครั้งก่อนสว่างจ้า ข้าวหอมหรี่ตากับความจ้านั้น และใช้เวลาปรับสภาพอยู่อึดใจทีเดียวจึงลืมตาได้ ขณะที่คุณหลวงในชุดเสื้อสีขาวผ่าอก กับกางเกงแพรสีแดงกำลังใช้มือข้างหนึ่งนวดตาของตัวเองอยู่

“ค่อยๆ ลืมตาสิคุณ”

“นี่มันกระไรกัน แสบตานัก”

“ก็ตะเกียงไงล่ะ” เอ่ยพลางก้าวเข้าไปหาเขา “ตะเกียงในโลกของฉันเป็นแบบนี้ ส่วนโลกของคุณก็เป็นอีกแบบหนึ่งไง”

คุณหลวงคงปรับสายตาได้แล้ว จึงค่อยๆ ปรือตาขึ้นมองหล่อน เวลานั้นข้าวหอมไม่ได้มองหน้าเขาเพราะมัวแต่จดๆจ้องๆ แขนของเขาอยู่ มือข้างหนึ่งเอื้อมออกไป แล้วลองใช้นิ้วชี้จิ้มบนนั้นเบาๆ

“หล่อนทำกระไร”

หญิงสาวสะดุ้งรีบไพล่มือไว้ทางด้านหลังทันที

“ไม่ได้ทำอะไร้ ฉันไม่ได้จะแต๊ะอั๋งคุณนะ ฉันแค่อยากรู้ว่าจะจับตัวคุณได้รึเปล่าเท่านั้นเอง”

“แต๊ะอั๋งแปลว่ากระไร”

“อืม...คล้ายๆ กับลวนลามละมั้ง”

“อ้อ...” เขาทำเสียงรับรู้ในลำคอ ทำสีหน้าประหลาด แก้มแดงซ่านขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ชั่วอึดใจนั้นเขาก็เมินมองไปทางอื่น กวาดตามองไปรอบห้อง “หล่อนอยู่คนเดียวรึ?”

“แล้วคุณเห็นใครอยู่กับฉันรึเปล่าล่ะ” ว่าพลางทิ้งตัวลงบนเตียง ยกขาขึ้นมาขัดสมาธิตามปกติ แต่อากัปกิริยาของหล่อนคงขัดตานักจึงทำให้ผู้มาเยือนขมวดคิ้วจนแทบเป็นเลขแปด

“คุณโผล่มาได้ไงเนี่ย”

คุณหลวงเหมือนจะไม่เข้าใจ หล่อนจึงถามย้ำอีกครั้ง

“ฉันหมายถึงว่าคุณมาอยู่ที่ห้องฉันได้ยังไง”

“ฉันมิได้อยู่ที่ห้องของหล่อน ฉันอยู่ที่ห้องของฉัน กำลังทำงานอยู่ดีๆ หล่อนก็มาปรากฏตัวให้ฉันเห็นเอง”

“ไม่ใช่สักหน่อย ฉันนอนหลับอยู่ดีๆ คุณหลวงนั่นแหละที่อยู่ๆ ก็มาปลุกฉัน...”

ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ หล่อนพลันต้องอ้าปากค้าง เมื่อจู่ๆ ห้องของหล่อนกลับแปรเปลี่ยนเป็นห้องของเขา เตียงที่หล่อนนั่งอยู่หายวับไปในอากาศและทำให้หล่อนร่วงหล่นลงสู่พื้น ก้นกระแทกกับพื้นไม้เสียงดังสนั่นต่อหน้าต่อตาคุณหลวงหน้าดุผู้นั้น!



เปิดจองถึงวันที่ 25 มิ.ย. สนใจสั่งจองได้ทางเว็บไซต์ www.sasiaksorn.com ค่ะ
(200 ท่านแรกรับสมุดโน้ตเป็นของแถมค่ะ)



ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 พ.ค. 2559, 21:03:48 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 พ.ค. 2559, 21:03:45 น.

จำนวนการเข้าชม : 1365





<< บทที่ ๓ - ผีขี้เก๊กกับสตรีวิปลาส   บทที่ ๕ - ข้ามเวลามาพบกัน ๒ >>
แว่นใส 12 พ.ค. 2559, 22:40:28 น.
ย้ายสถานที่ทันควันนะ


konhin 13 พ.ค. 2559, 00:53:42 น.
ไปมาไม่รู้ตัว ขนาดคุยกันยังเปลี่ยนที่เฉยเลย


Zephyr 15 พ.ค. 2559, 16:40:26 น.
มาปัจจุบันได้จึ๋งเดียวเอง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account