เพรงพรหมข้ามภพ
บ้านเช่าหลังหนึ่งนำพาหล่อนให้พบกับเขา 'หลวงเดชาอักษร' ผู้ซึ่งกล่าวหาว่าหล่อนเป็นสตรีวิปลาสในคราวแรกที่ได้พบกัน อีกทั้งยังบอกว่าหล่อนหน้าตาเหมือนเจ้าสาวของเขาที่หายตัวไปเมื่อสามปีก่อน!
โชคชะตากำลังกลั่นแกล้งกับหล่อนหรือไร จึงทำให้หล่อนข้ามผ่านกาลเวลา มาโผล่บนเรือนของคุณหลวงผู้นี้ และจำต้องปลอมตัวเป็น 'แม่วาด' เจ้าสาวที่หายตัวไปของเขาอีกด้วย!

Tags: พีเรียด,รัตนโกสินทร์ตอนต้น,ลิขิตเหนือกาล

ตอน: บทที่ ๘ - เจ้าสาวความจำเสื่อม ๒




ครั้นฝ่ายนั้นลงจากเรือนไปแล้ว ข้าวหอมถึงกับพรูลมออกจากปากอย่างโล่งอก ดวงตาดำขลับถูกซ่อนไว้หลังเปลือกตาบางเมื่อหล่อนปิดเปลือกตาลงเพื่อรวบรวมสติที่กระเจิดกระเจิงหายไป แก้มของหล่อนแดงระเรื่อด้วยเลือดฝาดเพราะความตื่นตระหนก ไหนจะยังมือที่ชื้นเหงื่ออีกเล่า
ฉับพลันนั้นเอง หล่อนจึงได้รู้สึกตัว...ใต้ฝ่ามืออันชื้นเหงื่อนั้น หล่อนสัมผัสได้ถึงความอุ่นจัด ความหยาบกร้านและแข็งราวคีมเหล็ก

ข้าวหอมลืมตา รีบหันไปมองมือของตนซึ่งบัดนี้กำลังเกาะเกี่ยว บีบกระชับและสอดประสานมือใหญ่ของหลวงเดชาอักษรไว้อย่างแน่นหนาประหนึ่งจะไม่ยอมพลัดพรากจากกันอีกแล้วในชีวิตนี้

ตายละวา!...หล่อนอุทานในใจ เพราะรู้ดีว่าการกระทำเช่นนี้เป็นการไม่เหมาะสมในสายตาของคุณหลวงเป็นอย่างยิ่ง และหล่อนคงไม่แคล้วถูกตำหนิด้วยสายตา หรือมากกว่านั้นคือโดนเทศน์อีกกระบุงโกย

ข้าวหอมช้อนสายตามองเขา เห็นเพียงเสี้ยวหน้าด้านข้าง ดวงตาของเขาทอดมองไปเบื้องหน้า ตัวตั้งตรง ขณะที่กรามของเขาขบกันจนเป็นสันนูน...คงกำลังข่มโทสะ หรือความรู้สึกบางอย่างที่เป็นไปในทางร้ายต่อตัวหล่อน

“คุณหลวงคะ...คือฉัน...ไม่ได้ตั้งใจนะ ไม่ได้ตั้งใจจะลวนลามคุณเลย...จริงๆนะ”

หล่อนว่าพลางค่อยๆ ปล่อยมืออย่างช้าๆ เต็มไปด้วยความระแวดระวังราวกับเกรงว่าเขาจะกระโจนเข้าบั่นคอหล่อนในวินาทีใดวินาทีหนึ่งข้างหน้านี้

“ฉันแค่กลัว...” หล่อนอธิบายเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังนั่งนิ่ง “กลัวว่าคุณหลวงจะไล่ฉันให้ไปอยู่กับคุณน้าคนนั้น”

“ฉันจักไล่หล่อนได้เยี่ยงไร”

ในที่สุดเขาก็เปิดปากพูดจนได้ ข้าวหอมนึกว่าเขาจะนั่งเป็นเบื้อใบ้ไม่ยอมพูดกับหล่อนอีกเลยโทษฐานที่แต๊ะอั๋งเขาเสียอีก

“หล่อนหาใช่แม่วาดไม่ หากให้หล่อนไปอยู่เรือนนู้นรังแต่จักทำให้หล่อนลำบาก แลหากหล่อนหายตัวไปต่อหน้าต่อตาคุณน้า...” ชายหนุ่มสั่นศีรษะพลางทอดถอนใจ “ทุกอย่างคงแย่ยิ่งกว่าเดิม”

“ใช่ค่ะ ฉันเห็นด้วยกับคุณหลวง” หล่อนสำทับ แล้วขยับตัวหันหน้าเข้าหาคุณหลวงเพื่อจะได้มองคู่สนทนาได้เต็มตา “คุณหลวงก็ไม่น่าบอกคุณน้าว่าฉันเป็นแม่วาดเลยนะคะ แบบนี้เท่ากับเป็นการโกหก...”

“จักทำอย่างไรได้เล่า ใช่ว่าฉันอยากปดเสียเมื่อไร แต่เพราะคุณน้าไม่ค่อยสบาย อาการไม่สู้ดีนัก ฉันไม่อยากให้มีเรื่องใดมากระทบกระเทือนจิตใจของคุณน้าอีกจึงจำต้องปดไปเสียก่อน”

“ไม่สบายมากหรือคะ”

ได้ยินเช่นนั้นหล่อนก็ใจหาย สัมผัสจากมืออันอ่อนนุ่มและอ้อมกอดยังติดตรึงอยู่ในใจเสมือนแม่แท้ๆ ของหล่อนกอดหล่อนก็ไม่ปาน

“หมอกี่คนต่อกี่คนก็รักษาไม่หาย กินยากี่ขนานก็หาได้ดีขึ้นไม่”

“คุณน้าอาจไม่ได้ป่วยทางกาย อาจป่วยทางใจก็ได้ค่ะ เคยได้ยินไหมคะ คำที่ว่าใจเป็นนายกายเป็นบ่าว ถ้าใจห่อเหี่ยวมีแต่เรื่องให้คิดกังวลก็อาจจะทำให้ล้มป่วยได้เหมือนกันนะคะ คุณน้าน่าจะต้องการคนดูแลอย่างใกล้ชิด กินยาไปเท่าไรก็คงไม่หายหรอกค่ะ”

“หล่อนคิดว่าเป็นเช่นนั้นรึ”

“ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้าหงึกหงัก ทั้งน้ำเสียงและแววตากระตือรือร้นยามเอ่ยประโยคถัดมา “นี่ถ้าฉันช่วยได้ละก็ ฉันอยากช่วยให้คุณน้าดีขึ้นจริงๆ นะคะ แต่น่าเสียดาย...ฉันคงอยู่ที่นี่ไม่ได้นาน”

พูดมาถึงตรงนี้ก็รีบลุกพรวด จนคู่สนทนาถึงกับขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจเท่าไร

“ฉันต้องรีบไปแล้วค่ะ ฉันกลัวว่าถ้าอยู่ที่นี่ไปนานๆ จะกลับบ้านไม่ได้” หล่อนยกมือไหว้...ให้งดงามสมเป็นกุลสตรีที่สุด ด้วยคิดว่าครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้พบกัน “ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะคะคุณหลวง”

จากนั้นก็ส่งยิ้มให้เขา แล้วหมุนตัวเดินจากมา ตอนที่กำลังจะเป็นประตูห้องทำงานของคุณหลวงนั้นเอง หล่อนก็เหลียวมาตะโกนบอก

“ขอให้คุณหลวงเจอแม่วาดเร็วๆ นะคะ สู้ๆ” ถ้อยคำสุดท้ายหล่อนชูกำปั้นขึ้นทั้งสองมือ ทำท่าทางเหมือนนางเอกละคนเกาหลีที่เคยดูเหมือนสองสามปีก่อน

คุณหลวงทำสีหน้าประหลาด จะงุนงงก็ไม่เชิง จะไม่พอใจก็ไม่ใช่ แต่ที่แน่ๆ หน้าตาเช่นนั้นทำให้หล่อนหลุดหัวเราะออกมาอย่างขบขัน ก่อนจากกันหล่อนโบกมือลาเขา แล้วผลุบหายเข้าไปในห้อง เต็มเปี่ยมด้วยความหวังว่าจะได้กลับบ้านเสียที

ทว่าสิ่งที่คิดหวังกลับไม่เป็นดังหวัง เพราะแม้เวลาจะล่วงเลยจนบ่ายคล้อยหล่อนก็ยังคงอยู่ภายในห้องทำงานแห่งนั้น อย่างไม่มีวี่แววว่าประตูกาลเวลาจะเปิดเลยแม้แต่ครั้งเดียว

ข้าวหอมอ่านหนังสือในห้องนั้นนับสิบเล่ม งีบหลับไปตั้งสามครั้ง ครั้งสุดท้ายหล่อนตื่นมาด้วยความหวังว่าคงนอนอยู่บนเตียงในบ้านเช่าของหล่อน แต่ความเป็นคือหล่อนกำลังฟุบหลับอยู่บนโต๊ะริมหน้าต่าง น้ำลายไหลย้อยจนต้องรีบใช้หลังมือเช็ด อะไรก็ไม่แย่เท่ากับคนตัวโตราวกับยักษ์ยืนกอดอกมองหล่อนไม่วางตา

ไม่รู้ว่าเพิ่งเข้ามา หรือมายืนมองตั้งแต่เมื่อไร แต่ไม่ว่าตอนไหนก็ทำให้หล่อนอับอายได้เหมือนกันนั่นแหละ

“คุณหลวง”

หล่อนร้องเรียกขณะที่เขาส่ายหน้า

“หล่อนคงชอบหลับมากกระมัง”

เป็นคำกล่าวหาที่เกินจริงไปสักหน่อย ความจริงแล้วข้าวหอมไม่ได้หลงใหลการนอนหลับหรอกนะ แต่ไม่รู้ทำไมโผล่มาที่นี่ทีรเป็นต้องง่วงเหงาหาวนอนเสียทุกครั้งไป

“ดูท่าวันนี้หล่อนคงไม่ได้กลับบ้านเสียแล้วกระมัง”

เขาว่าพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าซึ่งเหน็บไว้ตรงเอวยื่นให้หล่อน

“เช็ดหน้าเช็ดตาเสียก่อน”

จากนั้นจึงหันไปสั่งเด็กเฟื่องซึ่งนั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่ตรงริมประตู “ประเดี๋ยวพานายของเอ็งไปล้างหน้าล้างตาเสียหน่อย แล้วบอกให้คนครัวนำอาหารขึ้นมาบนเรือนด้วย”

พูดถึงอาหาร กระเพาะของหล่อนก็ร้องโครกคราก...ดังไปทั่งทั้งห้อง ข้าวหอมได้แต่ยิ้มแหยๆ พึมพำว่า

“วันนี้ฉันยังไม่ได้กินอะไรเลยนี่คะ...หิว”

หล่อนยอมรับอย่างง่ายๆ ไม่มีจริตจก้านอันใดแม้แต่นิดเดียว และถ้อยคำนั้นก็เรียกรอยขบขันจากดวงตาดุๆ ของคุณหลวงได้ แม้จะเพียงชั่วขณะก็เถอะ

“เช่นนั้นก็กินให้มากๆ ให้สมกับความหิวของหล่อน แต่ตอนนี้หล่อนควรจักไปล้างหน้าล้างตาเสียก่อน”

ได้ยินเช่นนั้น เด็กเฟื่องก็ชะโงกหน้าเข้ามามอง พลางบอก

“เชิญเจ้าค่ะคุณเจ้าขา”

ข้าวหอมลุกขึ้นยืน คืนผ้าเช็ดหน้าให้คุณหลวง แต่ครั้นคุณหลวงกำลังจะดึงไป หล่อนก็รีบชักกลับมา

“ไม่ได้ค่ะไม่ได้ ฉันต้องซักคืนคุณหลวงสิคะ” หล่อนก้มมองรอยด่างดวงบนผ้าผืนนั้นแล้วทำสีหน้าแบบรู้สึกผิด “ดูสิคะ เปื้อนหมดแล้ว ไว้ฉันซักเสร็จเมื่อไรจะรีบคืนให้นะคะ” จากนั้นหล่อนก็เหน็บมันไว้ใต้เข็มขัด ก่อนถลกผ้านุ่งก้าวฉับๆ เดินออกจากห้องไป




เมื่อกลับเข้ามาในห้องหนังสือของหลวงเดชาอักษร หน้าตาของข้าวหอมดูสดใสขึ้นไม่น้อย ผิวพรรณเปล่งปลั่งมีเลือดฝาด แก้มแดงระเรื่อ ดวงตาดำขลับเป็นประกาย...สุกสกาวสว่างสดใสแบบที่คุณหลวงไม่เคยพบเห็นในสตรีใดมาก่อน แม้แต่กับแม่วาดเอง ดวงตาของเธอผู้นั้นมักจะหม่นแสงและเก็บงำบางสิ่งซ่อนเร้นไว้ไม่ได้เจิดจ้าดั่งดวงตะวันเฉกเช่นของสตรีประหลาดผู้นี้

หลวงเดชาอักษรซึ่งยามนี้นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน มือทั้งสองสาละวนอยู่กับการแยกเอกสารที่กองพะเนินเป็นหมวดหมู่ ครั้นข้าวหอมก้าวฉับๆ อย่างกระฉับกระเฉงเข้ามาภายในห้อง เขาจึงเงยหน้ามองและชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะเบือนสายตาไปยังเด็กสาวที่นั่งพับเพียบก้มหมอบอยู่ตรงประตู

“เฟื่อง ออกไปดูหน่อยซิว่าข้างนอกเขาตั้งสำรับเรียบร้อยแล้วฤๅไม่”

ไม่นานหลังจากนั้น เด็กเฟื่องก็กลับมาพร้อมรายงาน

“ตั้งสำรับเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะคุณหลวง”

หลวงเดชาอักษรจึงชวนข้าวหอมออกไปรับประทานอาหารข้างนอกด้วยกัน ปกติแล้วบุรุษมักจะต้องรับประทานก่อนสตรีเสมอ แม้ว่าสตรีผู้นั้นจะเป็นภรรยาหรือธิดาก็ตาม จะมียกเว้นบ้างก็ที่เรือนหลังนี้ ทั้งหลวงเดชาอักษรและพระยาเทพไกรศรีสุเรนทรไม่รังเกียจที่จะร่วมรับประทานกับสตรี แม้สตรีผู้นั้นจะเป็นเพียงสตรีแปลกหน้า ไม่มีที่มาที่ไป และไม่มีหัวนอนปลายเท้าก็ตาม

“รับประทานเสียให้อิ่มท้อง ไว้มื้ออื่น หากหล่อนอยากกินอะไรให้บอกฉัน ฉันจะให้แม่ปริกทำให้” ก่อนที่จะจุ่มนิ้วในขันเงินบรรจุน้ำครึ่งค่อน เขากลับชะงักไป “ว่าแต่...หล่อนคงไม่อยากกินอาหารแปลกๆ หรอกกระมัง”

คนฟังหัวเราะพรืด พลางส่ายหน้าไปมา

“ไม่หรอกค่ะคุณหลวง” หล่อนว่าขณะจุ่มมือลงไปในขันเงินบรรจุน้ำ แล้วเช็ดกับผ้าเช็ดมืออย่างลวกๆ “ฉันจะพยายาม”

หล่อนหยิบผักกาดนึ่งเข้าปาก เคี้ยวหมุบหมับเรียบร้อยจึงเสริมต่อ

“จะพยายามกินให้ปกติที่สุดค่ะ คุณหลวงจะได้ไม่ต้องลำบากใจ”

ชั่วขณะนั้นเอง สีหน้าอันสดใสกลับสลดลง แม้ดวงตายังหม่นแสง

“หล่อนกังวลใจงั้นรึ”

ดวงตาที่ค่อนข้างจะเปิดเผยความรู้สึกของเจ้าหล่อน ทำให้คุณหลวงพอจะเดาออกได้ว่ายามนี้หล่อนกำลังรู้สึกเช่นไร

“หล่อนคงไม่อยากอยู่ที่นี่กระมัง”

“ก็ไม่เชิงค่ะ...ไม่ใช่ไม่อยากอยู่ ฉันแค่ไม่คุ้นกับที่นี่ ไม่รู้จักใครเลยด้วย ถ้าวันหนึ่งคุณไล่ฉันไปจากที่นี่ ฉันจะไปอยู่ที่ไหนได้” หล่อนพูดพลางถอนหายใจพลาง “แล้วจะใช้ชีวิตยังไง ทำงานทำการอะไรก็ยังไม่รู้เลย”

“ไยจึงคิดว่าฉันจักไล่หล่อนไป หากฉันอยากไล่หล่อนจริงๆ ฉันคงไล่หล่อนเสียนานแล้ว”

คำพูดยืนยันหนักแน่นทำให้ดวงตาคู่สวยเป็นประกายขึ้นมาอีกครั้ง

“จริงหรือคะ คุณหลวงจะไม่ไล่ฉันไปไหนจริงๆ ใช่ไหม”

“เรือนนี้ก็เสมือนเป็นเรือนของหล่อน เท่าๆ กับเป็นเรือนของฉัน ฉันจักไล่หล่อนได้เยี่ยงไร” มีแววครุ่นคิดพาดผ่านดวงตาคู่คม ตามมาด้วยความอึดอัดกังวลยามเอ่ยประโยคถัดมา

“แต่หากหล่อนยังอยู่ที่นี่ หล่อนคงเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกจากแม่วาด เพราะฉันคงหาคำอธิบายให้ใครต่อใครไม่ได้ว่าหล่อนเป็นใครมาจากไหน”

เป็นแม่วาด นั่นก็หมายถึงเป็นภรรยาของคุณหลวงน่ะสิ

ใจหนึ่งหล่อนย่อมดีใจที่ได้อยู่ใกล้คนที่หล่อนรู้จักมักคุ้นมาแล้วระยะหนึ่ง ทว่า...การต้องปลอมตัวเป็นคนอื่น หนำซ้ำยังเป็นภรรยาของเขานั้นทำให้หล่อนไม่สบายใจเท่าไรนัก

...แล้วหล่อนมีทางเลือกอะไรได้เล่า หากหล่อนไม่ยอมเป็นแม่วาด ทั้งคุณหลวง ทั้งคุณลุงท่านเจ้าคุณคงจะต้องเดือดร้อนเป็นแน่ ไหนจะคุณน้าคนนั้นอีก คงเสียใจจนล้มป่วยหนักกว่าเดิมที่หล่อนไม่ใช่ลูกสาวของท่าน

เถอะ! ถ้ากลับบ้านไม่ได้ ก็ต้องอยู่ที่นี่ในฐานะแม่วาดไปก่อน บางทีพรุ่งนี้มะรืนนี้หล่อนอาจจะกลับบ้านได้ก็ได้ ใครจะรู้

“ฉันเข้าใจค่ะ ระหว่างนี้ฉันจะปลอมตัวเป็นแม่วาดไปก่อน แต่ว่า...ฉันไม่รู้จักใครเลยนะคะ ถ้าคนอื่นเขาสงสัยว่าฉันไม่ใช่แม่วาดขึ้นมา...”

“เพราะไม่สบายมาก มีไข้สูงอยู่หลายวัน หล่อนจึงจะอะไรไม่ได้มากนัก ฉันจักบอกคนอื่นเช่นนี้”

“งั้น...หมายความว่าฉันจะต้องแสดงเป็นคนความจำเสื่อมน่ะสิ”

คำสุดท้าย หลวงเดชาอักษรละม้ายไม่เข้าใจ หล่อนจึงอธิบายต่อ

“หมายถึงว่าจำอะไรไม่ได้ค่ะ แม้แต่พ่อกับแม่ก็จำไม่ได้”

“คงต้องเป็นเช่นนั้น”

“คนอื่นเขาจะเชื่อหรือคะ”

“เชื่อฤๅไม่ หาได้ต้องใส่ใจไม่ หล่อนเพียงต้องเป็นแม่วาด ปัญหาอื่นฉันจัดการเอง”

“แล้ว...ถ้าแม่วาดตัวจริงกลับมาล่ะคะ เราจะทำยังไง”

“ให้ถึงตอนนั้นก่อน ค่อยคิดหาทางออกกันก็ยังไม่สาย”

หลวงเดชาอักษรจบบทสนทนาเพียงเท่านั้น เพราะก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารอย่างตั้งอกตั้งใจจนข้าวหอมไม่กล้าซักถามอะไรอีก ใช้เวลารับประทานอาหารไม่นาน เขาก็กลับออกไปอีก คงมีงานด่วนกระมังเพราะท่าทางรีบร้อนไม่น้อย ข้าวหอมจึงเข้ามานั่งจับเจ่าในห้องหนังสือของคุณหลวงเหมือนเดิม หล่อนรอคอยด้วยความหวังว่าจะได้กลับบ้าน

รอแล้วรอเล่า จนล่วงสู่ยามดึก ตะวันลาลับขอบฟ้า ราตรีกาลคลี่คลุมไปทั่วบริเวณ มีเพียงแสงไฟจากตะเกียงส่งแสงวับๆ แวมๆ ที่ให้ความสว่าง ในห้องหนังสือของคุณหลวง เฟื่องเข้ามาจุดตะเกียงเรียบร้อย ก็ออกไปนั่งพับเพียบอย่างสำรวมอยู่นอกห้อง ระหว่างนั้นข้าวหอมฟุบหน้าลงกับโต๊ะ และกำลังนอนหลับ

...คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากัน เปลือกตาขยับไหวไปมา และริมฝีปากอิ่มเต็มเม้มจนเป็นเส้นตรง

ท่าทางของหล่อนเหมือนคนที่กำลังฝัน...เป็นฝันที่ก้ำกึ่งอยู่ระหว่างฝันดีและฝันร้าย

ท่ามกลางม่านหมอกหนาหนักโอบล้อมรอบตัวหล่อนจนมองไม่เห็นสิ่งใด สิ่งที่หล่อนมองหาและร้องเรียกเป็นอันดับแรกคือแม่ของหล่อน...แม่ผู้จากหล่อนไปได้หลายปีแล้ว แต่หล่อนยังจดจำใบหน้าของท่านได้ไม่เคยลืมเลือน ทว่าน่าแปลกนัก คนที่อยู่ตรงหน้าหล่อนหลังจากหล่อนโพล่งคำว่าแม่ออกไป กลับเป็นคุณน้าคนนั้นผู้เป็นแม่ของแม่วาดปรากฏกายขึ้นมาแทน

“ลูกแม่” ท่านร้องเรียกเสียงสะอื้น พยายามยื่นมือออกมาไขว่คว้าตัวหล่อน แต่ยิ่งเอื้อมออกมาเท่าไร ก็ยิ่งไกลกันออกไปเท่านั้น หล่อนเองไม่รู้จักท่านมาก่อน หนำซ้ำยังไม่มีความผูกพันใดๆ กับท่านเลยแม้แต่น้อย กลับสะอื้นไห้ราวกับกำลังจากพรากกับบุคคลอันเป็นที่รัก

หล่อนร้องเรียกท่าน “แม่” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้เมื่อท่านกลืนหายไปในม่านหมอก หล่อนก็ยังไม่ยอมหยุดเรียก

“แม่คะ! แม่!”

ข้าวหอมหมุนตัว เหลียวมองหาท่านราวกับปรารถนาจะได้พบกันอีกสักครั้งก่อนลาจาก หญิงสาวเดินมะงุมมะงาหราฝ่าม่านหมอกหนาทึบ ก้าวแล้วก้าวเล่า นานเท่านานกว่าหล่อนจะได้พบแสงสว่าง

ความเจิดจ้าทำให้หล่อนต้องยกมือขึ้นบังแสงนั้น พลางหยีตาลง ครู่ใหญ่จึงค่อยปรือตาขึ้นมอง

ภาพที่ปรากฏในคลองจักษุ หากใช่คุณน้าที่หล่อนตามหาไม่ แต่เป็นชายร่างสูงผอมในชุดเสื้อแขนกระบอก นุ่งโจงผู้หนึ่งกำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเด็กน้อยผมจุกวัยประมาณเจ็ดแปดขวบ

เด็กคนนั้นสวมเสื้อคอกระเช้าและนุ่งโจงกระเบน ใบหน้าเรียวยาว แต่แก้มยุ้ย ดวงตาโต ดำขลับและเป็นประกายสดใส

“ให้นวลหรือคะ”

เสียงของเด็กคนนั้นกังวานใส มีทั้งความยินดีระคนออดอ้อนเมื่อชายผู้นั้นวางของสิ่งหนึ่งมีลักษณะเป็นก้อนกลมสีขาวลงบนมือหล่อน

“พี่ซื้อมาฝาก เห็นว่าชอบกินขนมมิใช่หรือ”

เด็กคนนั้นยิ้มแฉ่ง รับขนมไว้แล้วไหว้ผลุบ

“นวลชอบมาก...มากๆ เลยค่ะ ขอบพระคุณค่ะ”

แว่วเสียงใครสักคนร้องเรียก เด็กคนนั้นจึงชะเง้อชะแง้แลมอง พลันชายผู้แก่วัยกว่าออกปากอนุญาตก็วิ่งหายลับไปจากคลองจักษุของหล่อน

เขาคนนั้นลุกขึ้นยืน เหลียวมองตามเด็กคนนั้น ข้าวหอมจึงได้เห็น...

ใบหน้าที่หล่อนเริ่มเห็นจนชินตา...แม้จะดูอ่อนวัยกว่ามาก แต่หล่อนก็มั่นใจว่าจำไม่ผิด

เขาไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นหลวงเดชาอักษร คนหน้ายักษ์ ตาดุและขี้เก๊กนั่นเอง!

ไฉนเขาจึงมาอยู่ในความฝันของหล่อนได้

หล่อนฝันเลื่อนเปื้อนไร้สาระอะไรกันหนอ?

พลันที่ถามตัวเอง หล่อนพลันสะดุ้งตื่น ดวงตากลมโตเบิกโพลง พร้อมกับความรู้สึกหนาวเหน็บมลายหายไป แทนที่ด้วยความอุ่นจัดจากบางสิ่ง

“เอ๊ะ”

หล่อนอุทานเมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังลอยเท้งเต้งอยู่กลางอากาศ

ไม่สิ...ไม่ได้ลอยอยู่ แต่หล่อนกำลังอยู่ในอ้อมกอดของใครคนหนึ่งต่างหาก

เจ้าหล่อนกะพริบตาปริบ รวบรวมสติอยู่อึดใจจึงได้รู้ว่ามีคนอุ้มหล่อนอยู่ และคนนั้นก็หาใช่ใครอื่น แต่เป็นหลวงเดชาอักษรนั่นเอง!

“ไยจึงไม่เข้าไปนอนในห้องนอน นอนฟุบหน้ากับโต๊ะ สบายนักหรือ”

เขาว่าพลางกวาดตามองลำแขนที่โผล่พ้นสไบออกมา

“ยุงคงกัดเสียหลายตัวแล้วกระมัง เฟื่อง...” ประโยคหลังเขาหันไปสั่งความกับเด็กสาวที่เดินก้มหน้าตามา “ไปเอายาจากแม่ปริกมาสักกำมือซิ อ้อ...หาผ้าผ่อนมาให้นายของเอ็งผลัดเปลี่ยนเสียด้วย”





ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 มิ.ย. 2559, 06:38:45 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 มิ.ย. 2559, 06:38:45 น.

จำนวนการเข้าชม : 1379





<< บทที่ ๗ - เจ้าสาวความจำเสื่อม   บทที่ ๑๔ - ร่องรอยอดีต >>
แว่นใส 9 มิ.ย. 2559, 07:08:55 น.
นวลคือใครกันนะ


Zephyr 10 มิ.ย. 2559, 09:04:32 น.
ใครโผล่มาอีกละเรี่ย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account