ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: ประมุขพรรคมาร : บทที่ ๔ นกสีเงิน

ประมุขพรรคมาร : บทที่ ๔ นกสีเงิน


โบ้ที่เจ้เห็นร้องกรี๊ดกร๊าดวิ่งตามผู้ชายนั้น แท้ที่จริงเป็นเพียงภาพหลอนซึ่งเกิดจากฤทธิ์หมอก โบ้ตัวจริงเดินออกจากกลุ่มไปนานแล้ว เพราะได้รับผลกระทบจากหมอกเร็วกว่าใคร เขาได้ยินทุกคนบอกให้เดินตามลำแสงจากแหวนไปจึงทำตามคำสั่ง และแปลกใจมากที่มีทางเดินโผล่ออกมาจากดงไม้ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมี ลำแสงจากแหวนก็ชี้ไปทางนั้นราวกับจะบอกให้ทราบว่านี่คือทางเข้าแดนมายา

“ต้องใช่ทางนี้แน่ๆ ไปกันเร็วทุกคน!”

โบ้ร้องบอกอย่างยินดี โดยไม่รู้ตัวเลยว่าเสียงตอบรับที่ได้ยินเกิดจากฤทธิ์หมอก

เมื่อเดินต่อไปจนสุดทางเดิน เขาก็พบประตูหินบานใหญ่ซึ่งมีสัญลักษณ์รูปดวงจันทร์บนเมฆเหมือนที่สลักไว้บนต้นสน พอลองผลักก็พบว่ามันเปิดออกได้อย่างง่ายดาย โบ้เพ่งมองไปด้านใน แต่ไม่เห็นอะไรนอกจากความมืด

“พี่หยางขอไฟหน่อย”

คนไม่รู้ตัวยื่นมือไปด้านหลัง ปกติไม่ว่าปรารถนาสิ่งใด หยางเจี้ยนมักจัดให้ทันที พอได้ช้ากว่าที่เคย โบ้จึงเหลียวหลังกลับไปมอง ตอนนี้เองที่สังเกตว่าทุกคนหายไป เช่นเดียวกับหมอกหนาที่เคยอยู่รอบกาย

“พี่หยาง หยกน้อย ฟางเซียน พวกเจ้าอยู่ไหนกัน!”

โบ้ตะโกนเรียก แต่กลับไม่มีเสียงขานรับ ความเงียบอันน่าหวาดหวั่นนี้ทำให้ใจเสียมาก

“อย่าแกล้งข้าสิ พวกเจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ชอบเล่นอย่างนี้”

แม้จะเอ่ยเช่นนั้น รอบกายก็ยังเงียบสงัด เสียงหรีดหริ่งเรไรสักตัวก็ไม่มี คนที่เพิ่งรู้ตัวว่าหลงทางเริ่มตระหนก เขาบอกตัวเองให้รีบเดินย้อนกลับไปในเขตหมอก ทว่าเดินหนีจากประตูหินได้เพียงสิบก้าวเท่านั้นก็ต้องย้อนมา โบ้คิดได้ก่อนว่านี่ไม่ใช่เวลามากลัวความเงียบ แว่นกำลังรอยาจากเขาอยู่

โบ้เดินเข้าสู่ความมืดด้วยความมุ่งมั่น แม้ตาจะมองไม่เห็น แต่ก็แผ่พลังปราณออกมาตรวจสอบสภาพพื้นที่ได้ โบ้พบว่าเขากำลังเดินอยู่ในอุโมงค์ที่มีทางแยกหลายทาง พลังปราณของเขามีรัศมีการตรวจสอบไม่กว้างนัก จึงระบุไม่ได้ว่าทางออกอยู่ที่ใด โบ้ตัดสินใจเดินตรงไปก่อน เขากุมกระบี่หิมะไว้แน่นเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับอันตราย

ระหว่างที่เดินอยู่นี้ โบ้เปลี่ยนท่าจับอาวุธหลายครั้ง เนื่องจากด้ามจับมีผ้าพันไว้ก็เลยไม่ค่อยถนัดมือ เขายังจำที่หยางเจี้ยนย้ำว่าอย่าแกะออกได้ แต่สุดท้ายก็ทนรำคาญไม่ไหว ดึงผ้าที่ชายหนุ่มพันไว้ให้อย่างดีออก

“อย่าโกรธข้าเลยนะพี่หยาง เกิดศัตรูโผล่มาปุบปับ ข้าจับดาบไม่ถนัดจะแย่เอา” โบ้พึมพำแก้ตัว

เมื่อไม่มีอะไรมาบดบัง สัญลักษณ์เกล็ดหิมะบนฐานดาบก็เปล่งประกายแวววาว แม้จะอ่อนแสงก็ไม่อาจรอดพ้นจากสายตาผู้ควบคุมกลไกในอุโมงค์มืดได้ เขาจัดการให้กำแพงเบื้องหน้าผู้บุกรุกเคลื่อนตัวเข้าหากัน ปิดทางไม่ให้เดินต่อ

โบ้ขมวดคิ้วเมื่อพบอุปสรรคแรก เขาไม่รู้ว่าควรจะทำลายค่ายกลนี้หรือเดินย้อนกลับไปทางเลี้ยวแรก คนไม่ค่อยถูกโฉลกกับเรื่องที่ต้องใช้สมองคิดถึงน้องชายจับใจ ถ้าไป๋อวี้อยู่ด้วย ป่านนี้คงได้ออกจากอุโมงค์มืดๆ นี้แล้ว โบ้ลูบๆ คลำๆ กำแพงหินตรงหน้าอยู่พักใหญ่ เผื่อจะเจอปุ่มที่ทำให้มันขยับออกดังเก่า ทว่าหาเท่าไรก็หาไม่เจอสักที

ขณะที่ถอดใจเดินย้อนกลับไปทางเดิม อุโมงค์ก็สั่นเพราะกำแพงเคลื่อนตัวอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ผนังด้านขวาเปิดออกเป็นช่องทางเดิน โบ้นึกถึงฉากในภาพยนตร์ที่เคยดูผ่านตา ทางที่อยู่ๆ เปิดออกพวกนี้มักมีกับดักรออยู่ และส่วนใหญ่พวกที่เสนอหน้าเดินเข้าไปมักไม่ตายดี ก็เลยถอยห่างออกมา

โบ้ตัดสินใจได้เดี๋ยวนั้นว่าจะลองไปตามทางแยกแรกที่ผ่านไปก่อน ถ้ายังหลงจนปัญญาจะออกไป ค่อยย้อนกลับไปตามหาเพื่อนๆ

ทันทีที่โบ้หันหลังกลับ อุโมงค์มืดๆ ก็พลันมีแสงสว่าง เมื่อหันไปจึงพบว่าที่มาของแสงเกิดจากนกสีเงินตัวหนึ่ง จะงอยปากและปีกของมันมีลักษณะคล้ายฮัมมิงเบิร์ด ตัวมันเล็กจิ๋วแต่มีแสงจ้าประหนึ่งหลอดไฟ เจ้านกน้อยบินมาหาโบ้ แล้วส่งเสียงเล็กแหลมก่อนจะทำท่าเหมือนอยากให้ตามไป

นกน้อยบินหายไปในผนังฝั่งที่เพิ่งเปิดออก แม้จะรู้สึกไม่ดีกับเส้นทางนั้น โบ้ก็ตามไปอย่างไม่ลังเล เพราะนี่คือสิ่งที่เขาต้องทำเพื่อเพื่อนตามคำทำนายของท่านผู้เฒ่า

“สู่แดนมายา เมตตาค้ำจุน นกสีเงินจะชี้ทางให้เจ้า”

นี่คือคำทำนายที่โบ้ถูกสั่งให้เก็บไว้เป็นความลับ เขาเร่งฝีเท้าเพื่อไม่ให้คลาดกับสิ่งช่วยชี้ทาง อึดใจก็ต้องหยีตาด้วยพบแสงจ้าที่ปลายอุโมงค์

นกน้อยนำโบ้มายังสวนป่าแสนงามชวนตะลึง รอบบริเวณเต็มไปด้วยดอกไม้บานสะพรั่ง ไม้ผลติดลูกแม้ไม่ใช่ฤดูกาล พืชพันธุ์สารพัดชนิดที่เห็นล้วนอยู่ในช่วงงดงามที่สุด โบ้ไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน แต่ถ้ามีคนบอกว่าเป็นสวรรค์ เขาก็เชื่ออย่างไม่แคลงใจเลย

ในขณะที่ตะลึงกับความงามของสถานที่ เสียงนกร้องก็ดังขึ้นข้างหู นกสีเงินตัวเดิมยังไม่ไปไหน มันส่งเสียงแหลมๆ เรียกโบ้ให้ตามไป เจ้านกน้อยบินเร็วจี๋ไม่ยอมเปิดโอกาสให้เขาเสียเวลาชื่นชมสถานที่นาน

กลิ่นหอมหวานของดอกไม้นานาชนิดลอยเข้าจมูกโบ้เป็นระยะ แต่เมื่อมาถึงสระสีเขียวมรกต โบ้กลับได้กลิ่นหอมรุนแรงของดอกไม้เพียงชนิดเดียว เจ้านกน้อยหยุดบินในตอนนี้ ก่อนจะหายไปต่อหน้าต่อตา

“ไปไหนแล้ว”

โบ้มองหารอบกาย พลันสายตาสะดุดเข้ากับเกาะเล็กๆ กลางสระมีต้นไม้ลักษณะคล้ายกุหลาบขึ้นอยู่ แต่ดอกของมันเป็นสีทองเปล่งประกายเจิดจ้า ยิ่งมองก็ยิ่งสงสัยว่านี่อาจเป็นสิ่งที่ตามหา โบ้เดินไปมองใกล้ๆ ยังไม่ทันถึงขอบสระก็มีเสียงร้องเตือนว่า

“อย่าเข้าไปใกล้ น้ำในสระอันตราย!”

โบ้หันขวับไปตามที่มาของเสียงมีอำนาจและทรงเสน่ห์อย่างน่าประหลาด เขาเห็นชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนกิ่งไม้ ใบหนาๆ ของมันกับร่มไม้บดบังใบหน้าไว้จนหมดสิ้น เห็นเพียงเรือนผมสีเงินยาวสลวยทิ้งตัวลงมาดังม่านน้ำตก

“ขอบคุณท่านที่เตือน ข้ากำลังตามหาสุวรรณมาลี ท่านรู้จักมันไหม”

“ต้นไม้กลางเกาะนั่นไงคือสิ่งที่เจ้าตามหา”

โบ้คิดว่าเขาอาจเป็นเจ้าของสถานที่ จึงขออนุญาตเด็ดดอกไม้

“ข้าจำเป็นต้องใช้มันจริงๆ ขอเอาไปได้ไหม แต่ข้าไม่เอาเปรียบท่านหรอกนะ แพงเท่าไรก็ยอมจ่าย”

โบ้ไม่เห็นว่าเขาแสดงสีหน้าเช่นไรเมื่อได้ยินคำพูดนี้ แต่รู้สึกเหมือนกำลังยิ้มเยาะ

“สุวรรณมาลีมีค่าเสียยิ่งกว่าแคว้นทั้งแคว้น เป็นเสมือนหัวใจของสวนแห่งนี้ หากไม่ว่าใครก็เด็ดไปได้ง่ายๆ มันคงไร้ค่า”

ชายหนุ่มเอ่ยพลางโยนผลไม้ลงไปในสระให้ดูเป็นตัวอย่าง แทนที่จะได้ยินเสียงของตกน้ำ น้ำสีมรกตในสระกลับพุ่งขึ้นมาชนผลไม้ โบ้สะดุ้งจนเกือบหงายหลัง ลำพังน้ำพุ่งขึ้นมาก็น่าตกใจแล้ว แต่ฤทธิ์ของมันร้ายกาจยิ่งกว่า โบ้ได้ยินเสียงผลไม้ถูกกัดกร่อนหายไปกลางอากาศ

“ต่อให้มีพลังปราณสูงส่งก็ยากจะกันละอองน้ำได้ น้ำในสระกรดแค่หายใจเอาพิษเข้าไปยังเป็นอันตรายต่ออวัยวะภายใน” ชายหนุ่มดักคอราวกับรู้ว่าโบ้กำลังคิดจะใช้พลังปราณเป็นเกราะคุ้มกันกาย

“ถึงจะเป็นเช่นนั้นข้าก็ต้องเสี่ยง ความเป็นความตายของสหายข้าขึ้นอยู่กับมัน” โบ้เอ่ยอย่างมุ่งมั่น

หนนี้ชายหนุ่มไม่ห้ามปราม แต่ปล่อยให้นางวิ่งเข้าหาความตายตามใจปรารถนา โบ้ค้นพบว่าเขาพูดถูกทุกประการ พลังปราณของโบ้ไม่สามารถกางกั้นพิษจากน้ำในสระ แค่สูดกลิ่นก็วิ่งเวียนคลื่นเหียนมาก โบ้หลับตาแน่น เตรียมตัวรับความเจ็บปวดจากความดื้อดึง ทว่ายังไม่ทันที่ละอองน้ำจะสัมผัสผิว ก็มีลมพัดพาน้ำสีมรกตกระเด็นออกไป แล้วหอบร่างโบ้ให้ลอยออกห่างจากขอบสระ

“รั้นไม่เข้าเรื่อง” ชายหนุ่มว่า อึดใจเขาก็เหาะลงมาจากต้นไม้ ทะลุผ่านม่านน้ำไปที่เกาะกลางสระโดยไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย ชายหนุ่มเด็ดสุวรรณมาลีจากต้นได้อย่างง่ายดาย เดี๋ยวเดียวก็กระโดดกลับมายืนใกล้ๆ โบ้

โบ้เงยหน้ามองชายหนุ่ม แต่แสงของดอกไม้กลับสว่างเสียจนต้องหยีตา ทำให้ไม่อาจมองหน้าเขาได้ชัด

“ข้าให้...เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้วก็รีบกลับไปเสียก่อนจะมีอันตราย”

ไม่ทันรู้ตัว ของที่ต้องการก็ลอยมาอยู่ในมือแล้ว โบ้อ้าปากจะขอบคุณ แต่อีกฝ่ายกลับรีบร้อนจากไป

แผ่นหลังกว้างห่างออกไปไกลทุกขณะ ถ้าเร่งตามไปตอนนี้คงทันได้ขอบคุณและดูหน้าชัดๆ ด้วย ทว่าโบ้กลับลังเล เขามิได้หวั่นเกรงอันตรายที่ชายหนุ่มเอ่ยถึง แต่วิตกเรื่องเพื่อนที่กำลังรอความช่วยเหลือ จอมลังเลครุ่นคิดอย่างหนักว่าควรทำเช่นไรดี

‘เพื่อน...ผู้ชาย...เพื่อน...ผู้ชาย เลือกเพื่อนหรือเลือกผู้ชายดี!!!’

ก่อนชายหนุ่มผมเงินจะหายลับจากสายตา โบ้ก็ได้คำตอบของคำถามที่เขาตั้งขึ้น แม้จะเสียดายเพียงใด โบ้ก็เลือก ‘เพื่อน’


โบ้รีบออกมาตามคำแนะนำของชายปริศนาโดยใช้เส้นทางเดิม เมื่อออกจากประตูหินแล้วก็เดินเข้ากลุ่มหมอกไป แหวนอันธการสัมผัสละอองหมอกแต่ไม่ยอมเปล่งแสง ยังไม่ทันตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้น หมอกหนาก็สลายไป พริบตาเดียวรอบบริเวณที่เคยมืดสลัวก็พลันสว่าง

โบ้ได้ยินเสียงทุกคนร้องเรียกเขาในตอนนั้น จึงขานรับแล้วตามไปสมทบ สามคนที่เหลืออยู่กันพร้อมหน้า ไม่มีใครบาดเจ็บ โบ้จึงแจ้งข่าวดีด้วยการอวดของที่ได้มา ไปอวี้มองดอกไม้สีทองด้วยความพิศวง หยางเจี้ยนนั้นพึมพำอย่างไม่เชื่อสายตาว่ามีอยู่จริง ส่วนเจ้ชมไม่ขาดปากว่าโบ้ทำดีมาก

“แกนี่สุดยอดจริงๆ ไม่มีดวงดอกท้อ แต่ดวงดอกทองมาเต็มๆ”

ดวงดอกท้อที่เจ้ว่าก็คือดวงความรักนั่นเอง เจ้ไม่เสียเวลาพูดเล่นนาน เธอชวนทุกคนออกจากป่าเพื่อนำสุวรรณมาลีไปรักษาแว่น

ขากลับไม่มีสัมภาระ อีกทั้งหยางเจี้ยนยังให้เจี้ยหลุนขี่หลังเพื่อความว่องไวในการเดินทางจึงประหยัดเวลาไปได้มาก พอกลับเข้าสู่เขตชายป่า ก็เจอเข้ากับม้าเหยียบเมฆาพอดี ลู่เสียนที่ถูกทิ้งไว้ลำพังเป็นเวลานานกำลังเบื่อจัด จึงเต็มใจให้โบ้ขี่หลังพากลับเมืองหลวงด้วยความเร็วเต็มฝีเท้า

โบ้นำดอกไม้ไปส่งที่บ้านสกุลเฉิน เพื่อให้ทางนั้นส่งต่อไปให้แว่นในวังโดยเร็ว พ่อบ้านรับปากว่าจัดการให้ แต่ก็เงียบหายไปเป็นวันจนโบ้ร้อนใจ เมื่ออดรนทนไม่ไหวเขาจึงตัดสินใจเข้าวังเดี๋ยวนั้น โดยใช้ป้ายตำแหน่งพระสหายขององค์หญิงสิบเป็นตัวเบิกทาง

โชคดีที่หน่อมกลับมาจากเขาลู่ซานแล้ว แม้ไม่มีเทียบเชิญก็ยังได้พบเพราะองค์หญิงสิบสั่งไว้ โบ้แทบจะโผเข้ากอดคนที่ไม่ได้เจอกันมานาน เขาถามเพื่อนทันทีว่าอาการของแว่นเป็นอย่างไร

“ไม่รู้เหมือนกัน ท่านหมอกำลังรักษาอยู่ ปิดตำหนักเงียบมาหลายวันแล้ว“ หน่อมตอบอย่างไม่ปิดบังความวิตก เขาเครียดกว่าใครเพราะตั้งแต่กลับมาก็ได้ยินข่าวว่าอาการของแว่นทรุดลงโดยตลอด จะเข้าเยี่ยมก็ทำไม่ได้เพราะหลิ่งปินสั่งห้าม ครั้นพยายามมองดูอนาคตก็เห็นแต่ภาพอันหาสาระมิได้ ไม่มีเรื่องราวของแว่นหรือคณะเดินทางอยู่ในนั้นเลย

“ได้ดอกทองมาแล้ว อิแว่นต้องหายสิคะ” คนที่เข้าวังด้วยความร้อนใจกลายเป็นฝ่ายปลอบเสียเอง

ทุกคนต่างก็เฝ้ารอข่าวอาการของแว่นอย่างมีความหวัง แต่ยิ่งรอก็ยิ่งเครียด โบ้ซึ่งมีนิสัยชอบสร้างความสุขให้คนรอบตัวจึงชวนหน่อมคุยเรื่องอื่น

“อิเขียวล่ะคะหน่อม”

หลังจากให้แว่นกินผลสัตยาแล้ว ภูตพฤกษาตัวน้อยก็กลับไปหาเจ้านาย โบ้ไม่รู้ว่ามันเดินทางอย่างไร จะปลอดภัยหรือเปล่า เพราะมันหายไปช่วงที่กำลังวุ่นวาย

“หลับอยู่น่ะ” หน่อมชี้กล่องใบโตประกอบคำพูด ตั้งแต่กลับมาหา น้องกรีนก็หลับตลอด ทีแรกเขาคิดว่าเจ้าตัวเล็กป่วย จึงลองถามภูตที่เขาลู่ซานดูว่ารักษาได้ไหม ภูตชราบอกว่าไม่ต้องวิตก เป็นธรรมดาของภูตเด็กที่จะหลับเป็นระยะเวลานาน

“แล้วท่านแม่ทัพล่ะค่ะ” โบ้กระโดดข้ามมาถามอีกเรื่องเพราะเพิ่งนึกออกเดียวนั้น ไม่ทันคิดหรอกว่าถ้าหน่อมมาอยู่ตรงนี้ได้ แสดงว่าจินไท่ต้องได้รับการปล่อยตัวแล้ว

“ท่านแม่ทัพล้างมลทินได้สำเร็จ ตอนนี้พักอยู่ในวัง”

ฮ่องเต้มีบัญชาให้อยู่ต่อก่อนเพื่อมอบรางวัลที่ชนะศึกในอี้ป่าย รวมถึงชดเชยเรื่องการแต่งงานให้ ตามกำหนดเดิมจินไท่กับองค์หญิงสิบต้องเข้าพิธีสมรสในเดือนสิบเอ็ด แต่งานกลับต้องถูกเลื่อนออกไปเพราะคดีความและศึกอันยืดเยื้อ กว่าจะมีฤกษ์ดีอันเป็นที่พอพระทัยของไทเฮาอีกหนก็สองปีข้างหน้า ฮ่องเต้ทรงเห็นว่าช้าเกินไป หากลี่จูไม่แต่งงาน องค์หญิงสิบเอ็ดก็จะพลอยได้ออกเรือนช้าไปด้วย จึงอยู่ในขั้นเจรจาขอให้พิจารณาฤกษ์สะดวกและความเหมาะสมด้วย

“โล่งอกไปที พ้นเคราะห์พ้นโศกแล้วนะคะหน่อม”

“ต้องขอบคุณเธอมากนะ ถ้าไม่ได้เธอกับทุกคน เรากับท่านแม่ทัพคงไม่ได้มีอนาคตร่วมกัน”

หน่อมเล่าต่ออีกว่าที่คดียุติลงได้รวดเร็วเช่นนี้เป็นเพราะแว่นกับองค์ชายรอง เรื่องแว่นโบ้เข้าใจได้อยู่ แต่เรื่ององค์ชายรองนั้นออกจะน่างงอยู่ไม่น้อยว่าชายหนุ่มมีส่วนเกี่ยวข้องได้อย่างไร หน่อมจึงเริ่มเล่าให้ฟังว่าที่จินไท่พ้นผิดได้เร็วเป็นเพราะหลักฐานที่องค์ชายรองนำมา

ไม่ทราบองค์ชายทำอย่างไรจึงมีหลักฐานว่าองค์ชายเทียนฉีสมคบกับขุนนางอี้ป่ายจัดฉากให้ร้ายแม่ทัพต่ง โดยใช้สงครามระหว่างอี้ป่ายกับจงเย่าให้เกิดประโยชน์ ยิ่งสืบลึกลงไปก็ยิ่งพบความเกี่ยวพันกับคนระดับสูงมากมาย โดยเฉพาะรองแม่ทัพที่มีทั้งหลักฐานและพยานชัดเจนว่าติดต่อกับทางอี้ป่ายและจงเย่า

งานนี้เสือซุ่มเงียบอย่างองค์ชายรองได้ความดีความชอบไปอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย แม้เขาจะถูกซัดทอดว่าจริงๆ แล้วมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย แต่เลือกที่จะหักหลังคนอื่นๆ ก็ไม่มีใครกล้าพูดอย่างเปิดเผย ว่ากันว่าองค์ชายรองจงใจตีสนิทกับองค์ชายเทียนฉี เขาซื้อใจอีกฝ่ายด้วยการให้สูตรการทำน้ำหมึกพิเศษที่ใช้กับตราประทับ รวมถึงให้ข้อมูลความลับหลายประการของเจียงเฉียง เมื่ออีกฝ่ายไว้ใจเปิดช่องให้เข้าร่วมแผนการก็ส่งคนของตนไปสอดแนม

องค์ชายรองรู้อยู่แก่ใจว่าต้องเกิดสงคราม รู้ทั้งรู้ว่าแม่ทัพต่งต้องถูกหลอกไปติดกับ แต่ก็ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามนั้น เขาไม่ใส่ใจว่าจะมีผู้คนบาดเจ็บล้มตายมากเท่าไร มองเห็นอำนาจและผลประโยชน์เท่านั้น เมื่อสถานการณ์พลิกผันก็พร้อมหักหลักพวกเดียวกันได้อย่างเลือดเย็น

หน่อมมั่นใจว่าพี่รองเกี่ยวพันกับเรื่องนี้จริง แต่จะจริงตามที่ถูกซัดทอดไหมไม่แน่ชัด ที่รู้คือเขาห่วงกุ้ยฮวาจากใจ และผลลัพธ์ในตอนนี้เป็นไปด้วยความยุติธรรม คนผิดถูกนำตัวไปลงโทษ ส่วนผู้บริสุทธิ์ล้วนก็ได้รับการปล่อยตัวและปูนบำเหน็จ

หน่อมรู้สึกสลดที่มีคนต้องตายเพิ่มอีกจำนวนหนึ่ง แม้ว่าอีกฝ่ายจะมุ่งร้ายต่อตน หน่อมก็ไม่ดีใจเลยที่พวกรองแม่ทัพกับขุนนางของอี้ป่ายถูกประหาร เขาเห็นคนตายมามากพอแล้วจึงไม่อยากเจอความสูญเสียอีก ทางด้านองค์ชายเทียนฉีนั้นรักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่มีคำสั่งให้ปลดจากตำแหน่ง ตัดสิทธิ์ในการปกครองอี้ป่าย และถูกคุมขังอยู่ในตำหนักพระราชทานตลอดชีวิต

“ขุนพลหน้ากากคนนั้นก็ไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ” โบ้ถามถึงซั่วเย่า เขารู้หลังใครเพื่อนว่าเจ้กับผู้ชายคนนี้รักกัน ถึงจะมึนๆ งงๆ ไม่รู้ที่มาที่ไป แต่เมื่อเจ้เลือกแล้วก็พร้อมสนับสนุน

“ปลอดภัยดี เขาฝากจดหมายมาให้เจ้ด้วย แต่ว่าเจ้ยังไม่กลับมา เราเลยเก็บไว้ให้ก่อน”

โบ้ได้ฟังอย่างนั้นก็เลยชวนหน่อมแอบอ่านจดหมายรักของเพื่อน แต่หน่อมไม่เออออตาม เขาห่วงว่าเจ้จะโกรธ โบ้เลยชวนทำจดหมายรักปลอมแก้เครียดกัน เอาให้เจ้อ่านแล่นๆ เสร็จแล้วค่อยเอาของจริงให้

“จะลองดูก็ได้นะ เจ้คงไม่โกรธเท่าไร” กล่าวจบหน่อมก็เรียกนางกำนัลให้เอาอุปกรณ์เครื่องเขียนมาให้

ทั้งสองคนหาเรื่องเล่นไร้สาระฆ่าเวลาจนหมดไปอีกหนึ่งวัน เจ้ก็ตามมาสมทบ ข่าวอาการป่วยของแว่นยังเงียบหาย แม้แต่คนในครอบครัวเองก็ไม่รู้ว่าผลการรักษาจะเป็นไปในทิศทางใด นับตั้งแต่ได้สุวรรณมาลีมา หลิ่งปินก็มุ่งมั่นอยู่แต่กับการรักษากุ้ยฮวาจนแทบไม่ได้กินไม่ได้นอน หมอเทวดาไม่รับปากว่าจะช่วยได้ไหม บอกเพียงว่ากำลังพยายามอย่างเต็มที่


หนึ่งวัน สองวัน สามวันผ่านไป พอเข้าสู่วันที่ห้า ในที่สุดข่าวที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง หลิ่งปินเปิดประตูห้องออกมา แล้วเรียกให้เสนาบดีเฉินกับกุ้ยอี้เข้าไปด้านใน

“นางฟื้นแล้ว”

ท่านหมอเอ่ยเพียงสามพยางค์ แต่ก็สร้างความดีใจอย่างเหลือล้นให้แก่ครอบครัวและผู้คอยฟังข่าว

ผลพวงจากยาวิเศษกับแรงใจอันกล้าแข็งช่วยให้คนที่ก้าวขาสู่ความตายแล้วข้างหนึ่งกลับมามีลมหายใจได้อีกครั้ง ต่อจากนี้สุขภาพของกุ้ยฮวาจะแข็งแรงขึ้นเป็นลำดับ แม้ไม่อาจสู้คนปกติ แต่นางจะมีชีวิตยืนยาวต่อไปอย่างน้อยสิบปี

แว่นรับฟังข่าวนี้อย่างยินดี แม้จะยังอ่อนแรงอยู่มาก แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าตัวเองแข็งแรงขึ้น จึงเรียกหาครอบครัวและคนสนิท แว่นได้คุยกับท่านพ่อท่านพี่เรียบร้อยแล้ว กับเพื่อนๆ ก็ได้พบอย่างพร้อมหน้า ทว่ากลับยังไม่มีโอกาสได้ขอบคุณหลิ่งปินเลย

ทีแรกแว่นคิดว่าเขาหนีหายไปโดยไม่อยู่ฟังคำขอบคุณเหมือนอย่างเคย แต่ที่ไหนได้ ท่านอาจารย์ไม่ได้อยู่ไหนไกล เขาพักที่ห้องข้างๆ นี่เอง เพียงแต่กำลังหลับเป็นตายเพราะอ่อนล้าสะสม นับตั้งแต่กุ้ยฮวากลับมายังเมืองหลวง หลิ่งปินก็แทบไม่ได้นอนหลับพักผ่อนเลย ฝืนตัวเองอย่างนี้มาเป็นแรมเดือน ไม่ล้มป่วยก็ถือว่าน่าอัศจรรย์แล้ว

แว่นนึกอยากลุกไปต้มน้ำแกงกับทำสมุนไพรบำรุงกำลังสูตรพิเศษให้อาจารย์ แต่ยังไม่แข็งแรงนัก แค่ลุกนั่งเองกับพูดมากหน่อยก็เหนื่อยแล้ว ต้องใช้เวลาพักฟื้นนานแรมเดือนกว่าจะแข็งแรง เดินเหินได้อย่างคนปกติ แว่นเลยใช้ปากสั่งให้สาวใช้ดูแลท่านอาจารย์แทนตน

“คุณหนูไม่ต้องห่วงหรอกเจ้าค่ะ ห้องเครื่องจัดอาหารกับของบำรุงอย่างดีมาถวายอดีตฮ่องเต้ชางหลงทุกวัน” ซีอิ๋งบอก

พอได้ยินคนอื่นเรียกหลิ่งปินว่าอดีตฮ่องเต้ แว่นก็ได้สำเหนียกว่าอาจารย์ของตนนั้นมีฐานะสูงส่งเป็นอย่างยิ่ง เขาเริ่มคิดว่าต่อไปต้องปฏิบัติต่ออาจารย์อย่างสำรวมกว่าเดิม แต่ความคิดนี้ก็ตกไปอย่างรวดเร็ว เขายังจำน้ำเสียงโมโหตอนที่กุ้ยอี้ใช้ราชาศัพท์กับหลิ่งปินได้ ท่านอาจารย์เกลียดการปฏิบัติอย่างเป็นพิธีการ ทั้งยังไม่ต้องการแบกยศถาบรรดาศักดิ์ให้หนักบ่า แว่นเลยคิดว่าชายหนุ่มคงอารมณ์ดีกว่าถ้าทำตัวเหมือนเดิม

คิดถึงไม่ทันไร หลิ่งปินก็มาหา ซีอิ๋งเห็นดังนั้นจึงย่อกายถวายความเคารพ แล้วรีบหลบออกไปให้ทั้งคู่ได้อยู่ลำพัง แว่นไม่ทันทักท้วงว่าไม่จำเป็นต้องออกไปเพราะมัวแต่มองชายหนุ่มตาค้าง ขณะนี้หลิ่งปินสวมเสื้อผ้าหรูหราอันสมควรแก่ฐานะ พอรวมเข้ากับใบหน้าหล่อเหลาและบุคลิกสง่างามที่มีเป็นทุนเดิม เขาก็เหมือนกับเดินออกมาจากความฝัน แว่นคงเคลิ้มกับท่านอาจารย์ไปแล้ว ถ้าไม่สังเกตเห็นบางสิ่งก่อน

“ท่านอาจารย์...ผมท่าน...ทำไม”

แม้หลิ่งปินจะเกล้าผมอย่างเรียบร้อยและมีเครื่องประดับศีรษะ แต่ก็ไม่อาจปิดบังสีของเส้นผมได้ ตอนป่วยสติของแว่นเลือนราง แต่ก็จำได้ว่าผมของอาจารย์เป็นสีดำ ทว่าบัดนี้มันกลับขาวโพลนทั้งศีรษะ

“จะตกใจอะไร ก็แค่ผมหงอกตามอายุ”

เห็นหน้าอ่อนอย่างนี้ แต่อายุจริงของหลิ่งปินนั้นมากกว่าฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเสียอีก

“มันไม่ใช่หงอกตามอายุเสียหน่อย ท่านใช้ตัวเองเป็นหนูลองยาใช่ไหม ท่านเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อข้า”

หลิ่งปินเป็นคนสอนเองว่าการลองยากับตัวนั้นไม่ใช่เรื่องสนุก ยิ่งยานั้นออกฤทธิ์ทำให้สภาพร่างกายเปลี่ยนไปมากเท่าใด ผู้ได้รับยาก็ยิ่งเจ็บปวดทรมานมากเท่านั้น

แว่นน้ำตาคลอกับสิ่งที่หลิ่งปินทำให้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสได้ถึงความรักอย่างไม่มีเงื่อนไขจากคนนอกครอบครัว

หลิ่งปินทำหน้าระอาใส่คนบ่อน้ำตาตื้น แต่สุดท้ายก็เดินมาหา แล้วปลอบด้วยการซับน้ำตาให้ แว่นจึงฉวยโอกาสนี้กอดเขาแน่น

“ร้องไห้อย่างเดียวก็น่ารำคาญแล้ว นี่ยังทำตัวเป็นลูกลิงอีก”

“ก็ข้าซึ้งนี่” แว่นโต้ทั้งที่ยังกลั้นสะอื้นไม่ได้

“จะซึ้งอะไรนักหนา ข้าไม่ได้เป็นอะไรเสียหน่อย ไม่เกินเย็นนี้สีผมก็กลับเป็นเหมือนเดิมแล้ว อ้อ! บอกไว้อย่าง สีผมข้าไม่เกี่ยวกับการใช้ตัวเองทดลองยาหรอกนะ ข้าต้องรักษาเจ้าจะเอาตัวเองไปเสี่ยงทำไม หาเหยื่อแถวนี้เอาง่ายกว่า”

แว่นอึ้งไปอีกเป็นคำรบสอง

“แล้วทำไมอยู่ๆ สีผมท่านเปลี่ยนไปเล่า”

“มันเกิดขึ้นบ่อยๆ เวลาร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอน่ะ” หลิ่งปินพูดง่ายๆ ซึ่งก็ไม่ได้โกหกแม้แต่น้อย

“นี่ท่านยังใช่คนอยู่หรือเปล่าเนี่ย!”

“ไม่ใช่มั้ง” ชายหนุ่มประชด

“เอาน้ำตาของข้าคืนมานะ คนเขาอุตส่าห์เป็นห่วง!”

พอแว่นโวยวายอย่างนั้น หลิ่งปินก็ดีดหน้าผากด้วยความมันเขี้ยวหนึ่งที เขาอยากบอกจริงๆ ว่าคนที่เป็นห่วงแทบบ้าน่ะทางนี้ต่างหาก

แว่นลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ ก่อนจะบ่นออกมาอีก

“ท่านอาจารย์ ท่านรู้อะไรไหม”

“อะไร”

“หนนี้ท่านไม่เพียงช่วยชีวิตข้านะ ยังทำให้ข้าขึ้นคานแบบถาวรด้วย”

แค่หลิ่งปินบุกไปอุ้มกุ้ยฮวามาจากท้องพระโรงนี่ก็ไม่ต้องคิดแล้วว่าจะขายออก ใครจะกล้าสู่ขอกุ้ยฮวากันในเมื่อจักรพรรดิเลือดประกาศออกชัดเจนว่านางเป็นคนของตน แล้วยังมีข่าวลือบ้าๆ ที่ซีอิ๋งเพิ่งจะเล่าให้ฟังอีก

คนพูดกันว่ากันว่าอดีตฮ่องเต้ชางหลงยอมเผยกายจากเงามืดและกลับมายังวังหลวง เพียงเพราะปรารถนาจะช่วยเหลือสตรีผู้เป็นที่รัก เรื่องนี้ฟังดูซาบซึ้งตรึงใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย เขาเป็นอดีตฮ่องเต้แล้วอย่างไรกัน ต่อให้เขาเป็นเทวดาก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน เพราะแว่นยังถูกจับกรอกยาขมปี๋กับเอาเข็มแหลมๆ มาจิ้มทุกวัน แล้วก็ยังโดนเขกหัวกับดีดหน้าผากเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

“ขึ้นคานไปน่ะดีแล้ว นิสัยอย่างเจ้า ยกให้ตระกูลไหนก็อับอายขายหน้า ได้ข้าช่วยไว้นับเป็นบุญของพ่อเจ้าแล้ว”

“ใจร้าย ท่านกำลังพรากความสุขในชีวิตของลูกผู้หญิงไปจากข้าอยู่นะ” แว่นทำเป็นสะอึกสะอื้นตัดพ้อ

“เฮอะ! ไม่ต้องทำเป็นมารยา ใครเชื่อก็โง่เต็มทน”

เอ็ดลูกศิษย์เสร็จ หลิ่งปินก็ย่นหัวคิ้วแล้วพ่นลมหายใจออกมา

“ถ้าเจ้าไม่เรื่องมากนักก็คงไม่ขึ้นคานหรอก เพราะมีคนโง่มาหลงอยู่เหมือนกัน”

“ท่านหมายความว่าอย่างไร”

หลิ่งปินไม่ตอบ แต่หันไปทางประตูแล้วตะโกนเสียงดังแทน

“ไอ้อ้วนที่อยู่ตรงนั้นน่ะ ถ้าอยากมาเยี่ยมก็เข้ามาไม่ต้องทำลับๆ ล่อๆ!”

อึดใจเสียงขอพระราชทานอภัยก็ดังขึ้น พร้อมกับที่ร่างอวบอ้วนผลักบานประตูเข้ามา องค์ชายห้าคุกเข่าถวายความเคารพอย่างเป็นทางการต่อหน้าอดีตฮ่องเต้

หลิ่งปินไม่ว่ากระไรต่อ เขาทำเพียงพูดลอยๆ ว่าอย่ารบกวนคนป่วยนานนักแล้วก็ออกไป ชายหนุ่มมิได้ต้องชะตากับองค์ชายห้าขนาดต้องการจับคู่ให้กับศิษย์เอก ที่เปิดโอกาสให้สองหนุ่มสาวอยู่ด้วยกันนั้นเพราะเห็นถึงรักแท้และความพยายามของชายหนุ่ม กุ้ยฮวาคงตายไปแล้วถ้าเหวินหรงไม่เสี่ยงตายไปหาเกสรของสตบงกชมาให้ เพื่อใช้ประคองอาการในระหว่างที่ยังไม่ได้สุวรรณมาลีมา

-โปรดติดตามตอนต่อไป-




นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 พ.ค. 2559, 23:31:11 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 พ.ค. 2559, 23:31:11 น.

จำนวนการเข้าชม : 1019





<< ประมุขพรรคมาร : บทที่ ๓ ฤทธิ์ของหมอก   ประมุขพรรคมาร : บทที่ ๕ กำหมัด >>
นักอ่านเหนียวหนึบ 18 พ.ค. 2559, 00:41:45 น.
กรี้ดดดด พี่หมีก็มาาาาาา ตอนนี้นุ้งโบ้เป็นนางเอกเต็มขั้นเลยค่าาาา แล้วพ่อหนุ่มผมเงินที่ท่าน้ำนั่น เป็นใครกันนนน


Zephyr 18 พ.ค. 2559, 12:43:51 น.
โอ้ย ว่าที่ ผอ แต่ละคน
ตัดใจเลือกข้างไม่ถูกเลย
ว่ามีสามของโบ้อีก ผมสีเงินเป็นประกาย แค่นี้กะกินขาดละ
จะให้จิ้นหล่อลากมากมายหลายคน
อ่านเรื่องนี้ละกลายเป็นหลายใจ ใจง่ายมากเลยอ่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account