จองจำดวงใจ
...ตราบใดที่หัวใจยังมีรักและชิงชัง ตราบนั้นความทรงจำอันแสนสุขและทุกข์เศร้าก็จะเป็นเสมือนเงาที่ติดตามเราไปทุกหนแห่งชั่วนิจนิรันดร์...

ด้วยสายใยแห่งรักและความผูกพันทำให้หัวใจศศิวิมลยืนยันกับตัวเองหนักแน่นว่า ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาในคฤหาสน์วิสุทธิ์สุนทร คือ เด็กหนุ่มคนเดียวกันกับที่เธอเฝ้ารอคอยการกลับมาถึงสิบปีเต็ม แม้ว่าเขาจะแตกต่างจากเดิมไปมากเพียงใด และเมื่อการแต่งงานกะทันหันตามคำสัญญาต้องดำเนินขึ้นศศิวิมลกลับค้นพบว่าชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีแม้จะแค่ในนามกลับเป็นนักธุรกิจหนุ่มไร้หัวใจ ทายาทมหาเศรษฐีสหรัฐที่สวมรอยเข้ามาและใช้เธอเป็นสะพานเพื่อฮุบกิจการทั้งหมดของอังคพิมาน

ทั้งที่รู้ว่าต้องทำอย่างไรให้พ้นเงื้อมือชั่วช้า ทว่าสัญชาตญาณในหัวใจยังเชื่อมั่นและสายสัมพันธ์ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นทีละเล็กละน้อยแต่งดงามที่เกิดขึ้นระหว่างกันกลับกลายเป็นพันธนาที่จองจำเธอไว้มิให้หลุดพ้นไปจากเขา จะทำอย่างไรหากต้องเลือกระหว่างทรยศครอบครัวกับทำร้ายชายผู้เป็นหัวใจ เธอจะเลือกอะไรหากรู้ว่าทุกทางเลือกนั้นต้องจบลงด้วยความเจ็บปวดเท่านั้น

" ต่อให้เป็นนักโทษถูกล่ามโซ่ไว้ในกรงขัง หรือเป็นคนธรรมดาที่ถูกกรอบของสังคมบีบบังคับ ขอเพียงหัวใจยังโบกโบยเป็นอิสระได้ การจองจำเพียงกายนั้นก็ไร้ความหมาย แต่เมื่อใดก็ตามที่หัวใจเราถูกพันธนาการเสียแล้ว ต่อให้ดิ้นรนกระเสือกกระสนอย่างไรก็หลุดพ้นจากการจองจำนี้ไปไม่ได้หรอก เหมือนกับหัวใจของเล็กที่ถูกความรัก ความผูกพัน และความทรงจำที่มีต่อเขามัดแน่น ทั้งที่รู้ดีเหลือเกินว่าควรหนี แต่เท้าทั้งสองข้างกลับก้าวไปไม่พ้นใจเสียที ”

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 5

----- แวะทักทายกันหน่อย ----

พยายามเอามาลงวันละบท บทนี้เอาเพลงรักเอยมาฝากเสียงของน้องกันที่ร้องประกอบละครเรือนแพ
เพราะมากเลยค่ะ http://www.youtube.com/watch?v=aRKu7SJoZig ฟังคลอกันไปนะคะ
ตอนนี้ตาภาคกลับบ้านมาแล้ว แต่ไม่ได้กลับมาในรูปแบบเดิมเหมือนที่ทุกคนคิดนั้นแหละคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านคอมเม้นนะคะ ^_^


บทที่ 5

ทายาทแห่งตระกูลวิสุทธิ์สุนทรก้าวล่วงกรอบประตูสู่ห้องนอนใหญ่โตโอ่อ่าที่เคยคุ้น เท้าเปล่าเหยียบลงบนพื้นเย็นเรื่อย ผ่านร่างของหญิงสาวไปก่อนมาหยุดยืนข้างสตรีที่นั่งหลับตาเอนหลังพิงหมอนนุ่มอยู่บนเตียง

คนป่วยเปิดเปลือกตาแหงนหน้ายังคนตัวใหญ่ที่ชะโงกเข้ามาใกล้ในระยะประชิด ดวงตาอ่อนแรงเบิกกว้างจับจ้องผู้มาเยือนแทบไม่กระพริบ มือผอมติดกระดูกเอื้อมออกไปไขว่คว้าบางสิ่งในอากาศก่อนที่นิ้วเรียวใหญ่จะสอดประสานเป็นหลักแข็งแรงให้แม่ยึด ถ่ายทอดความอบอุ่นและรับเอาสัมผัสเย็นจากปลายนิ้วไว้

ดวงตาพินิจโครงหน้าคมคายกับนัยน์ตาดุดันเด็ดเดี่ยวอันเป็นสิ่งที่เหนี่ยวนำผู้เป็นแม่ให้จดจำระลึกถึง...ริมฝีปากแห้งแตกพลันสั่นระริก พยายามรวบรวมพลังเล็กน้อยในร่างกายโผเข้ากอดลูกชายแนบแน่นเพียงเพื่อให้แน่แก่ใจว่าภาพตรงหน้ามีเลือดเนื้อแท้หาใช่มายาแห่งภาพฝัน

“ ภาค...ภาคจริงๆใช่ไหมลูก ” นางครวญถาม

“ ผมเองครับแม่ พอทราบเรื่องผมก็รีบบินมาเลย ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงทุ้มเข้มอ่อนโยน โอบประโลมคอยลูบแผ่นหลังร่างหุ้มกระดูกที่ซบหน้าลงบนบ่ากว้างร้องไห้ปริ่มขาดใจ ใช้ตัวเองเป็นหลักให้มารดายึดพักพิงและพรั่งพรูความอัดอั้นในหัวใจทั้งมวลหวังเพียงช่วยร่วมแบ่งเบาบรรเทาความทุกข์ลำเค็ญนั้นไว้

“ ภาคหายไปไหนมาลูก รู้ไหมว่าแม่กับพ่อเป็นห่วงภาคมากขนาดไหน พ่อเขาบินไปหาลูก ส่งคนไปตาม ติดต่อสถานทูต ทำทุกอย่างก็ตามหาภาคไม่เจอ ยิ่งรู้ว่าภาคขายห้องให้คนอื่นไปอีก รู้ไหมว่าแม่กลัวมาก แม่นอนไม่หลับ กลัวว่าจะเสียภาคไปแล้วจริงๆ ” ผู้เป็นแม่ตัดพ้อต่อว่า

“ พอดีผมไปทำงานหาประสบการณ์ที่บอสตันนะครับ ส่วนเรื่องห้อง เพื่อนผมเขาขอซื้อไว้แต่เขาสัญญาว่าถ้าผมกลับมาจะขายคืนให้ แล้วก็เพราะเขานี้แหละที่เป็นคนส่งข่าวให้ผมทราบ”

นางพยักหน้าเข้าใจเรื่องที่ลูกชายเล่า ประกายตาเปล่งปลั่งสดชื่นขณะสำรวจตรวจตราความเปลี่ยนแปลงของชายหนุ่มตรงหน้า ทั้งผิวคล้ำคร้ามแดดแลเรือนกายสูงกำยำด้วยมัดกล้ามแข็งแรงจากการออกกำลังกลางแจ้งเป็นอาจิณ ท่วงท่าลีลาการพูดการจาดูสุขุมเป็นผู้ใหญ่ ผิดแปลกจากภาพลักษณ์เด็กหนุ่มเลือดร้อนในอดีตโดยสิ้นเชิง

...นี่หรือคือผลพวงจากการส่งลูกไปตกระกำลำบากไกลถึงต่างแดน

“ เสียดายที่ภาคกลับมาช้าไป ไม่อย่างนั้นคงได้อยู่ร่วมงานวันเผาศพพ่อเขา ” เสียงสั่นเครือจากความรักและอาลัยในบุรุษผู้เป็นที่รัก

“ แม่อย่าห่วงเลยครับ...ผมกลับมาทันวางดอกไม้จันให้พ่อ ผมบอกพ่อแล้วว่าจะกลับมาดูแลแม่กับธุรกิจของเราให้ดีที่สุด จะไม่ทำให้พ่อผิดหวัง ”

อรพิณยิ้มกว้าง เอาแต่ลูบแขนแข็งของลูกอย่างห่วงหาอาวรณ์ ภาพความรักระหว่างสองแม่ลูกผูกพันลึกซึ้งสร้างความปลื้มปิติแด่ผู้เฝ้าดูยิ่งนัก

ภาควัฒน์ใช้เวลาสนทนากับมารดาครู่หนึ่งจึงหันหลังมองหญิงสาวที่ยืนถัดจากประตูไปไม่ไกล ร้องขอการอยู่เพียงลำพังด้วยสีหน้า แววตากระทั่งการใช้น้ำเสียงสุภาพให้ความรู้สึกห่างเหินดังกับว่าไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

ศศิวิมลเม้มริมฝีปาก มือทั้งสองประสานกันหลวมๆอยู่หน้ากระโปรงสีฟ้าอ่อน เอาแต่พยักหน้าพร้อมจะกลับออกไปหากไม่ถูกคนบนเตียงเรียกรั้งไว้เสียก่อน

“ ภาคจำน้องไม่ได้เหรอลูก เล็กหลานสาวป้ามล คนที่เมื่อก่อนภาคแวะไปเล่นด้วยบ่อยๆไงลูก ” นางทวนความทรงจำให้

ชายหนุ่มกวาดสายตามองหญิงสาวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ครุ่นคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็หันกลับมา

“ เรื่องมันนานเป็นสิบปี ผมจำไม่ได้หรอกครับ ” แววน้ำเสียงของเขายืนยันชัดเจนว่า ลืมจริง

หญิงสาวรู้สึกเหมือนหัวใจถูกกระทบกระแทกรุนแรง สีหน้าสลดหดหู่กับถ้อยคำเรียบง่ายทว่าบาดลึก...เขาคงลืมหล่อนง่ายดายดังคำที่เคยปรารภ และเวลาสิบปีนั้นก็เนิ่นนานเกินกว่าจะบันทึกคนไร้ความหมายไว้ในความทรงจำ

“ เดี๋ยวเล็กออกไปรอข้างนอกก่อนนะคะ ไว้ถึงช่วงมื้อกลางวัน เล็กค่อยมาเก็บซอกลับบ้าน ” หล่อนว่า จากนั้นจึงก้มศีรษะในเชิงเคารพเล็กน้อยกลับออกไปด้านนอก

คนรับใช้เก่าแก่ที่เหลืออยู่ในบ้านหลายคนมายืนออรอการคุณหนูอยู่หน้าห้อง ทันทีที่เห็นคนตัวเล็กออกมาก็กรูกันเข้าไปถามไถ่ความเป็นไปภายในห้องกันยกใหญ่

ศศิวิมลยิ้มอ่อนปฏิเสธว่าไม่ทราบ แล้วเดินเลี่ยงลงบันไดไปเงียบๆอย่างเซื่องซึม ท่ามกลางความเงียบกริบของทุกคนที่สังเกตเห็นอาการและมองตามร่างบางที่คล้อยหายไปอย่างเป็นกังวล
******************

ห้องอาหารตบแต่งในสไตล์วิกตอเรียนหรูหรา เครื่องเรือนประดับใช้สอยจนถึงโคมไฟระย้าทำจากคริสตัลแท้สั่งออกแบบโดยเฉพาะจากฝรั่งเศสจึงสวยงามมีเอกลักษณ์ บนโต๊ะหินอ่อนเพียบพร้อมด้วยอาหารนานาชาติที่คัดสรรทั้งรสชาติและคุณภาพก่อนการเสิร์ฟ

ศิระใช้ส้อมเขี่ยชิ้นเนื้อในจานไปมาพลางถอนใจขณะจ้องมองหญิงสาวผมยาวประบ่า ดวงหน้าเก๋ไก๋จากการผสมผสานเชื้อชาติไทยและญี่ปุ่นนั้นแต้มแต่งสีสันเข้มโฉบเฉี่ยว สวมเดรสแขนกุดรัดรูปสีน้ำเงินกับสายสร้อยห้อยจี้เพชรซึ่งนั่งฝั่งตรงข้ามคุยกับผู้เป็นป้ามาตั้งแต่ช่วงเที่ยงวันยันมื้อค่ำ

การแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ในทุกเรื่องทำให้มลธิกาพอใจในสติปัญญาชาญฉลาดดุจเดียวกับรูปโฉมภายนอกของวิกานดา ทายาทธุรกิจเจ้าของโรงแรมและรีสอร์ทดังในญี่ปุ่นและในไทยจนมาดหมายอยากได้หล่อนมาร่วมวงศาคณาญาติมากเกินกว่าจะสังเกตเห็นอาการอึดอัดเบื่อหน่ายที่หลานชายหลุดแสดงออกมาเป็นครั้งคราแม้แต่น้อย

“ ขอบคุณมากนะคะที่ให้วิมาหาคุณป้าที่บ้าน วันนี้วิสนุกมากค่ะได้รู้อะไรในวงการธุรกิจมากขึ้น แถมอาหารที่นี่ก็อร่อย แต่วิต้องขอตัวกลับก่อน แล้วคราวหน้าถ้าวิว่างจะมาเยี่ยมคุณป้าอีก ” วิกานดากล่าวลา กราบแทบอกของสตรีวัยกลางคนอย่างพินอบพิเทา

“ โธ่เสียดายจัง แต่เอาเถอะ ป้าเองก็ไม่ได้บอกคุณเสกไว้ไม่อย่างนั้นป้าจะให้หนูวิค้างที่นี่ ” นางบ่นอย่างเสียดาย แล้วหันไปหาหลานชาย “ ใหญ่ไปส่งหนูวิหน่อยนะลูก กลางค่ำกลางคืนน้องเขาเป็นผู้หญิงกลับคนเดียวจะอันตราย ”

“ ไม่เป็นไรค่ะคุณป้า วันนี้วิขับรถมาเอง คงไม่ต้องให้คุณใหญ่ไปถึงบ้านหรอกค่ะ ” หล่อนเว้นจังหวะ ริม
ฝีปากอิ่มเคลือบสีส้มอมแดงแย้มกว้าง “ แค่ไปส่งวิที่รถก็พอ คิดว่าคงไม่เป็นการรบกวนคุณใหญ่เกินไปนะคะ ”

“ ครับ ” ศิระตอบสั้น พับผ้าเช็ดปากวางไว้บนโต๊ะ ลุกขึ้นพร้อมดันเก้าอี้เก็บ ผายมือเชิญหญิงสาวให้นำทางล่วงหน้าแล้วค่อยตามไป

ตลอดทางสองหนุ่มสาวเงียบกริบไม่ปริปากพูดสิ่งใดกันกระทั่งเดินมาถึงรถสปอร์ตคันหรูสีดำที่จอดอยู่ตรงลานกว้างหน้าคฤหาสน์ วิกานดากดปุ่มบนกุญแจปลดล็อกรถ เรือนร่างเพรียวระหงเยื้องกรายขึ้นรถได้สง่างามทุกอิริยาบถ เสียงสตาร์ทเครื่องยนต์สร้างความโล่งอกแด่คนที่รอคอยให้เจ้าของรถกลับอยู่เป็นนาน แต่ผิดคาดแทนที่รถจะเคลื่อนออกไปในทันที กลับเป็นกระจกที่ถูกลดลงเผยให้เห็นใบหน้าของวิกานดาใต้แสงไฟสลัว

“ ขอบคุณนะคะที่มาส่ง...วิคิดว่าเราสองคนเหมาะสมกันมาก ถ้าเราได้หมั้นหมายกัน วิเชื่อนะคะว่า กิจการของเราสองตระกูลจะเจริญก้าวหน้ามากกว่านี้ ” หล่อนรุกคืบรวดเร็วตามประสาคนมั่นใจในตัวเองสูง

“ แต่ผมคงหมั้นกับคุณวิไม่ได้หรอกครับ ” เขาตอบพลางยิ้มน้อยๆ

“ ทำไมล่ะคะ ” อีกฝ่ายเลิกคิ้วสูงถามต่ออย่างสงสัย

“ ผมมีคนที่รักแล้ว และไม่เคยคิดจะหมั้นหรือแต่งงานกับใครนอกจากคนที่ผมรัก ”

วาจาตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อมแม้แต่น้อยเป็นวิธีที่ศิระใช้ในการเผชิญหน้ากับการรุกเร้าของผู้หญิงที่ผู้เป็นเลือกเฟ้นมาให้ ยิ่งกับในรายใดที่มั่นใจในตัวเองมากการถูกทำลายความเชื่อมั่นนับเป็นการทำลายความสัมพันธ์ที่ตรงจุดและได้ผลเป็นอย่างมาก

น่าแปลกแทนที่วิกานดาจะบึ่งรถออกไปอย่างหัวเสีย กลับมีเสียงหัวเราะเบาในลำคอคล้ายกับคำของเขาเป็นเรื่องตลกชวนขบขัน

“ คุณใช้มุกนี้กับผู้หญิงทุกคนหรือคะ ” หล่อนหยอกเย้าอารมณ์ดี ปลายนิ้วเคาะขอบกระจก “ รู้อะไรไหมคะคุณใหญ่ วิเองก็เคยใช้มุกนี้กับผู้ชายคนอื่นเหมือนกัน แล้ววิก็ไม่สนใจด้วยว่า คุณใหญ่จะมีคนรักจริงหรือเปล่า ขอเค่วิอยากหมั้น คุณใหญ่ก็ต้องหมั้นกับวิ”

หญิงสาวทิ้งระเบิดทั้งลูกไว้ให้ กดปุ่มปิดกระจกเคลื่อนรถออกไป ปล่อยศิระให้เสยผมจนยุ่งเหยิงกับการคาดเดาผิดพลาดที่เกิดขึ้น

...ผู้หญิงบ้าอะไรอย่างนี้...

ศศิวิมลเปิดประตูรั้วเล็กกลับเข้ามาในเขตอาศัย เห็นพี่ชายยืนกอดอกตรงลานหน้าคฤหาสน์ก็แวะเข้าไปหาถามถึงว่าที่คู่หมั้นคนใหม่ที่ป้ามาหาให้อย่างสนอกสนใจ

“ ผู้หญิงประหลาด พี่คงหมั้นด้วยไม่ได้ ” พี่ชายตอบน้องตามความจริง

“ พี่ใหญ่ก็พูดกับเล็กแบบนี้ทุกที ระวังเถอะเล็กตัวมากๆ เดี๋ยวก็ถูกลือว่าเป็นพวกรักไม้ป่าเดียวกันสักวัน ”

“ ก็ให้เขาลือไป พี่ยอมเป็นเกย์ดีกว่าแต่งงานกับคนไม่ได้รัก ” ลงน้ำหนักเสียงทุกคำหนักจริงจัง

“ แต่เล็กได้ยินใครต่อใครพูดกันว่า คราวนี้เล็กน่าจะได้พี่สะใภ้เป็นตัวเป็นตนแล้วนะคะ ” ผู้เป็นน้องแซว...แกล้งทำท่าทะเล้นยั่วให้พี่เลิกตีหน้าขรึมเคร่งเครียด เลยถูกมือใหญ่แข็งแรงรวบเอวยกตัวลอยสูงจากพื้น

“ เดี๋ยวนี้แซวผู้ใหญ่เก่งเหลือเกินนะเรา สงสัยต้องโดนสักที ” ศิระเปรย หมุนตัวจับร่างบอบบางเหวี่ยงไปโดยรอบ สองพี่น้องประสานเสียงหัวเราะกังวานจนทุกอย่างใต้ความมืดในห้วงราตรีนั้นพลันสว่างสดใส โดยไม่ทันเห็นว่าใครมุ่งหน้า ตรงมาหาอย่างไม่สบอารมณ์นัก

...นานแล้วที่สองพี่น้องไม่ได้เล่นหรืออยู่ใกล้ชิดสนิทสนมกัน...

“ ทำอะไรกันอยู่ ” มลธิการ้องถามเสียงลั่น...ผู้เป็นพี่เลยได้ฤกษ์วางน้องสาวลงกับพื้นแล้วขยับใช้แผ่นหลังกว้างบังไว้หมายปกป้องเต็มกำลัง

เจ้าของบ้านเหลือบแลดวงหน้าซีดขาวของศศิวิมลสลับกับใบหน้าเรียบตึงของศิระ สูดลมหายใจลึกปรับสีหน้าเก็บกลั้นความรู้สึกมากมายที่หลั่งไหลมา แสร้งเปลี่ยนเรื่องถามถึงอาการป่วยของอรพิณ

“ วันนี้พี่ภาคกลับมาบ้าน ป้าพิณก็มีกำลังใจดี กินข้าวได้เยอะเชียวค่ะ ” หล่อนรายงาน ยิ้มละไมเมื่อหวนคำนึงถึงใบหน้าอิ่มเอิบของอรพิณยามมีลูกชายใกล้ชิดดูแล

“ จริงหรือนี้ ตาภาคกลับมาแล้ว...อย่างนี้ค่อยโล่งอกหน่อย ” นางยกมือลูบอก ความกังวลคลายลงอย่างเห็นได้ชัด “ เล็กไปดูป้าพิณทั้งวันคงจะเพลีย รีบกลับไปอาบน้ำอาบท่าซะนะ เดี๋ยวแม่คุยกับพี่เขาสักพักจะตามไปคุยเรื่องบ้านนู้นด้วย ” นางโบกมือไล่ให้หลานสาวกลับไปเรือนเล็ก รอจนมองไม่เห็นใครอยู่โดยรอบก็เดินลงไปจับแขนหลานชายไว้

“ ป้าเคยบอกใหญ่แล้วไม่ใช่เหรอ ว่าจะเล่นเป็นเด็กเล็กๆกับน้องเหมือนแต่ก่อนไม่ได้แล้ว ”

ศิระทอดสายตามองร่องริ้วจากคิ้วที่ขมวดมุ่น ดวงตาของญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวที่เหลือในชีวิตเต็มไปด้วยความหวาดระแวง...บ่อยครั้งการแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งของป้ากลั่นให้เกิดความสงสัยในการกระทำนั้น

ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มลธิกาพยายามผลักไสน้องสาวให้ห่างไกลจากเขาไปทุกที

“ ผิดหรือครับที่ผมจะเล่นกับน้อง...ผมมีน้องสาวแท้ๆกับเขาแค่คนเดียว ถ้าไม่เล่นกับน้องจะเล่นกับใคร ” ย้อนถาม ดวงตาคมหยั่งลึกถึงก้นบึ้งแห่งความจริงที่อีกฝ่ายเก็บซ่อนไว้

“ แม่ไม่ได้บอกว่าผิด แต่ใหญ่อย่าลืมว่าสถานะตอนนี้ของใหญ่เป็นถึงผู้บริหารระดับสูง ถ้าใครมาเห็นใหญ่เล่นเป็นเด็กกับเล็ก คนเขาจะเอาไปนินทาว่าใหญ่ไม่รู้จักโต ขืนเป็นแบบนั้นคงไม่มีใครลงคะแนนเลือกใหญ่มานั่งตำแหน่งประธานผู้บริหารแทนแม่ ” ใช้เหตุผลทางธุรกิจเป็นข้ออ้างในการนี้

ชายหนุ่มเหยียดมุมปากเล็กน้อยกับสิ่งที่ได้รับรู้ ก้มศีรษะลงเล็กน้อยเป็นเชิงให้ทราบว่าเข้าใจดีทุกอย่าง

“ ผมรู้ว่าตัวเองมีหน้าที่อะไร แต่เวลาอยู่ในบ้าน ผมแค่อยากเป็นตัวเองบ้าง ”

ถ้อยคำลอยผ่านกระทบใจมลธิกาให้หันมองตามหลานชายที่เดินจากไปไกลเสียแล้วอย่างห่วงใยพลางถอนหายใจยาวหนักอกหนักใจหากทำได้เพียงแหงนหน้ามองฟ้ายามค่ำคืนเพียงลำพัง

จากพื้นราบด้านล่างเหนือขึ้นมายังลำแสงสว่างจ้าที่ลอดจากบานหน้าต่างของห้องที่ไม่เคยถูกเปิดเลยมานานหลายเดือน ภายในเป็นห้องทำงานขนาดใหญ่ เอกสารอัดแน่นเต็มตู้เช่นเดียวกับหนังสือมากมาย บนโต๊ะมีเครื่องคอมพิวเตอร์ทันสมัย ตรงผนังมีภาพถ่ายเต็มตัวของบุรุษคนหนึ่งใส่กรอบทอง ชายหนุ่มกอดอกสบสายตากับคนในภาพยาวนานราวกับว่าภาพนั้นมีชีวิตจิตวิญญาณนายใหญ่แห่งวิสุทธิ์สุนทรสิงสู่

โทรศัพท์มือถือบางเฉียบถูกหยิบออกมากดหมายหมายเลขโทรออก

“ ฉันต้องการข้อมูลทั้งหมดของอังคพิมานกรุ๊ปรวมถึงประวัติคนในตระกูลนั้นในเชิงลึกภายในเช้าวันพรุ่งนี้ “ สั่งการผ่านปลายสายแล้วกดวาง ก่อนเขาจะถอยห่างจากรูปภาพ กดปิดสวิตช์ไฟทุกดวงและปิดประตูให้ทั้งห้องเหลือเพียงความมืดมิดดังที่เคยเป็นมา
************

อากาศในเช้าวันนี้ขมุกขมัวดังกับว่าจะมีสายฝนกระหนำโปรยปราย มลธิกายืนกอดอกแลเมฆสีดำอมเทา ทันทีที่ได้ยินเสียงแง้มประตูกับเสียงฝีเท้าก็ละกลับเข้ามาภายในห้อง จับจ้องชายหนุ่มที่สวมกางเกงยีนส์กับเสื้อยืดสีดำเรียบง่ายแต่ยังคงเสน่ห์น่ามองทุกระเบียดนิ้ว

มือเรียวใหญ่ไหว้สตรีสูงวัยกว่าอ่อนน้อม...สามวันหลังกลับถึงแผ่นดินไทย เขาเพิ่งมีโอกาสมาเยี่ยมเคารพเพื่อนสนิทของมารดาที่ช่วยจัดงานศพให้บิดาจนทุกอย่างลุล่วงด้วยดี

“ ภาคเปลี่ยนไปมากนะ ถ้าป้าเจอเราข้างนอกคงจำไม่ได้ ” นางว่า ยังรูปลักษณ์ลูกคุณหนูเอาแต่ใจได้ดีแม้บัดนี้คนตรงหน้าจะกลับกลายเป็นชายหนุ่มมาดเข้มสมชายชาตรีแล้วก็ตาม

“ ขอโทษนะครับที่ผมไม่ได้มาหาป้ามลตั้งแต่วันแรกๆ พอดีช่วงนี้ผมยุ่งหลายเรื่อง โชคดีที่วันนี้ป้ามลไม่ไปทำงาน ผมเลยได้ฤกษ์มาเยี่ยมเสียที ” สุ้มเสียงที่เลือกใช้นุ่มนวลแสดงให้เห็นถึงวุฒิภาวะที่พัฒนามากกว่าแต่ก่อน

“ ไม่ถึงกับโชคดีอะไรหรอก เดี๋ยวนี้ป้าไม่ค่อยได้เข้าไปดูงานที่โรงแรมเท่าไหร่ ปล่อยหน้าที่ให้ตาใหญ่เป็นคนดูแล อย่างว่านะภาค ป้านะมันแก่แล้วจะให้วิ่งรอกทำงานหนักเหมือนแต่ก่อนก็ไม่ได้ อย่างดีก็แค่คอยตาใหญ่รายงานข่าวคราวในโรงแรมกับให้คำแนะนำบ้างเท่านั้นเอง...เสียดายที่ภาคไม่ได้มาตอนตาใหญ่อยู่ ไม่งั้นภาคจะเห็นว่าเดี๋ยวนี้ตาใหญ่เขาเก่งขนาดไหน ผู้บริหารอายุมากกว่าเขาหลายคนยังยอมแพ้เขาเลยนะ” ผู้เป็นป้ากล่าวถึงหลานชายอย่างภาคภูมิใจออกหน้าออกตา เผลอหยามความสามารถของลูกชายเพื่อนอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่คนฟังก็เพียงเหยียดมุมปาก พยักเพยิดเป็นเชิงรับรู้เท่านั้น

“ แล้วภาคล่ะจ๊ะ ไปทำอะไรมาที่นู้นมาบ้าง ”

“ ก็หลายอย่างครับ ผมเป็นคนไม่เกี่ยงงาน จะให้รับจ้าง แบกหามหรืองานบริหารผมก็ทำได้ทั้งนั้น ” ชายหนุ่มเท้าแขนลงบนเก้าอี้ พลางลูบคาง ไม่เดือนร้อนอะไรหากจะร่ายรายการอาชีพที่เคยทำในต่างแดน

“ ตายจริง...ทำไมเราถึงไปทำงานลำบากแบบนั้น พ่อแม่เราส่งเงินไปให้น้อยหรือยังไง ขนาดป้าส่งตาใหญ่ไปเรียนอังกฤษตั้งหลายปี ให้เงินก็ไม่มาก ไม่เห็นเขาลำบากต้องไปรับจ้างทำงานกรรมกรแบบนั้นเลย ” ท่าทางตระหนกตกใจของนางเรียกเสียงหัวเราะเบาจากชายหนุ่ม

“ ทำไมต้องตกใจขนาดนั้นด้วยครับ...ผมว่าการทำงานทุกอย่างได้เป็นเรื่องดีนะครับ ถึงค่าแรงต่ำแต่ก็ได้รู้จักการใช้ชีวิตบนลำแข้ง ได้เรียนรู้วิถีชีวิตผู้ร่วมงาน ถ้าเอามาปรับใช้อย่างถูกวิธีต่อให้เรียนไม่จบปริญญาผมก็เห็นมีคนประสบความสำเร็จเยอะแยะ ผิดกับพวกที่เรียนมากแล้วขึ้นตำแหน่งสูงพรวดพราด ไม่รู้ไม่เห็นระบบงานระดับล่างสักอย่างต่างหากที่ผมเห็นทำธุรกิจเจ๊งแทบทุกราย ”

แนวความคิดคล้ายส่อเสียดทำเอามลธิกาสะอึก เหลือบแลดวงหน้าที่พราวรอยยิ้มสบายอารมณ์ นัยน์ตาคมทั้งคู่ไร้แววเดียดฉันท์ของชายผู้ที่นางนับเป็นหลานคนหนึ่งแล้วก็ได้แต่ปลอบตัวเองว่า เขาคงพูดเปรียบเปรยหาใช่จงใจกระทบกระเทียบกัน

“ แล้วภาคจะเข้าไปดูบริษัทของคุณพ่อเราเมื่อไหร่กันจ๊ะ ”

“ คงอีกไม่กี่วัน ให้ผมศึกษาเรื่องระบบการผลิตในโรงงานให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยเข้าไปดูด้วยตัวเอง เออ จริงสิครับ ผมอ่านรายงานเรื่องสินค้าแล้ว ทางโรงแรมของคุณป้าสั่งสินค้าพวกเครื่องหอมจากโชเนนฟาวด้วยใช่ไหมครับ ถ้ายังไงผมขอเอกสารการสั่งซื้อ กับผลตอบรับของบริการด้านผลิตภัณฑ์ของทางโรงแรมหน่อยจะได้ไหมครับ ”

“ ได้สิจ๊ะ” มลธิกากุลีกุจอลุกจากเก้าอี้เดินไปยังตู้เก็บเอกสาร ค้นหาจากชื่อที่ติดตรงสันแฟ้มอยู่นานกว่าจะหยิบออกมาส่งให้อีกฝ่ายพลิกดูสำเนาที่ถ่ายเอกสารจากฉบับจริงมาเก็บรวบรวมไว้

“ คุณป้าเก็บสำเนาจากเอกสารฉบับจริงไว้ที่นี่ทุกอย่างเลยหรือครับ ” เขาเอ่ยเรื่อยเปื่อยขณะอ่านรายละเอียดในเอกสารคร่าวๆ

“ จ๊ะ...เอาไว้เวลาอยากตรวจสอบอะไรจะได้ไม่ต้องไปค้นถึงสาขาใหญ่ ไม่กระโตกกระตาก จับทุจริตได้โดยที่เจ้าตัวยังไม่ทันรู้ด้วยซ้ำ ” ยามคนใกล้ชิดซักไซ้เรื่องงาน นางมักยินดีให้ความกระจ่างเสมอ

เมื่อได้สิ่งของที่ต้องการก็ขอบคุณเจ้าของห้อง ก่อนจะขอตัวลงไปเดินเล่นในสวนของอังคพิมานสักพักค่อยกลับบ้าน ซึ่งมลธิกาก็ไม่ขัดข้อง อีกทั้งยังอนุญาตให้เขาบอกคนสวนตัดดอกไม้สวยๆไปฝากมารดาที่บ้านอีก

ภาควัฒน์ถือแฟ้มไว้ข้างหนึ่งแล้วเดินเอื่อยเฉื่อยไปตามทางหินในสวนกว้างที่เจ้าของบ้านดูแลพันธ์ไม้ให้คงสภาพเดิมเหมือนเมื่อสิบปีก่อนทุกประการ ยิ่งสาวเท้าก้าวลึกไปเท่าไหร่ เรือนหลังเล็กสีขาวก็ยิ่งปรากฏเด่นชัดในสายตามากเท่านั้น

ลมโชยอ่อนพาดพัดเอากลิ่นหอมของมวลดอกไม้พร้อมกับเสียงร้องเพลงไพเราะอ่อนหวานแว่วมา...ตรงหน้าเรือนเล็กมีหญิงสาวถักผมเปียยาวถึงกลางหลังนั่งเย็บเก็บรายละเอียดตามตะเข็บกระโปรง เท้าแกว่งไกวชิงช้าทำด้วยเหล็กดัดเป็นรูปทรงสีขาวพลางร้องเพลงคลอไปด้วย

...รักเอย จริงหรือที่ว่าหวาน หรือทรมานใจคน
ความรักร้อยเล่ห์กล รักเอยลวงล่อใจคน หลอกจนตายใจ
รักนี้มีสุขทุกข์เคล้าไป ใครหยั่งถึงเจ้าได้คงไม่ช้ำฤดี...

ศศิวิมลหยุดร้องเพลงเพื่อมัดปมด้าย พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นชายหนุ่มตัวใหญ่ที่ยืนกอดอกพิงต้นไม้ ในมือมีแฟ้มเอกสารถืออยู่มองตรงมาอย่างไม่ยินดียินร้ายห่างออกไปไม่ไกลนัก

“ พี่ภาค ” หล่อนหลุดเรียกชื่อเขา วางข้าวของบนหน้าตักไว้บนชิงช้าข้างลำตัว ทำท่าจะลุกเดินเข้าไปหาแต่พอนึกถึงความเย็นชาห่างเหินของเขาทุกคราที่พบกันในห้องนอนของอรพิณก็ฉุดรั้งให้จำใจต้องนั่งลงเช่นเดิม

ไม่กล้าเซ้าซี้ทวงถามความสัมพันธ์ครั้งเก่า แม้แต่จะพูดหรือมองเขายังเกรงกริ่ง หากเขาเกิดรำคาญจนพาลเกลียดขี้หน้าขึ้นมาคงหมดโอกาสไปพบเขาและเข้าบ้านวิสุทธิ์สุนทรอีก

ภาควัฒน์กอดอกรอคล้ายรู้ดีว่าสักพักคนที่นั่งอยู่ต้องมาหาแต่จนแล้วจนรอดหญิงสาวก็ยังนั่งทำงานไปเรื่อย สุดท้ายเขาต้องกลายเป็นฝ่ายเข้ามาชะโงกดูการเย็บส่วนแขนของตุ๊กตาที่ใกล้เสร็จสมบูรณ์เสียเอง

“ วันๆนอกจากดูแลแม่ฉัน เวลาในชีวิตที่เหลือก็ทำแต่งานฝีมืออยู่ในรั้วบ้านแค่นี้เหรอ ” เสียงทุ้มเข้มดังเหนือศีรษะ...คนตัวเล็กกว่ากลืนน้ำลายลงคอก้มหน้าก้มตาถักใหญ่กว่าจะยอมปริปาก

“ ทำหลายอย่างค่ะ หลักก็ทำพวกของชำร่วยกับตุ๊กตาตามออเดอร์ลูกค้า เพาะพันธุ์กล้วยไม้ แล้วก็มีต้องทำบัญชีรายจ่ายในบ้านให้แม่ใหญ่ แค่นี้ก็ไม่มีเวลาไปไหนแล้วค่ะ ”

เขาพยักหน้ารับ เหยียดตัวตรงเท้ากวาดสายตามองทุกสรรพสิ่งที่รายล้อมรอบด้าน ยามแสงแดดอ่อนทอทาบบ้านสีขาวกับดงดอกไม้สวยยิ่งงามกระจ่างตา

“ ที่นี่สวยนะ แต่เหมือนกรงทองเสียมากกว่า ”

คำเปรียบเปรยของเขาก่อความสงสัยให้หญิงสาวจนอดเงยหน้ามองคู่สนทนาที่ขยับใบหน้าคมคายเจ้าเสน่ห์ที่ช่วยบังแดดแรงจากดวงอาทิตย์ให้ในระยะประชิด สักพักก็รู้สึกถึงความร้อนผ่าวบนพวงแก้มจึงต้องก้มกลับไปจดจ่อกับงานต่อ

“ ทำไมต้องเป็นกรงทองด้วยคะ”

“ ไม่รู้สึกบ้างหรือว่าตัวเธอเองเหมือนนก ” เว้นจังหวะเล็กน้อยแล้วจึงต่อ “ ถึงกรงทองมันจะสวยงามหรูหรา แต่ประโยชน์ใช้สอยแท้จริงก็แค่มีไว้กักขังจองจำสิ่งมีชีวิตให้สิ้นอิสรภาพ ก็เหมือนที่นี่ถึงจะสวยก็เป็นเพียงมายาที่ครอบกรงขังไว้ มนุษย์คนใดหลงเข้ามาก็คงต้องจำใจถูกกักขังไว้ตราบจนวันตาย ”

ประโยคสุดท้ายเน้นชัด นัยน์ตาหวานอมโศกกระตุกแรงสนองตอบต่อคำที่กระทบความรู้สึกลึกล้ำซึ่งเก็บซ่อนไว้เพียงลำพังตลอดมา

“ ถ้าต้องเลือก เธออยากเป็นนกสวยในกรงทอง หรือเป็นนกน้อยในป่าใหญ่ล่ะ ศศิวิมล ” เขาจงใจเรียกชื่อคนตรงหน้าเต็มยศ

ศศิวิมลเหม่อใคร่ครวญคำถามจึงเผลอทิ่มเข็มแหลมโดนนิ้วจนสะดุ้งสุดตัว เลือดซึมไหลเป็นหยด...เอี้ยวตัวไปหยิบผ้าเช็ดมือใกล้ตัวหมายจะซับ มือขาวเนียนกลับถูกมือใหญ่ที่สีตัดกันอย่างเห็นได้ชัดคว้าไปดูดกลืนของเหลวสีแดงสดทุกหยาดหยดจากปลายนิ้ว

เหมือนเวลาทุกอย่างในโลก ณ ขณะนั้นหยุดนิ่ง หญิงสาวกระพริบตาปริบ กายชาแข็งทื่อเสมือนหินยามดวงตาคมกล้าเหลือบจ้องใบหน้าหวานของหล่อนเขม็ง...ความเรียบเฉยไร้อารมณ์ฉานฉาย แปลกที่เจ้าของนิ้วกลับรู้สึกสับสน ยากจะเข้าใจในตัวตนที่เดี๋ยวห่างเหิน เดี๋ยวชิดใกล้ของเขา

ภาควัฒน์ถอนริมฝีปากจากปลายนิ้วแล้วเลียมุมปากตนเองราวกับได้ลิ้มชิมของหวาน คงความเย็นชาไว้ในทุกกิริยาอาการ

“ เห็นเรียบร้อยแต่ซุ่มซ่ามเหลือเกิน อย่าลืมหาปลาสเตอร์มาปิดล่ะ ฉันไปละ ” ชายหนุ่มกล่าวอำลารวดเร็ว หมุนตัวกลับแต่ไม่วายโบกมือจากด้านหลังกลับออกไปทางเก่าให้ต้นไม้ในสวนช่วยเร้นกายจนกระทั่งเลือนลับจากสายตา

ทิ้งศศิวิมลให้หัวใจเต้นแรง ดวงหน้าเซียวซีดเสมอกลายเป็นสีแดงจัดดังกับลูกตำลึง แม้แต่สมพรที่เพิ่งกลับมาจากเรือนใหญ่เห็นเข้ายังอุทานเสียงดังลั่น เข้ามาจับเนื้อจับตัวกลัวคุณหนูตนจะเป็นไข้

แต่นาทีนั้นหล่อนกลับไม่ได้ยินสุรเสียงใด ด้วยหัวใจยังยึดติดกับสัมผัสที่ปลายนิ้วของเขาอยู่นั่นเอง





ปาณณิศา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 ส.ค. 2554, 15:19:45 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 ส.ค. 2554, 15:19:45 น.

จำนวนการเข้าชม : 2539





<< บทที่ 4   บทที่ 6 >>
anOO 2 ส.ค. 2554, 17:30:16 น.
นายภาคมาทำดีด้วย ก่อนที่จะมาทำตัวร้ายๆใช่ไหม


ปูสีน้ำเงิน 2 ส.ค. 2554, 20:49:52 น.
ทำไมต้องทำตัวเฉยชากับยัยเล็กด้วยล่ะ


violette 3 ส.ค. 2554, 00:55:36 น.
นายภาคต้องทำร้ายหัวใจตัวเองอยู่ด้วยแน่ๆ
อยากรู้ว่าทำไมถึงเจ็บแค้นอังคพิมานนักนะ


ling 3 ส.ค. 2554, 15:35:41 น.
มารอตอนใหม่ค่ะ อิอิ กำลังสนุก


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account