เพรงพรหมข้ามภพ
บ้านเช่าหลังหนึ่งนำพาหล่อนให้พบกับเขา 'หลวงเดชาอักษร' ผู้ซึ่งกล่าวหาว่าหล่อนเป็นสตรีวิปลาสในคราวแรกที่ได้พบกัน อีกทั้งยังบอกว่าหล่อนหน้าตาเหมือนเจ้าสาวของเขาที่หายตัวไปเมื่อสามปีก่อน!
โชคชะตากำลังกลั่นแกล้งกับหล่อนหรือไร จึงทำให้หล่อนข้ามผ่านกาลเวลา มาโผล่บนเรือนของคุณหลวงผู้นี้ และจำต้องปลอมตัวเป็น 'แม่วาด' เจ้าสาวที่หายตัวไปของเขาอีกด้วย!

Tags: พีเรียด,รัตนโกสินทร์ตอนต้น,ลิขิตเหนือกาล

ตอน: บทที่ ๗ - เจ้าสาวความจำเสื่อม







อากาศอันเย็นฉ่ำ กลิ่นไอดินและกลิ่นธรรมชาติอันสดชื่น รวมถึงเสียงไก่ขันที่ดังแว่วๆ เป็นสิ่งที่ข้าวหอมไม่เคยคุ้น หล่อนผ่อนลมหายใจอย่างเป็นสุข ขณะพลิกกายจากนอนหงายเป็นนอนตะแคง ทว่า...การขยับตัวอย่างอึดอัดทำให้หล่อนต้องนิ่วหน้า หล่อนรู้สึกราวกับมีอะไรมาพันตัวหล่อนไว้ จะว่าเป็นผ้าห่มก็ไม่น่าจะใช่ หล่อนพยายามยกขาขึ้น กลับทำไม่ได้อย่างใจคิด จะอ้าขาออกก็ติด คิ้วเรียวสวยจึงขมวดเข้าหากัน ตามมาด้วยเสียงหงุดหงิดในลำคอ

“อะไรวะ!” คำต่อมาเป็นคำสบถ ไม่ดังมาก แต่ก็ทำให้คนที่นั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่ตรงมุมห้องรีบคลานเข่าเข้ามาดู

“คุณเจ้าคะ เป็นกระไรไปเจ้าคะ”

ถ้อยคำโบราณ น้ำเสียงเนิบนาบสะดุดหู

ข้าวหอมตัวพรวด ตาเบิกโพลง ใจเต้นระรัวเมื่อนึกขึ้นได้ในตอนนั้นเองว่าหล่อนอยู่ที่ไหน

“ฝันร้ายฤๅเจ้าคะ”

หน้าตาตื่นๆ ของหล่อนทำให้เด็กเฟื่องตกใจไม่น้อย สีหน้าของอีกฝ่ายจึงเป็นกังวลและซีดเซียวแทบจะไร้สีเลือด

“อิ...อิฉันจักไปตามคุณหลวงให้นะเจ้าคะ”

“ไม่ต้องๆ” หลังจากตกใจอยู่พักใหญ่ หล่อนจึงเพิ่งได้สติ รีบร้องห้าม เหลือบมองไปนอกหน้าต่างก็พบว่ายังไม่สว่างดี “อย่าไปรบกวนเขาเลย ฉันไม่ได้เป็นอะไร เฟื่องจะนอนต่อก็ได้นะจ๊ะ”

“อิฉันตื่นนานแล้วเจ้าค่ะ”

คำบอกของเฟื่องทำให้หล่อนต้องหันไปมองด้านนอกอีกครั้ง ความสงสัยแจ่มชัดอยู่ในดวงตาดำขลับ

“เอ...น่าจะเพิ่งตีห้าเองไม่ใช่หรอจ๊ะ ทำไมตื่นเช้าจัง”

“ปกติอิฉันตื่นตีสี่เจ้าค่ะ ท่านเจ้าคุณกับคุณหลวงเองตื่นเวลานี้เจ้าค่ะ”

ตื่นตีสี่น่ะหรือ ข้าวหอมทำตาโต...ไม่คิดว่าในยุคที่รถไม่ติดเป็นกิโลๆ ผู้คนกลับตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางเช่นนี้ หล่อนนั้นชินกับการตื่นแปดเก้าโมง เพราะหล่อนมักจะรับงานในช่วงกลางคืน

“งั้นฉันก็คงต้องตื่นสินะ”

ว่าพลางหาวหวอดๆ พร้อมท้องบิดขี้เกียจไปด้วย คนมองทำหน้าตาราวกับเห็นผี ครั้นหล่อนมองสบตา เจ้าหล่อนก็รีบก้มหน้า โน้มตัวแทบจะราบไปกับพื้น ข้าวหอมเลิกคิ้วน้อยๆ ก่อนยักไหล่ พอรู้หรอกว่าท่าทางของหล่อนเป็นสิ่งแปลกประหลาด แต่จะทำอย่างไรได้เล่า หล่อนไม่ใช่คนในยุคสมัยนี้นี่นา ความเคยชินทำให้หล่อนลืมตัวอยู่บ่อยครั้ง

“เฟื่องจะไปทำอะไรก็ไปทำเถอะ ฉันจะไปห้องนู้น”

‘ห้องนู้น’ คือห้องทำงานและห้องหนังสือของเจ้าของเรือน หล่อนเพียงแค่หวังว่าเมื่อก้าวพ้นประตูเข้าไป ประตูกาลเวลาจะเปิดอีกครั้ง และเมื่อนั้นหล่อนก็จะกลับบ้านได้

โดยไม่รอคำตอบ หญิงสาวก้าวลงจากเตียงแล้วก้าวยาวๆ เท่าที่ขาของหล่อนจะก้าวได้ ตรงไปยังประตูโดยที่ไม่แม้จะเหลือบมองกระจกว่าสภาพของตนเองยามนี้เป็นเช่นไร

หล่อนไม่รู้จนกระทั่งถอดดาลและเปิดประตูออก ในตอนนั้นเจ้าของเรือนกำลังเดินตรงมายังห้องที่หล่อนนอนอยู่อย่างพอดิบพอดี พลันเห็นหล่อน เท้าของเขาก็หยุดชะงัก ท่าทางผงะราวกับพบสิ่งเหนือธรรมชาติ เช่นภูติผีปีศาจ หรือสัตว์ประหลาดอย่างไรอย่างนั้น เมื่อนั้นหล่อนจึงได้รู้ ‘สภาพ’ ของหล่อนคงย่ำแย่เต็มทน

แม้ข้าวหอมจะ ‘ห้าว’ ไปสักหน่อย แต่ก็เป็นผู้หญิงที่รักสวยรักงามอยู่บ้าง และรู้จักความอับอาย หล่อนจึงรีบใช้สองมือเวยๆ ผมที่ยุ่งเหยิงให้เข้ารูปเข้ารอยสักเล็กน้อย สไบที่เลื่อนหลุดจากไหล่หล่อนก็รีบดึงกลับขึ้นมาตามเดิม ส่วนชายผ้าแถบที่ห่มด้านในเลื่อนหลุดออกมานอกเข็มขัด หล่อนก็จับยัดๆ เข้าไป ส่วนชายผ้าจีบที่เอียงกะเท่เร่ ยากที่จะจัดให้มันดีดังเดิม หล่อนจึงปล่อยเลยตามเลย

“สวัสดีค่ะ”

คำพูดของหล่อน เขาคงไม่เข้าใจ เพราะเห็นคำถามชัดเจนในดวงตาของเขา หล่อนจึงเปลี่ยนเป็นโปรยยิ้ม...แก้ความกระดากอายเล็กน้อย แล้วยกมือไหว้อย่างงดงาม

เถอะ...ถึงท่าทางหล่อนจะเหมือนผู้ชาย แต่เรื่องการไหว้ หล่อนถูกสอนมาตั้งแต่ประถม นางรำอย่างหล่อนจะไหว้เหมือนนักมวยได้อย่างไรเล่า ขืนทำเช่นนั้นก็ถูกครูตีเสียปะไร

หล่อนคงไหว้สวยสมกับที่ครูของหล่อนเข้มงวดมาตลอดห้าปีเมื่อครั้งเรียนอยู่ในโรงเรียนนาฏศิลป์ ยามเงยหน้าขึ้นมามองสบตาเขาอีกครั้ง จึงพบแววชื่นชมกึ่งประหลาดใจอยู่ไม่น้อย

“ฉันกำลังจะไปห้องนู้นค่ะ เผื่อว่าจะได้กลับบ้านเลย”

ริมฝีปากของคุณหลวงเผยอออกเล็กน้อย...ก่อนจะหุบฉับลงราวผู้เป็นเจ้าของเปลี่ยนใจไม่พูดสิ่งที่อยากจะพูดออกมา

“ฉันกำลังจักพาหล่อนไปพบเจ้าคุณพ่อ แต่หากหล่อนต้องการกลับเสียเดี๋ยวนี้ก็มิเป็นไร” พูดแค่นั้นก็หันหลัง เดินนำหล่อนไปที่ห้องทำงาน เปิดประตูเรียบร้อยก็ยืนเอามือไพล่หลังรออยู่หน้าห้อง

“ขอให้หล่อนเดินทางปลอดภัย”

พูดแบบนี้เหมือนกับไล่กันเลย...หล่อนทำปากยื่นปากยาว รู้สึกน้อยใจอยู่หน่อยๆ ถึงกระนั้นหล่อนก็ยังยกมือไหว้เขา เพราะสำนึกในบุญคุณที่เขาไม่ไล่หล่อนทั้งๆ หล่อนไม่มีที่ไป และเป็นการขอโทษที่หล่อนทำให้เขายุ่งยากและลำบากใจ

ไม่ทันได้เอ่ยคำใด อีกทั้งยังไม่ได้ก้าวเข้าไปในห้องด้วยซ้ำ เมื่อเสียงทรงอำนาจของใครคนหนึ่งดังขึ้นทางด้านหลัง

ข้าวหอมหันขวับไปมอง จึงได้เห็นชายสูงวัยผู้หนึ่งเดินขึ้นเรือนมา รูปร่างของอีกฝ่ายสูงใหญ่บึกบึน ผิวค่อนข้างคล้ำแดด ผมของท่านเป็นสีดำมีสีขาวแซมเล็กน้อย หน้าตาคมคายหล่อเหลา และดูเข้มด้วยไรหนวดเหนือริมฝีปาก

“หนูคนนี้รึเจ้าเดช” เมื่อเดินมาใกล้ก็หันไปสบตาคุณหลวง ก่อนหันมามองหล่อนพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น “หนูข้าวหอมใช่ฤๅไม่”

“ค่ะ...เอ๊ย...เจ้าค่ะ” หล่อนตอบพลางยกมือไหว้ ก่อนจะยืนสำรวมอย่างรู้สึกกริ่งเกรงคนตรงหน้าไม่น้อย

“ลุงเป็นพ่อเจ้าเดชมัน”

อ้อ...พ่อของคุณหลวงนี่เอง หล่อนเหลือบไปมองคุณหลวงพลางนึกแปลกใจ

เอ...พ่อลูก ทำไมหน้าไม่เหมือนกันสักนิด สงสัยจะเหมือนไปทางแม่ล่ะมั้ง

“มีเวลาพูดคุยกันฤๅไม่ ลุงมีเรืองอยากถามสักหน่อย”

เมื่อท่านพูดเช่นนั้น หล่อนจะปฏิเสธอย่างไรได้ หญิงสาวรับคำเสียงเบา แอบแลเข้าไปในห้องนั้นตาละห้อย

เอาน่า...อยู่อีกสักชั่วโมงสองชั่วโมงคงไม่เป็นไรหรอก ปลอบใจตัวเองพลางเดินตามพ่อของคุณหลวงไปยังหอนั่งที่อยู่ตรงกลางเรือน






ข้าวหอมนั่งพับเพียบตัวเกร็ง...จริงๆ ก็อยากจะนั่งขัดสมาธินั่นแหละ แต่เพราะชุดไม่อำนวย และรู้ดีว่าไม่สุภาพ นอกจากเสี่ยงต่อการถูกคุณหลวงมองด้วยสายตาพิฆาตแล้ว คุณพ่อของคุณหลวงอาจจะมองหล่อนเป็นเด็กไม่มีกิริยามารยาทอีกด้วย ถึงอย่างไร ต่อหน้าผู้ใหญ่หล่อนควรจะทำตัวให้เรียบร้อยไว้ก่อนเป็นดีที่สุด

“นี่หากเจ้าเดชไม่ได้เล่าเรื่องของหนูให้ลุงฟัง ลุงคงตกใจหัวใจวายไปแล้วกระมัง”

คุณลุงว่าพลางจับจ้องหล่อนไม่วางตา...ไม่ใช่มองแบบกะลิ้มกะเหลี่ย หรือในเชิงชู้สาว แต่เป็นการมองอย่างพินิจพิจารณาและมีความสงสัยคลางแคลงอยู่ในสายตาอันคมกริบของท่าน

“หนูดูคล้ายแม่วาดอย่างที่เจ้าเดชมันว่าจริงๆ”

อีกครั้งแล้วที่หล่อนได้ยินชื่อนี้ ‘แม่วาด’ ...ผู้หญิงที่เหมือนจะเป็นคนรักของคุณหลวงผู้นี้ หน้าตาเหมือนหล่อนขนาดไหนกันหนอ ชักอยากจะเห็นเสียแล้วสิ

“ต่างกันเพียงกิริยาท่าทางกับแววตาเท่านั้น...ใช่ฤๅไม่เจ้าเดช”

ประโยคท้ายหันไปถามบุตรชายผู้ซึ่งนั่งขัดสมาธิ หลังไหล่ตรง สองตาแลมองไปยังนอกชาน เหม่อมองต้นไม้และท้องฟ้าอย่างเพลิดเพลิน หาได้สนใจหล่อนไม่

“ขอรับเจ้าคุณพ่อ”

เขาเหลือบแลมาทางหล่อนเพียงชั่วขณะ ก่อนหันไปสบตาบิดาแล้วตอบอย่างสุภาพ

“ต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยขอรับ”

คนฟังถึงกับสะอึก ฉุนกึกขึ้นมาเมื่อถูกเปรียบเทียบ แน่ละ...แม่วาดคือท้องฟ้าสีครามสว่างสดใส ส่วนหล่อนน่ะหรือ...คงไม่พ้นเป็นหุบเหวลึกดำในความคิดของคุณหลวงนั่นแหละ

เฮ้อ...ถึงจะไม่เคยเห็นหน้าแม่วาดมาก่อน หล่อนก็ชักจะไม่ชอบหน้าผู้หญิงคนนี้ขึ้นมาเสียแล้วสิ

“พูดเกินไปแล้วเจ้าเดช หาได้ต่างกันถึงเพียงนั้นไม่ เพียงแค่หนูข้าวหอมดูไม่เรียบร้อยเท่าแม่วาดก็เท่านั้นเอง”

ข้าวหอมชักถูกชะตากับท่านเจ้าคุณผู้นี้ จึงพูดคุยกับท่านด้วยความเป็นมิตร ด้วยรอยยิ้มสดใส ไม่เหมือนยามพูดคุยกับคุณหลวงที่มักจะทำหน้ายักษ์ใส่กัน

คุณลุงท่านเจ้าคุณซักถามหล่อนเรื่องสัพเพเหระทั่วไปอีกสองสามประโยคก็ขอตัวไปทำงาน ก่อนไปยังกำชับให้บุตรชายนั่งรับประทานอาหารเป็นเพื่อนหล่อนเสียด้วย หญิงสาวอยากจะปฏิเสธ แต่เกรงจะเป็นการเสียมารยาทจึงนิ่งเงียบเสีย คุณหลวงเองก็หน้าตาเฉยเมยจนหล่อนดูไม่ออกว่าเต็มใจหรือไม่พอใจกันแน่ แต่ถ้าจะเอาตามความเห็นของหล่อน หล่อนเชื่อว่าคุณหลวงคงชิงชังหน้าหล่อนเสียเต็มทีแล้วกระมัง

คล้อยหลังท่านเจ้าคุณ หล่อนก็ป้องปากกระซิบบอกคนตรงหน้า

“คุณหลวงกินเถอะ ฉันไม่หิว ฉันจะไปห้องนู้นละ” ว่าพลางบุ้ยปากไปยังห้องหนังสือของอีกฝ่าย “กินให้อร่อยนะเจ้าคะ”

ทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนจะลุกขึ้นยืน แต่แล้วเสียงแหบห้าวของคุณหลวงก็ทำให้หล่อนต้องชะงัก

“กินเสียก่อนแล้วค่อยไป”

“หือ? กิน? กินกับคุณหลวงน่ะหรือคะ” หล่อนย้อนถามแล้วหัวเราะเสียงแผ่ว “จะกินลงหรือคะ”

“ไยจึงต้องกินไม่ลง?”

“เก๊าะ...” หล่อนเม้มปากเป็นเส้นตรง กลอกตาขึ้นฟ้า ทอดถอนใจอีกหนึ่งคำรบก่อนตอบ “ฉันเกรงว่าคุณหลวงเห็นหน้าฉันแบบนี้แล้วจะกินไม่ลงน่ะสิคะ”

คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันนานอึดใจทีเดียวกว่าจะคลายออก ตามมาด้วยคำปฏิเสธ

“หาได้เป็นเช่นนั้นไม่”

ไม่มีคำอธิบายใดๆ หลังจากนั้น เพราะคุณหลวงหันไปสั่งเฟื้องให้ตั้งสำรับ ไม่นานหลังจากนั้น เฟื้องก็นำอาหารมาวางเรียงรายตรงหน้าอย่างรวดเร็ว

บนเรือนไม่มีบ่าวไพร่คนอื่นนอกจากเฟื้อง หล่อนคาดเดาเอาไว้ว่าคุณหลวงคงไม่อยากให้ใครเห็นหล่อน เพราะเกรงว่าผู้คนเหล่านั้นจะตกอกตกใจจนหัวใจวายตายไปเสียก่อน

อาหารตรงหน้าหล่อนไม่มีอะไรแปลกใหม่ ถ้วยหนึ่งเป็นต้มจืดตำลึงใส่หมูสับ อีกถ้วยเป็นน้ำพริกกะปิ มีจานบรรจุผักหลากชนิดวางเคียงกัน ข้าวหอมเป็นคนไม่เลือกรับประทาน อาหารตรงหน้าจึงไม่ใช่ปัญหาสำหรับหล่อน แต่...ไอ้การที่จะต้องรับประทานโดยใช้นิ้วนั้นคือปัญหาที่แก้ไม่ตก

หล่อนนั่งกะพริบตาปริบๆ มองคุณหลวง ‘เปิบ’ ข้าวด้วยการใช้นิ้วเพียงสามนิ้วในการนำข้าวใส่ปากด้วยท่วงท่าเฉกเช่นคนที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ไม่มีข้าวแม้สักเม็ดร่วงหล่น ครั้นก้มมองตัวเองก็เห็นเม็ดข้าวหล่นเกลื่อนกลาดทั้งบนโต๊ะและบนตักของหล่อน

...ช่างน่าอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี แต่หล่อนก็ต้องทนนั่งหน้าร้อนอยู่เช่นนั้นเพราะไม่อาจหนีไปไหนได้

“หล่อนไม่เคยกินข้าวแบบนี้ดอกรึ”

ในที่สุด หลังจากผ่านความพยายามมาสักพัก คุณหลวงก็สังเกตเห็นความอึดอัดของหล่อน

“ค่ะ” หล่อนรีบตอบรับและพยักหน้าหงึกหงัก “ฉันไม่เคยใช้มือกินข้าวนี่คะ”

“แล้วหล่อนกินข้าวอย่างไร”

หญิงสาวบุ้ยปากไปยังช้อนสั้นที่ใช้เป็นช้อนกลางซึ่งวางอยู่ในถ้วยต้มจืดตำลึง

“ฉันใช้ช้อนค่ะ”

“อ้อ” คุณหลวงทำเสียงรับรู้ ก่อนหันไปสั่งเด็กเฟื่องให้นำช้อนมาให้หล่อนอีกหนึ่งคัน

พอได้ช้อน ข้าวหอมถึงได้รับประทานอย่างเอร็ดอร่อยขึ้นมาอีกนิด หล่อนอยากเจริญอาหารมากกว่านี้แต่ใจของหล่อนจดจ่ออยู่กับการกลับบ้าน หล่อนจึงตักข้าวเข้าปากสองสามคำ เคี้ยวหมุบหมับแบบไม่ให้ได้หายใจ กลืนเรียบร้อยจึงลุกขึ้นยืน

“ฉันไปแล้วนะคุณหลวง ลาละค่ะ”

ในเมื่อคุณหลวงอายุมากกว่าหล่อน เวลาจะไปไหนมาไหนหล่อนก็ควรจะไหว้ผู้ใหญ่ หญิงสาวยกมือไหว้ผลุบ แล้วถลกผ้านุ่งขึ้นเล็กน้อย จ้ำอ้าวเดินจากมาโดยไม่ได้เหลียวไปมองคนข้างหลังอีกเลย

ก่อนจะถึงประตู อีกเพียงสองก้าว เสียงของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นตรงบันไดขึ้นเรือน ข้าวหอมหันไปมองตามสัญชาตญาณของความอยากรู้อยากเห็น จึงได้เห็นหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งตัวผอมบาง ผิวพรรณนวลเนียนกำลังเดินขึ้นเรือนมาอย่างรีบร้อน ที่ตามมาเป็นพรวนคงเป็นบ่าวไพร่ที่คอยรับใช้ไม่ห่างกาย

“พ่อเดช ขอโทษที่รบกวนรบกวนแต่เช้า แต่น้ามีเรื่องเร่งด่วน...”

เพียงก้าวพ้นบันได เหยียบเรือนก้าวแรก ใครคนนั้นก็ผงะเพราะเห็นคนที่ไม่ควรจะเห็น

ข้าวหอมแทบหยุดหายใจเมื่อรู้ว่าตัวเองทำผิดพลาด...ความจริงแล้วหล่อนควรจะรีบหลบ มากกว่ายืนอยู่ตรงนี้ หนำซ้ำยังหันไปมองใครคนนั้นเสียด้วย

ตายละวา...ถ้าคุณป้าผู้นี้เกิดตกใจจนช็อคขึ้นมาจะทำเช่นไรกันเล่า หล่อนไม่ได้เรียนหมอมาเสียด้วย

“นะ...นั่น...”

คุณป้าคนนั้นตั่วเริ่มสั่น เบิกตาโตเท่าไข่ห่าน และยังชี้มือมาทางหล่อน

“นั่นแม่วาดไม่ใช่รึ”

ยังไม่ทันที่ข้าวหอมคิดทำอะไร คุณป้าคนนั้นก็ปรี่เข้ามาหาหล่อน

“แม่วาด! แม่วาดของแม่! พ่อเดชพบแม่วาดตั้งแต่เมื่อใดกัน”

คุณป้าเข้ามาประชิดตัวหล่อนแล้ว ข้าวหอมกำลังจะผงะหนีก็ถูกอีกฝ่ายรั้งตัวหล่อนไปกอด...กอดแนบแน่นเสียจนหล่อนหายใจแทบไม่ออกเลยทีเดียว

“แม่วาด! ในที่สุดเจ้าก็กลับมาหาแม่แล้ว! อย่าทิ้งแม่ไปไหนอีกนะลูก!”

ข้าวหอมยืนทำหน้างง พลางแลมองไปยังคุณหลวงผู้ซึ่งตอนนี้ทำหน้าเสมือนคนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทั้งอึดอัด กังวลใจ และลังเล

“กลับมาอยู่กับแม่นะแม่วาด อย่าหายหน้าไปไหนอีก แม่คิดถึงลูกใจแทบขาด รู้ฤๅไม่”

แล้วคุณป้าก็เริ่มร้องไห้ มือที่กำลังจะผลักอีกฝ่ายออกไปจึงเปลี่ยนเป็นวางสัมผัสบนแผ่นหลัง ลูบไล้ปลอบประโลม


ด้วยความเป็นห่วง...ข้าวหอมจึงได้แต่ยืนกอดผู้สูงวัยอยู่เช่นนั้น






ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 มิ.ย. 2559, 15:46:59 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 มิ.ย. 2559, 15:46:59 น.

จำนวนการเข้าชม : 1688





<< บทที่ ๖ : โชคชะตานำทาง   บทที่ ๘ - เจ้าสาวความจำเสื่อม ๒ >>
Zephyr 6 มิ.ย. 2559, 18:41:38 น.
อ้าว ซวยเลย
กลับไม่ได้ละมั้งเนี่ย


แว่นใส 6 มิ.ย. 2559, 20:46:43 น.
เรื่องยุ่งมาหาแล้ว


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account