ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: ประมุขพรรคมาร : บทที่ ๕ กำหมัด

ประมุขพรรคมาร : บทที่ ๕ กำหมัด


หลิ่งปินไม่คิดจะใช้เกสรของสตบงกชรักษากุ้ยฮวา เพราะผลข้างเคียงของมันรุนแรงมาก แต่เมื่อพยายามยื้อชีวิตนางไปได้ระยะหนึ่ง เขาก็พบทางตัน ยาทุกแขนงที่มีในวังหลวงไม่มีผลต่อร่างกายกุ้ยฮวาอีกต่อไป ลมปราณและชีพจรของนางยังคงที่ แต่อ่อนลงทุกขณะ จากที่เคยคิดว่าอาจยื้อได้สักเดือนครึ่ง เวลาก็หดสั้นลงเหลือไม่ถึงหนึ่งเดือน

ช่วงที่ชีวิตกุ้ยฮวาใกล้มอดดับ นางหลับเกือบตลอดและกินอะไรไม่ได้เลย ไม่ต้องเป็นหมอก็บอกได้ว่าอีกไม่นานนางจะหลับไปชั่วนิรันดร์ หลิ่งปินจำต้องบอกเสนาบดีเฉินว่าหมดหวังแล้ว ให้พาธิดากลับไปที่บ้านเสีย ตอนนั้นเองที่องค์ชายห้าพรวดพราดเข้ามาพร้อมเกสรสตบงกช ชายหนุ่มคุกเข่าวิงวอนขอให้ใช้สิ่งที่นำมาช่วยชีวิตกุ้ยฮวา

หลิ่งปินรับของมาแต่ไม่นำไปปรุงยาทันที เขาให้เสนาบดีเฉินเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะเสี่ยงหรือไม่ เมื่อเหว่ยหงตัดสินใจเสี่ยง หลิ่งปินจึงทดลองยานี้กับตัวเองก่อน พอได้สูตรที่เหมาะสมกับร่างกายคนปกติแล้ว ค่อยเจือจางมันจนความเข้มข้นเหลือเพียงหนึ่งในสิบเพื่อป้อนให้กุ้ยฮวา ผลคือนางลืมตาตื่นในสภาพหนาวสั่น กุ้ยฮวาน้ำตาคลอบอกว่าเจ็บไปทั้งร่างเหมือนโดนเข็มน้ำแข็งทิ่ม แม้จะได้รับความทรมานอย่างสาหัส แต่อาการที่เกิดขึ้นก็เป็นนิมิตหมายอันดีว่านางสามารถกลับมาต่อสู้กับโรคร้ายได้อีกครั้ง

กุ้ยฮวาติดค้างองค์ชายห้าไม่น้อยไปกว่าใคร ทว่าเหวินหรงกลับขอร้องให้ปิดเรื่องนี้เป็นความลับ เขาไม่ต้องการให้ลำบากใจ ชายหนุ่มอยากได้ความรักแท้จริง ไม่ใช่การตอบแทนบุญคุณ

แว่นส่งยิ้มให้องค์ชายห้าโดยไม่รู้สักนิดว่าได้ติดหนี้ชีวิตเขาอีกครา ชายหนุ่มยิ้มตอบด้วยสีหน้าโล่งใจระคนยินดี นับจากนางล้มป่วย เขาก็ไม่เคยได้รับอนุญาตให้เข้าเยี่ยมสักหน ทำได้อย่างมากแค่รอฟังข่าวอยู่หน้าตำหนัก มาวันนี้ได้เห็นนางอยู่ดี พูดคุยได้เป็นปกติ ความปีติในอกก็เอ่อล้น

แม้ชายหนุ่มจะไม่ได้เอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจ แว่นก็รู้ว่าช่วงที่ป่วย องค์ชายห้าเป็นห่วงและทุกข์เพราะตนไม่น้อย

“ขอบพระทัยที่มาเยี่ยมเพคะ ขออภัยที่ลุกขึ้นต้อนรับไม่ได้ เชิญองค์ชายตามสะดวก”

แว่นมองเก้าอี้ข้างเตียงเป็นเชิงเชิญให้นั่ง เก้าอี้ตัวนี้ซีอิ๋งเป็นคนจัดมาให้ เนื่องจากกุ้ยฮวายังเดินเหินอย่างคนปกติไม่ได้ พูดเสียงดังมากก็เหนื่อย คนมาเยี่ยมจึงต้องมานั่งใกล้ๆ เพื่อให้สนทนากันสะดวก

“ข้าเข้าใจดีว่าเจ้ากำลังป่วย”

พอจบประโยคต่างคนก็ต่างเงียบ แว่นยังไม่ชวนคุยเพราะรอให้เขานั่งก่อน แต่ชายหนุ่มกลับยืนเฉย แว่นจึงเชิญอีกหน

“ไม่ดีกว่า” ชายหนุ่มปฏิเสธด้วยท่าทีลำบากใจ

“องค์ชายจะกลับแล้วหรือเพคะ” แว่นถามโดยซ่อนความผิดหวังไว้

องค์ชายห้าเป็นหนึ่งในคนที่เขาคิดถึงตอนป่วยใกล้ตาย หลายครั้งที่คำพูดของชายหนุ่มดังก้องอยู่ในหัว โดยเฉพาะคำพูดที่ศาลาในอุทยานฤดูร้อน

“ข้าจะทำให้เจ้ารักข้า ไม่ว่าอย่างไรก็จะทำให้ได้”

องค์ชายห้ายังไม่ทันได้ทำตามคำพูดเลย แล้วแว่นก็ยังติดค้างเขาอยู่หลายเรื่อง จะด่วนลาโลกไปได้อย่างไร

“เปล่า...แต่คงไม่รบกวนเจ้านานนัก”

แว่นทำหน้ามุ่ย ตอนนี้เขาอยากได้เพื่อนคุยมาก แว่นทั้งเบื่อทั้งเหงา แต่กลับไม่มีใครเข้าใจเขาเลย ทุกคนมัวแต่คิดว่าคนป่วยต้องการพักผ่อนจึงไม่ค่อยมาเยี่ยม

“ข้าพูดอะไรผิดหรือ” องค์ชายห้าสังเกตเห็นอาการทางสีหน้า เมื่อไม่รู้ว่าทำผิดอะไรจึงถามเพื่อจะได้ขอโทษนาง

แว่นประหลาดใจเมื่อได้ยินคำถามที่ตรงกันข้ามกับนิสัย องค์ชายห้าเป็นประเภทไม่ค่อยพูดไม่ค่อยถาม หลายครั้งจึงมักคิดมากไปเอง

‘อะไรทำให้เขาเปลี่ยนไป’

แว่นคิดออกในอึดใจต่อมา ชายหนุ่มเคยพูดว่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง และจะไม่ทำสิ่งที่กุ้ยฮวาไม่ชอบ แว่นประทับใจที่สิ่งที่องค์ชายห้าพูดในคืนนั้นไม่ได้เป็นเพียงลมปาก จึงตอบเขาตามตรง

“องค์ชายไม่ได้ทำอะไรผิดเพคะ หม่อมฉันแค่อยากมีเพื่อนคุย”

“เป็นข้าจะดีหรือ”

องค์ชายห้าไม่ได้ดูถูกตัวเอง เขาเป็นคนพูดไม่เก่งจึงเกรงว่านางจะเบื่อ แว่นเข้าใจความคิดเขาจึงย้ำให้มั่นใจ

“หม่อมฉันอยากคุยกับองค์ชาย ได้ไหมเพคะ” แว่นช้อนตาขึ้นมาอ้อน

“หากเจ้าต้องการ ข้าก็ยินดี”

และแล้วแว่นก็ได้เห็นรอยยิ้มของคนหน้านิ่ง มันเป็นรอยยิ้มบางๆ ที่เจือด้วยความสุขเหลือล้น

“เชิญนั่งก่อนเพคะ จะได้คุยกันถนัด”

“ไม่ได้...ข้าไม่อยากทำเก้าอี้เจ้าพัง” องค์ชายห้าสารภาพด้วยความลำบากใจ

แว่นเพิ่งสังเกตว่าเก้าอี้ข้างเตียงนอนตัวเล็กจริงๆ ลำพังกุ้ยอี้นั่งยังลำบาก น่ากลัวว่าถ้าองค์ชายแพนด้าทิ้งน้ำหนักลงไปเต็มที่จะหักคาก้นแล้วล้มกลิ้ง แว่นกลั้นยิ้ม พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ขำกับจินตนาการในหัว

“ขออภัยที่ไม่ทันคิดเพคะ”

“ข้าผิดเองที่น้ำหนักมาก แต่ถ้าเจ้าอยากให้นั่ง ข้าย่อตัวลงไปเฉยๆ ก็ได้”

ความหมายขององค์ชายคือเขายินดีนั่งเก้าอี้ลมเพื่อความสะดวกของนาง ชายหนุ่มตั้งใจทำจริงๆ ไม่ได้มีเจตนาพูดให้ขำ มุมแสนซื่อขององค์ชายผู้เคร่งขรึมทำให้แว่นเอ็นดูจนอยากยกใบไผ่ให้ทั้งสวน

“อย่าลำบากเลยเพคะ มานั่งตรงนี้ก็ได้”

‘ตรงนี้’ ของแว่นหมายถึงขอบเตียง คนถูกชวนได้ยินเช่นนั้นก็หน้าขึ้นสี ตอบกลับอ้อมแอ้มว่าไม่เหมาะสม แว่นห่างจากวังหลวงไปนานจนลืมธรรมเนียมอันเคร่งครัดไป เขาควรจะทำตามอย่างที่ชายหนุ่มว่าเพื่อรักษาเกียรติของตัวเอง ทว่าอารมณ์อยากแกล้งกลับมีมากกว่า เลยอ้อนให้เขามานั่งข้างๆ อีกหน

“ยอมให้คนป่วยสักหน่อยไม่ได้หรือเพคะ หม่อมฉันอยากมองหน้าองค์ชายใกล้ๆ”

งานนี้อ่อยแรงจัดเต็มอย่างตั้งใจ ผลคือพ่อหนุ่มหุ่นหมีเขินพุงบิด แต่อย่าคิดเชียวว่าตุ๊ดแว่นจะเป็นต่อ พี่หมีของเรานั้นเขินเป็นก็รุกเป็น

“ข้าทำไม่ได้ ข้าตั้งใจไว้แล้วว่าวันที่จะขึ้นไปนั่งบนเตียงกับเจ้า คือวันที่เราสองคนแต่งงานกัน” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างแน่วแน่เสียจนคนฟังใจเต้น

ไม่ทันได้เตรียมใจ องค์ชายห้าก็ก้าวฉับๆ มาหา แล้วโน้มใบหน้าลงมาใกล้

“ถ้าอยากเห็นหน้าข้าใกล้ๆ ทำแบบนี้แทนได้ไหม”

นัยน์ตาคมที่มีแววอบอุ่นสะกดให้แว่นนิ่งงัน หัวใจมันเต้นรัวราวกับได้พบรักแรก อารมณ์ในตัวบอกให้แว่นรู้ว่านี่ไม่ใช่ความหวั่นไหวเพียงชั่วคราว แต่มีอารมณ์ที่ซับซ้อนหลากหลายแทรกซึมอยู่ในความรู้สึก แว่นไม่แน่ใจว่านี่คือความรักหรือเปล่า หากจะทดสอบก็ต้องเลิกใช้สมองแล้วปล่อยใจให้ช่วยหาคำตอบ

สิ่งแรกที่คิดได้คือ เขาอยากสัมผัสผู้ชายตรงหน้าให้มากกว่านี้ อยากลองกอดให้เต็มสองอ้อมแขนดูว่าจะรู้สึกเช่นไร แว่นทำตามความต้องการของตนทันที ทว่าเอื้อมมือไปได้ครึ่งทางก็ต้องชะงักเพราะหลิ่งปินเปิดประตูพรวดเข้ามา

“หมดเวลาเยี่ยมแล้ว” ชายหนุ่มประกาศเสียงดัง

องค์ชายห้าผละออกจากกุ้ยฮวาด้วยความตกใจระคนขัดเขิน แม้จะทำหน้านิ่ง แต่ใบหูแดงๆ ก็เป็นหลักฐานชั้นดีว่าเมื่อครู่มีอะไรมากกว่าการเยี่ยมไข้ปกติ

“ใช้ไม่ได้” หลิ่งปินจ้องเขม็งขณะตำหนิหลานชาย

องค์ชายเหวินหรงรีบคุกเข่าลงไปขออภัย พร้อมกับยืนยันว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาแค่มายืนข้างเตียงเพราะกุ้ยฮวาคุยเสียงดังไม่ถนัดเท่านั้น

ชายหนุ่มห่วงว่าอดีตฮ่องเต้ชางหลงจะกริ้ว แม้พระองค์จะเป็นอดีตฮ่องเต้ก็ยังถือว่ามีอำนาจ สามารถสั่งลงโทษใครก็ได้ ลำพังตัวเขาถูกลงอาญาไม่เป็นไร ห่วงก็แต่กุ้ยฮวาจะพลอยเดือดร้อนไปด้วย

“นั่นแหละที่ใช้ไม่ได้” อดีตฮ่องเต้ดุซ้ำ “ข้าให้เวลาเจ้าตั้งนาน แต่กลับไม่มีปัญญาแม้แต่จะจับมือ”

หลิ่งปินพูดเช่นนี้ไม่ใช่เพื่อหยอกเพียงอย่างเดียว แต่เอ่ยเพื่อป้องกันความเข้าใจผิดเรื่องตนกับกุ้ยฮวาอีกชั้นหนึ่ง องค์ชายห้าเข้าใจความหมายจึงใจชื้นขึ้นมาก นี่เท่ากับอดีตฮ่องเต้ทรงเปิดทางให้เขาแล้ว

“กระหม่อมด้อยสามารถ ขอพระราชทานอภัย”

หลิ่งปินไม่สบอารมณ์กับท่าทีเป็นทางการ จึงโบกมือไล่ให้ไปไกลๆ อย่าได้มาเกะกะเวลายาของคนป่วย

“กระหม่อมทูลลา”

องค์ชายห้าลุกขึ้นมาถวายความเคารพ ชายหนุ่มพร้อมไปตามรับสั่ง แต่ไม่ลืมเอ่ยลากุ้ยฮวา

“พรุ่งนี้ข้าจะมาเยี่ยมอีก”

แว่นยิ้มรับจนตาหยีกับความกล้าของเขา ถึงจะนอนป่วยอยู่ตลอด เธอก็รู้ว่าผู้คนกริ่งเกรงหลิ่งปินกันขนาดไหน จะมีสักกี่คนกันที่กล้าเผชิญหน้ากับจักรพรรดิเลือดตรงๆ เช่นนี้

“ไม่ต้องมายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เจ้านี่มันน่าตีจริงๆ ต่อให้กลัวขึ้นคานขนาดไหนก็ไม่ควรชวนผู้ชายขึ้นเตียง” ท่านอาจารย์แม่จ๋าลงมือเทศนาทันทีที่องค์ชายห้ากลับออกไปแล้ว

“ท่านแอบฟังพวกเราคุยกัน!” แว่นแสร้งทำเป็นโวยวาย

“เงียบไปเลย! ไม่สำนึกแล้วยังกล้าเถียงอีก” หลิ่งปินเอ็ดพร้อมกับแถมมะเหงกให้ “พี่เจ้ากับพ่อเจ้ารู้เข้ามีแต่จะอกแตกตาย”

ไม่ทันไรอดีตฮ่องเต้ผู้งามสง่าก็เริ่มตำหนิการอบรมของบุพการี หลิ่งปินบ่นซ้ำๆ ได้ไม่มีเบื่อ แว่นเลยหาทางเอาตัวรอดด้วยการถดตัวลงนอนทำเป็นว่าอ่อนเพลีย ท่านอาจารย์ถึงยอมหยุดบ่น

“กินยาก่อนแล้วค่อยนอน”

แว่นทำหน้าเบ้ ยาที่ทำจากสุวรรณมาลีไม่เพียงแต่รสชาติแย่ กลิ่นยังเหลือรับ อารมณ์เหมือนถูกบังคับให้ดื่มน้ำหอมกลิ่นฉุนที่พวกคุณหญิงคุณนายชอบประโคมฉีดทั้งขวด

แม้จะไม่ชอบใจปานไหน แว่นก็ดื่มจนหมดถ้วยโดยไม่เหลือทิ้งไว้แม้แต่หยดเดียว เพื่อตอบแทนความเหนื่อยยากของคนหาวัตถุดิบและคนปรุงยา

หลิ่งปินมองถ้วยเปล่าอย่างพอใจ รอยยิ้มที่มุมปากกับสีหน้าของท่านอาจารย์ยามนี้ทำให้แว่นคันมือยุบยิบเสียเหลือเกิน

“แม่จ๋า!” แว่นโผเข้ากอดด้วยความเร็วสูง

การโจมตีทีเผลอได้ผลยอดเยี่ยม ท่านหมอโดนลูกศิษย์ตัวดีกอดเข้าเต็มรัก

“ปล่อยเดี๋ยวนี้ เจ้าเด็กบ้า”

“ไม่! นานแล้วที่ข้าไม่ได้กอดท่าน”

“นานอะไรกัน เจ้าเพิ่งหาเรื่องลวนลามข้าไปเมื่อครึ่งชั่วยามก่อนนี่เอง”

แว่นทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เขาสูดจมูกรับกลิ่นเฉพาะตัวของชายหนุ่มเข้าไปเต็มปอด ในที่สุดแว่นก็รู้ว่ามันมาจากถุงหอมที่อีกฝ่ายพกติดตัว ถ้าเดาไม่ผิด มันทำจากสมุนไพรที่มีฤทธิ์ช่วยให้จิตใจสงบและผ่อนคลาย แว่นถูกจริตกับมันมากเลยติดใจอย่างแรง

“ถ้าแรงจะเยอะขนาดนี้ ก็ไม่ต้องรักษามันแล้ว” หมอเทวดาขู่ขณะพยายามแกะมือลูกศิษย์ออก

“ข้ายังอ่อนแออยู่เลย แต่เพื่อกลิ่นแม่จ๋า ข้าสู้ตาย”

หลิ่งปินชะงักไปเมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย

‘นางรู้?’

หลิ่งปินมองกุ้ยฮวาอย่างสงสัย เขามั่นใจว่าไม่เคยบอกนางว่าถุงหอมที่พกติดตัวประจำเป็นแบบเดียวกับที่มารดาของนางชอบใช้ หลิ่งปิงคิดทำมันขึ้นมาก็เพื่อให้น้องสาวที่มีอาการป่วยเรื้อรังได้ผ่อนคลาย เรื่องนี้มีแต่เขาและบิดานางที่รู้ เหว่ยหงไม่ใช่คนที่จะเล่าเรื่องอดีตเรื่อยเปื่อย กุ้ยฮวาน่าจะจำกลิ่นได้ แต่ไม่รู้รายละเอียดเพราะมารดาของนางจากไปตอนยังเล็กมาก

‘ลูกเจ้านี่สัญชาตญาณดีจนน่าทึ่ง’

หลิ่งปินอดนึกถึงน้องสาวคนโปรดไม่ได้ ในบรรดาพี่น้อง เขาสนิทกับรุ่ยฟางมากกว่าใคร นางเป็นคนเดียวที่ปฏิบัติต่อเขาในฐานะพี่ชายไม่ใช่ฮ่องเต้ ในวังวนการแก่งแย่งอันน่าชัง ความสดใสและจริงใจของนางคือน้ำหล่อเลี้ยงจิตใจเขา

พอคิดถึงเรื่องเก่าๆ แรงที่กำลังแกะมือเด็กบ้าออกก็ผ่อนลงหน่อย แต่กลับกลายเป็นว่าทำพลาดไปเสียได้ เพราะอยู่ๆ ก็มีคนเปิดประตูพรวดเข้ามาโดยไม่เคาะ

“กระหม่อม...เอ๊ย! ข้าขออภัย” กุ้ยอี้ทำท่าตกใจ ก่อนจะรีบออกไป

สองศิษย์อาจารย์ทำหน้างงกับปฏิกิริยาของชายหนุ่ม พอหันกลับมามองตัวเองจึงได้รู้ว่ากุ้ยอี้กำลังเข้าใจผิดว่าทั้งคู่กำลังพลอดรัก

“ปล่อยได้แล้ว เห็นไหมว่า...”

บ่นไม่ทันจบ เสนาบดีเฉินก็เข้ามาอีกคน บิดาผู้แสนดีชะงักไป แต่ไม่แสดงอาการตกใจจนเสียมารยาท ท่านเสนาบดีถอยหลังออกมาอย่างสุภาพ พร้อมกับปิดประตูห้องให้อย่างเรียบร้อย

“เหว่ยหง จะปิดประตูทำไม กลับมาเดี๋ยวนี้!”

หมอเทวดาโวยลั่น เขาหันขวับมาทางลูกศิษย์ตัวดีเป็นเชิงสั่งว่าจัดการอธิบายให้เรียบร้อย ทว่ากุ้ยฮวากลับไม่สนใจเรื่องนี้ ยังยิ้มเผล่ทำตาปริบๆ เรียกเขาว่า ‘แม่จ๋า’ ไม่เลิก

“เจ้าเด็กบ้านี่ ใครเป็นแม่เจ้ากันฮึ” ว่าแล้วหลิ่งปินก็ดีดหน้าผากสั่งสอนรัวๆ


นับจากอดีตฮ่องเต้กลับมา พระองค์ก็ทรงเก็บองค์เงียบอยู่ในตำหนักเขียว ผู้สามารถเข้าไปได้มีแต่สองพ่อลูกสกุลเฉิน และผู้ได้รับอนุญาตจากพระองค์เท่านั้น หากพระองค์ตรัสว่าไม่ คนผู้นั้นก็ไม่มีสิทธิ์เหยียบย่างเข้ามาในตำหนัก ต่อให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่หรือเชื้อพระวงศ์ไม่มีสิทธิพิเศษ

ความเด็ดขาดของอดีตฮ่องเต้ชางหลงสร้างความลำบากใจให้องครักษ์และมหาดเล็กที่ถูกส่งตัวมารับใช้เป็นอย่างยิ่ง พวกเขาต้องคอยปฏิเสธคนใหญ่คนโตที่ต้องการเข้าเฝ้าไม่ขาดสาย ลำพังหาทางติดสินบนไม่เท่าไร แต่การข่มขู่คุกคามในรูปแบบต่างๆ นี่สิที่เกินรับไหว มันเริ่มรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังต้องยืนหยัดปฏิเสธ เพราะอดีตฮ่องเต้น่ากลัวกว่าหลายเท่า

มีคนว่าพระองค์ขายวิญญาณให้ปีศาจแลกกับชีวิตอมตะ บ้างก็ว่าพระองค์ต้องดื่มเลือดคนสดๆ เพื่อรักษาความเยาว์วัยไว้ หากขาดเลือดผมจะกลับมาขาวโพลน จริงเท็จแค่ไหนพวกเขาไม่รู้ ที่เข้าใจคือหากไม่อยากตายต้องทำทุกวิถีทางให้พระองค์ได้อยู่อย่างสงบตามรับสั่ง

เหล่าข้ารับใช้พยายามทำหน้าที่อย่างตั้งใจและภักดี แต่แล้วเงามรณะก็มาเยี่ยมเยือนจนได้ เมื่อผู้ประสงค์จะเข้าพบอดีตฮ่องเต้คือฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน องค์รักษ์ไม่กล้าขวางจึงเปิดทางให้เข้ามา ส่วนมหาดเล็กได้แต่ลนลานไปรายงานตามหน้าที่

“ฮ่องเต้โหย่งซินเสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ”

หลิ่งปินกำลังปรุงยาติดพันจึงเอ่ยว่าไม่ต้องการพบ

“แต่ว่าฮ่องเต้เสด็จเข้ามาในตำหนักแล้ว กระหม่อม...”

“ถ้าไม่อยากให้ข้าจับเจ้ามาทำยาก็ออกไป”

มหาดเล็กจอมขี้ขลาดมักเผ่นแนบเมื่อได้ยินคำขู่ ทว่าวันนี้เขาไม่อาจหลบเลี่ยงอาญาได้ จะถูกจับทำยาหรือประหารก็ต้องตายเหมือนกัน จึงรวบรวมความกล้าวิงวอน

“ฝ่าบาทโปรดเห็นใจ ถ้าฮ่องเต้โหย่งซินกริ้วกระหม่อมต้องตายแน่”

หลิ่งปินกำลังใช้สมาธิ เขาไม่อยากถูกรบกวนตอนนี้จึงตัดบทด้วยการบอกให้หมาดเล็กแจ้งฮ่องเต้โหย่งซินว่าให้รอก่อน

“เป็นพระกรุณาอย่างเหลือล้น กระหม่อมจะรีบนำกระแสรับสั่งไป”

มหาดเล็กเบาใจอยู่ได้พักหนึ่ง ไม่นานก็ต้องร้อนรนเพราะอดีตฮ่องเต้ชางหลงไม่มีท่าทีว่าจะเสด็จออกจากห้องเลย หัวหน้ามหาดเล็กซึ่งถวายงานรับใช้ใกล้ชิดฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเห็นว่านานเกินไปแล้ว จึงใช้สายตากดดันให้หาทางทำอะไรสักอย่าง

“กะ...กระหม่อมจะไปดูว่าอดีตฮ่องเต้ชางหลงใกล้เสด็จหรือยัง” หมาดเล็กหนุ่มเอ่ยเมื่อทนความเงียบไม่ไหว

“ไม่ต้อง เจ้ามีงานอะไรก็ไปทำเสียเถิด ข้ารอในห้องนี้ได้”

ฮ่องเต้โหย่งซินทรงรู้พระนิสัยเชษฐาดี วันนี้ที่มาพบก็เตรียมใจไว้แล้วว่าคงไม่ได้พบโดยง่าย จึงยกเลิกราชกิจในตอนบ่ายทั้งหมด พระองค์จิบพระสุธารสชาอย่างใจเย็น และฆ่าเวลาด้วยการอ่านหนังสือที่เตรียมมา

สามชั่วยามผ่านไป การรอคอยก็สิ้นสุดลง อดีตฮ่องเต้เสด็จมาที่ห้องรับรองแล้วทักทายด้วยถ้อยคำที่ไม่รื่นหูเลยสำหรับคนรอ

“ยังอยู่อีกรึ”

“โอกาสสนทนามีไม่บ่อย ข้าจะกลับไปโดยไม่ได้พบท่านได้อย่างไร”

ตรัสจบฮ่องเต้โหย่งซินก็โบกมือไล่ให้ทุกคนที่อยู่ในห้องออกไป หลิ่งปินเห็นท่าทางอีกฝ่ายแล้วก็กลอกตาอย่างเบื่อหน่าย โหย่งซินรู้นิสัยเขาดี ดังนั้นหากไม่มีเรื่องสำคัญคงไม่มากวนใจ ถ้าเดาไม่ผิดเรื่องสำคัญที่ว่านี่ต้องน่ารำคาญยิ่ง

“ยายแก่นั่นสั่งให้มาบอกอะไร”

ยายแก่ที่ว่าก็คือไทเฮา หลิ่งปินทั้งรักทั้งชังมารดา ในอดีตเขาคิดเสมอว่าตนมีค่าเป็นแค่เครื่องมือในการแสวงหาอำนาจ ยิ่งเติบโตความรู้สึกนี้ก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ เมื่อถูกเสด็จแม่ควบคุมบงการมากเข้า เขาก็หมดความอดทน จัดการตอบโต้ด้วยการกำจัดฐานอำนาจของขุนนางเก่าแก่ไปจนหมดสิ้น แล้วยกราชบัลลังก์ให้โอรสของสนมที่เสด็จแม่ชิงชังที่สุด

ชายหนุ่มหนีไปจากวังหลวงทันทีที่ทำพิธีแต่งตั้งแล้วเสร็จ แม้ไม่ได้บอกลาก็เดาได้ว่าเสด็จแม่คงโกรธจนแทบกระอักเลือดตาย สองแม่ลูกจึงแตกหักและตัดขาดกันโดยสมบูรณ์ ตอนนั้นหลิ่งปินไม่คิดว่าตัวเองทำผิดแม้แต่น้อย ต่อให้เวลาผ่านไปและสำนึกได้ว่าทำรุนแรงเกินไป ก็ไม่เคยคิดย้อนกลับไปแก้ไขอดีต เขาเข้าใจอารมณ์ตัวเองในตอนนั้นว่าฉุนเฉียวเครียดขึงปานไหน หากไม่ถอยออกมา ไม่วันใดก็วันหนึ่งเขาอาจต้องทำมาตุฆาตด้วยมือคู่นี้

“ข้าก็แค่อยากสนทนากับท่าน”

“เจ้าเปลี่ยนไปมาก” หลิ่งปินอดทักไม่ได้

“เป็นธรรมดาของมนุษย์มิใช่หรือ เวลาผ่านไปสังขารย่อมร่วงโรยเป็นธรรมดา”

ฮ่องเต้โหย่งซินทอดตามองมือที่เริ่มเหี่ยวย่นของตนอย่างปลงสังขาร พระองค์มิได้ริษยาความหนุ่มแน่นอ่อนเยาว์ของบุรุษตรงหน้า เพราะตระหนักดีว่าสิ่งที่ต้องจ่ายไปสูงค่าเพียงไหน

“ข้าหมายถึงนิสัยต่างหาก คารมเจ้าดีขึ้นเป็นกอง”

ฮ่องเต้โหย่งซินแย้มพระโอษฐ์รับคำชมที่คล้ายการประชด การสนทนาเช่นนี้ถือว่าปฏิบัติต่อกันอย่างดีฉันพี่น้องแล้ว อดีตฮ่องเต้ชางหลงที่เขารู้จักจะไม่ยอมเสียเวลากับคนที่พระองค์ไม่ใส่ใจเลย

“เพราะอายุมากขึ้นกระมัง”

“ไม่ใช่เพราะหงจิงสอนมาดีหรอกรึ นางมารน้อยนั่นเปลี่ยนน้องชายที่ใสซื่อของข้าเป็นปีศาจไปเสียแล้ว”

“หงจิงไม่ได้ทำอะไร”

ฮ่องเต้โหย่งซินทรงปฏิเสธอย่างใจเย็น แต่คู่สนทนากลับสัมผัสถึงความไม่พอใจได้ผ่านรอยย่นที่เพิ่มขึ้นมาตรงหว่างคิ้ว

“ข้ายังแตะต้องยอดดวงใจของเจ้าไม่ได้เหมือนเคย” หลิ่งปินเอ่ยอย่างระอา “เอาเถอะ ไม่พูดถึงนางก็ดี จะได้ตำหนิเจ้าแบบเต็มปากเต็มคำหน่อย”

“ข้าทำอะไรให้เสด็จพี่ขุ่นเคืองหรือ” คนทำผิดยังไม่รู้ตัว

“ไม่ต้องมาทำเป็นไขสือ เพราะเจ้ามัวแต่เล่นเกมการเมือง ข้าเลยต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย อย่าคิดนะว่าข้าไม่รู้ว่านายที่แท้จริงของหน่วยเสื้อคลุมดำเป็นใคร”

“เสด็จพี่ปรีชายิ่ง” ฮ่องเต้โหย่งซินทรงยอมรับโดยไม่แก้ต่าง ถูกอย่างที่อดีตฮ่องเต้ชางหลงตรัส แท้ที่จริงหน่วยเสื้อคลุมดำเกิดขึ้นมาเพราะบัญชาของพระองค์ ที่ส่งซั่วเย่าซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยไปสังกัดกับแม่ทัพต่งก็เพื่อจับตาดูความเคลื่อนไหว หากเขามีพฤติกรรมน่าสงสัย พระองค์ย่อมรู้ได้ทันที

นอกจากนี้พระองค์ยังรู้ด้วยว่ารองแม่ทัพลอบติดต่อกับคนของอี้ป่ายและจงเย่า ที่ให้หน่วยเสื้อคลุมดำตามจับตาสกุลหลี่นั้นก็เพราะขุนนางต่างแคว้นได้ปลอมตัวเป็นพ่อค้าใช้งานเลี้ยงสังสรรค์ของคุณชายสกุลหลี่เป็นที่พบปะ พระองค์จึงให้สืบลึกลงไปว่าคหบดีใหญ่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่

ฮ่องเต้โหย่งซินสามารถใช้หลักฐานที่ได้มาจัดการกับรองแม่ทัพและแก้ต่างให้แม่ทัพต่งได้ในทันที แต่ถ้าทำเช่นนั้นจะไม่อาจจัดการเนื้อร้ายให้หมดในคราวเดียว พระองค์จึงทำเป็นหลงเชื่อคำกล่าวหา จัดการไต่ส่วนขึ้น เปิดช่องให้อีกฝ่ายเผยตัวตนเพื่อถอนรากถอนโคนกบฏ รวมถึงหอกข้างแคร่อย่างองค์ชายเทียนฉี

หลิ่งปินแค่นยิ้มรับคำชม ชายหนุ่มอยากโต้กลับว่า ‘เจ้าก็โหดเหี้ยมขึ้นมาก’ แต่ก็มิได้เอ่ย ตัวเขาใช่ว่าจะเป็นฮ่องเต้ที่ดีนัก ใครไม่ได้อยู่ในฐานะนี้ย่อมไม่เข้าใจว่าอำนาจนำมาซึ่งความทรมานอย่างแสนสาหัสเพียงไหน โหย่งซินทนแบกรับภาระบนบ่ามาจนบัดนี้ก็นับว่าเป็นยอดคนแล้ว

“พอเถอะ เจ้าก็รู้ว่าข้าเกลียดคำชม หากไม่มีอะไรแล้วก็ไปเสีย”

“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง”

“อะไร”

“ข้าหวังจะเห็นข่าวมงคลของเสด็จพี่ ไม่ทราบว่าจะจัดเมื่อไรกัน”

ข่าวมงคลที่ว่าคือเรื่องธิดาสกุลเฉินอย่างไม่ต้องสงสัย หลิ่งปินเตรียมใจไว้ว่าแล้วว่าต้องถูกถาม จึงตอบกลับอย่างชัดเจน

“ไม่จัดอะไรทั้งนั้น กลับไปบอกยายแก่นั่นได้เลยว่าต่อให้ตาย ข้าก็ไม่แต่งงานเป็นหนที่สอง”

หลิ่งปินเคยถูกบังคับให้รับสตรีจากตระกูลสูงเป็นฮองเฮา จื่อซิ่วเป็นคนงามที่เพียบพร้อม ทว่ามีข้อเสียอย่างร้ายกาจคือความมักใหญ่ใฝ่สูง นางคล้ายเสด็จแม่มากจนเขารักไม่ลง ความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาจึงระหองระแหง อันที่จริงจะโทษจื่อซิ่วฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ นางเป็นเพียงเหยื่อที่ถูกส่งเข้าวังเพื่อความมั่งคั่งของตระกูลเท่านั้น เมื่อสูญสิ้นทุกสิ่งก็ตรอมใจตายอย่างน่าเวทนา หลิ่งปินไม่มีโอกาสได้ขอโทษนางจึงตั้งมั่นว่าจะเป็นโสดไปทั้งชีวิต เขาให้ความรักแก่นางไม่ได้ แต่ให้คำมั่นได้ว่านางจะเป็นภรรยาคนเดียวของเขาไปชั่วชีวิต

“ไม่มีพิธีก็ได้ แต่อย่างน้อยก็น่าจะประกาศราชโองการสักนิด เพื่อเห็นแก่เกียรติของสกุลเฉิน” ฮ่องเต้โหย่งซินยังไม่ละความพยายาม

“ข้าพูดออกชัดเจน เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือว่าข้ากับนางไม่ได้มีอะไรกัน”

“แต่ท่านก็ตระกองกอดนางต่อหน้าธารกำนัลไปแล้ว”

“ก็เพราะเจ้ากักตัวนางไว้ ถ้าข้าไม่ไปอุ้มนางออกมา ป่านนี้นางตายไปแล้ว กลับไปบอกยายแก่ให้เลิกฝันเสียที”

แม้จะไม่ได้พบกันมานาน เขาก็รู้ว่าเสด็จแม่ยังปรารถนาได้หลานที่สืบสายเลือดมาจากตน

“ที่ข้าพูดเรื่องนี้ไม่ใช่เพราะไทเฮา แต่เพราะกุ้ยฮวาเป็นหลานสาวที่ข้าให้ความเอ็นดูมาก ไม่เห็นแก่ข้าก็เห็นแก่รุ่ยฟางเถิด”

พระองค์มิได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวแต่แรกเพราะเห็นว่ากุ้ยฮวาป่วยหนัก แต่เมื่อนางทุเลาลงแล้ว ฮ่องเต้ชางหลงก็สมควรทำพิธีแต่งตั้งให้ถูกต้องเหมาะสม เพื่อกุ้ยฮวาและบรรดาโอรสของพระองค์ที่มอบใจให้นาง

“นางก็เป็นหลานข้าเหมือนกัน” หลิ่งปินเถียงอย่างอ่อนใจ

“หลานห่างๆ ไม่ใช่สายตรง แต่งงานกันได้ไม่ถือว่าผิด”

“พอที!” อดีตฮ่องเต้ตบโต๊ะเสียงดัง “ข้ากับกุ้ยฮวาไม่ได้รักกัน และจะไม่มีการแต่งตั้งใดๆ เกิดขึ้นทั้งนั้น ถ้าเจ้ายังไม่เลิกพูดอีก ได้เห็นดีกันแน่”

ฮ่องเต้โหย่งซินเห็นว่าอีกฝ่ายโกรธหนักจึงล่าถอยออกมาก่อน ถึงกระนั้นก็ยังไม่วายทิ้งคำพูดไว้

“โปรดตรองอย่างรอบคอบด้วย”


หลิ่งปินทุบโต๊ะอย่างแรงอีกครั้งเมื่อน้องชายกลับไปแล้ว เขาโกรธจนหน้าแดงเมื่ออีกฝ่ายไม่ฟังคำอธิบาย ถูกก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวก็น่าหงุดหงิดพอแล้ว แต่การถูกบีบให้ทำสิ่งที่ไม่ต้องการน่าโมโหยิ่งกว่า โหย่งซินกับไทเฮาไม่มีทางรามือโดยง่าย หากบังคับเขาไม่ได้ กุ้ยฮวาจะเป็นรายต่อไป

ชายหนุ่มผละจากโต๊ะแล้วรีบไปหาหญิงสาว ทว่าก็ต้องชะงักอยู่กลางโถงทางเดินเมื่อพบว่าเหว่ยหงดักรออยู่ ท่าทีเหมือนต้องการพูดเรื่องสำคัญ ซึ่งก็คงไม่พ้นเรื่องกุ้ยฮวา

“ข้าไม่อยากฟังตอนนี้” หลิ่งปินตัดบท

“หากท่านประสงค์เช่นนั้น ข้าก็จะเก็บไปพูดวันอื่น แต่จะไม่ดีกว่าหรือถ้าจะอารมณ์เสียให้เสร็จในคราวเดียว”

หลิ่งปินรู้ว่าเหว่ยหงเป็นคนเช่นไร จึงหยุดเดินก่อนจะก้าวพ้นตัวเขา

“ถ้าเจ้าสาบานว่าจะพูดครั้งเดียวละก็ได้”

“ข้าสาบาน” เสนาบดีเฉินรับปากอย่างแน่วแน่ เขาค้อมกายให้อดีตฮ่องเต้ แล้วเชิญให้ออกมาที่สวน

หลิ่งปินจำต้องออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ หากเป็นคนอื่นเขาคงปฏิเสธอย่างไม่ไยดี แต่เหว่ยหงเป็นทั้งน้องเขยและสหายจำนวนน้อยนิดที่เหลืออยู่ จึงอยากพูดให้ชัดเจนเพื่อไม่ให้เรื่องน่ารำคาญมาทำลายมิตรภาพ

เหว่ยหงพูดเรื่องกุ้ยฮวาตามคาด หลิ่งปินจึงปฏิเสธอย่างชัดเจนว่าไม่ได้คิดกับนางเชิงชู้สาว รวมถึงแก้ต่างแทนฝ่ายหญิงด้วย

“นางนับถือข้าในฐานะอาจารย์และบุพการี”

ข้อนี้เขาไม่ได้โกหก เพียงแต่ไม่ได้อธิบายเพิ่มเท่านั้นเองว่าลูกศิษย์ตัวดีชอบเรียกว่า ‘แม่จ๋า’

“พ่อลูกไม่กอดกันดังเช่นที่ข้าเห็น” ท่านเสนาบดียกเรื่องวันก่อนมาแย้ง

“ข้าก็แค่ประคองนางขึ้นมากินยา พวกเจ้าเข้าใจผิดไปเอง!” หลิ่งปินขึ้นเสียงอย่างโมโห “นางไม่ได้รักใคร่ไยดีข้า ตาเจ้าบอดหรืออย่างไรจึงไม่เห็นว่านางผูกสัมพันธ์อยู่กับองค์ชายห้า”

“ความรู้สึกของธิดาข้าไม่สำคัญเท่าความรู้สึกของท่าน ขอเพียงท่านพึงใจ ข้าก็ยินดียกบุตรสาวให้”

คำพูดของเสนาบดีเฉินอาจฟังดูใจร้าย แต่ทั้งหมดก็เพื่อกุ้ยฮวา คนเป็นพ่อปรารถนาให้บุตรสาวได้มีชีวิตที่ดี ไม่ต้องตกอยู่ในวังวนของการแย่งชิงอำนาจ ในเมื่อหลีกเลี่ยงการเป็นสะใภ้หลวงไม่พ้น ก็ควรแต่งเสียกับอดีตจักรพรรดิ ตำหนักพักร้อนนอกพระราชวังมีอยู่มากมาย จะไม่มีสักที่เชียวหรือที่จะเร้นกายพักผ่อนได้อย่างสงบ

“นี่เจ้า...” หลิ่งปินถึงกับพูดไม่ออกเมื่อเหว่ยหงมาไม้นี้

“ท่านรับได้หรือหากวันหนึ่งนางต้องแต่งงานกับคนอื่น” เหว่ยหงพยายามพูดจี้ใจดำ

“ข้ารับได้ และยินดีเป็นอย่างยิ่งหากนางได้ออกเรือนกับคนที่รัก”

“ท่านคิดเช่นนั้นจริงหรือ สาบานได้หรือไม่ว่าไม่เคยเสน่หานางแม้แต่น้อย”

“ข้าสาบาน” หลิ่งปินรับคำท้าทันที “เลิกเซ้าซี้ข้าได้แล้ว”

เสนาบดีเฉินยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ในแบบที่ไม่เคยเป็น สายตาของเขาไม่ได้จับจ้องใบหน้าคนที่กำลังหงุดหงิด แต่มองต่ำลงมาข้างตัว

“กำหมัด...”

“อะไร”

“เวลาที่ท่านฝืนทำอะไรตรงกันข้ามกับใจท่านมักจะกำหมัด”

นิสัยประจำตัวนี้เป็นสิ่งที่รุ่ยฟางสังเกตเห็นและนำมาบอกต่อ เหว่ยหงสังเกตตามก็เห็นว่าเป็นจริง เจ้าตัวก็เหมือนจะรู้ดีจึงมักซ่อนมือไว้ด้านหลังเสมอ

“โอ๊ย! ข้าทนไม่ไหวแล้ว” หลิ่งปินตะโกนอย่างเหลืออด “อยากยกให้ก็ตามใจ รีบใส่พานถวายมาเลย แต่จงจำไว้ให้ดีว่าเจ้าต้องเสียใจ”

หลิ่งปินไม่พูดเปล่า แต่ยังเดินตัดสวนมุ่งไปยังทางออกจากตำหนัก

“ท่านจะไปไหน” เหว่ยหงเร่งตามมา เพราะกลัวว่าอตีดฮ่องเต้จะทิ้งการรักษาแล้วหนีหายไปดื้อๆ

“ข้าจะไปเฝ้าไทเฮา จะรับใครมาอยู่ในราชวงศ์ก็ต้องแจ้งฝ่ายในก่อนไม่ใช่หรือไง”

เสนาบดีเฉินคิดว่าคำพูดน่าเหลือเชื่อนี้เป็นเพียงคำโกหกตัดรำคาญ แต่เปล่าเลย หลิ่งปินไปเข้าเฝ้าไทเฮาจริงดังที่บอก และรุ่งเช้าวันถัดมาก็มีประกาศจากฝ่ายในพร้อมด้วยราชโองการแต่งตั้งกุ้ยฮวามายังสกุลเฉิน


-โปรดติดตามตอนต่อไป-

สวัสดีท้ายบทค่า
ขอเสียงแม่ยกท่านอาจารย์หน่อย ฮิ้วววววววว
อ่านแล้วฝันดีราตรีสวัสดิ์นะคะ ^O^



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 พ.ค. 2559, 23:50:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 พ.ค. 2559, 23:50:16 น.

จำนวนการเข้าชม : 1231





<< ประมุขพรรคมาร : บทที่ ๔ นกสีเงิน   ประมุขพรรคมาร : บทที่ ๖ เหนือบุพเพคือตนลิขิต >>
mottanoy 25 พ.ค. 2559, 08:17:25 น.
อ้าว..ตาอยู่มาซะงั้น


Zephyr 26 พ.ค. 2559, 00:04:39 น.
อ้าว เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยย
บร้ะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะ
มาแรงแซงโค้งหัวทิ่มหัวตำ
อะไรอ่ะ อาจารย์
เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยย เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยย เฮ้ยยยยยยยยยยยยยย
วั้ยยยยยยยยย วั้ยยยยยยยยยยยยย วั้ยยยยยยยยยยยยยยยยย

อุต่ะ ที่ไม่ยอมให้ตายนี่เพื่อหัวใจตัวเองเหรอ
เว้ยยย ไม่เคยคิดแง่นี้มาก่อน
อาจราย์ ท่านหลอกดาวววววววววว


นักอ่านเหนียวหนึบ 27 พ.ค. 2559, 21:36:25 น.
ห๊ะ พี่หมี!!!!!! ม่ายยยยย นั่นมันแม่ลูกกันนะ โอ้วววว


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account