เพรงพรหมข้ามภพ
บ้านเช่าหลังหนึ่งนำพาหล่อนให้พบกับเขา 'หลวงเดชาอักษร' ผู้ซึ่งกล่าวหาว่าหล่อนเป็นสตรีวิปลาสในคราวแรกที่ได้พบกัน อีกทั้งยังบอกว่าหล่อนหน้าตาเหมือนเจ้าสาวของเขาที่หายตัวไปเมื่อสามปีก่อน!
โชคชะตากำลังกลั่นแกล้งกับหล่อนหรือไร จึงทำให้หล่อนข้ามผ่านกาลเวลา มาโผล่บนเรือนของคุณหลวงผู้นี้ และจำต้องปลอมตัวเป็น 'แม่วาด' เจ้าสาวที่หายตัวไปของเขาอีกด้วย!

Tags: พีเรียด,รัตนโกสินทร์ตอนต้น,ลิขิตเหนือกาล

ตอน: บทที่ ๕ - ข้ามเวลามาพบกัน ๒






แม้ข้าวหอมจะทั้งเจ็บ ทั้งอายแต่ความตื่นตระหนกมีมากกว่าเพราะบัดนี้ ห้องทำงานของคุณหลวงสว่างจ้าด้วยแสงสีแดงปนเขียว หาใช่แสงจากตะเกียงเจ้าพายุไม่

แสงนั้นมากจากของสิ่งหนึ่งที่กำลังลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ข้าวหอมต้องหยีตามอง เพ่งให้รู้แน่ชัดว่ามันคือแสงอะไรกันแน่

หากหล่อนมองไม่ผิด หล่อนแน่ใจว่าสิ่งนั้นคือกล่องกำมะหยี่ที่บรรจุทับทรวงโบราณที่สตีฟมอบให้หล่อนนั่นเอง...ทำไมของโบราณชิ้นนั้นจึงมีแสงเปล่งรัศมีเจิดจ้าเช่นนี้ ยากนักที่จะหาคำตอบ ที่สำคัญมันส่องสว่างเพียงแค่เสี้ยววินาทีจนหล่อนคิดว่าตัวเองตาฝาดไป

ยามแสงนั้นดับวูบ ห้องทั้งห้องจึงเสมือนตกอยู่ในความมืดมิด พักใหญ่ทีเดียวกว่าสายตาของหล่อนจะคุ้นชินกับความสลัวรางที่มีเพียงแสงตะเกียงให้ความสว่าง

ชั่ววินาทีนั้นความเจ็บปวดจากการที่ก้นกระแทกพื้นทำให้หล่อนต้องโอดครวญ

“โอ๊ะ...”

“เป็นอย่างไรบ้าง”

เสียงของคุณหลวงก้องกังวานอยู่ในหู พร้อมคำถามนั้นเขาก็ปราดเข้ามาหา ก้มหน้ายืนมองดูหล่อนอย่างสำรวจตรวจตรา “เจ็บฤๅไม่”

คำถามเอื้ออาทร แต่กระแสเสียงตอนท้ายที่ละม้ายเสียงหัวเราะนั่นมันหมายความว่าอย่างไรกัน!

ข้าวหอมเม้มปากแน่น โทสะคุกรุ่นอยู่หน่อยๆ จนลืมเลือนแสงประหลาดเมื่อครู่นี้ไปเสียสิ้น

“ขายขี้หน้าชะมัด!” หล่อนรำพันกึ่งหงุดหงิดกึ่งสมเพชตัวเอง จากนั้นก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน มือข้างหนึ่งคลำสะโพกป้อยๆ “...โอย...เจ็บจัง!”

“ทาหยูกยาเสียหน่อยดีฤๅไม่”

คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมอง เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งแล้วย้อนถาม

“คุณหลวงจะทาให้เหรอคะ”

รู้หรอกว่าเขาไม่มีทางทำแบบนั้นแน่ หล่อนเพียงแต่แกล้งถามกวนโทสะเขาเล่นๆ เช่นนั้นเอง แต่ใครจะคิดเล่า...คนหน้าดุกลับทำสีหน้าประหลาด มิหนำซ้ำแก้มยังแดงระเรื่อราวกับ...ขวยเขิน!

“พูดกระไรของหล่อน เป็นสตรีมิสมควรพูดเสมือนเชิญชวนบุรุษเช่นนี้”

คนตัวเล็กหัวเราะพรืด ความหงุดหงิดจางหายไปอย่างง่ายดาย แทนที่ด้วยความขบขันระคนเอ็นดู

...เอ็นดูในความ เอ...จะเรียกว่าไงดีล่ะ คงเป็น ‘ความไร้เดียงสา’ กระมัง

...ใช่แล้วล่ะ คุณหลวงน่ะไร้เดียงสาเกินไป ราวกับไม่เคยใกล้ชิดผู้หญิงหรือจีบผู้หญิงมาก่อนเลย เอ๊ะ...แต่คุณหลวงมีคนรักแล้วนี่นา แม่วาดนั่นอย่างไรเล่า เหตุไฉนจึงยังดูไร้เดียงสาเช่นนี้ได้

“จักพูดจาอันใด ระวังเสียหน่อยเถิด หล่อนเป็นผู้หญิง ควรรักษากิริยา...”

เห็นแววว่าจะโดนเทศน์ยืดยาว หล่อนก็รีบยกมือห้ามปราม

“ค่ะ เอ้ย...เจ้าค่ะ! อิฉันทราบเจ้าค่ะว่ามันไม่สุภาพ” หล่อนถอนใจเฮือก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงระอา “ฉันแค่ล้อเล่นเอง ไม่ได้จะให้คุณหลวงทำจริงๆ ซะหน่อย ทำเป็นจริงเป็นจังไปได้”

เอ่ยพลางเดินกะย่องกะแย่งไปที่เก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน เขม้นมองเก้าอี้ตัวนั้นอยู่นานเพราะความไม่แน่ใจ...ก็หล่อนเจ็บตัวอยู่ ถ้าเกิดล้มก้นจ้ำเบ้าอีกครา หล่อนคงช้ำไปทั้งตัว แถมยังต้องอายจนอยากแทรกแผ่นดินหนีเลยด้วยซ้ำ! หญิงสาวแลบเลียริมฝีปากขณะเอื้อมมือออกไป ค่อยๆ แต่เก้าอี้ตรงหน้าอย่างคาดหวัง

เยส!! หล่อนแทบจะตะโกนออกมาเมื่อพบว่าตนเองแตะเก้าอี้ตัวนั้นได้ มิใช่เป็นคนไม่มีตัวตน จับอะไรไม่ได้สักอย่างเหมือนคราวแรกที่ปรากฏกายในห้องนี้ หล่อนค่อยๆ หย่อนก้นลงไป นั่งอย่างหมิ่นเหม่ ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ สองตาก็เหลือบไปเห็นสมุดลายไทยที่วางบนโต๊ะ มีตัวอักษรสีดำอยู่บนปก อ่านได้ว่า ‘พระอภัยมณี’

คำนั้นทำให้หล่อนสนอกสนใจไม่น้อย จึงเงยหน้ามองเจ้าของห้อง แววตาดำขลับวาววาม เปี่ยมด้วยความหวัง

“ฉันขอดูได้ไหมคะคุณหลวง” ใจหนึ่งหล่อนเกรงว่าเขาจะปฏิเสธ จึงรีบเอ่ยต่อว่า “คุณหลวงก็อยู่ตรงนี้ ฉันคงไม่กล้าทำมันฉีกชาดหรือเสียหายหรอกค่ะ”

คำอนุญาตของคุณหลวงคือการพยักหน้าน้อยๆ แบบที่ถ้าไม่สังเกตก็คงไม่เห็น

หญิงสาวยิ้มกว้างขวาง อวดฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ พร้อมกับขอบคุณเบาๆ จากนั้นก็ค่อยๆ หยิบสมุดเล่มนั้นขึ้นมา เปิดอย่างระมัดระวังด้วยเกรงว่ามันจะฉีกชาด

ลายมือในสมุดตวัดไปฉวัดเฉวียนได้งดงามชวนมองเฉกเช่นเดียวกับบนหน้าปก...คงสวยในสายตาของคนสมัยก่อน แต่สำหรับหล่อนที่เกิดและเติบโตในยุคสมัยที่การเขียนเปลี่ยนแปลงไปมากแล้วนั้น กว่าจะอ่านอักษรแต่ละตัวได้ก็ยากเอาการทีเดียว แต่ข้าวหอมก็ยังพยายามอ่านด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ข้อความเหล่านั้นคือบทกลอน...บางบทหล่อนไม่เคยผ่านตามาก่อน แต่บางบทก็คุ้นมากเหลือเกิน

พระสวมสอดกอดแอบแนบถนอม งามละม่อมแม่อย่าหมองเลยน้องเอ๋ย

สักแสนปีมิได้ร้างให้ห่างเชย ไม่ละเลยลืมสัตย์ปฏิญาณ

ถึงม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทร ไม่สิ้นสุดความรักสมัครสมาน

แม้เกิดในใต้ฟ้าสุธาธาร ขอพบพานพิศวาสไม่คลาดคลา

แม้เนื้อเย็นเป็นห้วงมหรรณพ พี่ขอพบศรีสวัสดิ์เป็นมัจฉา

แม่เป็นบัวตัวพี่เป็นภุมรา เชยผกาโกสุมปทุมทอง

เจ้าเป็นถ้ำอำไพขอให้พี่ เป็นราชสีห์สิงสู่เป็นคู่สอง

จะติดตามทรามสงวนนวลละออง เป็นคู่ครองพิศวาสทุกชาติไป[1]

ตั้งแต่ท่อนถึงม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทร จนถึงท่อนสุดท้าย เป็นบทกลอนอันโด่งดังมาตั้งแต่ข้าวหอมยังเด็กๆ หล่อนเคยได้ยินกลอนบทนี้ผ่านเพลงเพลงหนึ่ง ชื่อเพลง ‘คำมั่นสัญญา’ และยังผ่านตาตอนเรียนหนังสือ

หญิงสาวใจเต้นแรงเมื่อเพ่งมองลายมือนั้น รู้สึกตื่นเต้นระคนยินดีขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

“นี่ใช่ลายมือของสุนทรภู่รึเปล่าคะ”

คนถูกถามซึ่งยังยืนเอามือไพล่หลัง เว้นระยะห่างออกไปอีกมุมหนึ่งของห้องนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนแก้ไขถ้อยคำของหล่อนเสียใหม่

“ขุนสุนทรโวหาร...ใช่แล้ว หล่อนเข้าใจถูกต้อง นั่นคือลายมือของท่านขุน”

ได้ยินดังนั้นข้าวหอมก็อยากจะถ่ายรูปเก็บไว้เหลือเกิน แต่น่าเสียดาย...หล่อนไม่มีทั้งกล้องและโทรศัพท์มือถือ คราวหน้าถ้าหล่อนได้มาที่นี่อีกคงต้องเตรียมของเหล่านั้นไว้ในกระเป๋าเสียแล้ว

และเพราะมัวแต่สนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้า หล่อนจึงไม่เห็นแววตาคลางแคลงสงสัยกึ่งชื่นชมจากเจ้าของห้อง

“หล่อนอ่านออกได้เยี่ยงไร”

ข้าวหอมแทบไม่ได้ยินว่าเขาถามอะไร เพราะตื่นเต้นกับสิ่งที่น้อยคนนักจะได้ประสบพบพานจึงไม่ได้เอ่ยตอบ

หญิงสาวค่อยๆ วางสมุดเล่มนั้นลงบนโต๊ะอย่างเบามือ เมื่อเหลือบไปเห็นสมุดลายไทยอีกสามสี่เล่มวางเรียงกันอยู่ หล่อนมองเจ้าของเป็นเชิงอนุญาต ครั้นเขาพยักหน้า หล่อนจึงหยิบมันมาดูผ่านๆ

เล่มหนึ่งนั้นคือบทละครเรื่องรามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย อีกเล่มหนึ่งเป็นนิราศภูเขาทองบทประพันธ์ของสุนทรภู่ ส่วนอีกเล่มเป็นบทกลอนที่หล่อนไม่รู้จัก...หล่อนคิดไปไกลว่าอาจจะเป็นบทกลอนของสุนทรภู่ที่หายไปก่อนที่จะมาถึงอนุชนรุ่นหลังอย่างหล่อนก็เป็นได้

ส่วนเล่มที่วางอยู่ล่างสุดไม่ใช่ภาษาไทย แต่เป็นตัวเขียนภาษาอังกฤษ อ่านยากกว่าภาษาไทยเล็กน้อย ทว่าข้าวหอมพออ่านออกได้ เจ้าตัวกวาดสายตาตั้งแต่บรรทัดแรกเรื่อยลงมาจนถึงบรรทัดสุดท้าย โดยอ่านออกเสียงไปด้วย และได้รู้ว่าข้อความเหล่านั้นเป็นบันทึกของชาวต่างชาติผู้หนึ่งที่มาติดต่อค้าขายกับชาวสยาม

เพราะสนใจแต่สิ่งล้ำค่าในมือ หล่อนจึงไม่รู้ว่าเจ้าของห้องเดินมายืนอยู่ทางด้านหลังเมื่อไร เขาเท้าแขนข้างหนึ่งลงบนโต๊ะ โน้มตัวลงมาอ่านข้อความในนั้นพร้อมกันอีกด้วย

ครั้นหล่อนยืดตัวตรง ก็ต้องสะดุ้งเพราะศีรษะของตนเองชนเข้ากับปลายคางของเขาเข้าอย่างจัง

“อุ๊ย!” อารามตกใจหันไปมอง ปลายจมูกของหล่อนจึงชนเข้ากับไรหนวดจางๆ บนปลายคางของเขาอย่างไม่ตั้งใจ

ข้าวหอมบังเกิดความรู้สึกคันๆในหัวใจอย่างไม่มีเหตุผล อยากจะลุกหนีไปแต่กลับไม่อาจขยับตัวได้ เพราะกำลังลุ่มหลงกับดวงตาอันทรงเสน่ห์ที่มีประกายประหลาดของเขาคู่นั้น

ก่อนหน้านี้หลวงเดชาอักษรยืนอยู่ห่างหล่อนเป็นโยชน์ ก็คงด้วยข้ออ้างที่ว่า ‘บุรุษกับสตรีมิควรใกล้ชิดกัน’ แต่ตอนนี้กลับเป็นเขาเองที่พยายามเข้ามาใกล้ชิดหล่อน

...เพราะอะไร?...

พลันที่ถามเช่นนั้น หล่อนก็ได้คำตอบ

“หล่อนรู้จักภาษาของพวกวิลาด[2]ด้วยรึ”

วิลาศ? คืออะไรหนอ? ใช่ชาวต่างชาติรึเปล่านะ?

“คุณหมายถึงภาษาอังกฤษนี่เหรอ” เอ่ยพลางชี้มือไปที่ข้อความในสมุดเล่มนั้น หลวงเดชาอักษรนิ่งไปอึดใจก่อนย้อนถาม

“ภาษาฝาหรั่ง...หล่อนรู้จักใช่ไหม”

ข้าวหอมถึงกับร้องอ้อในลำคอ...เข้าใจแล้วว่าคนที่ทำท่ารังเกียจเดียดฉันท์หล่อนราวกับหล่อนเป็นเชื้อโรคร้ายนั้นยอมเข้ามาใกล้ชิดขนาดนี้ก็เพราะเห็นว่าหล่อนอ่านภาษาอังกฤษออกนี่เอง

“อ่านออกบ้างค่ะ แต่ไม่ได้เก่งอะไรนะคะ บางคำฉันก็แปลไม่ออก เดาๆ เอาค่ะ”

หลวงเดชาอักษรคงไม่เข้าใจเพราะเขามองหล่อนด้วยความงุนงงอยู่ครู่ ก่อนถามต่อว่า

“หล่อนเขียนได้ฤๅไม่”

“ถ้าเรื่องเขียน ได้แน่นอนค่ะ ฉันเขียนได้ทุกคำเลย” สิ้นคำตอบนั้น แววตาที่ทอดมองมาทอประกายชื่นชมอย่างปิดไม่มิด ข้าวหอมเห็นดังนั้น แก้มพลันร้อนผ่าว ใจเต้นตึกตักอย่างไม่มีเหตุผล

“ถ้าเช่นนั้น...หากฉันให้หล่อนช่วยสักหน่อยก็คงได้กระมัง”

“ได้สิคะ...คุณอยากให้ฉันช่วยอะไรคะ”

คุณหลวงหยิบสมุดเล่มนั้นไปจากมือหล่อน มือข้างหนึ่งชี้ไปที่ตัวอักษรบางตัวพร้อมกับเอ่ยว่า

“ฉันต้องคัดลอกข้อความเหล่านี้ให้เสร็จก่อนรุ่งสางวันมะรืน แต่มีบางคำที่ฉันอ่านไม่ออก หากหล่อนช่วยได้ ฉันขอบน้ำใจหล่อนมาก”

ข้าวหอมรับคำโดยไม่คิดแม้แต่นิดเดียว เพราะการได้ช่วยเหลือเขาก็ถือเป็นการเปิดหูเปิดตาอย่างหนึ่ง ได้เห็นอะไรดีๆที่หล่อนไม่เคยเห็นมาก่อน อย่างนี้แล้วใครจะไม่รับเล่า

“แต่บางคำฉันอาจจะอ่านไม่ออกนะคะ”

“ไม่เป็นไรดอก ช่วยเท่าที่หล่อนช่วยได้ก็พอ”

หล่อนยิ้มกว้างอีกครั้ง ดวงตาชื่นชมจึงเปลี่ยนเป็นตำหนิโดยพลัน

“รู้ฤๅไม่ ทีท่าของหล่อน...ไม่งามเลยสักน้อยนิด”

“รู้ค่ะรู้! ก็ฉันไม่ใช่คนที่นี่นี่นา จะให้ทำตัวเรียบร้อยอ่อนหวานเป็นกุลสตรีเหมือนสาวๆ คนอื่นได้ยังไงล่ะคะ”

หลวงเดชาอักษรถอยห่างออกไป เดินอ้อมไปยังอีกฟากหนึ่งของโต๊ะ แล้วหยิบสมุดลายไทยมาวางเรียงซ้อนกันใหม่

“คำพูดของหล่อนก็แปร่งแปลก บาดแก้วหูนัก”

คนถูกว่าทำเสียงฮึ ในลำคอพลางแย้งว่า

“เจ้าคง เจ้าคะน่ะฉันก็พูดเป็นนะคะ แค่ยังไม่ชินเท่านั้นเอง”

“เถียงคำไม่ตกฟาก”

คนเจ้าระเบียบก็ยังหาเรื่องมาว่าหล่อนไม่หยุดหย่อน ข้าวหอมขี้เกียจจะฟัง ลอบทำปากยื่นปากยาวใส่เขา ก่อนฉวยสมุดลายไทยที่เป็นตัวเขียนภาษาอังกฤษมาถือไว้

“ฉันจะคัดลอกคร่าวๆ ให้ก่อน คุณเองก็คอยคัดลอกจากฉันแล้วกัน” เอ่ยพลางกวาดมองบนโต๊ะ “มีสมุดเปล่าๆ ไหม”

คนตัวโตยังทำคิ้วขมวดเหมือนจะไม่พอใจหรือไม่คุ้นเคยกับคำพูดของหล่อน แต่ก็ยื่นส่งสมุดเล่มหนึ่งมาให้พร้อมดินสอหนึ่งแท่ง

ข้าวหอมหันรีหันขวาง หาที่ที่หล่อนจะนั่งเขียนได้อย่างสบายใจ ก็พบชุดโต๊ะกลมวางตั้งชิดผนังด้านหนึ่ง จึงชี้มื้อชี้ไม้ไปตรงนั้น ก่อนรีบเดินจากไปโดยไม่รอคำอนุญาตแม้แต่คำเดียว

หญิงสาวก้มหน้าก้มตาแข่งกับเวลาเพราะไม่รู้ว่าตนเองจะต้องกลับปัจจุบันเมื่อไร หน้าแล้วหน้าเล่าจากหัวค่ำ ล่วงเลยไปจนเกือบเช้า จนความง่วงถาโถมเข้าใส่ หล่อนหาวหวอดๆ อยู่หลายครั้ง แต่ก็ยังฝืนปรือตาทำหน้าที่ของตนเองต่อไป

ทว่า...ไม่นานหลังจากนั้น ศีรษะทุยสวยพลันกระแทกลงกับโต๊ะ

ตุบ!

เสียงนั้นดังก้องอยู่ในความเงียบสงัด ทำให้เจ้าของห้องต้องเงยหน้าขึ้นมาจากงานที่ทำอยู่ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอีกครั้งเมื่อพบว่าสตรีแปลกประหลาดผู้นั้นนั่งคว่ำหน้าแนบไปกับโต๊ะ มือทั้งสองข้างของหล่อนร่วงหล่นอยู่ข้างลำตัว ดินสอหล่นลงบนพื้นและกลิ้งหลุนๆ ไปชนกับขาโต๊ะแล้วนอนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น

หลวงเดชาอักษรเอนกายพิงพนัก ถอนหายใจคราหนึ่ง สองตาจับจ้องร่างเล็กอยู่นานกว่ามุมปากจะยกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่น้อยคนนักจะได้เห็น





พระจันทร์ทรงกลดลอยเด่นอยู่กลางฟ้า สาดแสงลงมากระทบต้นไม้ใหญ่ เกิดเป็นเงาไม้พลิ้วไหวฉาบอยู่บนเรือนไทยฝาปะกนของพระยาเทพไกรศรีสุเรนทรแลภริยาของท่าน...คุณหญิงพลอยผู้ลาจากโลกนี้ไปกว่าสามสิบกว่าปีแล้ว

พระยาเทพไกรศรีสุเรนทรได้ยกเรือนหลังนี้ให้กับบุตรบุญธรรม ส่วนตนเองยังคงอยู่ที่เรือนหลังเดิมซึ่งเป็นเรือนหอ ตั้งอยู่ใกล้ๆ กัน มีเพียงรั้วไม้กั้นไว้เท่านั้น บุตรบุญธรรมของท่านนามว่าเดชซึ่งก็คือหลวงเดชาอักษรผู้กำลังทอดสายตามองสตรีผู้หนึ่งซึ่งฟุบหน้าแนบกับโต๊ะด้วยความสงสัยแกมประหลาดใจ

แสงจันทร์ส่วนหนึ่งสาดกระทบเรือนผมดำขลับซึ่งยาวถึงกลางหลัง สมัยกรุงเก่าทรงผมลักษณะนี้เป็นที่นิยมกันมาก แต่เดี๋ยวนี้มักนิยมผมตัดสั้นทรงดอกกระทุ่ม....โดยเหลือผมไม่กี่เส้นเหนือหูให้ทิ้งตัวลงมาเสียมากกว่า ปลายผมนั้นมีดอกจำปาหรือดอกจำปีห้อยอยู่...เรียกกันว่าผมทัด

สตรีผู้นี้นับว่าประหลาดยิ่ง...หล่อนปรากฏตัวต่อหน้าเขาราวกับภูติผีปีศาจ แต่หากหล่อนเป็นผี เขายังไม่ตกใจเท่าสิ่งที่ได้ประสบพบพาน

ครั้งหนึ่ง เขาเห็นภาพของหล่อนอยู่ในห้องที่ห้อมล้อมด้วยกำแพงสีขาว ห้องนั้นซ้อนทับอยู่กับห้องของเขา ปรากฏเป็นเงาอันเรือนลางอยู่ในคลองจักษุ ตอนนั้นเขาคิดว่าตาฝาดไป แต่หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เพราะถึงมั้กพักสายตาชั่วครู่ใหญ่แล้ว ทันทีที่ลืมตาภาพของหล่อนก็ยังคงอยู่

‘หล่อน’

เขาร้องเรียก แต่หล่อนดูเหมือนจะไม่ได้ยิน ยังคงวุ่นอยู่กับการถอดเสื้อผ้าอาภรณ์ของตนเองออก เขาจำต้องหลับตาและยืนหันหลังให้ รออยู่นานพอควรจึงค่อยๆ หมุนตัวกลับมา แต่ภาพของหล่อนและห้องอันประหลาดนั้นได้เลือนหายไปเสียแล้ว

นอกจากครั้งนั้น เขายังเห็นภาพหล่อนอีกสามสี่ครั้ง จนกระทั่งวันนี้...วันที่หล่อนปรากฏตัวนานกว่าปกติ

หลวงเดชาอักษรวางดินสอ ลุกขึ้นยืนแล้วจรดปลายเท้าอย่างแผ่วเบาเข้าหาคนที่นอนหลับด้วยท่วงท่าประหลาด เขาเอามือไพล่หลัง จับจ้องมองร่างนั้นอยู่เฉยๆ อย่างไม่รู้ว่าควรจักทำเช่นไรกับสาวน้อยแปลกหน้าผู้นี้ดี

คืนนี้หล่อนจักหายตัวไปเมื่อใดก็หาได้รู้ไม่ แต่ถ้าหล่อนบังเอิญต้องอยู่ที่นี่ทั้งคืน การนอนด้วยท่วงท่าเช่นนี้ดูท่าจะไม่สบายเท่าไรนัก ด้วยความเป็นห่วงหลวงเดชาอักษรจึงจำใจขยับกายเข้าหา วางมือลงบนต้นแขนของหล่อน แล้วค่อยๆ ประคองหล่อนให้เอนกายมาข้างหลัง พิงพนักเก้าอี้ เจ้าหล่อนแหงนเงยหน้าอ้าปาก แถมส่งเสียงกรนอย่างไม่อาย เรียกรอยตำหนิจากดวงตาคู่คมได้อีกครั้ง กระนั้นลึกลงไปในดวงตาคู่นี้ยังมีความขบขันแฝงเร้นอยู่ไม่น้อย

“หากคุณน้าของฉันมาเห็นหล่อนตอนนี้เข้า หล่อนคงถูกเทศนาสั่งสอนไปสามวันเจ็ดวันแล้วกระมัง”

ชายหนุ่มพึมพำพร้อมจับศีรษะของสตรีประหลาดให้ตั้งตรงเพราะมันพยายามจะเอียงซ้ายหรือไม่ก็เอียงขวาอยู่เรื่อย ยืนอยู่ในท่านั้นอีกพักใหญ่ด้วยยังลังเลใจว่าควรจะทำเช่นไรกับเจ้าหล่อนดี จู่ๆ ผิวเนื้อนุ่มเนียนที่ตนได้สัมผัสก็อันตรธานหายไป ภาพของหล่อนเรือนลางและเมื่อเขาพยายามคว้ากลับคว้าได้เพียงอากาศเท่านั้น

หลวงเดชาอักษรยืนนิ่งอึ้ง นานพักใหญ่กว่าจะผ่อนลมหายใจออกมาบางเบา บอกยากว่าตนเองบังเกิดความรู้สึกกลัดกลุ้ม หนักใจ หรือโล่งใจกันแน่ เขาก้มตัวหยิบสมุดลายไทยที่หล่อนคัดลอกไว้เกือบแล้วเสร็จขึ้นมา พลิกๆ ดูอย่างพออกพอใจ ด้วยตัวหนังสือของหล่อนนั้นชัดเจนและอ่านง่ายกว่าต้นฉบับหลายเท่า ชายหนุ่มหลุบสายตามองเก้าอี้ว่างเปล่าซึ่งเมื่อครู่นี้สตรีผู้นั้นนั่งอยู่ เพียงชั่วลมพัดก็หมุนกายเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้ของตนเอง และคัดลอกงานจนย่ำรุ่ง



แสงตะวันรำไรอยู่ตรงเส้นขอบฟ้า สาดแสงให้ห้องอันทึบทึมค่อยๆ กระจ่างขึ้นทีละน้อย ไก่ขันเจื้อยแจ้วดังแว่วมาแต่ไกล พร้อมกันนั้นเองเสียงย่ำพระสุรสีห์จำนวนหนึ่งครั้งดังกังวานไปทั่วคุ้งน้ำ หลวงเดชาอักษรลุกขึ้นยืน สาวเท้าไปที่หน้าต่าง พอแลมองออกไปจึงเห็นพวกบ่าวไพร่เดินกันขวักไขว่ บ่าวผู้หนึ่งซึ่งอยู่เวรยามมาตั้งแต่เมื่อคืนเงยหน้ามาเห็นเขาก็รีบกุลีกุจอไปแจ้งแก่แม่ครัว ยามเมื่อเขาก้าวพ้นประตูออกไปก็พบสำรับอาหารวางเตรียมพร้อมอยู่ตรงหอกลางเรียบร้อยแล้ว

ปกติหลวงเดชาอักษรรับประทานอาหารเช้าเพียงลำพังทุกวัน แต่วันนี้นับว่าประหลาด เมื่อบิดาบุญธรรมของเขา...พระยาเทพไกรศรีสุเรนทรนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงสำรับ เมื่อเห็นเขาก็ร้องเรียก

“วันนี้พ่อมีเรื่องจักคุยด้วย กินข้าวกินปลาให้เรียบร้อยเสียก่อนแล้วค่อยพูดกัน”

เมื่อผู้เป็นบิดามาหาถึงเรือนเช่นนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องเล็ก หลวงเดชาอักษรรำพันในใจขณะทรุดนั่งลงตรงข้าม แลนึกย้อนกลับไปในวัยเยาว์ ตอนที่เขาก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมาเรื่องหนึ่ง

ในเวลานั้น หลวงเดชาอักษรเพิ่งโกนจุกได้ไม่นาน เขากับลูกน้องคนสนิทอย่างไอ้ตาบกับไอ้มั่นซึ่งติดสอยห้อยตามกันมาตั้งแต่จำความได้ เกิดมีเรื่องชกต่อยกับบุตรชายของคุณพระดำรงพิชิตซึ่งรับราชการอยู่ที่กรมท่าจนหัวร้างข้างแตก หน้าตาฟกช้ำบวมปูดจนจำแทบไม่ได้

เหตุผลของการต่อยตีกันครั้งนั้น เพียงเพราะอ้ายวิเชียรพูดจาแทงใจดำเขาเข้า

‘ไอ้ลูกไม่มีพ่อมีแม่!’

ประโยคนี้เป็นประโยคต้องห้ามสำหรับเขา แม้สิ่งที่ใครๆ พูดนั้นจักเป็นความจริงก็ตาม

หลวงเดชาอักษรเกิดมานับว่าอาภัพไม่น้อย บิดาผู้ให้กำเนิดไม่ยอมรับเขาเป็นลูก ไม่แม้แต่จะยอมรับมารดาของเขาเป็นภรรยาเสียด้วยซ้ำไป ส่วนมารดา...เมื่อให้กำเนิดแล้วก็หาได้ใส่ใจเขาเท่าที่ควรไม่ เพราะมัวแต่ชอกช้ำเสียใจที่ถูกชายผู้เป็นที่รักทอดทิ้ง

กระนั้นก็นับว่ายังมีบุญอยู่บ้างที่คุณหญิงพลอย ญาติฝ่ายมารดามีเมตตารับเขาเป็นบุตร ถึงท่านจะจากโลกนี้ไปก่อนที่เขาจะจำความได้ เขาก็ยังสำนึกบุญคุณและระลึกถึงท่านมาจนทุกวันนี้

โศกนาฏกรรมระหว่างบิดาแลมารดาของเขานั้น นับว่าเป็นเรื่องเล่าอันสนุกปาก นานวันเข้าก็มีการต่อเสริมเสริมแต่งบ้างเพื่อให้เล่าสนุกยิ่งขึ้น

‘นังทับทิมน่ะมันหลงผัวมันยังกะอะไรดี พอตามไปถึงบ้านหลางทุ่ง เห็นผัวมันอยู่กับพูหญิงคนอื่นก็หน้ามืดน่ะซีวะ หยิบดาบมาฟันคอขาดเลยนะโว้ย! หนำซ้ำยังฆ่าตัวตายหนีความผิดเสียอีก’

‘นังทับทิมมันร่านนัก ใครๆ เขาก็รู้กันทั่วทั้งคุ้ง จักแปลกอันใดที่ผัวมันมิยอมรับว่าเด็กในท้องเป็นลูกมัน’

‘ถ้ามันยังมีชีวิตอยู่ คงแบกหน้าสู้ผู้คนเขามิได้ ถึงได้ฆ่าตัวตายหนีอาย!’

เรื่องเล่าเหล่านั้น เขาไม่รู้ว่ามีความจริงกี่มากน้อย เพราะไม่เคยมีใครเล่าเรื่องจริงให้เขาฟังเลยแม้แต่คนเดียว เคยถามบิดา ท่านก็เอาแต่เลี่ยงไปพูดเรื่องอื่นเสีย นานวันเข้าเขาก็เบื่อหน่าย ไม่เอ่ยถามเรื่องนี้อีกเลย

กระนั้น สิ่งเหล่านี้ก็นับว่าเป็นปมด้อยที่ตามติดเขามาตั้งแต่เกิด เป็นชาติกำเนิดที่เขาไม่อาจหลีกเลี่ยงหรือบิดเบือนได้ แม้บิดาบุญธรรมจะดูแลและเลี้ยงดูเขามาอย่างดี แต่ก็ใช่จะทดแทนความรู้สึกอ้างว้างของเขาได้ ดังนั้นเมื่อได้ยินถ้อยคำอันโหดร้ายเช่นนั้น โทสะในใจของเขาก็โหมฮือขึ้นมาอย่างยากจะดับได้ เด็กหนุ่มโผเข้าไปต่อยไอ้คนปลากพล่อยอย่างไม่เกรงกลัว กำปั้นลุ่นๆ สะบัดใส่หน้าของเด็กคนนั้นเต็มแรง จนมันกลิ้งหลุนๆ ไปสามตลบ เจ้าวิเชียรเป็นพวกไม่ยอมคนอยู่แล้ว จึงตอบโต้อย่างไม่ลดราวาศอก เกิดการตะลุมบอนกันขึ้นจนสะบักสะบอมไปทั้งตัว

ครานั้นบิดาของเขาโกรธมาก สั่งโบยเขาเกือบห้าสิบที มิหน้ำซ้ำยังกักบริเวณร่วมยี่สิบวัน หลังจากนั้นเขาจึงถูกส่งตัวไปบวชเณรอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งอยู่ท้ายคุ้งน้ำ ได้ร่ำเรียนเขียนอ่านกับเจ้าอาวาสวัดนั้น สิ่งที่ได้ติดตัวมานอกจากความรู้แล้ว ก็คือลายมือหนักแน่น เป็นระเบียบ และตวัดหางได้งามกว่าใคร

หลังจากสึกออกมา หลวงเดชาอักษรรู้จักควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ก่อเรื่องชกตีชกต่อยกับใครอีก พระยาเทพไกรศรีสุเรนทรจึงสบายใจขึ้นมาเปลาะหนึ่ง

กระทั่งวันนี้...สายตาของผู้เป็นบิดานั้นไม่ต่างจากวันที่สั่งโบยเขาเลยแม้แต่น้อย

“พ่อมีเรื่องจักถามเจ้า”

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว รอจนบ่าวไพร่ยกสำรับไปเก็บเรียบร้อย พระยาเทพไกรศรีสุเรนทรจึงเกริ่นเข้าเรื่อง หลวงเดชาอักษรนั่งหลังไหล่ตรง แลสบตาท่านอย่างไม่กริ่งเกรง ท่าทางของเขามิได้ก้าวร้าว แต่เป็นความองอาจแบบฉบับเดียวกับผู้เป็นบิดานั่นเอง

เมื่อมิได้ทำผิดอันใด ก็จักมีเรื่องใดที่ต้องกลัวเล่า...หลวงเดชาอักษรบอกตัวเอง ขณะเอ่ยกับบิดาอย่างเคารพนบนอบว่า

“ขอรับเจ้าคุณพ่อ”

“เมื่อคืน...” เพียงแค่ประโยคแรก คุณหลวงหนุ่มก็พอเดาได้แล้วว่าผู้เป็นบิดามาหาถึงเรือนด้วยเรื่องอันใด “พ่อเห็นสตรีผู้หนึ่งในห้องของเจ้า หล่อนเป็นใครรึ แล้วเข้าไปในห้องเจ้าได้ยังไร”

เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่หลวงเดชาอักษรอ้ำๆ อึ้งๆ ปกติเขาเป็นคนพูดจาฉะฉาน ตอบชัดถ้อยชัดคำและไม่เคยลังเลในเรื่องใดเลยแม้แต่น้อย ทว่าวันนี้คำถามจากผู้เป็นบิดา...ยากเกินกว่าเขาจะหาคำตอบได้

จักตอบว่าสตรีผู้นั้นเป็นภูติผีปีศาจ ก็รังแต่จะทำให้เจ้าคุณพ่อโมโหโกรธากว่าเดิม

จักตอบว่าไม่รู้จัก แต่ไฉนจึงมาอยู่ในห้องของเขาได้เล่า

จักตอบว่าเป็นเพื่อนจากกรุงเก่า ก็เป็นโป้ปดมดเท็จ ไม่ควรทำ

สุดท้ายเมื่อหาคำตอบไม่ได้ จึงได้แต่ปิดปากเงียบอยู่เช่นนั้น สองตายังมองสบตาคมดุของบิดาแน่วนิ่ง

“เจ้าไม่ตอบ...เป็นเพราะตอบไม่ได้ หรือไม่อยากตอบกันแน่”

“ลูก...ลูกไม่แน่ใจว่าจักตอบเจ้าคุณพ่อเช่นไรขอรับ”

มีความอึดอัดคับข้องใจทอประกายออกมาจากดวงตาสีดำสนิทของเขา หลวงเดชาอักษรระบายลมหายใจบางเบา นึกอยากจะปัดเรื่องนี้ให้พ้นตัว แต่ก็ยากเสียเหลือเกิน

“หล่อน...ขึ้นมาบนเรือน แลเข้ามาในห้องลูกได้อย่างไร ลูกไม่ทราบขอรับ”

“อันใดกัน! เจ้าจักไม่รู้ได้เยี่ยงไร ฮึ! เจ้าเดช!”

พระยาเทพไกรศรีสุเรนทรพ่นลมหายใจหนักๆ บอกชัดว่าหงุดหงิดใจกับคำตอบที่ได้รับ

“แล้วตอนนี้หล่อนอยู่ฤๅไม่”

“ไม่อยู่ขอรับ หล่อน...” คุณหลวงหนุ่มเหลือบแลมองมาทางด้านหลัง อันเป็นที่ตั้งของห้องเขียนหนังสือของตน ก่อนหันกลับมาสบตาบิดา “หล่อนหายตัวไปแล้วขอรับ”

“กระไรนะ! หายตัวไป! เป็นไปได้อย่างไรกัน!”

“เป็นเช่นนั้นจริงขอรับ คราแรกลูกนึกว่าฝันไป แต่หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ หล่อนมีตัวตนจริง เพียงแต่จักโผล่มาเมื่อใด หรือจักหายไปเมื่อใดก็ได้ขอรับ”

“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยรึ”

หลวงเดชาอักษรจนใจจะหาคำตอบ จึงนิ่งเงียบเสีย นานเท่านานกว่าผู้เป็นบิดาจะเอ่ยขึ้นมา

“เอาเช่นนี้เถิด เจ้าย้ายไปอยู่เรือนคุณปู่คุณย่าก่อน ส่วนเรือนนี้ ให้สตรีผู้นั้นพักอาศัยอยู่ชั่วคราว” นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถามว่า “หล่อนจักมาอีกเมื่อใดรู้ฤๅไม่” เมื่อบุตรชายเงยหน้าขึ้นมามองสบตา ท่านก็พูดต่อว่า “พ่ออยากพบ”

สีหน้าของหลวงเดชาอักษรเปลี่ยนไปเล็กน้อย ขณะที่ดวงตาโชนฉายถึงความกังวลใจอย่างปิดไม่มิด





[1] บทกลอนตอนหนึ่งในเรื่องพระอภัยมณี เป็นบทเกี้ยวพาราสีของพระอภัยมณีกับนางละเวงวัณฬาเจ้าเมืองลังกา คุณสุรพล แสงเอกได้นำบทกลอนนี้มาสร้างทำนองขึ้น โดยปรับคำบางคำให้กลมกลืนกัน โดยใช้ชื่อเพลงว่า ‘คำมั่นสัญญา’

[2] วิลาด หรือ วิลาศ เป็นคำเรียกชาวตะวันตก (โดยเฉพาะอังกฤษ)




ปล. หนังสือยังจองได้นะคะ 200 ท่านแรกจะได้ของแถมเป็นสมุดโน้ตขนาด B6 ด้วยค่ะ สั่งจองได้ที่ www.sasiaksorn.com




ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 พ.ค. 2559, 12:19:32 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 พ.ค. 2559, 12:19:32 น.

จำนวนการเข้าชม : 1248





<< บทที่ ๔ - ข้ามเวลามาพบกัน   บทที่ ๖ : โชคชะตานำทาง >>
แว่นใส 14 พ.ค. 2559, 22:48:19 น.
พ่ออยากเจอสะใภ้ละ


Zephyr 15 พ.ค. 2559, 16:50:21 น.
พ่ออยากเจอคนเหมือนหญิงพลอยสินะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account